เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  22.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ขอวันไร้แก่นสารนี้ดำเนินต่อไป 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     วันรุ่งขึ้นฮัทสึฮารุไม่มาโรงเรียนและผมมันไม่มีเพื่อนจึงไม่ได้ถามใครแต่ก็ไม่ได้มีความตั้งใจถึงขนาดที่จะต้องไปขอที่อยู่กับอาจารย์คานิเอะ

     วันต่อมาเธอก็ไม่ได้มาโรงเรียนอีกวันหนึ่ง

     วันถัดมาก็เช่นกัน ฤดูนี้ยังมีคนป่วยหนักขนาดว่าไม่มาโรงเรียน 3 วันติดเลยรึไง

     และวันเรียนวันสุดท้ายของสัปดาห์เธอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่หน้าโผล่ตามาโรงเรียน ผมจึงคิดได้อย่างเดียวว่า ‘หล่อนคงติดโรคป่วยเดือนห้าเข้าให้แล้ว’ น่าอิจฉาชะมัดฉันเองก็อยากอยู่บ้านเหมือนกัน แต่หัวหน้าห้องฮิเมกิ ชิกุเระนั้นเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากเชื่อแบบนั้นจึงไปขอที่อยู่กับอาจารย์คานิเอะแต่โชคร้ายที่ปึกแผ่นกระดาษ  A4 ที่เขียนที่อยู่ของคนทั้งห้องหายสาบสูญไปหมดทุกแผ่นจึงไม่รู้ภูมิลำเนาของฮัทสึฮารุ อย่าว่าแต่ของเธอคนนั้นคนเดียวเลยของคนในห้องทุกคนเลยต่างหาก จึงช่วยอะไรไม่ได้

 

     และแล้ววันที่เธอมาโรงเรียนอีกครั้งก็ได้มาถึง นั่นคือวันเรียนวันแรกของอาทิตย์ถัดมา

     ผมเดินเข้าห้องเรียนไปตามปกติโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเธอจะมาโรงเรียนอีกรึเปล่าและกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะทำยังไงดีเมื่อยังไม่ได้ส่งงานสเปเชี่ยลของอาจารย์คานิเอะเลยเหลือบไปเห็นหัวหน้าห้องยืนเท้าสะเอวพูดกับเพื่อนร่วมชั้นที่หายหน้าหายตาไปหลายวันซึ่งตอนนี้เธอคนนั้นก็กำลังนั่งเอาหน้าฟุบโต๊ะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน ผมจึงเดินเข้าไปนั่งที่นั่งด้านหลังอันคุ้นเคยด้านหลังเธอ

     แต่แค่ไม่เห็นหน้าเห็นตากันสักพักผมเธอดูยาวขึ้นผิดหูผิดตาไปจากเดิมจากเดิมที่ยาวถึงบ่าตอนนี้กลับยาวไปถึงเอวเลยนะ วัยรุ่นนี่ก็โตกันเร็วจริงๆ

     “เป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายงั้นเหรอ?”

     ฮัทสึฮารุเงยหน้าขึ้นมาสายหัวไปมาอย่างช้าๆ ถึงผมจะนั่งอยู่ด้านหลังแต่ก็มันใจได้ว่าจะต้องกำลังทำสีหน้าง่วงนอนเบื่อหน่ายอยู่แน่ๆ คนที่ฟุบโต๊ะน่ะไม่มีใครทำหน้าแจ่มใสหรอกอ้างอิงจากผม ดูจากคำถามกับท่าทางแล้วเหมือนเพิ่งจะได้คุยกันด้วยซ้ำนะไม่ใช่ว่ารอฉันมาก่อนถึงค่อยถามหรอกนะ

     “งั้นเหรอจริงๆ นะ?”

     “…แค่เบื่อๆ”

     เห็นไหม เห็นไหม เชื่อผมรึยังยัยนี่แค่หมดไฟในชีวิต เอาล่ะขอต้อนรับสู่เส้นทางสายขี้เกียจ

     ฮัทสึฮารุตอบด้วยเสียงที่ให้ความรู้สึกว่าฟังแล้วอยากจะขี้เกียจตามออกมา ในที่สุดก็เกิดบุคลากรประหยัดพลังงานขึ้นมาแล้วนี่แหละด้านลบของวัยหนุ่มสาว

     “เฮ้อ ถ้ามีอะไรก็เรียกฉันได้นะ”

     หลังคำพูดนั้นฮิเมกิก็หันมามองผมเหมือนอย่างกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่าช่วยดูเธอให้หน่อย ผมจึงเกาหัวแกล้งเป็นไม่รู้ไม่ชี้เธอเลยยิ้มทักทายให้แทนส่วนฮัทสึฮารุก็กลับไปฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง

     เพราะเป็นช่วงเช้าที่คนยังมากันน้อยจึงเหมาะจะถามเรื่องกุญแจที่เอาเข้ากรุไปแล้วแต่ท่าทางฮัทสึฮารุเพลียๆ อยู่ซึ่งผมก็เข้าใจว่าความเหนื่อยล้ามันน่ากลัวแค่ในจึงไม่อยากจะรบกวนเลยปล่อยให้เธอนอนต่อไป

     ถ้าเป็นทุกทีฮัทสึฮารุก็นั่งตั้งใจเรียนเหมือนคนทั่วไปดีอยู่หรอกแต่วันนี้อาจเหนื่อยหรืออดนอนมาจริงๆ เพราะว่าตอนนี้เธอหลับสนิทจนเริ่มคาบแรกไปแล้วเธอก็ยังหลับเป็นตายจนล่อหมดคาบไปและกว่าที่เธอจะตื่นมาก็ปาไปคาบ 3 ก่อนจะหมดคาบจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่อยู่ด้านหน้าผมตอนนี้ทำยังไงให้หลับไปเกือบตั้ง 3 คาบแล้วอาจารย์ถึงยังไม่เรียกได้กัน น่าอัศจรรย์แท้ๆ

     เมื่อถึงช่วงพักกลางวันผมขี้เกียจจะใช้สมองคิดหาวิธีเปิดบทสนทนาอย่างมีมารยาทแล้วจึงค้นไม้บรรทัดในกระเป๋าเพื่อเอามาเนียนสะกิดหลังเธอแล้วชิงพูดทันทีเมื่ออีกฝ่ายหันมา

     “ฉันอยากจะถามเธอเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคราวก่อนสักหน่อยน่ะ?”

     “…เรื่องเมื่อ คราวก่อน?”

     “อืม มันก็ช่วงหลังโกลเด้นวีคเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วล่ะนะ ที่ฉันเจอเธอตอนช่วงเย็นน่ะ”

     เมื่อฮัทสึฮารุได้ยินประโยคนี้ผมสังเกตเห็นม่านตาของเธอที่เหมือนกับคนยังนอนไม่พอก็เบิกขึ้นเล็กน้อย

     “เข้าใจแล้ว”

     “งั้นช่วย…”

     “หลังเลิกเรียนแล้วกัน”

     เมื่อพูดจบเธอก็ลุกขึ้นและเดินออกห้องไปทันที

     ง่ะ ปวดใจนิดๆ แหะ

     แม้ผมจะไม่ได้สนิทอะไรกับเธอแต่เพราะมีที่นั่งด้านหลังเธอผมจึงฟันธงได้เลยว่าเธอเคยสูงกว่านี้แถมไม่ได้เป็นคนประหยัดพลังงานเบอร์ห้าด้วยสิ นั่นสินะแค่จะถามว่ารู้สึกยังไงตอนให้สินทรัพย์ตัวเองกับคนอื่นน่ะแต่ถึงกับเดินหนีเลยเรอะ

     เมื่อฮัทสึฮารุออกจากห้องไปผมเองก็คงถึงเวลาที่ผมจะลุกบ้างแล้วจึงหยิบข้าวกล่องขึ้นเพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่ม้านั่งตัวโปรดในสวนอันเป็นแหล่งพักใจของมนุษย์ผู้ไม่มีใครคบได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่ดันเคราะห์ร้ายเมื่อชายหนุ่มท่าทางสุภาพอ่อนโยนเข้ามาทักทายผมโดยได้นำสารที่เหมือนกับไปเจอใบประกาศจับมาหาผม

     “คิริโนะสินะ?”

     ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นชื่อ อาริมะ เอ่อ…อาริมะอะไรหว่า?

     “ขอโทษที่ต้องรบกวนนายนะตอนพักเบรคช่วงคาบ 3-4 ฉันเจออาจารย์คานิเอะและเขาวานให้มาบอกว่าให้คิริโนะรีบๆ เอางานไปส่งน่ะ”

     บ้าเอ๊ยนึกว่าจะรอดแล้วเชียวเห็นเมื่อตอนเช้าไม่มาตอนโฮมรูมก็นึกว่าจะรอดแล้วปัดโธ่เอ๊ยแย่กว่าเดิมอีก

     “ละ เหรอเข้าใจแล้ว”

     ผมเดินกลับไปหยิบกระดาษและปากกา

     “ว่าแต่มันเป็นงานอะไรเหรอ ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลย”

     ถามได้นะแก

     “ก็แค่งานแก้เกี่ยวกับเรียงความเมื่อคราวก่อนที่ถูกยัดเยียดให้กลับมาแก้น่ะ”

     “มีแก้ด้วยเหรอ? นึกว่าแค่ส่งก็พอซะอีก คุณฮิเมกิรู้เรื่องบ้างไหม? เรื่องงานแก้เรียงความสังคมอาทิตย์ที่แล้วน่ะ”

     ฮิเมกิที่กำลังยกโต๊ะของตัวเองไปต่อกับเพื่อนเพื่อกินข้าวเที่ยงกันจึงหันมาด้วยความสงสัย

     “รู้สึกว่าจะไม่มีอะไรแบบนั้นนะ เธอได้เอามาแก้เหรอ?”

     “อะ เปล่าๆ คือ…”

     “ช่างฉันเหอะ”

     หลังออกจากวงสนทนาที่เหมือนกับจะประณามผมได้ก็รีบรุดไปสวนและหาม้านั่งสักตัวโดยไม่เกี่ยงว่าจะอยู่ในที่ร่มรึเปล่าอีกแล้ว เรื่องที่ว่าสิ่งมีชีวิตมักจะมีลางสังหรณ์เมื่อตกอยู่ในอันตรายนั้นอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ในเมื่อกระดาษแผ่นนี้มีเพียงหัวข้ออยู่กลางหน้ากระดาษแน่นอนว่ามันยังขาวสะอาดเหมือนกับจิตใจของเด็กทารกอยู่เลย

 

     “นี่นายมั่วมาสินะ…”

     อาจารย์คานิเอะเอานิ้วไล่กวาดตัวหนังสือที่ผมเขียนไว้บนกระดาษและถูนิ้วไปมาราวกับมืออาชีพก็ไม่ปาน

     ผมยืนมองอาจารย์คานิเอะด้วยสีหน้าหวั่นๆ ขณะลูบท้องไปมาเพราะรับรู้ได้ถึงการเรียกร้องหาอาหารจากเจ้านี่

     “แถมยังใหม่ๆ อยู่ด้วย หืม รีบจนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยนี่นา ลำบากหน่อยนะเที่ยงครึ่งแล้วยังไม่ได้กินเนี่ย”

     “พูดอะไรกันครับที่หมึกติดนิ้วมันเพราะปากกาที่ผมเขียนมันมีคุณภาพดีหมึกสดใหม่อยู่ตลอดเฉยๆ นี่ครับแถมข้าวกล่องผมก็กินไปแล้วด้วยนา”

     “โห ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่านายกินข้าวกล่องนึกว่าคนโดดเดี่ยวอย่างนายจะไปกินที่โรงอาหารซะอีกนะเนี่ย แต่ปล่อยหลักฐานมัดตัวเองแบบนี้ก็ง่ายเลยนะถ้าหากว่าข้าวกล่องที่ว่านั่นไม่มีล่องรอยถูกกินล่ะก็ จะหมายความว่านายเอาเวลาที่มีค่าอย่างกินข้าวเที่ยงไปใช้ทำอย่างอื่นที่สำคัญ ณ ตอนนั้น ถูกไหม? หรือไม่ก็นั่งอยู่นี่จนหมดพักเที่ยงก็ดีนะจะได้รู้ไปเลยว่าจะทนได้แค่ไหนกันเชียว ในสภาพที่ยังไม่ได้กินข้าวแบบนั้น”

     ประชดได้เจ็บแสบมากเลยนะครับอาจารย์

     “คนเราน่ะจริงๆ ก็สามารถกินข้าวไปแล้วทำงานไปด้วยได้อยู่หรอกแต่ถ้างานนั้นมันรีบจริงๆ เราก็จะไม่สามารถทำอย่างอื่นไปด้วยได้หรอก เรื่องนี้เองก็ไม่เว้นสำหรับคนอย่างนายด้วย”

     ตายแหง ตายแหงๆ

     “แล้วไอ้ที่เขียนว่า Friendship is Magic นี่…เฮ้อ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่ารอบนี้ให้ผ่านแล้วกัน”

     “ขอบพระคุณยิ่งครับ”

     ผมก้มหัวขอบคุณให้เพื่อแสดงความจริงใจก่อนจะตั้งคำถามใดๆ ทั้งนั้น นี่สินะความตื่นเต้นหวาดเสียวที่ลึกล้ำยิ่งกว่าการตกหน้าผาในเทือกเขาแอลป์

     “ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของนายมากหลอกนะนายเองก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครด้วยสิเพราะงั้นค่อยๆ ดัดนิสัยทีหลังก็คงได้ จากนี้ช่วยเขียนให้มันสวยหรูหน่อยก็ได้นะช่วยคิดบวกเวลาเขียนด้วยจะดีมากเลย ก็ไม่ว่าหรอกนะที่จะเขียนสิ่งที่คิดลงไปทั้งหมดนะเพียงแต่ฉันอยากให้นายได้เข้าถึงอีกด้านหนึ่งที่นายเข้าใจด้วย”

     เรื่องต่อไปก็คงเป็นหลังเลิกเรียนซึ่งตอนนี้เองหลังจากที่คนในห้องต่างก็แยกย้ายออกไปกันจนเหลือคนสองหน่อที่ยืน-คงต้องใช้คำว่าประจันหน้ากันถึงจะใกล้เคืองมันควรจะได้เริ่มบทสนทนาต่อหากฮัทสึฮารุไม่หยิบของที่มีรูปร่างคล้ายกับปากกาเพียงแต่มันทำมาจากแก้วไม่ก็อัญมณีท่าทางแพงเกินกว่าจะเอามาใช้จริงออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วชี้มาทางผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันอะไรตรงไหนยังไงกันจึงไปต่อไม่ถูก

     จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมาคุยกันแบบนี้แล้วก็ได้เพราะผมเพิ่งผ่านงานแก้เรียงความมาจึงไม่จำเป็นจะต้องสนใจเรื่องนั้นแล้วก็ได้แต่เพราะเจ้าตัวอยากจะคุยกับผมมากว่าที่คิดจึงทำให้ยังอยู่แบบนี้

     “…นี่”

     ”คือไม่ต้องแล้วก็ได้ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระต้องรีบไปเพราะงั้น”

     “งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ขอรบกวนด้วยนะ”

     ห๊ะ?

     “บอกความปรารถนาของเธอมา”

     คุณเธอดันเปลี่ยนเรื่องเชย

     “ว่าไง ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาความโลภแบบไหนก็ตาม คับแค้นสังคมไม่ใช่เหรอพูดออกมาสิ”

     ฮัทสึฮารุเก็บปากกาแล้วค่อยๆ เดินเข้าใกล้มาด้วยท่าทางต่างจากที่เจอกันตัวต่อตัวเมื่อครั้งก่อนลิบลับจนเผลอคิดไปว่าที่อยู่ตรงหน้าคือด็อพเพิลเก็งเงอร์ของฮัทสึฮารุ อากิไอ้ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่หายไปมันต้องเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นแน่

     “ระ เรื่องนั้นไม่รู้หรอกสังคมก็เป็นแบบนี้ของมันนั่นแหละเพื่อคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดการคัดสรรโดยธรรมชาติไงล่ะแม้แต่มนุษย์หรือข้าวของเครื่องใช้ก็เหมือนกันคิดว่าเป็นแบบนี้นี่แหละและการที่มีคนคิดเรื่องลบแบบฉันเมื่อกี้อยู่ก็มีเป็นพันสองพันเป็นปกตินั่นแหละ”

     “…”

     “จะบอกว่าคนแบบฉันจริงๆ มันก็มีอยู่ทั่วไปไงล่ะเพราะฉะนั้นการที่มีคนคิดแค้นสังคมจึงเป็นธรรมดาเป็นสิ่งที่ถูกกำหนด”

     ฮัทสึฮารุก้มหน้าลงไปครั้งหนึ่งโดยไร้คำพูดจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

     “ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

     ฮัทสึฮารุหยุดอยู่ตรงหน้าสบตาโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตาตรงตามตัวอักษรไม่แม้แต่ครั้งเดียวผมที่รู้สึกถูกสายตาที่ราวกับกำลังแช่แข็งสะกดเอาไว้แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่ต้องถอยร่นไปยังทำไม่ได้

     นี่มันมากเกินไปนี่มันมากเกินไป ถึงต่อให้คุยกันได้เป็นปกติแต่โดยพื้นฐานแล้วก็ยังเป็นคนชนชั้นล่างของสังคมประสบการณ์อะไรกับผู้หญิงวัยเดียวกันที่ใกล้ชิดขนาดนี้ไม่เคยมีมาก่อน

     “เธอต้องการอะไร?”

     จังหวะนั้นเองราวกับเป็นเรื่องบังเอิญอย่างกับละครหลังข่าวประตูห้องก็ถูกเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ ชีวิตอันแสนสงบของผมคงมาได้แค่นี้แล้วสินะ

     “อากิยังไม่เสร็จเหรอค้า?”

     ฮัทสึฮารุเหลียวหลังไปยังต้นเสียงที่ตรงนั้นมีร่างของหญิงสาวผมดำยาวสลวยยืนอยู่หน้าประตู

     “ยูบาริ”

     “ค่าๆ ยูบาริเองค่าเรามีนัดที่ต้องไปกันนะค้า? …หืม แล้วทำอะไรอยู่เหรอ?”

     “แค่ทักทายน่ะ”

     เธอคนนั้นเดินเข้ามาในห้องและเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮัทสึฮารุเดินไปทางประตูและหยุดรอ พอเห็นอย่างนั้นผู้ที่เหมือนเข้ามาทำให้เรื่องเป็นละครหลังข่าวก็พูดขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจอะไรกับเรื่องที่เห็น ปกติเขาไม่ใส่ใจงั้นเหรอ อืมเป็นความรู้เลยแฮะ

     “…แต่ก็อาวเถอะ”

     หญิงสาวผมดำจึงเบนสายตามาทางผมบ้างและประกบมือเข้าด้วยกันพร้อมรอยยิ้มอันสดใสที่ทำให้ผมได้เข้าใจว่ารอยยิ้มที่ดูราวกับดวงอาทิตย์จ้ามันเป็นแบบนี้นี่เอง

     “ถึงแม้อากิจะหลุดชื่อฉันไปแล้วแต่ก็ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะค้าฉันชื่อฟุตาบะ ยูบาริค่าจะเรียกว่ายูบาริก็ไม่ว่ากันค่ะไม่สิเรียกยูบาริมันน่าสนุกกว่าค่ะรบกวนด้วยนะค้าคิริโนะคุง”

     “…?”

     ผมยังอยู่ในสภาพอ้ำอึ้งในเมื่อการแนะนำตัวที่เล่นใหญ่เกินจำเป็นอันทำให้ความทรงจำสมัยมัธยมต้นที่เคยเรียกตัวเองแปลกๆ เล่นกับน้องสาวก็ลอยออกมาทันทีแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรืออายกับเรื่องนั้นหรอกนะ แต่เดี๋ยวสิทำไมถึงรู้ชื่อฉันซะล่ะนี่ฉันแอบดังงั้นเหรอบ้าเอ๊ยไม่ยักรู้มาก่อนเลย

     “เรียกแบบนี้คงไม่ว่ากันนะคะ?”

     “อะ อืมชินกับแบบนี้กว่าแล้วสิ”

     หลังคำพูดนั้นยูบาริก็หันไปหาฮัทสึฮารุด้านหลังที่กำลังยืนก้มหน้าม้วนผมเล่นก่อนจะหันมาสบตากับผมอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรและเดินออกไปจากทัศนวิสัย

     “ตัวละครฉากต่อไปก็ดูท่าจะครบแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพวกเราก็รีบไปกันเลยเถอะนะ ใช่ค่าคุณก็ด้วยไปกันเถอะ อะ อ้าว ไปก่อนแล้วเหรอ?”

     แล้วเธอก็เดินมาคว้าแขนผมและลากตามฮัทสึฮารุไปโดยไม่สนความสมัครใจของฝ่ายนี้ ผมจึงถอนหายใจออกมาและบ่นไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวมันเกิดขึ้นเร็วมากจนทำตัวไม่ถูกเอาซะเลย

     “เพื่อนที่ว่าตอนนั้นคงเป็นนี่สินะ”

     ผมเองก็ควรห่างๆ เอาไว้ดีกว่า

 

     ในจังหวะที่ถูกลากมาปล่อยหน้าทางเข้าหลักนั้นก่อนที่ผมจะได้เอ่ยคำถามอะไรออกไปยูบาริก็ได้ชูมือขึ้นฟ้าด้วยท่าทีองอาจโดยไม่สนว่าตอนนี้จะยังมีนักเรียนคนอื่นเดินออกมาเหมือนกัน ภาพนั้นทำให้ผมถึงกับเกือบจะถอนหายใจออกมาเพราะผมเองก็อยากลองทำดูสักครั้งเหมือนกันแต่มาเห็นเองแบบนี้แล้วน่าอายจัง

     ในวินาทีต่อมารถยนต์สีดำเงางามจึงตอบสนองอากัปกิริยานั้นและเมื่อบานกระจกค่อยเลื่อนลงจึงทำให้เห็นใบหน้าเจ้าของ

     “หืม อะไรกันเด็กมีปัญหาห้องข้างๆ กับห้องฉันมารวมกันแล้วเหรอแถมเด็กขาดเรียนอาทิตย์ที่แล้วก็อยู่ด้วยนี่นาพอดีเลยฮัทสึฮารุขึ้นมาด้วยกันหน่อยสิแน่นอนพวกเธอสองคนถ้ามาด้วยกันก็จะขึ้นมาด้วยก็ได้นะ”

     เฮ้ยๆ จารย์ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยไม่ใช่เหรอครับแล้วนี่มันอะไรนัดกันไว้รึไง

     ฮัทสึฮารุตรงเข้าไปเปิดประตูข้างคนขับเมื่อเจ้าภาพเปิดงานแล้วเห็นดังนั้นยูบาริจึงเปิดประตูหลังและค่อยๆ ขยับเข้าไปนั่งด้านในก่อนจะกวักมือเชื้อเชิญต้อนรับทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นใดอยู่

     ทันทีที่รถออกแล่นกลับสวนทางกับเสียงภายในรถที่ยังไม่มีใครเริ่มบทสนทนาแม้แต่กับอาจารย์เองก็ไม่ได้พูดอะไรเลยกับฮัทสึฮารุทั้งที่ตัวเองเรียกขึ้นมาแท้ๆ ผมจึงเหลียบไปมองยูบาริที่หยิบมือถือขึ้นมาดูทีหนึ่งก่อนจะนำเก็บใส่กระเป๋า

     “ถ้างั้นก็มาเริ่มกันเลย ไม่ทราบว่าเป็นคนประเภทที่อยากฟังข่าวดีกับข่าวร้ายอันไหนก่อนกันคะ”

     สายตาของผมถูกคำพูดนั้นดึงดูดเข้าไปหายูบาริที่ชำเลืองตามา

     “จริงๆ ก็ชอบฟังข่าวร้ายก่อนหรอกเพื่อไม่ให้ถูกโน้มน้าว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่จริงจังพอสมควรสินะงั้นเอาเป็นข่าวดีก่อน”

     ผมแอบชำเลืองมองกระจกมองรถทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไป

     “ถ้าอย่างงั้น คงดีไม่น้อยเลยสินะคะที่เดี๋ยวก็จะมีสาวมอปลายไปพักอยู่ใต้ชาวคาเดียวกันแล้ว อะไรกันคะไม่ใช่ฉันหรอก”

     ยูบาริเบนสายตาให้ผมไปหาคนที่นั่งด้านหน้าเบาะผมที่ไม่ได้สนใจการสนทนานี้

     “นี่เธอไม่ใช่ว่ามีเรื่องจะคุยหรอกเหรอ?”

     “ไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อยตั้งแต่วันนี้ฮัทสึฮารุ อากิจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านของคุณค่ะก่อนที่จะซักถามอะไรอยากให้ฟังจนจบก่อนค่ะ”

     ยูบาริยกมือขึ้นมาพร้อมกับชูสองนิ้ว

     “จะขออธิบายเหตุผลที่พอใจได้ให้เข้าใจสองข้อหลักๆ นะคะข้อแรกทางบ้านของอากิมีเหตุผลบางอย่างทำให้ไม่สามารถเรียนหนังสือที่นี่ต่อไปได้แต่ตัวอากิเองต้องการที่จะเรียนที่นี่จึงได้ขอให้เพื่อนที่มีสภาพแวดล้อมที่เป็นไปได้ที่สุดนั่นก็คือแม่ของคิริโนะคุงค่ะ ข้อนี้เองทางเราได้ทำการติดต่อไปยังแม่ของคิริโนะคุงโดยตรงเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วและได้ผลลัพธ์ออกมาว่า”

     ยูบาริหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาจากนั้นก็มีข้อความเสียงที่เป็นเสียงอันคุ้นหูถ่ายทอดออกมา

 

     ‘เอ ช่วยเลี้ยงไปสักพักหน่อยเหรอ? ก็ได้อยู่หรอกแต่เจ้าตัวจะไม่เป็นอะไรเหรอ’

 

     ผมเกือบจะเผลอออกปากพูดแต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอขอให้ฟังจนจบจึงต้องกลืนคำพูดลงไป ยูบาริที่เห็นยังงั้นจึงพยักหน้าให้ทีหนึ่งและพูดต่อไปอีกว่า

     “แน่นอนว่าไม่มีปัญหาค่ะ”

     ยูบาริเก็บมือถือลงไปอีกครั้งและชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วเหมือนเดิมและเก็บนิ้วลงไปนิ้วหนึ่ง

     “จากข้อที่แล้วใช่ว่าจะเป็นการขออยู่แบบฟรีๆ ทางเราจะช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ในอัตราส่วนที่เหมาะสมหรือถ้าจะพูดให้น่าเชื่อเธอก็คงได้ที่ราว 20% จากทั้งหมดเป็นอย่างต่ำค่ะ”

     คราวนี้ยูบาริก้มไปหยิบของบางอย่างในกระเป๋านักเรียนวินาทีต่อมาจึงหยิบสมุดบัญชีออกมาคลี่ออกให้ผมดู

     “นี่เป็นสมุดบัญชีเพื่อเป็นหลักค้ำประกันว่าทางเราไม่ได้หนีหนี้สินมาเกาะกินหากลองดูการเคลื่อนไหวของบัญชีแล้วจะเป็นอัตราส่วนของเงินที่เพิ่มขึ้นเท่ากันทุกๆ ต้นเดือนจึงไม่ใช่การฟอกเงินแต่อย่างใดเป็นเงินเดือนของแท้ค่ะ เรื่องครั้งนี้จึงเป็นการขอย้ายเข้าไปอยู่ค่ะแต่ถ้าทางบ้านพวกคุณต้องการจะนำเงินส่วนนี้มาใช้ก็คงต้องถามความสมัครใจของอากิค่ะ”

     จำนวนเงินในนั้นไม่ได้มากไม่ได้น้อยอะไรเมื่อเทียบกับว่าที่พูดมาเป็นเรื่องจริงนี่จะเป็นค่าครองชีพสำหลับเรื่องนั้น วันที่เองก็เป็นทุกๆ วันที่หนึ่งของต้นเดือน

     “เพราะฉะนั้นปัญหาเรื่องเงินเองก็จะถูกจัดการไปในระดับหนึ่ง”

     ยูบาริลดนิ้วสุดท้ายลง

     “กล่าวสรุปคือขอแค่มีที่พักอาศัยกับสวัสดิการดูแลในระดับหนึ่งค่ะแน่นอนว่าจะใช้เธอช่วยงานบ้านด้วยก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างงั้นหากมีคำถามอะไรเชิญถามได้ค่ะ”

     ยูบาริหยิบขวดน้ำในกระเป๋าตัวเองออกมาดื่มเพราะเป็นการพูดที่ต่อเนื่องราวกับเป็นคนขายประกันผมจึงเอ่ยปากขึ้นกับพนักงานช่างจ้อคนนี้

     “ที่ว่าทางเราน่ะหมายความว่ายังไง นั่นไม่แสดงว่าเธอเองหรอกเหรอที่เหมาะสมกว่าน่ะยังไงฉันก็เป็นสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์เพศชายถึงทางฉันไม่ได้มีปัญหาในส่วนนั้นแต่คนที่จะอดอัดแน่นอนว่าจะต้องเป็นฮัทสึฮารุเองอยู่แล้ว แล้วก็ถ้ามีเงินขนาดนี้แล้วทำไมไม่ไปเปิดเช่าห้องพักอยู่ซะล่ะ สมัยนี้เองก็มีนักเรียนหญิงที่เช่าอยู่คนเดียวถมเถไปทั้งพวกที่มาจากต่างจังหวัดหรือพ่อแม่ย้ายที่ทำงานแต่ไม่ยอมไปก็มีอยู่เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”

     ผมหลี่ตามองยูบาริ

     “เพื่อสวัสดิการ กับความปลอดภัยนั่นคือเหตุผลจริงๆ ของข้อเสนอใช่ไหม?”

     ยูบาริหัวเราะอย่างสนุกสนานเบาๆ โดยพยายามรักษามารยาทเอาไว้

     “ไม่ขอปฏิเสธค่ะ อีกอย่างที่อยู่ของฉันก็แค่ห้องเช่าธรรมดาไม่ได้กว้างขวางอะไรจะทำให้อึดอัดเอาเปล่าๆ เพราะแต่เดิมทีอากิก็ไม่ได้อาศัยอยู่กับฉันด้วย”

     “ถ้างั้นแล้วทำไมถึงต้องมาบอกฉันทั้งที่มัดมือชกไปแล้วแบบนี้กัน”

     “คิดจริงๆ เหรอคะว่าถ้าไม่บอกคุณแล้วจะไม่เกิดเรื่องเคลือบแคลงใจกันเอาทีหลัง อีกอย่างนี่ไม่ใช่การบังคับแต่เป็นรูปแบบหนึ่งของการขอร้อง”

     “งั้นก็อย่าลืมซะล่ะฮัทสึฮารุ”

     “ค่ะ”

     เสียงอาจารย์ดังขึ้นมาทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในรถ รู้สึกตัวอีกทีมันก็หยุดเคลื่อนที่ไปแล้ววินาทีต่อมาประตูด้านที่นั่งตรงหน้าของผมจึงเปิดออกผมจึงมองออกไปนอกกระจกรถเพื่อให้แน่ใจว่าสถานที่ๆ อยู่ตรงนี้เป็นที่เดียวกับที่ผมคิดรึเปล่าซึ่งแน่นอนว่าผมคิดไม่ผิดเลย

     “ถ้างั้นไหนๆ แล้วก็ขอรบกวนหน่อยนะค้าคิริโนะคุง”

     “มันรบกวนจริงๆ นั่นแหละ”

     ผมหันไปประจันหน้ากับรอยยิ้มชื่นมื่นครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดประตูรถตามฮัทสึฮารุลงไป ขณะที่มองบ้านตัวเองด้วยความอิดโรยผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     “ถึงนี่แล้วก็ยังไงๆ อยู่แต่ข่าวร้ายล่ะ”

     ยูบาริที่มายืนระนาบเดียวกันจึงมองผมกลับราวกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกันและผายมือมาทางผม

     “จ่ายค่าขึ้นมาด้วยค่ะเห็นอย่างงี้แต่ก็รู้สึกเกรงใจอาจารย์แกที่อุตสาห์ขับมาส่งให้นะค้า”

     พร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส

     “เงินน่ะฉันไม่เอาหรอก …เฮ้อ ทำไมฉันถึงยอมรับกับเรื่องแบบนี้ได้กันนะ”

     ใช่ครับจารย์ผมเองก็อยากพูดเหมือนเดียวกับจารย์ทุกคำพูดตัวอักษรในท่อนหลังเหมือนกันครับ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา