เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.56K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ขอวันไร้แก่นสารนี้ดำเนินต่อไป 3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ คุณน้องสาวเองพอกลับถึงบ้านเห็นผมเชิญชาวบ้านชาวช่องแวะเวียนเยี่ยมบ้านก็แปลกใจสิครับ แต่ที่คุณน้องสาวจะแปลกใจยิ่งกว่าคือตอนที่รู้ว่าหนึ่งในคนที่เป็นแขกจะมาอาศัยอยู่ด้วยกันอีกคนในบ้านก็เป็นเรื่องของประมาณช่วงเย็นที่แม่กลับมานู่น ส่วนแม่ผมเองพอกลับมาถึงบ้านก็พูดทันทีที่เข้าบ้านว่า “ขอโทษทีแม่ลืมบอกไปซะสนิทเลย” ออกมาได้หน้าตาเฉยทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญแท้ๆ
“อะ เอ่อ คือว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ตามเรื่องไม่ค่อยทันช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม”
น้องสาวผมที่นั่งอีกฝั่งของผมขณะนั่งกินข้าวกำลังพยายามเข้าใจสถานการณ์โดยหวังว่าจะเป็นใครก็ได้ที่จะช่วยบอกที่มาที่ไปให้อย่างลนลาน ไม่ต้องห่วงหรอกพี่เองก็เคยอยู่ในอาการประมาณนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเอง
“คิดว่าคงจะมีคนรู้เรื่องนี้ดี จริงไหมแม่?”
เมื่อผมพูดออกไปคุณน้องสาวจึงหันไปหาแม่ที่นั่งด้านข้างเธอซึ่งกำลังวางชามข้าวลงอย่างช้าๆ ราวกับเป็นท่วงทีวางถ้วยชาซึ่งแสดงให้เห็นว่ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนยิงคำถาม
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะสรุปแบบย่อๆ ให้ก็แล้วกันนะ ก็ประมาณว่าเพื่อนสนิทของแม่เขาขอร้องมาน่ะ เห็นบอกว่าต้องไปทำงานหลายอย่างหลายที่จนอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง แล้วเห็นว่าเดี่ยวลูกตัวเองจะเรียนไม่จบก็เลยขอให้ช่วยรับไปเลี้ยงสักพัก ก็ประมาณนี้แหละจ๊ะ”
ง่ายจังนะ
“ทางนั้นเค้าเองก็บอกว่าจะส่งค่าเลี้ยงดูมาช่วยด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนมากเกินไปน่ะ แม่ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรก็เลยตกลงน่ะ”
ลูกตัวเองทั้งคนเลยนะเป็นแมวจอนจัดที่อยากเลี้ยงแต่เลี้ยงไม่ได้จึงต้องเอาไปฝากไว้บ้านเพื่อนรึไง
“แล้วห้องที่พี่เค้าจะใช้ล่ะ?”
“ก็ใช้ห้องเก่าน้องแม่ก็ได้นี่ ยังไงตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้แถมตอนเช้าๆ แม่ก็ทำความสะอาดไปส่วนใหญ่แล้ว ส่วนข้าวของเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั้นถึงจะไม่มากแต่ก็เชิญใช้ได้ตามสบายเลยนะจ๊ะอากิจัง”
แม่เบือนหน้าหนีจากน้องสาวที่เป็นคนถามไปทางฮัทสึฮารุที่กำลังจ้องมองข้าวในถ้วยของตัวเองบนมือโดยที่ดวงตามีหยดน้ำไหลออกมาสองสาย
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกได้เลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ดูเหมือนว่าฮัทสึฮารุจะไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งถูกแม่ทักจึงรีบเช็ด
“…นึกถึงเรื่องครอบครัวน่ะค่ะ”
ฮัทสึฮารุโค้งหัวให้ทีหนึ่งแม่ที่เห็นท่าทีแบบนั้นจึงเงียบไปสักครู่ประมาณสองวิก่อนจะหันกลับไปหาคุณน้อง
“ถ้าลูกยังมีคำถามอีกล่ะก็เอาไว้ทีหลังก็แล้วกันนะเพราะตอนนี้ดูท่าจะเริ่มเย็นแล้วล่ะ ส่วนของลูกน่ะ”
ในที่สุดน้องสาวก็ยอมถอยและแสดงหลักฐานความพ่ายแพ้ออกมาเป็นการถอนหายใจพร้อมกับบ่นอุบอิบคนเดียวจึงค่อยกลับไปกินข้าวที่เริ่มเย็นของตัวเอง สมกับเป็นสิ่งที่เรียกว่าแม่จริงๆ
“ฮัทสึฮารุ อากิ?”
ผมนอนบ่นพึมพำบนเตียงคนเดียวในห้องหลังทำกิจวัตรประจำวันทั้งหลายแหล่เรียบร้อยแล้วก็กำลังคิดอยู่ว่าควรจะปฏิบัติตัวยังไงกับฮัทสึฮารุไม่สิกับโฮมสเตย์จะถูกกว่า
บ้านผมเองก็ไม่เคยลงทะเบียนรับนักเรียนนอกมาอยู่ด้วยจึงไม่รู้ว่าผมควรทำอะไรเป็นพิเศษบ้างยิ่งคนไม่มีเพื่อนสังคมต่ำแบบผมแล้วยิ่งแล้วใหญ่
ผมหยิบซองจดหมายข้างๆ หมอนขึ้นมาดูแล้วพลิกไปดูด้านหลังซองก็พบเข็มกลัดสีแดงเหน็บติดกับปากซองเอาไว้ และคิดย้อนไปถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
หรือก็คือ…ย้อนความคิดไปเมื่อตอนที่ยูบาริกำลังจะกลับ
“ดูเหมือนว่าฉันต้องกลับแล้วล่ะ ยังไงก็รักษาตัวด้วยนะค้า”
ผมพยักหน้าให้เรียบๆ ตามมารยาท
“อ้อ เกือบลืมเลย คิริโนะคุงมานี่หน่อยสิ”
ยูบาริกวักมือเรียกเมื่อผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอก็หยิบซองจดหมายสีขาวออกมาจากกระเป๋านักเรียนและยื่นมาให้ผม สรุปไอ้กระเป๋าของเธอมันมีอะไรอยู่บ้างเนี่ย
“สำหรับคิริโนะคุงค่ะ”
ผมยื่นมือไปหยิบซองนั้นมาแล้วมองดูมันสักพัก
“คุณผู้ปกครองฝากมาน่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะค้า แล้วเจอกันนะ”
ขณะที่ยูบาริกำลังก้าวเท้าไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็เหมือนกับว่านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เหมือนกัน
“จะว่าไปแล้วเธอเกี่ยวข้องกับฮัทสึฮารุยังไง? คิดว่าคงไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาล่ะนะ”
ยูบาริหันกลับมาสบตากับผมแล้วค่อยๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาเป็นคำตอบและเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณน้องสาวกลับมาพอดียูบาริจึงโค้งศีรษะทักทายด้วยท่าทีนอบน้อมดูมีมารยาทก่อนจะเดินออกประตูไป และเมื่อเสียงปิดประตูเงียบลงไปน้องสาวที่ทำหน้าอย่างกับเห็นผีก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“พะ พี่คิริโนะนั่นใครเหรอ?”
“แขกไง”
“…เป็นไปไม่ได้”
แค่นี้ยังไม่ทำให้แปลกใจมากหรอกน้องสาวเอ๋ย ตัวหลักของงานน่ะอยู่ในห้องนั่งเล่นต่างหาก
ในที่สุด ผมก็หยุดคิดแล้วพึมพำออกมา
นี่มันก็สมัยไหนกันแล้วนะจดหมายถ้าไม่ใช่พวกใบปลิวโฆษณาเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นเลยแฮะ จะลาโรงเรียนก็ยังลาทางโทรศัพท์เลย แต่ลางานนี่ผมไม่รู้แฮะว่ามันจะลาทางโทรศัพท์ได้รึเปล่า?
“โฮมสเตย์เหรอ… ก็ เอาเถอะแค่ระวังอะไรขึ้นหน่อยก็ไม่น่าเป็นอะไร”
ตามมารยาทที่ดีผมคงต้องไปทักทายสักหน่อยสินะ ทว่าหากฟังจากเสียงหลังกำแพงแล้วดูเหมือนว่าน้องสาวผมจะเข้าไปทำหน้าที่นี้ให้แล้วแถมผมไปก็ไม่รู้จะพูดอะไร ดึกแล้วด้วยเพราะฉะนั้นผมคงต้องขอละเว้นงานนี้เอาไว้ไปโดยปริยาย
ก่อนจะถอนหายใจออกมาและลุกจากเตียงไปนั่งหน้าโต๊ะที่มี PC โน๊ตบุ๊ควางอยู่โดยหวั่นใจกับซองจดหมายในมือว่าอาจจะมีเรื่องยุ่งยากอะไรหลุดลอยออกมาจากเจ้าซองจดหมายนี้จึงขอเวลาทำใจครั้งสุดท้ายสักนิดสักหน่อย เมื่อทำใจได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เปิดสิครับ
‘จะล้มเหลวอีกรึเปล่า?’
อะไรกันข้อความแบบนี้ทั้งหน้าทั้งหลังแผ่นกระดาษไม่มีข้อความอื่นอะไรอีกเลยต่อให้เอาไปต้อกับแสงไฟก็ไม่มีข้อความปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระดาษอีกเลย พยายามจะสื่ออะไรกันเคยให้คนอื่นดูแลมาแล้วเกิดล้มเหลวงั้นเหรอแล้วล้มเหลวที่ว่ามันลักษณะไหนล่ะ?
ผมพับกระดาษที่มีข้อความแสนสั้นนี้กลับใส่ซองและวางไว้บนโต๊ะพรางหมุนเก้าอี้ที่นั่งไปพรางคิดไปพรางเป็นเวลากว่า 5 วินาที แต่ก็ไร้ความหมายสิ้นดีจึงแตะสวิตซ์โน๊ตบุ๊ก PC ความสำเร็จแห่งเทคโนโลยีที่มนุษย์ใช้เวลาคิดค้นนานนับศตวรรษตรงหน้าออกก่อนจะเข้านอนในเวลาที่ห่างไกลกับคำว่าสุขภาพยั่งยืน
แล้วก็เป็นเหมือนเฉกเช่นเคยที่ผมจะถูกน้องสาวปลุกเสกให้ตื่นขึ้นจากเตียงราวกับซอมบี้ก่อนจะไปอาบน้ำด้วยอาการสลึมสลือตามฟอร์มทั่วไปจนอดคิดไม่ได้ว่าสักวันผมอาจทำให้น้องสาวตัวเองต้องกลายเป็นพวกซาดิสรึเปล่า? อืม แบบนั้นท่าทางจะแย่แฮะสงสัยคงต้องลดเวลาเล่นลงบ้างจริงๆ นั่นแหละถึงจริงๆ จะแค่เข้าไปดูไปฟังอะไรเท่านั้นเองเพราะผมเองก็ขี้เกียจจะเล่นเกมแล้วด้วยสิอย่างมากตอนนี้แค่ดูหนังไม่ก็ดูอนิเมะเท่านั้น ไม่ก็เริ่มปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดีของสังคมซะเลยเป็นไงนะ
แล้วตัวผมที่ทำกิจวัตรช่วงเช้าจนเหลือเพียงการกินข้าวเช้าเหมือนเฉกเช่นทุกวันไม่สร่างยกเว้นจะมีนักเรียนสาวมัธยมปลายผู้มาร่วมอาศัยปุบปับมานั่งโต๊ะกินข้าวที่ปกติไม่น่าเป็นไปได้อยู่
“อรุณสวัสดิ์”
“…อรุณสวัสดิ์”
ฮัทสึฮารุกล่าวคำทักท้ายยามเช้าเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ ผมก็รู้ว่านั่นเป็นคำพูดเพื่อเป็นพิธีแต่ที่ไม่เข้าใจคือตรงที่พูดไปแล้วจะได้อะไรต่างหากคนหนึ่งพูดและอีกคนก็ตอบกลับมันก็แค่นั้นนี่นา นี่ทำไมไอ้คำนี้มันถึงเกิดขึ้นมาบนโลกกันนะไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดแถมยังแบ่งไว้อีกทั้งเช้ากลางวันเย็นด้วยนะใช้รวมๆ กันไปเลยไม่ได้รึไงไหนจะมีเรื่องของระดับภาษาอีกให้ตายสิ
“เดี๋ยวต้องรีบไปแล้วล่ะ วันนี้ตื่นสายกว่าทุกทีเลยไม่มีเวลาทำข้าวกล่องให้เพราะฉะนั้นตอนเที่ยงไปหาซื้ออะไรกินเอาก่อนนะ ส่วนพี่อากิก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ช่วยอะไรให้มากไม่ได้”
และในเวลาไม่กี่วินาทีเธอก็ออกจากบ้านไปพร้อมกับเสียงบดถนนของล้อจักรยาน ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา
…ยังเช้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
“ยังไงก็กินข้าวกันก่อนเถอะ”
“หงึก หงึก”
ฮัทสึฮารุที่เมื่อวานทำหน้าเหมือนกับคนไม่มีแรงบัดนี้เองหลังตื่นนอนมาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนไปแต่อย่างใด จึงเกิดข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆขึ้นมาว่าพวกเธอสองคนได้นอนกันรึเปล่าเนี่ย
“ก็น่าจะหลังรินนอนได้สักพักล่ะ”
งั้นเหรอ เดี๋ยวๆ รินนั่นมันใครกันในที่สุดวันที่ชื่อของฉันมันจะเพี้ยนก็มาถึงแล้วรึไง
ระหว่างเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันพวกผมไม่ได้เอ่ยบทพูดอะไรออกมาฮัทสึฮารุแค่ตามหลังผมมาประสบการณ์เดินทางไปโรงเรียนกับคนอื่นครั้งแรกของผมกับผู้อื่นจึงจบลงด้วยความรู้สึกแค่คนเดินตามหลังบังเอิญไปทางเดียวกันแค่นั้น
พักเที่ยงของวันนั้นเองขณะกำลังเดินทางไปร้านค้าในโรงเรียนผมได้เผอิญไปพบกับยูบาริบาริเข้าสถานการณ์ตอนนี้จึงเกิดการลังเลว่าควรจะทักทายไปดีรึเปล่าแต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากมายเนื้อเรื่องก็เดินไปเองของมัน
“อ๊ะ สวัสดีค่ะ คิริโนะคุง”
เธอก็ชิงพูดไปก่อนทันที
“อะ อืม”
“พยายามเข้านะค้า”
“ห๊ะ?”
ในจังหวะที่ผมกำลังจะโต้ตอบอะไรกลับเธอไปก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินเร็วมาด้วยท่าทางโล่งใจราวกับสามารถหาสิ่งสำคัญในชีวิตพบมาหยุดอยู่ข้างยูบาริ
“ขอโทษนะ พอดีหาเงินในกระเป๋านานไปหน่อย …เอ๊ะ มาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”
“ไม่หรอกค่าไม่หรอกก็แค่ทักทายไปงั้นๆ แหละค่า อ่ะ คิริโนะคุงพวกเรากำลังจะไปซื้อของมากินกันจะไปด้วยกันไหมค้า?”
ทักทายไปงั้นๆ ก็อย่าทักมาสิเฮ้ย
“งั้นฉันขอไปซื้อก่อนแล้วกัน”
“โฮะๆ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายเดียวกันนี่คะ ถ้างั้นเราก็ตามเขาไปกันเถอะค่ะเนโกะจัง”
“เฮ้อ”
ยูบาริที่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางสนุกสนานทำให้หญิงสาวที่ถูกยูบาริเรียกว่าเนโกะจังกับผมถอนหายใจออกมาพร้อมกันราวกับนักร้องประสานเสียงที่ซ้อมกันมาก่อนแล้ว
เป็นคนที่รวดเร็วจริงๆ ในหลายๆ ความหมายเลย
“แล้วอากิล่ะค้าไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกเหรอ?”
ยูบาริเร่งฝีเท้าขึ้นมาแนวเดียวกับผมในขณะที่พวกเรากำลังสับขาเดินผ่านด้านนอกตัวอาคาร
“แล้วอะไรถึงทำให้เธอคิดว่าฉันจะรู้ล่ะ อาจไปโรงอาหารมั้ง”
โรงอาหารกับมินิมาร์กโรงเรียนตั้งอยู่ห่างกันเพื่อป้องกันเหตุการณ์จรจนจากฝูงนักเรียนที่เป็นใครต่างก็เข้าใจดีแต่ว่ามันก็ต้องแลกกับความสะดวกที่ลดลงไปเหมือนกัน
“แหมๆ ปล่อยผู้หญิงน่ารักๆ ไว้คนเดียวอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้นะ”
“งั้นเหรอแย่จังนะ”
ไอ้ฉันก็อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งนานแล้วถึงจะไม่ได้เป็นผู้หญิงแต่ก็อย่าดูถูกมนุษย์ให้มากนักล่ะการอยู่ตัวคนเดียวมันคือสัจธรรมที่แท้จริงต่างหากแต่ถ้าเป็นยัยนั่นคงมีเพื่อนฝูงแล้วไปรวมหัวกันแล้วล่ะ
“จะว่าไปแล้วเธอไม่ได้อยู่กับฮัทสึฮารุเหรอ?”
“ไม่ทราบว่าทั้งสองคนเกี่ยวข้องกันยังไงเหรอ? เห็นคุณคนนั้นสามารถพูดได้ตามปกติกับยูบาริด้วย”
ผมกับยูบาริหันไปมองหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังและเป็นต้นเสียงที่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พออยู่ใกล้แล้วทำให้ผมรู้ว่าเธอมีส่วนสูงที่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ของคำว่าเตี้ยได้อย่างชัดเจนจากที่ดูแล้วอาจประมาณ 150 เซนฯ กว่าด้วยซ้ำ น่าเห็นใจจริงๆ
“แหม หึงเหรอค้าเนโกะจัง”
เธอชายตามองยูบาริด้วยแววตาที่ดุดันแลดูน่าเกรงขามพร้อมกับพูดสวนกลับด้วยท่าทีเย็นชา
“อย่าเรียกแบบนั้นได้ไหมคุณฟุตาบะ ยูบาริเมื่อก่อนหน้านี้เองก็พูดเหมือนกันนี่นา”
“มะ แหม อย่าพูดจาห่างเหินกันแบบนั้นสิค้า เราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งเดือนหนึ่งแล้วนะ”
“แต่แบบนั้นฉันลำบากใจ”
ยูบาริเกิดอาการลนลานไปชั่วขณะจนผมเผลอคิดในใจว่าทำได้ดีมากครับคุณเนโกะ พวกเธอเองคงพูดกันประมาณนี้จนชินแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดจริงๆ นั่นคือเพื่อนสนิทจริงๆ เพราะหากอีกฝ่ายเข้าถึงจิตใจเรามากเท่าไหร่ยิ่งถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีง่ายเท่านั้น จะไว้ใจกันได้ไปถึงไหนนะน่าติดตามเหมือนเป็นละครซีรี่จริงๆ ฮึฮึ
“อ๊ะ เนโกะจังเกือบลืมไปเลยขอแนะนำนะทางนี้คือคิริโนะคุงฉันเพิ่งเจอเขาเมื่อวานนี้เอง”
ยูบาริผายมือมาทางผมพร้อมการประกาศชื่อของผมออกไปเออเองโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ทางนี้ตั้งตัวด้วยทักษะการพูดอย่างรวดเร็วและลื่นไหลพอๆ กับปลาไหลที่ดิ้นก่อนโดนจับขึ้นเขืองในวันหนึ่งกลางฤดูร้อนของเธอ
“แล้วก็คิริโนะคุงทางนี้…”
“ซาซาฮาระ เนโนโกะค่ะ”
เธอหาช่องแทรกบทพูดเพื่อประกาศชื่อตัวเองออกมาอย่างง่ายได้คงเพราะผมโดนแนะนำตัวก่อนหน้าจึงคาดเดาสิ่งที่จะตามมาไม่ยาก
“เพิ่งเคยเจอเมื่อวานเหรอ?”
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ”
ซาซาฮาระมองผมสักพักแล้วสลับไปมองใบหน้ายิ้มแย้มของยูบาริจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาก่อนจะบีบหว่างคิ้ว
“นี่ๆ เป็นไงบ้างคะคิริโนะคุงเด็กในสังกัดของฉันเนี่ยตัวเล็กน่ารักเห็นแล้วอยากจับไปแต่งตัวแล้วเอาใส่ตู้โชว์ไว้จังเลยนะค้า”
“จะให้พูดนะทำแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนจับหรอกคนนะไม่ใช่ตุ๊กตา”
“ตบมุกได้เยี่ยมค่า เอ้าจะบอกวลีเด็ดๆ ให้ฟังเป็นรางวัลนะค้า”
น่ารำคาญวุ้ย!!
หลังคำพูดนั้นยูบาริก็ไปยืนขวางทางผมตรงหน้าและกางนิ้วออกไปวางไว้บริเวณตาซ้าย
“ลูกแกะผู้หลงทางหากเจ้ายึดติดกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็จะไม่สามารถมองเห็นความสุขที่จะตามมาได้ จบแล้วค่า ดูเหมือนเราจะคุยกันนานไปหน่อยว่าไหมค้าถ้าไม่รีบไปเดี๋ยวของที่อยากกินจะหมดซะหรอก”
ยูบาริประกรบมือเสียงดังและเอารอยยิ้มมาแปะไว้อีกครั้งจึงค่อยออกวิ่งไปด้วยความเร็วราวกับนักวิ่งชั้นเซียนเตรียมโอลิมปิก สมาชิกการเดินทางจึงเหลือสองคนซึ่งไม่มีความคิดที่จะวิ่งไปอย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะ ว่าแต่ว่าไปเอาบทพูดนั่นดัดแปลงมาจากเรื่องไหนล่ะเนี่ย
“เฮ้อ เป็นคนที่น่าปวดหัวจริงๆ แต่ก็พูดถูกนั่นแหละคิริโนะเธอเองก็น่าจะรีบไปดีกว่านะท่าทางเหมือนคนไม่เคยมาซื้อของเวลานี้ด้วยสิ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายความว่าแบบนี้ยังไง”
คุณซาซาฮาระชี้เข้าไปยังจุดบริเวณหนึ่งที่มีกลุ่มคนจากทิศอาคารหลักทยอยวิ่งเข้าไปหาสิ่งนั้นราวกับงานชุมนุมสมนะสงฆ์ที่ไม่ได้นัดหมายกันทั้ง 1250 รูป
“ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ฉันว่าเธอได้กินตอนใกล้หมดเวลาพักแน่ไม่ก็ชวดไปเลย”
“อะ อืม แล้วคุณซาซาฮาระล่ะไม่ไปด้วยเหรอ?”
“ลืมไปแล้วรึไงว่าตอนแรกฉันมากับใครน่ะ?”
ออ นั่นสินะ
“อะ เอ่อ คือว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ตามเรื่องไม่ค่อยทันช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม”
น้องสาวผมที่นั่งอีกฝั่งของผมขณะนั่งกินข้าวกำลังพยายามเข้าใจสถานการณ์โดยหวังว่าจะเป็นใครก็ได้ที่จะช่วยบอกที่มาที่ไปให้อย่างลนลาน ไม่ต้องห่วงหรอกพี่เองก็เคยอยู่ในอาการประมาณนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเอง
“คิดว่าคงจะมีคนรู้เรื่องนี้ดี จริงไหมแม่?”
เมื่อผมพูดออกไปคุณน้องสาวจึงหันไปหาแม่ที่นั่งด้านข้างเธอซึ่งกำลังวางชามข้าวลงอย่างช้าๆ ราวกับเป็นท่วงทีวางถ้วยชาซึ่งแสดงให้เห็นว่ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนยิงคำถาม
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะสรุปแบบย่อๆ ให้ก็แล้วกันนะ ก็ประมาณว่าเพื่อนสนิทของแม่เขาขอร้องมาน่ะ เห็นบอกว่าต้องไปทำงานหลายอย่างหลายที่จนอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง แล้วเห็นว่าเดี่ยวลูกตัวเองจะเรียนไม่จบก็เลยขอให้ช่วยรับไปเลี้ยงสักพัก ก็ประมาณนี้แหละจ๊ะ”
ง่ายจังนะ
“ทางนั้นเค้าเองก็บอกว่าจะส่งค่าเลี้ยงดูมาช่วยด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนมากเกินไปน่ะ แม่ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรก็เลยตกลงน่ะ”
ลูกตัวเองทั้งคนเลยนะเป็นแมวจอนจัดที่อยากเลี้ยงแต่เลี้ยงไม่ได้จึงต้องเอาไปฝากไว้บ้านเพื่อนรึไง
“แล้วห้องที่พี่เค้าจะใช้ล่ะ?”
“ก็ใช้ห้องเก่าน้องแม่ก็ได้นี่ ยังไงตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้แถมตอนเช้าๆ แม่ก็ทำความสะอาดไปส่วนใหญ่แล้ว ส่วนข้าวของเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั้นถึงจะไม่มากแต่ก็เชิญใช้ได้ตามสบายเลยนะจ๊ะอากิจัง”
แม่เบือนหน้าหนีจากน้องสาวที่เป็นคนถามไปทางฮัทสึฮารุที่กำลังจ้องมองข้าวในถ้วยของตัวเองบนมือโดยที่ดวงตามีหยดน้ำไหลออกมาสองสาย
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกได้เลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ดูเหมือนว่าฮัทสึฮารุจะไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งถูกแม่ทักจึงรีบเช็ด
“…นึกถึงเรื่องครอบครัวน่ะค่ะ”
ฮัทสึฮารุโค้งหัวให้ทีหนึ่งแม่ที่เห็นท่าทีแบบนั้นจึงเงียบไปสักครู่ประมาณสองวิก่อนจะหันกลับไปหาคุณน้อง
“ถ้าลูกยังมีคำถามอีกล่ะก็เอาไว้ทีหลังก็แล้วกันนะเพราะตอนนี้ดูท่าจะเริ่มเย็นแล้วล่ะ ส่วนของลูกน่ะ”
ในที่สุดน้องสาวก็ยอมถอยและแสดงหลักฐานความพ่ายแพ้ออกมาเป็นการถอนหายใจพร้อมกับบ่นอุบอิบคนเดียวจึงค่อยกลับไปกินข้าวที่เริ่มเย็นของตัวเอง สมกับเป็นสิ่งที่เรียกว่าแม่จริงๆ
“ฮัทสึฮารุ อากิ?”
ผมนอนบ่นพึมพำบนเตียงคนเดียวในห้องหลังทำกิจวัตรประจำวันทั้งหลายแหล่เรียบร้อยแล้วก็กำลังคิดอยู่ว่าควรจะปฏิบัติตัวยังไงกับฮัทสึฮารุไม่สิกับโฮมสเตย์จะถูกกว่า
บ้านผมเองก็ไม่เคยลงทะเบียนรับนักเรียนนอกมาอยู่ด้วยจึงไม่รู้ว่าผมควรทำอะไรเป็นพิเศษบ้างยิ่งคนไม่มีเพื่อนสังคมต่ำแบบผมแล้วยิ่งแล้วใหญ่
ผมหยิบซองจดหมายข้างๆ หมอนขึ้นมาดูแล้วพลิกไปดูด้านหลังซองก็พบเข็มกลัดสีแดงเหน็บติดกับปากซองเอาไว้ และคิดย้อนไปถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
หรือก็คือ…ย้อนความคิดไปเมื่อตอนที่ยูบาริกำลังจะกลับ
“ดูเหมือนว่าฉันต้องกลับแล้วล่ะ ยังไงก็รักษาตัวด้วยนะค้า”
ผมพยักหน้าให้เรียบๆ ตามมารยาท
“อ้อ เกือบลืมเลย คิริโนะคุงมานี่หน่อยสิ”
ยูบาริกวักมือเรียกเมื่อผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอก็หยิบซองจดหมายสีขาวออกมาจากกระเป๋านักเรียนและยื่นมาให้ผม สรุปไอ้กระเป๋าของเธอมันมีอะไรอยู่บ้างเนี่ย
“สำหรับคิริโนะคุงค่ะ”
ผมยื่นมือไปหยิบซองนั้นมาแล้วมองดูมันสักพัก
“คุณผู้ปกครองฝากมาน่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะค้า แล้วเจอกันนะ”
ขณะที่ยูบาริกำลังก้าวเท้าไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็เหมือนกับว่านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เหมือนกัน
“จะว่าไปแล้วเธอเกี่ยวข้องกับฮัทสึฮารุยังไง? คิดว่าคงไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาล่ะนะ”
ยูบาริหันกลับมาสบตากับผมแล้วค่อยๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาเป็นคำตอบและเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณน้องสาวกลับมาพอดียูบาริจึงโค้งศีรษะทักทายด้วยท่าทีนอบน้อมดูมีมารยาทก่อนจะเดินออกประตูไป และเมื่อเสียงปิดประตูเงียบลงไปน้องสาวที่ทำหน้าอย่างกับเห็นผีก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“พะ พี่คิริโนะนั่นใครเหรอ?”
“แขกไง”
“…เป็นไปไม่ได้”
แค่นี้ยังไม่ทำให้แปลกใจมากหรอกน้องสาวเอ๋ย ตัวหลักของงานน่ะอยู่ในห้องนั่งเล่นต่างหาก
ในที่สุด ผมก็หยุดคิดแล้วพึมพำออกมา
นี่มันก็สมัยไหนกันแล้วนะจดหมายถ้าไม่ใช่พวกใบปลิวโฆษณาเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นเลยแฮะ จะลาโรงเรียนก็ยังลาทางโทรศัพท์เลย แต่ลางานนี่ผมไม่รู้แฮะว่ามันจะลาทางโทรศัพท์ได้รึเปล่า?
“โฮมสเตย์เหรอ… ก็ เอาเถอะแค่ระวังอะไรขึ้นหน่อยก็ไม่น่าเป็นอะไร”
ตามมารยาทที่ดีผมคงต้องไปทักทายสักหน่อยสินะ ทว่าหากฟังจากเสียงหลังกำแพงแล้วดูเหมือนว่าน้องสาวผมจะเข้าไปทำหน้าที่นี้ให้แล้วแถมผมไปก็ไม่รู้จะพูดอะไร ดึกแล้วด้วยเพราะฉะนั้นผมคงต้องขอละเว้นงานนี้เอาไว้ไปโดยปริยาย
ก่อนจะถอนหายใจออกมาและลุกจากเตียงไปนั่งหน้าโต๊ะที่มี PC โน๊ตบุ๊ควางอยู่โดยหวั่นใจกับซองจดหมายในมือว่าอาจจะมีเรื่องยุ่งยากอะไรหลุดลอยออกมาจากเจ้าซองจดหมายนี้จึงขอเวลาทำใจครั้งสุดท้ายสักนิดสักหน่อย เมื่อทำใจได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เปิดสิครับ
‘จะล้มเหลวอีกรึเปล่า?’
อะไรกันข้อความแบบนี้ทั้งหน้าทั้งหลังแผ่นกระดาษไม่มีข้อความอื่นอะไรอีกเลยต่อให้เอาไปต้อกับแสงไฟก็ไม่มีข้อความปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระดาษอีกเลย พยายามจะสื่ออะไรกันเคยให้คนอื่นดูแลมาแล้วเกิดล้มเหลวงั้นเหรอแล้วล้มเหลวที่ว่ามันลักษณะไหนล่ะ?
ผมพับกระดาษที่มีข้อความแสนสั้นนี้กลับใส่ซองและวางไว้บนโต๊ะพรางหมุนเก้าอี้ที่นั่งไปพรางคิดไปพรางเป็นเวลากว่า 5 วินาที แต่ก็ไร้ความหมายสิ้นดีจึงแตะสวิตซ์โน๊ตบุ๊ก PC ความสำเร็จแห่งเทคโนโลยีที่มนุษย์ใช้เวลาคิดค้นนานนับศตวรรษตรงหน้าออกก่อนจะเข้านอนในเวลาที่ห่างไกลกับคำว่าสุขภาพยั่งยืน
แล้วก็เป็นเหมือนเฉกเช่นเคยที่ผมจะถูกน้องสาวปลุกเสกให้ตื่นขึ้นจากเตียงราวกับซอมบี้ก่อนจะไปอาบน้ำด้วยอาการสลึมสลือตามฟอร์มทั่วไปจนอดคิดไม่ได้ว่าสักวันผมอาจทำให้น้องสาวตัวเองต้องกลายเป็นพวกซาดิสรึเปล่า? อืม แบบนั้นท่าทางจะแย่แฮะสงสัยคงต้องลดเวลาเล่นลงบ้างจริงๆ นั่นแหละถึงจริงๆ จะแค่เข้าไปดูไปฟังอะไรเท่านั้นเองเพราะผมเองก็ขี้เกียจจะเล่นเกมแล้วด้วยสิอย่างมากตอนนี้แค่ดูหนังไม่ก็ดูอนิเมะเท่านั้น ไม่ก็เริ่มปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดีของสังคมซะเลยเป็นไงนะ
แล้วตัวผมที่ทำกิจวัตรช่วงเช้าจนเหลือเพียงการกินข้าวเช้าเหมือนเฉกเช่นทุกวันไม่สร่างยกเว้นจะมีนักเรียนสาวมัธยมปลายผู้มาร่วมอาศัยปุบปับมานั่งโต๊ะกินข้าวที่ปกติไม่น่าเป็นไปได้อยู่
“อรุณสวัสดิ์”
“…อรุณสวัสดิ์”
ฮัทสึฮารุกล่าวคำทักท้ายยามเช้าเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ ผมก็รู้ว่านั่นเป็นคำพูดเพื่อเป็นพิธีแต่ที่ไม่เข้าใจคือตรงที่พูดไปแล้วจะได้อะไรต่างหากคนหนึ่งพูดและอีกคนก็ตอบกลับมันก็แค่นั้นนี่นา นี่ทำไมไอ้คำนี้มันถึงเกิดขึ้นมาบนโลกกันนะไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดแถมยังแบ่งไว้อีกทั้งเช้ากลางวันเย็นด้วยนะใช้รวมๆ กันไปเลยไม่ได้รึไงไหนจะมีเรื่องของระดับภาษาอีกให้ตายสิ
“เดี๋ยวต้องรีบไปแล้วล่ะ วันนี้ตื่นสายกว่าทุกทีเลยไม่มีเวลาทำข้าวกล่องให้เพราะฉะนั้นตอนเที่ยงไปหาซื้ออะไรกินเอาก่อนนะ ส่วนพี่อากิก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ช่วยอะไรให้มากไม่ได้”
และในเวลาไม่กี่วินาทีเธอก็ออกจากบ้านไปพร้อมกับเสียงบดถนนของล้อจักรยาน ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา
…ยังเช้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
“ยังไงก็กินข้าวกันก่อนเถอะ”
“หงึก หงึก”
ฮัทสึฮารุที่เมื่อวานทำหน้าเหมือนกับคนไม่มีแรงบัดนี้เองหลังตื่นนอนมาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนไปแต่อย่างใด จึงเกิดข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆขึ้นมาว่าพวกเธอสองคนได้นอนกันรึเปล่าเนี่ย
“ก็น่าจะหลังรินนอนได้สักพักล่ะ”
งั้นเหรอ เดี๋ยวๆ รินนั่นมันใครกันในที่สุดวันที่ชื่อของฉันมันจะเพี้ยนก็มาถึงแล้วรึไง
ระหว่างเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันพวกผมไม่ได้เอ่ยบทพูดอะไรออกมาฮัทสึฮารุแค่ตามหลังผมมาประสบการณ์เดินทางไปโรงเรียนกับคนอื่นครั้งแรกของผมกับผู้อื่นจึงจบลงด้วยความรู้สึกแค่คนเดินตามหลังบังเอิญไปทางเดียวกันแค่นั้น
พักเที่ยงของวันนั้นเองขณะกำลังเดินทางไปร้านค้าในโรงเรียนผมได้เผอิญไปพบกับยูบาริบาริเข้าสถานการณ์ตอนนี้จึงเกิดการลังเลว่าควรจะทักทายไปดีรึเปล่าแต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากมายเนื้อเรื่องก็เดินไปเองของมัน
“อ๊ะ สวัสดีค่ะ คิริโนะคุง”
เธอก็ชิงพูดไปก่อนทันที
“อะ อืม”
“พยายามเข้านะค้า”
“ห๊ะ?”
ในจังหวะที่ผมกำลังจะโต้ตอบอะไรกลับเธอไปก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินเร็วมาด้วยท่าทางโล่งใจราวกับสามารถหาสิ่งสำคัญในชีวิตพบมาหยุดอยู่ข้างยูบาริ
“ขอโทษนะ พอดีหาเงินในกระเป๋านานไปหน่อย …เอ๊ะ มาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”
“ไม่หรอกค่าไม่หรอกก็แค่ทักทายไปงั้นๆ แหละค่า อ่ะ คิริโนะคุงพวกเรากำลังจะไปซื้อของมากินกันจะไปด้วยกันไหมค้า?”
ทักทายไปงั้นๆ ก็อย่าทักมาสิเฮ้ย
“งั้นฉันขอไปซื้อก่อนแล้วกัน”
“โฮะๆ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายเดียวกันนี่คะ ถ้างั้นเราก็ตามเขาไปกันเถอะค่ะเนโกะจัง”
“เฮ้อ”
ยูบาริที่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางสนุกสนานทำให้หญิงสาวที่ถูกยูบาริเรียกว่าเนโกะจังกับผมถอนหายใจออกมาพร้อมกันราวกับนักร้องประสานเสียงที่ซ้อมกันมาก่อนแล้ว
เป็นคนที่รวดเร็วจริงๆ ในหลายๆ ความหมายเลย
“แล้วอากิล่ะค้าไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกเหรอ?”
ยูบาริเร่งฝีเท้าขึ้นมาแนวเดียวกับผมในขณะที่พวกเรากำลังสับขาเดินผ่านด้านนอกตัวอาคาร
“แล้วอะไรถึงทำให้เธอคิดว่าฉันจะรู้ล่ะ อาจไปโรงอาหารมั้ง”
โรงอาหารกับมินิมาร์กโรงเรียนตั้งอยู่ห่างกันเพื่อป้องกันเหตุการณ์จรจนจากฝูงนักเรียนที่เป็นใครต่างก็เข้าใจดีแต่ว่ามันก็ต้องแลกกับความสะดวกที่ลดลงไปเหมือนกัน
“แหมๆ ปล่อยผู้หญิงน่ารักๆ ไว้คนเดียวอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้นะ”
“งั้นเหรอแย่จังนะ”
ไอ้ฉันก็อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งนานแล้วถึงจะไม่ได้เป็นผู้หญิงแต่ก็อย่าดูถูกมนุษย์ให้มากนักล่ะการอยู่ตัวคนเดียวมันคือสัจธรรมที่แท้จริงต่างหากแต่ถ้าเป็นยัยนั่นคงมีเพื่อนฝูงแล้วไปรวมหัวกันแล้วล่ะ
“จะว่าไปแล้วเธอไม่ได้อยู่กับฮัทสึฮารุเหรอ?”
“ไม่ทราบว่าทั้งสองคนเกี่ยวข้องกันยังไงเหรอ? เห็นคุณคนนั้นสามารถพูดได้ตามปกติกับยูบาริด้วย”
ผมกับยูบาริหันไปมองหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังและเป็นต้นเสียงที่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พออยู่ใกล้แล้วทำให้ผมรู้ว่าเธอมีส่วนสูงที่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ของคำว่าเตี้ยได้อย่างชัดเจนจากที่ดูแล้วอาจประมาณ 150 เซนฯ กว่าด้วยซ้ำ น่าเห็นใจจริงๆ
“แหม หึงเหรอค้าเนโกะจัง”
เธอชายตามองยูบาริด้วยแววตาที่ดุดันแลดูน่าเกรงขามพร้อมกับพูดสวนกลับด้วยท่าทีเย็นชา
“อย่าเรียกแบบนั้นได้ไหมคุณฟุตาบะ ยูบาริเมื่อก่อนหน้านี้เองก็พูดเหมือนกันนี่นา”
“มะ แหม อย่าพูดจาห่างเหินกันแบบนั้นสิค้า เราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งเดือนหนึ่งแล้วนะ”
“แต่แบบนั้นฉันลำบากใจ”
ยูบาริเกิดอาการลนลานไปชั่วขณะจนผมเผลอคิดในใจว่าทำได้ดีมากครับคุณเนโกะ พวกเธอเองคงพูดกันประมาณนี้จนชินแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดจริงๆ นั่นคือเพื่อนสนิทจริงๆ เพราะหากอีกฝ่ายเข้าถึงจิตใจเรามากเท่าไหร่ยิ่งถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีง่ายเท่านั้น จะไว้ใจกันได้ไปถึงไหนนะน่าติดตามเหมือนเป็นละครซีรี่จริงๆ ฮึฮึ
“อ๊ะ เนโกะจังเกือบลืมไปเลยขอแนะนำนะทางนี้คือคิริโนะคุงฉันเพิ่งเจอเขาเมื่อวานนี้เอง”
ยูบาริผายมือมาทางผมพร้อมการประกาศชื่อของผมออกไปเออเองโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ทางนี้ตั้งตัวด้วยทักษะการพูดอย่างรวดเร็วและลื่นไหลพอๆ กับปลาไหลที่ดิ้นก่อนโดนจับขึ้นเขืองในวันหนึ่งกลางฤดูร้อนของเธอ
“แล้วก็คิริโนะคุงทางนี้…”
“ซาซาฮาระ เนโนโกะค่ะ”
เธอหาช่องแทรกบทพูดเพื่อประกาศชื่อตัวเองออกมาอย่างง่ายได้คงเพราะผมโดนแนะนำตัวก่อนหน้าจึงคาดเดาสิ่งที่จะตามมาไม่ยาก
“เพิ่งเคยเจอเมื่อวานเหรอ?”
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ”
ซาซาฮาระมองผมสักพักแล้วสลับไปมองใบหน้ายิ้มแย้มของยูบาริจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาก่อนจะบีบหว่างคิ้ว
“นี่ๆ เป็นไงบ้างคะคิริโนะคุงเด็กในสังกัดของฉันเนี่ยตัวเล็กน่ารักเห็นแล้วอยากจับไปแต่งตัวแล้วเอาใส่ตู้โชว์ไว้จังเลยนะค้า”
“จะให้พูดนะทำแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนจับหรอกคนนะไม่ใช่ตุ๊กตา”
“ตบมุกได้เยี่ยมค่า เอ้าจะบอกวลีเด็ดๆ ให้ฟังเป็นรางวัลนะค้า”
น่ารำคาญวุ้ย!!
หลังคำพูดนั้นยูบาริก็ไปยืนขวางทางผมตรงหน้าและกางนิ้วออกไปวางไว้บริเวณตาซ้าย
“ลูกแกะผู้หลงทางหากเจ้ายึดติดกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็จะไม่สามารถมองเห็นความสุขที่จะตามมาได้ จบแล้วค่า ดูเหมือนเราจะคุยกันนานไปหน่อยว่าไหมค้าถ้าไม่รีบไปเดี๋ยวของที่อยากกินจะหมดซะหรอก”
ยูบาริประกรบมือเสียงดังและเอารอยยิ้มมาแปะไว้อีกครั้งจึงค่อยออกวิ่งไปด้วยความเร็วราวกับนักวิ่งชั้นเซียนเตรียมโอลิมปิก สมาชิกการเดินทางจึงเหลือสองคนซึ่งไม่มีความคิดที่จะวิ่งไปอย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะ ว่าแต่ว่าไปเอาบทพูดนั่นดัดแปลงมาจากเรื่องไหนล่ะเนี่ย
“เฮ้อ เป็นคนที่น่าปวดหัวจริงๆ แต่ก็พูดถูกนั่นแหละคิริโนะเธอเองก็น่าจะรีบไปดีกว่านะท่าทางเหมือนคนไม่เคยมาซื้อของเวลานี้ด้วยสิ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายความว่าแบบนี้ยังไง”
คุณซาซาฮาระชี้เข้าไปยังจุดบริเวณหนึ่งที่มีกลุ่มคนจากทิศอาคารหลักทยอยวิ่งเข้าไปหาสิ่งนั้นราวกับงานชุมนุมสมนะสงฆ์ที่ไม่ได้นัดหมายกันทั้ง 1250 รูป
“ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ฉันว่าเธอได้กินตอนใกล้หมดเวลาพักแน่ไม่ก็ชวดไปเลย”
“อะ อืม แล้วคุณซาซาฮาระล่ะไม่ไปด้วยเหรอ?”
“ลืมไปแล้วรึไงว่าตอนแรกฉันมากับใครน่ะ?”
ออ นั่นสินะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ