เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  22.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ขอวันไร้แก่นสารนี้สิ้นสุดลง 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     หลังทานข้าวเย็นที่ไม่มีซาบะ อุตส่าห์ตั้งตารอทำไมล่ะ? ฮัทสึฮารุก็เอาแต่ไปนั่งเหมอมองไปบนท้องฟ้ามือก็พรางลูบแมวไปพรางราวกับหัวหน้าแก๊งในหนังส่วนผมก็กำลังล้างจานอยู่

     “นี่พี่อากิคะ พี่อากิ”

     “…อะ อะไรเหรอ?”

     “วันเสาร์นี้พวกหนูกับเพื่อนจะไปเที่ยวเล่นกันช่วยไปเป็นผู้ปกครองหน่อยได้ไหมคะ พอดีชวนพี่แล้วปฏิเสธมาโหดร้ายมากเลยนะค้าแถมยังตอบโดยไม่คิดด้วย อ่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่เป็นตัวเลือกรองหรือช่วยไม่ได้แบบนั้นหรอกนะคะ”

     “ไปเที่ยวเหรอ? อืม ได้สิ”

     “เย้ ว่าแต่กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”

     ฮัทสึฮารุเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าอีกครั้ง

     “ก็แค่เหมอมองพระจันทร์น่ะ”

     “พระจันทร์เหรอค้า? แต่มีเมฆอยู่เต็มเลยนะค้า”

     “อืม นั่นสินะถ้าได้เห็นก็คงดี”

     ผมที่เสร็จจากภารกิจล้างจานเห็นยังงั้นจึงวางใจได้ว่าจะไม่ต้องเข้าไปยุ่งแล้วจึงสมควรแก่เวลาไปอาบน้ำได้เสียทีแต่ก่อนจะออกจากห้องนั่งเล่นไปผมมองไปยังกุญแจที่ฮัทสึฮารุเคยให้ผมมาซึ่งกลายเป็นสายคล้องกระเป๋าของน้องสาวไปแล้วมันปรากฏตัวสัญลักษณ์เหมือนกับตอนที่เคยปิดไฟดูแต่คราวนี้กลับแสดงออกมาโดยไม่ได้อยู่ในความมืด

     ไอ้นี่ท่าทางน่าสงสัยชะมัด

     ต้นเหตุของเรื่องร้ายมักมาจากการเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง

     “ฮัทสึฮารุกุญแจเธอมันส่องแสงด้วยล่ะ”

     ผมบอกยังงั้นแต่กลับไม่มีใครสนใจ จึงหยิบมันขึ้นมาแล้วมองตัวกุญแจรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไร ผมจึงปล่อยมันไว้เหมือนเดิมก่อนออกจากห้องไปก็พบว่าประตูมันเปิดไม่ออกจะพูดให้ถูกคือลูกบิดหมุนไม่ไปจึงเกาหลังหัวตัวเองก่อนจะพยายามใส่แรงลงไปแต่ก็ยังไม่ยอมขยัยอยู่ดี

     เฮ้ๆ ไอ้ความดวงดีตอนเช้ามันหายไปไหนหมดแล้วล่ะ ฉันไม่ได้ทำพังนะ

     ในเมื่อประตูมันเปิดไม่ได้ผมจึงแอบเนียนไปนั่งโซฟาอย่างเงียบๆ เพื่อหลบหนีความผิด

     ใครมาเปิดต่อก็โชคร้ายหน่อยล่ะนะ

     ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแต่หน้าจอกลับกดไม่ออก

     โอเค จะเล่นแบบนี้ใช่ไหมดวงดีแล้วมาเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้ โอเคได้เลยไม่มีปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

     ผมโยนสมาร์ทโฟนไปบนเบาะข้างๆ โดยไม่สนใจมันและหันไปมองฮัทสึฮารุกับคิโยพบว่าตอนนี้ทั้งสองคนกำลังตั้งใจแหงนหน้ามองฟ้าอย่างใจจดใจจ่ออยู่

     ขืนนั่งอยู่เฉยๆ คงดูผิดสังเกตแหงๆ แต่จะทำอะไรดีล่ะนึกไม่ออกเลยกระเป๋านักเรียนก็เอาไปไว้บนห้องจะเนียนทำการบ้านก็ไม่ได้ ดูทีวีงั้นเหรอ? จริงอยู่ที่ว่าจะตบตาได้แต่ปกติเวลานี้ผมไม่เคยเปิดดูเลยนี่สิถ้าเปิดมันอาจจะเป็นการทำให้เป็นที่สนใจก็ได้อีกอย่างก็ไม่มีอะไรจะดูด้วย

     ปัดโธ่เอ๊ย มีแต่ต้องเสี่ยงกับวิธีนี้แล้วสินะ

     ผมกวาดสายตามองหารีโมทย์ทีวีไปรอบๆ ทำให้ไปสะดุดเข้ากับบางอย่างที่เทสายตาให้มันอย่างหมดเปลือกก่อนแทน

     ภาพที่เห็นคือสมาร์ทโฟนของตัวเองที่โยนไปมันไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็นตามหลักฟิสิกส์ตกลงบนพื้นเบาะ มันกลับเลือกเป็นตัวแปรที่จะทำให้กฎฟิสิกส์ถูกปฏิวัติโดยที่มันกำลังลอยค้างอยู่กลางอากาศ

     ผมเอื้อมมือไปจับสิ่งนั้นและพยายามดึงเข้าหาตัวแต่มันเหมือนกับถูกยึดเอาไว้แม้จะใช้สองมือพยายามดึงก็ไม่อาจทำให้ขยับไปจากตรงนั้นได้แม้เพียงมิลฯ เดียว

     มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องแต่ก็ชอบแฮะ ถ้าเป็นฝันอย่าเพิ่งปลุกให้ตื่นนะ

     “ถ้างั้นเรื่องทั้งวันมานี้บางทีอาจเป็นแค่ฝันก็ได้นะ”

     หลังคำพูดนั้นผมค่อยๆ เดินไปหาทั้งสองคนที่เหมอมองท้องฟ้ายามราตรี ผมโบกไม้โบกมือตรงหน้าทั้งสองคนไปมาแต่ไม่มีการตอบสนองจึงลองเคาะหน้าผากของแต่ละคนแต่ร่างกายนั้นราวกับแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้งเผลอๆ ได้ยินเสียงเหมือนเคาะอะไรแข็งๆ ด้วยซ้ำจึงได้พิสูจน์อะไรบางอย่าง

     “ยังงี้นี่เองนี่ไม่ได้ล้อเล่นแฮะ นี่มันหหยุดเวลา…ละมั้งนะ”

     แต่เรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการหยุดเวลาเพราะในอนิเมะหรือในหนังเองก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมคนที่อยู่ท่ามกลางห้วงเวลาที่หยุดนิ่งถึงยังสามารถหายใจได้เป็นปกติกัน ทั้งที่น้ำ ฝุ่น ดิน สิ่งมีชีวิตกลับไม่สามารถอยู่เหนือห้วงเวลาได้แต่ทำไมถึงมีเพียงแค่ธาตุที่จำเป็นในการหายใจถึงสามารถอยู่เหนือห้วงเวลานั้นได้ทั้งๆ ที่น้ำก็ประกอบไปด้วยออกซิเจนกับไฮโดรเจนแท้ๆ เสียงเองก็ยังเปล่งออกมาได้ถึงจะไม่ได้อยู่ในสภาพสุญญากาศแต่เสียงจะเดินทางได้ยังไงกัน

     …เอาเถอะยังไงนี่ก็เป็นแค่ความฝันจะหายใจได้ก็ไม่แปลกอะไร

     แต่ไหงในฝันมันถึงเหนื่อยได้พอพักก็กลับเป็นปกติ พอกินก็รู้สึกอิ่มไม่พอยังพบเจอผู้คนที่ไม่รู้จักหรือจำหน้าได้อีกด้วย ถ้าเป็นความฝันก็ไม่น่าจะมีการเอาใบหน้าของคนเหล่านั้นมาอยู่ในความฝันสิข่าวสารในอินเตอร์เน็ตบางอันเองก็เพิ่งจะเคยเห็นด้วยซ้ำ

     ก็อาจถึงขั้นฟันธงไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าและคิดว่าไม่น่าจะใช่อาการหลอนประสาทเคมีในสมองด้วย

     แต่หยุดเวลาแล้วยังไงต่อล่ะ ในเมื่อของทุกอย่างไม่สามารถอยู่เหนือห้วงเวลาเหมือนผมได้แบบนี้มันก็เหมือนกับการลงโทษไม่ใช่เหรอ? พออยู่ไปสักพักอาจหิวขึ้นมาอีกก็ได้ทั้งที่ๆ เป็นฝันจริงๆ รึเปล่าก็ไม่รู้แท้ๆ

     สิ่งมีชีวิตเอาชนะความหิวไม่ได้นะโว้ย

     นั่นสิมันเกิดขึ้นได้ยังไง

     ไม่มีคำตอบ

     ใครเป็นคนทำ

     ไม่แน่ใจแต่อาจเป็นตัวนายก็ได้คิริโนะ

     เกิดตั้งแต่เมื่อไหร่

     หน้าจะไม่ต่ำกว่าตอนก่อนล้างจานเสร็จเพราะตอนนั้นยังได้ยินฮัทสึฮารุกับคิโยคุยกันอยู่

     พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ผมกลับมาจากโลกแห่งภวังค์โดยคิดว่าจะลองทำพฤติกรรมของตัวเองย้อนหลังดูจนกลับมาจ้องสมาร์ทโฟนที่ลอยอยู่อีกครั้ง …อันนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ต่อไปก็ประตู

     ผมยืนครุ่นคิดเพื่อนึกภาพของตัวเองทุกท่วงท่าที่เคยใช้พยายามเปิดประตูและพอแน่ใจก็พยายามเปิดประตูอีกครั้งและมองกลับไปดูในห้องเพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนไปรึยัง แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกับที่คิดเอาไว้ ในใจผมเองก็เริ่มที่จะหวั่นๆ แล้วว่าจะหลุดออกไปจากห้องขังที่เรียกว่าห้วงเวลาได้รึเปล่า

     เหลือแค่กุญแจกับล้างจานสองอย่างถ้าไม่เวิร์คก็คงได้แต่ภาวนาให้ตื่นจากฝันนี่ก่อนจะอดตายทีเถอะ

     ผมเข้าไปหาโต๊ะที่กระเป๋าน้องสาววางอยู่พรางมองลวดลายของกุญแจที่คล้องเอาไว้และค่อยๆ เลื่อนมือไปช้าๆ และหยิบมันขึ้นมา

     หยิบได้ หยิบได้จริงๆ แสดงว่าไอ้นี่เป็นตัวการงั้นสิ คิดยังงั้นได้ผมก็มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งไม่ว่าจะสมาร์ทโฟนหรือทั้งสองคนนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนไหวใดๆ เช่นเคย

     ยังหรอก ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียวอย่างน้อยก็มีความหวังมาแล้วไอ้นี่จะต้องสามารถพาออกไปจากคุกนี่ได้สิน่า

     วัตถุประสงค์ของกุญแจคือใช้เปิดแค่เรื่องนั้นที่ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วแต่ในหัวผมกลับไม่มีสิ่งที่น่าจะใช้ได้กับเจ้านี่เลย ก็เล่นเป็นอย่างกับกุญแจหีบสมบัติจะให้ข้ามทะเลไปสุดขอบโลกรึไงกันต่อให้ใช่ก็ไม่มีเวลาขนาดนั้น ตอนนี้ยังอิ่มกับมือเย็นอยู่ก็จริงแต่ถ้าหิวขึ้นมาก็จบกัน

     ถึงฮัทสึฮารุจะเปิดบานเลื่อนกระจกไว้ตอนดูเมฆก็เถอะแต่ถ้าออกไปข้างนอกก็เท่ากับว่าผมไม่มีทางออกจากสถานการณ์นี้ได้แน่แต่จะทำยังไงกันมีแค่กุญแจดอกเดียวกับโลกทั้งใบและเวลาก่อนท้องหิวถ้าทนหน่อยก็อาจะพอรอดไปได้หลายชั่วโมงถ้าทนสุดๆ ก็คงขาดน้ำได้ไม่เกินสามวันถ้าไม่บ้าตายไปก่อน

     ผมเดินไปที่ประตูอีกครั้งเพราะดูเหมือนผมจะมีสิ่งที่คาดว่าทำให้มาโลกเหนือห้วงเวลาเหมือนผมได้อย่างกุญแจดอกนี้จึงอยากทดสอบดูกับวัตถุก่อนโดยถือกุญแจไว้ในมือข้างเดียวกับที่จะใช้จับลูกบิดแต่ราวกับว่าเป็นเรื่องล้อเล่นที่ลูกบิดถูกหมุนและเกิดเสียงปลดล็อคออกทำให้ประตูถูกเปิดแง้มขึ้นมาผมจึงเปิดมันออกมาแต่เบื้องหน้ากลับเป็นสถานที่ซึ่งไม่น่าจะเป็นทางเดินของบานตัวเองพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นพร้อมๆ กัน

     ทิวทัศน์เบื้องหน้ากลายเป็นห้องที่ทำจากไม้กว้างขวางแต่กลับไม่มีคนอยู่แม้แต่คนเดียวเงียบจนราวกลับถูกปล่อยร้างแต่พอนึกขึ้นได้ว่าผมอยู่เหนือห้วงเวลามันจะไปมีเสียงอึกทึกหรือแมลงสักตัวได้ยังไงกันแต่ถึงอย่างงั้นประตูนั่นก็เปิดมาได้จึงแอบหวังว่าจะหลุดพ้นมาได้แล้ว

     ผมตัดสินใจเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังโดยเปิดแง้มประตูไว้จนสุดบาน แต่สิ่งที่ผมคิดว่ามันต้องเกิดมันกลับเกิดขึ้นจริงเหมือนกับว่าถูกกำหนดตายตัวจนดูเหมือนซ้ำซากนั่นคือประตูค่อยๆ ปิดหลังจากผมเข้ามาแต่ดูเหมือนมันจะแค่มีกลไกอยู่บนประตูทำให้ปิดด้วยตัวเองและพอสังเกตบานประตูมันก็ไม่ใช่ใบเดียวกับที่บ้านผม

     จะพาไปไหนกัน

     เหมือนจะเป็นร้านเกี่ยวกับของกินเพราะมีโต๊ะเก้าอี้วางเอาไว้เป็นชุดอยู่หลายตัว ผมเดินไปรอบๆ และไปมองนอกหน้าต่างก็มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่เงียบเชียบไร้ผู้คนบนถนนที่ปูด้วยอิฐ โคมไฟริมทางในตอนกลางคืนดูรูปร่างเหมือนของที่ฝั่งยุโรปใช้กัน

     ดูเหมือนผมจะถูกส่งมายุโรปแล้วสิต่อจากบ้านตัวเองคราวนี้เป็นร้านที่ไม่รู้จักในยุโรปเหรอ เป็นความฝันที่ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ ทั้งที่รู้ตัวว่าเป็นฝันตัวเองกลับทำอะไรไม่ได้เลยอย่างน้อยก็ทำให้ฝั่งยุโรปเป็นตอนเช้าหน่อยเถอะ

     เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีแสงไฟสั่นไหวไปมาราวกับจะเมินฝันเรื่องเมื่อกี้ของผมไปคนละโลกมาจากประตูในร้าน ผมยังไมอาจแน่ใจได้ว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นคนที่เรียกผมมาหรือเป็นแค่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่มาพร้อมกับอาวุธในมือรึเปล่าจึงตัดสินใจซ่อนตัวอย่างไม่ลังเล

     ประตูค่อยๆ ถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าบุคคลที่มาตรวจสอบเป็นของหญิงสาวชาวเอเชียอายุก็น่าจะราวๆ เดียวกับผมเห็นจะได้เธอแลดูมีชีวิตชีวาไม่เหมือนฮัทสึฮารุกับคุณน้องสาวที่กลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่พร้อมจัดส่งพิพิธภัณฑ์เธอคาดกระเป๋าคาดเอวใบเล็กเอาไว้มือข้างหนึ่งถือไฟฉายเอาไว้แต่อีกข้างหนึ่งกลับเป็นสิ่งที่อันตรายชวนให้เหงื่อไหลไปทั่วร่างดูไม่เข้ากับตัวเลยมันคือปืนขนาด 9 mm แถมเธอยังตัวสั่นด้วยแบบนี้มันอันตรายกว่าเดิมอีก

     “ทะ ทำยังไงดีถ้าเป็นผีแม่ลูกอ่อนที่ลือกันล่ะ”

     ไม่ใช่ผีแม่ลูกอ่อนแต่เป็นคนขวัญอ่อนเมื่อมีคนเดินถือปืนหาตัวครับ

     โลกนี้มีคนอยู่สามประเภทเมื่อได้ยินเสียงตอนกลางคืนในบ้านตัวเองแล้วจะนึกถึงขึ้นมาคือจะนึกถึงสัตว์ โจร แล้วก็ผีซึ่งแน่นอนว่าจะมีผลกับจิตใจเป็นอย่างมากนี่จึงอาจจะเป็นจุดที่จะทำให้ผมไม่ถูกยิงตายก็ได้ แต่เมื่อกี้รู้สึกจะเป็นภาษาบ้านเกิดผมด้วยถ้าเกิดโดนเจอตัวอาจเจรจาพอได้บ้างล่ะ

     “ถ้าไม่ใช่เพราะพายุเมื่อกี้จนทำให้ไฟดับก็ไม่น่ากลัวขนาดนี้แท้ๆ”

     ท่าทางของเธอชวนให้ผมนึกถึงสมัยทดสอบความกล้าตอนไปทัศนศึกษาตอนมอสองของเพื่อนร่วมชั้นเลย

     เธอคนนั้นกวาดแสงไฟไปรอบๆ สองสามทีก่อนจะออกเดินด้วยขาที่สั่นจนแทบจะเดินไม่ไหวแต่ก็พยายามเดินสำรวจไปทั่วร้านผมซึ่งมีทักษะจืดจางติดตัวอยู่แล้วจึงค่อยๆ หลบแสงไฟและทางที่เธอน่าจะไปได้อย่างไม่ยากเย็นแต่ผมคิดง่ายไปเมื่อผมไปจับของบางอย่างที่ตกอยู่บนพื้นใต้เคาร์เตอร์โดยบังเอิญ

     มันค่อนข้างที่จะมืดทำให้ผมมองไม่ถนัดจึงลองลูบคล้ำมันจึงทำให้รู้ว่ามันน่าจะเป็นตุ๊กตาเลยจะวางมันกลับไว้เหมือนเดิมทว่าจู่ๆ ดวงตาของตุ๊กตานั้นก็เปิดออกแสดงแสงสีแดงผ่านดวงตาและปากก็อ้าออกพูดออกมาเต็มๆ หูว่า

     ‘แม่จ๋าหนูเหงาจังเลย’

     ว๊าก!

     ผมเผลอร้องออกมาและร่างกายก็เด้งลุกขึ้นยืนโดยที่มือและใบหน้าของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อพรางจ้องมองตุ๊กตาบนพื้นเมื่อครู่ด้วยลมหายใจถี่รัว

     ทำไมตุ๊กตาน่ากลัวๆ มาอยู่ในร้านอาหารได้เล่า

     ผมยังคงจ้องมองตุ๊กตาชวนสยองบนพื้นไม่วางตาก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมยังไม่มีการส่องไฟมาที่ผมกันจึงมองหาเธอในร้านพบว่ากำลังนั่งหลับตาอุดหูตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า

     จะกลัวอะไรเบอร์นั้นกัน ถ้ากลัวขนาดนั้นก็ล็อคประตูอยู่ในห้องสิ

     ผมคิดว่าจำเป็นจะต้องอธิบายให้เธอฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นทั้งที่เป็นฝันตัวเองแท้ๆ กลับมาเจอคนแปลกหน้าอีกแล้วแถมยังต้องมาอธิบายให้ฟังอีก

     “อะ เอ่อคือโทษครับ ผมเป็นคนจรจัดอดอยากมาสักพักแล้วก็เลยแอบเข้ามา ไม่ใช่ผีหลอกครับ”

     ถึงผมจะพูดไปแล้วแต่เธอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนท่าทีแต่อย่าใด

     “เอ่อแล้วก็ ผมไม่ได้จะทำร้ายอะไรหรอกครับและก็ไม่ได้ขโมยอะไรติดมาด้วยสาบานได้ เดี๋ยวจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละครับเพราะฉะนั้นอย่าแจ้งตำรวจเลยนะครับ”

     ผมพยายามโกหกเท่าที่ทำได้โดยหวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด หลังคำพูดนั้นผมก็เดินเร็วไปที่ประตูร้านทันทีแต่เธอก็ได้เอ่ยปากหยุดเอาไว้

     “ดะ เดี๋ยวก่อน!”

     เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้งและส่องทั้งไฟและปืนมาทางผมด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

     “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้คิริโนะ”

     “…?”

     เกิดเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คหลายตัวขึ้นมาในหัวไม่ว่าจะเป็นสรุปนี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย แล้วเธอเป็นใครไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแท้ๆ สมมุติถ้าผมมีเพื่อนสมัยเด็กสักคนก็คงไม่ลืมคนๆ นั้นหรอก นี่มันความฝันจริงๆ งั้นเหรอ? ถึงเป็นฝันของตัวเองก็คงไม่อยากโดนถามคำถามที่ตัวเองก็รู้อยู่แล้วหรอกถ้าเป็นฝันของผมก็ต้องเป็นคำถามว่า ‘แกเป็นใครก่อนสิ’ แต่จู่ๆ อีกฝ่ายกลับพูดว่าคิริโนะออกมาชัดๆ เต็มสองหู

     “ขอโทษครับเราเคยรู้จักกันเหรอครับ?”

     “แค่รู้มาเฉยๆ”

     ถึงจะเป็นแค่จินตนาการของผมแต่การไปขุดคุ้ยเรื่องของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องการพลันแต่จะทำให้เกิดเรื่องผิดใจกันขึ้นมาซะเปล่าโดยเฉพาะกับคนที่บุกเข้ามาในบ้านคนอื่นตอนกลางคืนแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่

     “ยังไงก็เถอะนายมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”

     ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้กับ NPC ในจินตนาการของตัวเองจึงหยิบกุญแจที่มีสายคล้องมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนทำให้เธอแสดงความแปลกใจออกมาทางสีหน้าอีกและยอมลดปืนกับไฟฉายลงสักทีพรางเดินเข้ามาใกล้ๆ ผม

     “วันนี้แล้วเนี่ยนะ”

     เธอพูดขึ้นมาลอยๆ หลังจากมองลวดลายสัญลักษณ์บนกุญแจ

     “ช่วยบอกหน่อยได้ไหมรอบๆ ตัวนายมีเรื่องอะไรแปลกไปจากเดิมเกิดขึ้นบ้าง”

     “ขอโทษครับหมายความว่ายังไงและคุณเป็นใคร?”

     “ขอโทษทีที่เสียมารยาทนะ”

     เธอเก็บปืนกลับใส่กระเป๋าคาดเอวและยื่นมือมาหาผมด้วยแสดงรอยยิ้มผูกมิตรออกมา

     “ฉันมิสตีอาศัยอยู่ร้านนี้”

     …ใครฟะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา