เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.61K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ขอวันไร้แก่นสารนี้ดำเนินต่อไป 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เมื่อเสียงเลิกเรียนที่เหมือนกับเสียงสวรรค์ชั้นเจ็ดดังขึ้นแต่ฮัทสึฮารุยังคงนอนฟุบโต๊ะเรียนและไม่มีทีท่าว่าจะตื่นผมจึงต้องรอให้คนเริ่มเบาบางแล้วค่อยปลุกเธอเพื่อไม่ให้เกะกะการทำเวรของคนอื่นและเพื่อกลับบ้านด้วยจึงสะกิดไปสองสามทีด้วยไม่บรรทัด นับว่าโชคดีที่คุณเธอปลุกง่ายกว่าที่คิดลิบลับแล้วหันมามองผมด้วยหางตาโดยที่ยังเอาหน้าซุกอยู่กับแขนบนโต๊ะ
“ไปกันได้แล้ว”
“…อืม”
ฮัทสึฮารุค่อยๆ เงยหน้าขึ้นตามด้วยยืดแขนไปด้านหน้าแล้วค่อยพยุงตัวลุกขึ้นยืน พอผมหันหน้าไปทางประตูหลังเพื่อทำตามความต้องการของเสียงเลิกเรียนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็พบกับท่านหัวหน้าที่ยืนยิ้มพยักหน้าให้ด้วยท่าทางอ่อนโยน จนผมต้องถอนหายใจแล้วพรางคิดในใจว่า ‘ใกล้จะเริ่มแล้วสินะ’ ไปเอง
“มีอะไรเหรอครับหัวหน้า”
“ก็เพิ่งจะเคยเห็นคิริโนะคุงทักทายคนอื่นกับเข้าบ้างนี่นา แถมยังเป็นคุณฮัทสึฮารุที่พักนี้ดูห่างเหินกับคนในห้องแปลกๆ ไปด้วย”
ถ้าหากว่าเราเกิดพูดความจริงขึ้นมาเรื่องมันก็จะง่ายทีเดียวแต่มันจะมีแต่ทำให้ฮัทสึฮารุต้องเสียชื่อเสียงอาจจะถูกเข้าจะผิดอะไรกับผมได้เพราะฉะนั้นผมก็จะใช้วิธีของตัวเองนี่แหละ
“ฮัทสึฮารุย้ายมาอยู่ด้วยกันกับฉันเพราะเราเป็นญาติกันน่ะ”
“เอ๊ะ!? เอ๋!”
“ก็ไม่มีใครถามนี่นา ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้คุยกับใครอยู่แล้วเป็นทุนเดิมไม่รู้กันก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง”
ฮิเมกิมองสลับผมกับฮัทสึฮารุไปมาด้วยความลนลาน
คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นล่ะมั้งถึงยังไงเรื่องนี้สักวันมันก็ต้องแดงออกมาสู่หาวิธีรับมือไปเลยดีกว่าบอกเป็นญาติแบบนี้ก็คงจะพอไปได้ นี่ล่ะเป็นวิธีการที่จะทำให้ชื่อเสียงของฮัทสึฮารุไม่ต้องเดือดร้อนด้วยที่เหลือก็คงขึ้นอยู่กับฮัทสึฮารุแล้วว่าจะยอมตามน้ำรับเงื่อนไขรึเปล่า
“จริงเหรอคุณฮัทสึฮารุ?”
ฮัทสึฮารุมองใบหน้าด้านข้างของผมอย่างเงียบๆ สักพัก
“อื้ม ตามหลักการแล้วจริงๆ ก็เป็นแบบนั้นมันทำไมเหรอ?”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวล่ะนะฮิเมกิ เดี๋ยวจะเกะกะเวรทำความสะอาดเปล่าๆ”
หลังคำพูดนั้นผมก็ค่อยออกมาจากห้องโดยมีเสียงฝีเท้าของฮัทสึฮารุตามมาเงียบๆ
“จะดีเหรอ?”
ฮัทสึฮารุเอ่ยขึ้น
“ก็คิดว่าไม่น่าจะแย่เท่าไหร่อีกฝ่ายเป็นฮิเมกิที่เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีกว่าคนทั่วไปก็น่าจะยอมเชื่ออยู่บ้าง อีกอย่างฮัทสึฮารุเธอเองก็รับข้อเสนอนี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันแค่ทำตามความต้องการของริน มันก็แค่นั้น”
“เหรอโทษทีนะ จะว่าไปเพิ่งนึกขึ้นได้ ถามตอนนี้ก็กะไรอยู่แต่เธอไม่มีชมรมเหรอ?”
ผมหันไปมองฮัทสึฮารุที่ตามมาติดๆ เธอก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ผมจึงตอบรับเธอไปแค่ว่า “งั้นเหรอ” แล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาเหมือนทุกครั้ง
ปกติมันต้องทำอะไรบ้างล่ะสถานการณ์แบบนี้
ดะ เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวสินี่มัน ‘อีเวนท์เดินกลับบ้าน’ ไม่ใช่รึไงสิ่งที่ว่ากันว่าเป็นขั้นตอนแรกของความรักวัยหนุ่มสาวแล้วเป็นอีเวนท์ที่สามารถวนลูบได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเรียนจบความสัมพันธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ อีเวนท์ย่อยๆ จากเดินกลับบ้านเองก็เยอะเหลือเกิน
ผมถอนหายใจออกมาและเดินต่อไป
แต่ว่าน่าเสียดายที่ผมไม่สนใจเรื่องรักๆ ไคร่ๆ กับชีวิตตัวเองความรักมันคือการทำให้อีกฝ่ายยอมสยบ ความรักคือบ่อเกิดของความวุ่นวาย พวกเพรียกพร้อมน่ะจะเป็นยังไงก็ช่างสิ ผมน่ะติดใจชีวิตคนเดียวเข้าแล้วล่ะ
“ฮัทสึฮารุเธอไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนหน่อยเหรอ? นี่อาจจะเป็นเรื่องยากนะที่จะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวฉันเธอน่าจะไปหาเพื่อนที่เธอไว้ใจได้ดีกว่านะอย่างน้อยก็หลังเลิกเรียนเป็นไงไม่ใช่แค่พักเที่ยงน่ะ”
“ดูเหมือนรินจะเข้าใจผิดนะ”
หมายความว่าไง?
“ไม่ต้องสนใจเรื่องของฉันก็ได้ทำแบบนั้นแล้วจะสมกับเป็นเธอมากกว่านะ”
เฮ้อ ไอ้แบบนี้ใครมันจะไปเมินได้กันเล่า
“ยังไงเธอก็เป็นเหมือนแขกของบ้านฉันนะ…”
“เปล่า ฉันเป็นญาติต่างหากจริงไหม?”
ครับขอโทษครับ
หลังจากกลับถึงบ้านผมจึงหย่อนตัวลงไปพิงโซฟาในห้องนั่งเล่นหลังจากยึดอาณานิคมคืนจากแมวบ้านตัวเองและหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนหน้าจอออกแล้วกดปิดทำซ้ำอีกครั้งสองครั้งอย่างไร้ความหมาย
ดูทีวีดีกว่า ผมคิดอย่างั้นแต่สุดท้ายก็กลายเป็นการกดช่องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แทนเวลาประมาณนี้ก็คงมีแต่รายการวาไรตี้ล่ะนะ ไม่มีทั้งภาพยนตร์ทั้งอนิเมะหลังเลิกเรียนบ้างรึไงนะ
อืม รู้สึกเวลานี้จะมีรายการเหมาะสำหรับเด็กต่ำกว่าอายุ 8 ขวบฉายอยู่นี่นา
“ไลล่านั่นอะไรน่ะ”
ภาพของลิงตัวหนึ่งที่ไม่รู้ทำไมถึงมีหน้าเป็นกอลิลาชี้ขึ้นไปบนต้นไม้ให้เด็กหญิงที่มาด้วยกันที่ดูให้ตายยังไงก็ไม่ใช่ต้นกล้วยไปยังกล้วยหนึ่งหวีบนนั้น(?)
“อุว้าว ทุกคนเห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหม”
“เห็นคร้าบ”
“ลองพูดตามฉันนะ ‘บานานา’ ”
“บานานา!”
ซู้ด-
“บานานา”
เสียงที่ทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบและหันกลับไปอย่างช้าๆ ก็คือฮัทสึฮารุที่เปลี่ยนไปสวมชุดลำลองเรียบร้อยแล้วและถือกล่องนมรสช็อกโกแลตในมือ ลืมไปเลยว่ายังมียัยนี่อยู่
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหากไม่นับเสียงทีวีที่กำลังส่งเสียงเชิญชวนให้พูดอะไรแปลกๆ อยู่
ฮัทสึฮารุเอียงคอให้ผมที่จ้องเธอตาไม่กระพริบ
“…อะไรเหรอ?”
“…เอ่อ ปกติแล้วเธอทำอะไรบ้างเหรอตอนว่างๆ น่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษแต่ถ้าอยากให้ทำอะไรก็พูดมาได้นะ”
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นน่าถึงฉันเพิ่งจะมาบอกก็เถอะแต่ไม่ต้องเกรงใจยังไงเธอก็อยู่บ้านนี้แล้วตอนนี้เธอเป็นญาติไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่เมทสักหน่อย”
“งั้นฉันขอตัวล่ะ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
หลังคำพูดนั้นฮัทสึฮารุก็เดินออกไปจากห้องนั่งเล่นพร้อมกับดูดนมไปด้วย
ไปเจออะไรมาทำไมถึงได้เปลี่ยนจากเมื่อเดือนที่แล้วไปเป็นคนละคนได้กันล่ะ ขนาดผมเองยังเปลี่ยนตัวเองไม่ได้เลยทั้งเรื่องนิสัย ความคิด หรือความเข้าใจทางสังคมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ผมค่อยๆ เอาหัวลงไปนาบกับหมอนที่วางไว้บนโซฟาพรางจ้องมองดูทีวีด้วยสายตาเลื่อนลอยม่านตาของผมจึงค่อยๆ ลดลง
เสียงทีวีแว่วเข้าหูมา
ความรู้สึกแรกตอนนี้ผมคิดแต่เพียงว่า รู้งี้ปิดทีวีมันซะตั้งแต่แรกก็ดีหรอก
ผมลืมตาขึ้นและต้องหรี่ตาทันทีจากนั้นก็เอามือป้องตากับแสงอาทิตย์สีส้มที่ส่องลอดผ่านบานกระจกมาจากด้านข้าง เสียงทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้เปลืองไฟเล่นก็ยังคงส่งเสียงของมันไม่หยุดหย่อน
“กลับมาแล้วค่ะ”
เสียงที่คุ้นเคยของน้อยสาววัย 12 ที่กลับมาดังขึ้นในจังหวะนั้นพอดิบพอดีราวกับว่าถูกเซตเวลาเอาไว้
…และผมก็คิดได้ …ปิดทีวีดีกว่า
“นี่ พี่คิริโนะแล้วพี่อากิเขาล่ะ?”
จู่ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหน้าสะลึมสะลือของผม ผมมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่เจอใครอื่นเลยแม้แต่แมวที่เลี้ยงไว้จึงชี้นิ้วขึ้นไปด้านบนเพื่อบอกเป็นนัยๆ
ผมหันกลับไปมองใบหน้าของน้องสาวที่ทำท่าครุ่นคิดผมจึงคิดว่านั่นเป็นการล่อให้ถามกลับไปแน่นอน
“มีอะไร?”
“ตอนหนูกลับบ้านมาเอาของที่ลืมก่อนไปเรียนพิเศษ มีคนมาหาพี่อากิน่ะแถมยังเป็นชาวต่างชาติด้วยนะบรรยากาศของเธอให้ความรู้สึกน่าดึงดูดมากเลย ตอนแรกก็นึกว่าเป็นแม่ของพี่เขาแต่เจ้าตัวบอกว่าเป็นแค่คนมาส่งของเฉยๆ น่ะยังไงก็เถอะเขาให้กล่องเก็บความเย็นที่ด้านบนมีกระดาษเขียนชื่อพี่อากิแปะเอาไว้น่ะ”
“จากนั้นก็เปิดออกอย่างไม่รอช้า”
“เสียมารยาทน่า เห็นหนูเป็นคนยังไงกัน?”
“แล้วไอ้กล่องที่ว่านั่นก็คงจะเป็นไอ้เจ้านั่นใช่มั้ย?”
ผมมองไปยังกล่องเก็บความเย็นที่ถูกวางเอาไว้ข้างตู้เย็นที่เห็นมาได้สักพักแล้ว เสียงตอบรับของน้องสาวก็ช่วยทำให้ผมไขข้อสงสัยว่ามันคืออะไรแต่เหลือแค่อะไรอยู่ข้างใน
“มาลองเปิดดูกันเถอะ”
ผมลุกยืนตอบสนองคำพูดของตัวเองแล้วตรงไปหากล่องนั้นแทบทันที
“เดี่ยวสิพี่คิริโนะ ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อกี้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
“พูดอะไรกันครับคุณน้องสาวทางนี้ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำว่าห้ามเปิดเลยนา อีกอย่างของที่จะอยู่ในนี้ส่วนใหญ่ก็คงเป็นพวกของกินไม่ก็วัตถุดิบอยู่แล้ว แล้วคนที่จะทำให้วัตถุดิบกลายเป็นอาหารก็อยู่ข้างหลังผมแล้วนี่ครับ”
“เป็นหลักการที่แย่ดีนะคะ”
ผมปลดล็อคฝาแล้วค่อยๆ เปิดมันออกอย่างช้าๆ โดยเมินคำเสียดสีของน้องสาวแต่พนันได้เลยว่าตอนนี้เธอคงอยู่ด้านหลังผมแล้วชะโงกหน้ามาแหงๆ
“นั่นมัน…”
คุณน้องพอเห็นของข้างในก็ตรงเข้ามาก้มมองด้านในกล่องเจ้าปัญหาแล้วจึงเอ่ยย้ำสิ่งที่อยู่ข้างใน
“ซาบะ ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูนี่น่า?”
ยัยนั่นชอบปลาเหรอ? แต่ก็เอาเถอะ
“แล้วจะทำยังไงล่ะ?”
น้องสาวพิจารณาปลาที่อยู่ข้างในเหมือนเซียนเรียนมา
“ขนาดผ่าน สีผ่าน ความแน่นของเนื้อลวดลายเองก็ผ่าน นี่มันของนอกฤดูจริงๆ เหรออย่างกับว่าเพิ่งจับมาจากทะเลฤดูใบไม้ร่วงใหม่ๆ เลย …จะดีเหรอ?”
“ตอนนี้ของๆ ยัยนั่นก็คือของๆ เราอยู่แล้วแต่เดี๋ยวจะถามให้พอเป็นพิธีแล้วกัน”
“ก็ควรจะอย่างนั้นตั้งแต่แรกแล้วนี่นา เดี๋ยวเก็บเอาไว้กินพรุ่งนี้ตอนเย็นแล้วกันยังไม่ได้คิดว่าจะมาเจอแบบนี้”
จากนั้นเธอก็เหมือนจะพึมพำออกมาว่า “จะว่าไปถ้าใช้ของฤดูใบไม้ผลิเป็นส่วนผสมอื่นมันจะเข้ากันรึเปล่านะ ไม่สินี่เป็นของพี่อากิต้องถามดูก่อนว่าอยากกินอะไร” ผมจึงกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมซึ่งมันก็นั่งจริงๆ จะเปิดทีวีก็รู้สึกผิดกับที่เปิดทิ้งเอาไว้เมื่อกี้จึงไม่อยากเปิดและจะมองหาสัตว์สี่ขาที่เลี้ยงไว้ก็ดันไม่อยู่ซะนี่สิ จึงตัดสินใจออกไปเดินรอบๆ บ้านจนกว่าจะถึงเวลาที่ข้าวเย็นน่าจะพร้อม
ผมเดินไปพิงกำแพงรั้วบ้านแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้ายามเย็นที่ราตรีใกล้เข้ามาทุกขณะ โดยคิดในใจอย่างเดียวว่า เมฆเยอะเกินไปแล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเสียงของแมวก็ผ่านเข้ามาในโสตประสาทผมจึงหันคอไปหามันที่อยู่บนราวกำแพง
“โอ๊ะ คาซึมะเหรอว่าไง? ไปเที่ยวที่ไหนมาอีกล่ะ”
เมี้ยว
เจ้าแมวที่ชื่อคาซึมะมองผมแล้วทำท่าเหมือนกับเหนื่อยออกมาขณะที่พูดกับผม
“โทษทีน้าที่ไปแย่งโซฟาน่ะ”
เมี้ยว-
ผมจับมันยกขึ้นชูเหนือหัวแต่ดูเหมือนมันจะไม่ใส่ใจจึงยังทำหน้าซังกะตายต่อไป
“เห็นว่าไปรวมสมาคมแมวเพื่อการครองโลกมาล่ะ แต่ความเห็นในกลุ่มเกิดขัดแย้งขึ้น”
หลังคำพูดนั้นผมก็เลื่อนแมวลงมาก็เห็นฮัทสึฮารุที่ยืนพิงราวจากชั้นสองของห้องตัวเองมองลงมาหาผมด้วยใบหน้าเฉยเมย เหมือนจะเพิ่งตื่นเส้นผมที่หัวเลยยังกระเซิงกระเซออยู่
“โห ไปหาสมาคมแบบนั้นเหรอครับคุณคาซึมะเนี่ยเด็ดกว่าที่คิดนะ”
ผมมองมันอีกครั้งแล้วทำไมก็ไม่รู้มันถึงเกิดอาการล่อกแล่กและพยายามดิ้นหนีทันที
อุหวา คงไม่ใช่ไปสุมหัววางแผนยึดครองโลกหลังจากโดนผมแย่งโซฟาคืนจริงๆ ใช่ไหม
“จริงสิฮัทสึฮารุ คิโยเรียกแน่ะเห็นว่ามีของส่งมาหาเธอ”
“อื้ม เดี๋ยวลงไป”
จนแล้วจนรอดเจ้าคาซึมะก็หนีจากการจับของผมไปได้และวิ่งหนีเข้าไปในบ้านทำให้ผมกลับมาแหงนหน้ามองกลุ่มเมฆบนฟ้าอีกครั้งเพราะคิดว่าข้าวเย็นคงยังไม่เสร็จง่ายๆ หรอก
ดูดีๆ แล้วไอ้เมฆก้อนนั้นหน้าตาอย่างกับลิงหน้ากอลิลาที่ดูในทีวีตอนกลับบ้านเลยแฮะ มโนสุดยอด
ชีวิตที่ไหลไปแบบเรื่อยเปื่อยแบบนี้เองก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ
แล้ววันนี้ก็ได้จบลงไปอย่างเงียบสงบเหมือนเฉกเช่นทั่วๆ ไปไม่มีทั้งเรื่องเร่าร้อน ดราม่า หรือคอมเมดีแต่มันผ่านไปในแบบของนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาคนหนึ่งเหมือนทุกๆ คน ก่อนจะนอนในเวลาราวสี่ทุ่มผมลองเปิดผ้าม่านเผื่อจะได้เห็นพระจันทร์ที่เล็ดลอดออกมาจากกลีบเมฆแต่ก็ยังไม่เห็นสักนิดที่พอจะรับรู้ถึงตัวตนของมันได้มีเพียงแสงสลัวๆ ที่ส่องผ่านเมฆลงมาเท่านั้นก่อนผมจะข่มตาหลับไป
แต่เรื่องราวที่จะเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของผมไปตลอดการก็กำลังเริ่มขึ้นโดยที่มันไม่ได้เตือนผมให้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิดไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหนเพราะว่ามันอาจจะเริ่มตั้งแต่ผมตื่นนอนหรือตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วตัวผมก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกับทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์
“ไปกันได้แล้ว”
“…อืม”
ฮัทสึฮารุค่อยๆ เงยหน้าขึ้นตามด้วยยืดแขนไปด้านหน้าแล้วค่อยพยุงตัวลุกขึ้นยืน พอผมหันหน้าไปทางประตูหลังเพื่อทำตามความต้องการของเสียงเลิกเรียนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็พบกับท่านหัวหน้าที่ยืนยิ้มพยักหน้าให้ด้วยท่าทางอ่อนโยน จนผมต้องถอนหายใจแล้วพรางคิดในใจว่า ‘ใกล้จะเริ่มแล้วสินะ’ ไปเอง
“มีอะไรเหรอครับหัวหน้า”
“ก็เพิ่งจะเคยเห็นคิริโนะคุงทักทายคนอื่นกับเข้าบ้างนี่นา แถมยังเป็นคุณฮัทสึฮารุที่พักนี้ดูห่างเหินกับคนในห้องแปลกๆ ไปด้วย”
ถ้าหากว่าเราเกิดพูดความจริงขึ้นมาเรื่องมันก็จะง่ายทีเดียวแต่มันจะมีแต่ทำให้ฮัทสึฮารุต้องเสียชื่อเสียงอาจจะถูกเข้าจะผิดอะไรกับผมได้เพราะฉะนั้นผมก็จะใช้วิธีของตัวเองนี่แหละ
“ฮัทสึฮารุย้ายมาอยู่ด้วยกันกับฉันเพราะเราเป็นญาติกันน่ะ”
“เอ๊ะ!? เอ๋!”
“ก็ไม่มีใครถามนี่นา ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้คุยกับใครอยู่แล้วเป็นทุนเดิมไม่รู้กันก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง”
ฮิเมกิมองสลับผมกับฮัทสึฮารุไปมาด้วยความลนลาน
คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นล่ะมั้งถึงยังไงเรื่องนี้สักวันมันก็ต้องแดงออกมาสู่หาวิธีรับมือไปเลยดีกว่าบอกเป็นญาติแบบนี้ก็คงจะพอไปได้ นี่ล่ะเป็นวิธีการที่จะทำให้ชื่อเสียงของฮัทสึฮารุไม่ต้องเดือดร้อนด้วยที่เหลือก็คงขึ้นอยู่กับฮัทสึฮารุแล้วว่าจะยอมตามน้ำรับเงื่อนไขรึเปล่า
“จริงเหรอคุณฮัทสึฮารุ?”
ฮัทสึฮารุมองใบหน้าด้านข้างของผมอย่างเงียบๆ สักพัก
“อื้ม ตามหลักการแล้วจริงๆ ก็เป็นแบบนั้นมันทำไมเหรอ?”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวล่ะนะฮิเมกิ เดี๋ยวจะเกะกะเวรทำความสะอาดเปล่าๆ”
หลังคำพูดนั้นผมก็ค่อยออกมาจากห้องโดยมีเสียงฝีเท้าของฮัทสึฮารุตามมาเงียบๆ
“จะดีเหรอ?”
ฮัทสึฮารุเอ่ยขึ้น
“ก็คิดว่าไม่น่าจะแย่เท่าไหร่อีกฝ่ายเป็นฮิเมกิที่เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีกว่าคนทั่วไปก็น่าจะยอมเชื่ออยู่บ้าง อีกอย่างฮัทสึฮารุเธอเองก็รับข้อเสนอนี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันแค่ทำตามความต้องการของริน มันก็แค่นั้น”
“เหรอโทษทีนะ จะว่าไปเพิ่งนึกขึ้นได้ ถามตอนนี้ก็กะไรอยู่แต่เธอไม่มีชมรมเหรอ?”
ผมหันไปมองฮัทสึฮารุที่ตามมาติดๆ เธอก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ผมจึงตอบรับเธอไปแค่ว่า “งั้นเหรอ” แล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาเหมือนทุกครั้ง
ปกติมันต้องทำอะไรบ้างล่ะสถานการณ์แบบนี้
ดะ เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวสินี่มัน ‘อีเวนท์เดินกลับบ้าน’ ไม่ใช่รึไงสิ่งที่ว่ากันว่าเป็นขั้นตอนแรกของความรักวัยหนุ่มสาวแล้วเป็นอีเวนท์ที่สามารถวนลูบได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเรียนจบความสัมพันธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ อีเวนท์ย่อยๆ จากเดินกลับบ้านเองก็เยอะเหลือเกิน
ผมถอนหายใจออกมาและเดินต่อไป
แต่ว่าน่าเสียดายที่ผมไม่สนใจเรื่องรักๆ ไคร่ๆ กับชีวิตตัวเองความรักมันคือการทำให้อีกฝ่ายยอมสยบ ความรักคือบ่อเกิดของความวุ่นวาย พวกเพรียกพร้อมน่ะจะเป็นยังไงก็ช่างสิ ผมน่ะติดใจชีวิตคนเดียวเข้าแล้วล่ะ
“ฮัทสึฮารุเธอไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนหน่อยเหรอ? นี่อาจจะเป็นเรื่องยากนะที่จะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวฉันเธอน่าจะไปหาเพื่อนที่เธอไว้ใจได้ดีกว่านะอย่างน้อยก็หลังเลิกเรียนเป็นไงไม่ใช่แค่พักเที่ยงน่ะ”
“ดูเหมือนรินจะเข้าใจผิดนะ”
หมายความว่าไง?
“ไม่ต้องสนใจเรื่องของฉันก็ได้ทำแบบนั้นแล้วจะสมกับเป็นเธอมากกว่านะ”
เฮ้อ ไอ้แบบนี้ใครมันจะไปเมินได้กันเล่า
“ยังไงเธอก็เป็นเหมือนแขกของบ้านฉันนะ…”
“เปล่า ฉันเป็นญาติต่างหากจริงไหม?”
ครับขอโทษครับ
หลังจากกลับถึงบ้านผมจึงหย่อนตัวลงไปพิงโซฟาในห้องนั่งเล่นหลังจากยึดอาณานิคมคืนจากแมวบ้านตัวเองและหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนหน้าจอออกแล้วกดปิดทำซ้ำอีกครั้งสองครั้งอย่างไร้ความหมาย
ดูทีวีดีกว่า ผมคิดอย่างั้นแต่สุดท้ายก็กลายเป็นการกดช่องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แทนเวลาประมาณนี้ก็คงมีแต่รายการวาไรตี้ล่ะนะ ไม่มีทั้งภาพยนตร์ทั้งอนิเมะหลังเลิกเรียนบ้างรึไงนะ
อืม รู้สึกเวลานี้จะมีรายการเหมาะสำหรับเด็กต่ำกว่าอายุ 8 ขวบฉายอยู่นี่นา
“ไลล่านั่นอะไรน่ะ”
ภาพของลิงตัวหนึ่งที่ไม่รู้ทำไมถึงมีหน้าเป็นกอลิลาชี้ขึ้นไปบนต้นไม้ให้เด็กหญิงที่มาด้วยกันที่ดูให้ตายยังไงก็ไม่ใช่ต้นกล้วยไปยังกล้วยหนึ่งหวีบนนั้น(?)
“อุว้าว ทุกคนเห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหม”
“เห็นคร้าบ”
“ลองพูดตามฉันนะ ‘บานานา’ ”
“บานานา!”
ซู้ด-
“บานานา”
เสียงที่ทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบและหันกลับไปอย่างช้าๆ ก็คือฮัทสึฮารุที่เปลี่ยนไปสวมชุดลำลองเรียบร้อยแล้วและถือกล่องนมรสช็อกโกแลตในมือ ลืมไปเลยว่ายังมียัยนี่อยู่
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหากไม่นับเสียงทีวีที่กำลังส่งเสียงเชิญชวนให้พูดอะไรแปลกๆ อยู่
ฮัทสึฮารุเอียงคอให้ผมที่จ้องเธอตาไม่กระพริบ
“…อะไรเหรอ?”
“…เอ่อ ปกติแล้วเธอทำอะไรบ้างเหรอตอนว่างๆ น่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษแต่ถ้าอยากให้ทำอะไรก็พูดมาได้นะ”
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นน่าถึงฉันเพิ่งจะมาบอกก็เถอะแต่ไม่ต้องเกรงใจยังไงเธอก็อยู่บ้านนี้แล้วตอนนี้เธอเป็นญาติไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่เมทสักหน่อย”
“งั้นฉันขอตัวล่ะ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
หลังคำพูดนั้นฮัทสึฮารุก็เดินออกไปจากห้องนั่งเล่นพร้อมกับดูดนมไปด้วย
ไปเจออะไรมาทำไมถึงได้เปลี่ยนจากเมื่อเดือนที่แล้วไปเป็นคนละคนได้กันล่ะ ขนาดผมเองยังเปลี่ยนตัวเองไม่ได้เลยทั้งเรื่องนิสัย ความคิด หรือความเข้าใจทางสังคมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ผมค่อยๆ เอาหัวลงไปนาบกับหมอนที่วางไว้บนโซฟาพรางจ้องมองดูทีวีด้วยสายตาเลื่อนลอยม่านตาของผมจึงค่อยๆ ลดลง
เสียงทีวีแว่วเข้าหูมา
ความรู้สึกแรกตอนนี้ผมคิดแต่เพียงว่า รู้งี้ปิดทีวีมันซะตั้งแต่แรกก็ดีหรอก
ผมลืมตาขึ้นและต้องหรี่ตาทันทีจากนั้นก็เอามือป้องตากับแสงอาทิตย์สีส้มที่ส่องลอดผ่านบานกระจกมาจากด้านข้าง เสียงทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้เปลืองไฟเล่นก็ยังคงส่งเสียงของมันไม่หยุดหย่อน
“กลับมาแล้วค่ะ”
เสียงที่คุ้นเคยของน้อยสาววัย 12 ที่กลับมาดังขึ้นในจังหวะนั้นพอดิบพอดีราวกับว่าถูกเซตเวลาเอาไว้
…และผมก็คิดได้ …ปิดทีวีดีกว่า
“นี่ พี่คิริโนะแล้วพี่อากิเขาล่ะ?”
จู่ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหน้าสะลึมสะลือของผม ผมมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่เจอใครอื่นเลยแม้แต่แมวที่เลี้ยงไว้จึงชี้นิ้วขึ้นไปด้านบนเพื่อบอกเป็นนัยๆ
ผมหันกลับไปมองใบหน้าของน้องสาวที่ทำท่าครุ่นคิดผมจึงคิดว่านั่นเป็นการล่อให้ถามกลับไปแน่นอน
“มีอะไร?”
“ตอนหนูกลับบ้านมาเอาของที่ลืมก่อนไปเรียนพิเศษ มีคนมาหาพี่อากิน่ะแถมยังเป็นชาวต่างชาติด้วยนะบรรยากาศของเธอให้ความรู้สึกน่าดึงดูดมากเลย ตอนแรกก็นึกว่าเป็นแม่ของพี่เขาแต่เจ้าตัวบอกว่าเป็นแค่คนมาส่งของเฉยๆ น่ะยังไงก็เถอะเขาให้กล่องเก็บความเย็นที่ด้านบนมีกระดาษเขียนชื่อพี่อากิแปะเอาไว้น่ะ”
“จากนั้นก็เปิดออกอย่างไม่รอช้า”
“เสียมารยาทน่า เห็นหนูเป็นคนยังไงกัน?”
“แล้วไอ้กล่องที่ว่านั่นก็คงจะเป็นไอ้เจ้านั่นใช่มั้ย?”
ผมมองไปยังกล่องเก็บความเย็นที่ถูกวางเอาไว้ข้างตู้เย็นที่เห็นมาได้สักพักแล้ว เสียงตอบรับของน้องสาวก็ช่วยทำให้ผมไขข้อสงสัยว่ามันคืออะไรแต่เหลือแค่อะไรอยู่ข้างใน
“มาลองเปิดดูกันเถอะ”
ผมลุกยืนตอบสนองคำพูดของตัวเองแล้วตรงไปหากล่องนั้นแทบทันที
“เดี่ยวสิพี่คิริโนะ ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อกี้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
“พูดอะไรกันครับคุณน้องสาวทางนี้ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำว่าห้ามเปิดเลยนา อีกอย่างของที่จะอยู่ในนี้ส่วนใหญ่ก็คงเป็นพวกของกินไม่ก็วัตถุดิบอยู่แล้ว แล้วคนที่จะทำให้วัตถุดิบกลายเป็นอาหารก็อยู่ข้างหลังผมแล้วนี่ครับ”
“เป็นหลักการที่แย่ดีนะคะ”
ผมปลดล็อคฝาแล้วค่อยๆ เปิดมันออกอย่างช้าๆ โดยเมินคำเสียดสีของน้องสาวแต่พนันได้เลยว่าตอนนี้เธอคงอยู่ด้านหลังผมแล้วชะโงกหน้ามาแหงๆ
“นั่นมัน…”
คุณน้องพอเห็นของข้างในก็ตรงเข้ามาก้มมองด้านในกล่องเจ้าปัญหาแล้วจึงเอ่ยย้ำสิ่งที่อยู่ข้างใน
“ซาบะ ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูนี่น่า?”
ยัยนั่นชอบปลาเหรอ? แต่ก็เอาเถอะ
“แล้วจะทำยังไงล่ะ?”
น้องสาวพิจารณาปลาที่อยู่ข้างในเหมือนเซียนเรียนมา
“ขนาดผ่าน สีผ่าน ความแน่นของเนื้อลวดลายเองก็ผ่าน นี่มันของนอกฤดูจริงๆ เหรออย่างกับว่าเพิ่งจับมาจากทะเลฤดูใบไม้ร่วงใหม่ๆ เลย …จะดีเหรอ?”
“ตอนนี้ของๆ ยัยนั่นก็คือของๆ เราอยู่แล้วแต่เดี๋ยวจะถามให้พอเป็นพิธีแล้วกัน”
“ก็ควรจะอย่างนั้นตั้งแต่แรกแล้วนี่นา เดี๋ยวเก็บเอาไว้กินพรุ่งนี้ตอนเย็นแล้วกันยังไม่ได้คิดว่าจะมาเจอแบบนี้”
จากนั้นเธอก็เหมือนจะพึมพำออกมาว่า “จะว่าไปถ้าใช้ของฤดูใบไม้ผลิเป็นส่วนผสมอื่นมันจะเข้ากันรึเปล่านะ ไม่สินี่เป็นของพี่อากิต้องถามดูก่อนว่าอยากกินอะไร” ผมจึงกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมซึ่งมันก็นั่งจริงๆ จะเปิดทีวีก็รู้สึกผิดกับที่เปิดทิ้งเอาไว้เมื่อกี้จึงไม่อยากเปิดและจะมองหาสัตว์สี่ขาที่เลี้ยงไว้ก็ดันไม่อยู่ซะนี่สิ จึงตัดสินใจออกไปเดินรอบๆ บ้านจนกว่าจะถึงเวลาที่ข้าวเย็นน่าจะพร้อม
ผมเดินไปพิงกำแพงรั้วบ้านแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้ายามเย็นที่ราตรีใกล้เข้ามาทุกขณะ โดยคิดในใจอย่างเดียวว่า เมฆเยอะเกินไปแล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเสียงของแมวก็ผ่านเข้ามาในโสตประสาทผมจึงหันคอไปหามันที่อยู่บนราวกำแพง
“โอ๊ะ คาซึมะเหรอว่าไง? ไปเที่ยวที่ไหนมาอีกล่ะ”
เมี้ยว
เจ้าแมวที่ชื่อคาซึมะมองผมแล้วทำท่าเหมือนกับเหนื่อยออกมาขณะที่พูดกับผม
“โทษทีน้าที่ไปแย่งโซฟาน่ะ”
เมี้ยว-
ผมจับมันยกขึ้นชูเหนือหัวแต่ดูเหมือนมันจะไม่ใส่ใจจึงยังทำหน้าซังกะตายต่อไป
“เห็นว่าไปรวมสมาคมแมวเพื่อการครองโลกมาล่ะ แต่ความเห็นในกลุ่มเกิดขัดแย้งขึ้น”
หลังคำพูดนั้นผมก็เลื่อนแมวลงมาก็เห็นฮัทสึฮารุที่ยืนพิงราวจากชั้นสองของห้องตัวเองมองลงมาหาผมด้วยใบหน้าเฉยเมย เหมือนจะเพิ่งตื่นเส้นผมที่หัวเลยยังกระเซิงกระเซออยู่
“โห ไปหาสมาคมแบบนั้นเหรอครับคุณคาซึมะเนี่ยเด็ดกว่าที่คิดนะ”
ผมมองมันอีกครั้งแล้วทำไมก็ไม่รู้มันถึงเกิดอาการล่อกแล่กและพยายามดิ้นหนีทันที
อุหวา คงไม่ใช่ไปสุมหัววางแผนยึดครองโลกหลังจากโดนผมแย่งโซฟาคืนจริงๆ ใช่ไหม
“จริงสิฮัทสึฮารุ คิโยเรียกแน่ะเห็นว่ามีของส่งมาหาเธอ”
“อื้ม เดี๋ยวลงไป”
จนแล้วจนรอดเจ้าคาซึมะก็หนีจากการจับของผมไปได้และวิ่งหนีเข้าไปในบ้านทำให้ผมกลับมาแหงนหน้ามองกลุ่มเมฆบนฟ้าอีกครั้งเพราะคิดว่าข้าวเย็นคงยังไม่เสร็จง่ายๆ หรอก
ดูดีๆ แล้วไอ้เมฆก้อนนั้นหน้าตาอย่างกับลิงหน้ากอลิลาที่ดูในทีวีตอนกลับบ้านเลยแฮะ มโนสุดยอด
ชีวิตที่ไหลไปแบบเรื่อยเปื่อยแบบนี้เองก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ
แล้ววันนี้ก็ได้จบลงไปอย่างเงียบสงบเหมือนเฉกเช่นทั่วๆ ไปไม่มีทั้งเรื่องเร่าร้อน ดราม่า หรือคอมเมดีแต่มันผ่านไปในแบบของนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาคนหนึ่งเหมือนทุกๆ คน ก่อนจะนอนในเวลาราวสี่ทุ่มผมลองเปิดผ้าม่านเผื่อจะได้เห็นพระจันทร์ที่เล็ดลอดออกมาจากกลีบเมฆแต่ก็ยังไม่เห็นสักนิดที่พอจะรับรู้ถึงตัวตนของมันได้มีเพียงแสงสลัวๆ ที่ส่องผ่านเมฆลงมาเท่านั้นก่อนผมจะข่มตาหลับไป
แต่เรื่องราวที่จะเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของผมไปตลอดการก็กำลังเริ่มขึ้นโดยที่มันไม่ได้เตือนผมให้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิดไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหนเพราะว่ามันอาจจะเริ่มตั้งแต่ผมตื่นนอนหรือตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วตัวผมก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกับทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ