เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  22.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ขอไม่จ่ายพันธสัญญาจากต่างโลกนี้ 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     ผมตอบรับคำเชิญเข้าไปนั่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามของยูบาริเห็นดังนั้นเธอจึงทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
     แต่ว่าผมไม่ได้มาเพื่อยอมจำนนมายอมติดหนี้กับเรื่องไม่มีเหตุผลแบบนี้
     “แล้วจะทำยังไงดี ขอฟังหน่อยสิเหตุผลที่ยอมมาทั้งที่รู้ว่าจะต้องมาคุยกันแบบนี้น่ะ”
     “ก็ไม่อะไรหรอกแค่มาตามคำชวนกินฟรีเอง เรื่องสิทธิบัตรอะไรนั่นเดี๋ยวค่อยว่ากันก็ได้แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้แหละนะ เอาจริงๆ นะคิดว่าฉันจะไม่รู้รึไงว่าเวทมนตร์นี้มันยังไม่ได้จดสิทธิบัตรน่ะเพราะฉะนั้นถึงทำให้มีการเรียกประชุมแบบเมื่อกี้น่ะ”
     “ก็ไม่คิดว่าจะไม่รู้หรอกค่ะกลับกันคิดว่าคงรู้ทันทีด้วยซ้ำที่เห็นตัวอย่างใบจดสิทธิบัตรน่ะแบบนี้ก็คุยกันได้ง่ายหน่อยนะค้าเนี่ย เพราะงั้นพวกเรามาค้าขายกันเถอะ”
     “มันมีเรื่องอะไรต้องค้าขายตกลงกันอีกรึไงไอ้พันธสัญญาที่ว่านี่ถึงเธอจะเป็นคนนำมาหรือจะนำไปจดยังไงพันธสัญญาตัวจริงก็อยู่ที่ฮัทสึฮารุแค่เรียกร้องเธอยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”
     คำพูดนั้นทำให้ยูบาริรู้สึกกระอักกระอวนทันทีแต่กลับไม่ทำให้ผมรู้สึกถึงชัยชนะหรือใกล้เคืองด้วยซ้ำในเมื่อการกระอักกระอวนนั้นเป็นการกลั้นหัวเราะเพื่อรักษามารยาทต่อหน้าแขก
     “คิริโนะคุงอย่าเพิ่งลืมสิค้าสถานที่ๆ เขียนพันธสัญญาขึ้นมาเป็นที่ไหนกันน่ะ”
     “…..”
     “มันก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะค่ะถ้าการประชุมของพวกสภาจบลงจะต้องส่งคนไปที่ไหนถ้าเป็นคิริโนะคุงจะส่งไปที่ไหนก่อนล่ะ ‘สถานที่เกิดเหตุ’ ไงค้า”
     บ้านฉัน
     “อยากจะพูดอะไรกันแน่”
     “ถึงจะใช้เวทมนตร์ทำร้ายไม่ได้แต่แค่มนุษย์ครอบครัวเดียวคงไม่จำเป็นต้องใช้ปืนด้วยซ้ำ ถ้าสามารถนำพันธสัญญาไปจดสิทธิบัตรได้ เรื่องก็จะกลายเป็นว่าที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลผิดพลาดทางการทดลองอย่างหนึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายจะตกไปยังชื่อของคนที่จดทะเบียนแทน”
     “…แล้วใครกันล่ะจะมายอมจดทะเบียนจะยอมเขียนชื่อตัวเองลงสมุดที่จะฆ่าตัวเองแบบนั้น”
     “ฉันเองก็ไม่อยากเสี่ยงหรอกค่ะแต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่เพียงแค่คิริโนะคุงเอ่ยปากก็ยอมก้มหัวให้แล้ว อ๊ะ ไม่สิเรียกว่าสิ่งมีชีวิตไม่ได้ด้วยซ้ำ”
     “…จะบอกว่าให้ขายฮัทสึฮารุเพื่อเอาตัวรอดรึไง?”
     “ค่ะ เดิมทีแล้วอากิไม่ได้อยู่ในผังครอบครัวคุณและก็ไม่ได้ขึ้นทะเบียนผู้อยู่อาศัยด้วยนี่ค้าหรือคิดอีกแบบหนึ่งคือการเสียสละไปคนหนึ่งเพื่อช่วยคนหมู่มากแบบนี้ก็ได้เหมือนกันอย่างสื่อต่างๆ ก็ชอบใช้นี่นะมุมนี้น่ะ”
     ฟังดูสมเหตุสมผลก็จริง แต่เรื่องงี่เง่าอย่างสละคนอื่นเนี่ย
     “ไม่ว่ายังไงจะยุคสมัยไหนมันก็มีแนวคิดงี่เง่าพันนี้ออกมาตลอดเลยรึไง?”
     “คิริโนะคุงไม่เข้าใจรึไงคะ คนที่ทำให้ชีวิตแสนสงบสุขของคิรโนะคุงต้องอันตรายคือใครกัน หนึ่งคือฉัน สองคืออากิ แต่ฉันไม่ได้ขอให้คิริโนะคุงเข้ามายุ่งสักหน่อยแต่เดิมแล้วฉันจะใช้พันธสัญญาเองคนที่ก่อเรื่องขึ้นต้องรับผิดชอบสิ”
ยูบาริยังคงพูดต่อไป
     “ที่สำคัญที่สุดเลยอากิไม่ใช่สิ่งมีชีวิตย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่าพวกเราที่เป็นสิ่งมีชีวิตอินทรีย์สารหากพวกเราตายไปแล้วก็จะจบลงตรงนั้นแต่สำหลับกลุ่มก้อนพลังงานแล้วนั้นเป็นไปไม่ได้”
     “…เธออาจะพูดถูก แต่สิ่งที่พูดมันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น ฉันไม่ต้องการของแบบนั้น”
     “ฮึฮึ นั่นสิค้า พวกงี่เง่าแบบนั้นเนี่ยเพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่ามาค้าขายกันน่ะ”
     ยูบาริยังคงพูดด้วยสีหน้าคารมดีโดยเมินสีหน้าแปลกใจของผม
     “ถ้าคิริโนะคุงทิ้งทุกอย่างแล้วมาเป็นคนของฝั่งนี้ฉันจะยอมเขียนชื่อโค้ดเนมของตัวเองลงไปแทนเป็นไงค้า คงต้องบอกเหตุผลด้วยสินะค้ามันก็ง่ายๆ เลยการที่มีพันธสัญญาข้อสองทำให้ฉันไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการพัฒนาวิทยาการด้านศาสตร์เวทได้จึงสูญเสียบ่อเงินบ่อทองอันล้ำค่าไปหรือพูดให้ชัดเจนไปเลยคือคุณต้องมาเป็นมือเป็นเท้าของฉัน”
     ยูบาริฉีกรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
     “คิริโนะคุงไม่มีกำลังพอหรอกน้า แล้วก็ ‘รุกฆาต’ ล่ะ”
     ไม่มีคำโต้แย่งใดๆ ยัยนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งแน่แง่ไหนก็ตามในทางผมลัพธ์ข้อเสนอนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผม
     ผมแหงนมองเพดานร้านโดยไม่ได้ตั้งใจปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปกับความเป็นจริงข้อนี้ ความเป็นจริงที่ว่าจะไม่หยุดจนกว่าเรื่องจะจบหรือถูกหาเจอ
     ในเมื่อถูกรุกฆาตไปแล้วก็ทำได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น
     “งั้นเหรอ เป้าหมายจริงๆ ไม่ใช่เงินแต่เป็นเรื่องนี้สินะ แต่น่าเสียดายเหลือเกินนะ”
     ดังนั้นแล้วผมจึงแหงนหน้าลงมาเผชิญกับรอยยิ้มนั้น
     “อย่างแรกเลยเธอไม่ยอมเสี่ยงหรอกบอกเองไม่ใช่รึไงจะมายอมเสี่ยงกับเรื่องแค่นี้น่ะ อย่างที่สองต่อให้ไม่ใช่ฉันแต่ขอเป็นแค่คนที่ไม่ได้มาจากต่างโลกก็ใช้ได้เหมือนกันอย่างมาสเตอร์ของเธอเองก็ใช้ได้เหมือนกันแหละ”
     มีแต่ต้องเล่นใหม่อีกครั้งเท่านั้น
     “ส่วนเรื่องเงินน่ะฉันไม่จ่ายหลอกจะบอกว่าปล้นมาก็เชิญแต่ถ้าแบบนั้นก็จะเป็นการดึงฮัทสึฮารุเข้ามาเกี่ยวด้วยเพราะคนเก็บพันธสัญญาคือยัยนั่น ถึงได้ทำข้อตกลงกับฮัทสึฮารุไว้ก่อนไม่ใช่เหรอถึงจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งแต่ถ้าเป็นเรื่องของตัวเองมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”
     ยูบาริยังคงมองผมโดยที่ไม่เปลี่ยนท่าทางใดๆ สักพักก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและออกไปยืนอยู่ด้านข้างโต๊ะ
     “ก็อย่างที่พูดแหละนะ  ขอบคุณสำหลับความบันเทิงมื้อนี้ค่ะ”
     จากนั้นตุ๊กตาที่สวมผ้ากันเปื้อนจึงมาหยุดอยู่ในอ้อมแขนทั้งสองข้างของยูบาริที่อ้ารับ
     “ฉันไม่ได้ต้องการเงินและไม่ต้องการเอาตัวเองไปเสี่ยงถึงจะเป็นฉันแต่ก็ไม่อยากให้ประวัติถูกเขียนว่ามีของยุ่งยากแบบนั้นเข้าไปในชีวประวัติเหมือนกัน ก็ฉันไม่อยากสร้างอาวุธนี่นาเกิดเขียนลงไปคงโดนให้สร้างของแบบนั้นขึ้นมาแน่ อ่ะ ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยค่ะไนติงเกลงั้นก็ฝากหลังร้านด้วยนะค้า”
     หลังคำพูดนั้นเธอจึงสร้างรอยแยกของอากาศขึ้นมาและปล่อยให้ตุ๊กตาในอ้อมแขนลอยหายเข้าไป
     “แต่ว่า 30 คะแนนนะ”
     “เกณฑ์ให้คะแนนเหี้ยมจังเลยนะ”
     “เต็ม 50 เองนะค้า”
     “ก็เยอะกว่าครึ่งมานิดหน่อยเองนั่นแหละ แล้วที่เหลือไปไหนว่ามา”
     “5 คะแนนแรกคือแนวคิดที่ว่าฉันจะยอมเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงถึงต่อให้เป็นคนจากไหนไม่รู้ก็คงให้คำตอบแบบเดียวกันนั่นคือต้องปฏิเสธ ในทางกลับกันถ้าให้คนอื่นทำได้ก็จะยินดีตรงนี้จึงขอหักเพราะฉันอุตส่าห์ล่อให้คิริโนะคุงหลอกให้ฉันเขียนสิทธิบัตรแล้วแต่ไม่ยอมกินเบ็ด”
     ช่างฉันเหอะ
     ผมหลี่สายตาลงมองเส้นผมที่แกว่งไปมาของยูบาริขณะที่เธอเดินไปที่เคาเตอร์
     “อีก 5 คะแนนฉันไม่ได้ทำข้อเสนอกับอากิเพราะจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นหรอกนะค้าฉันแค่พยามป้องกันตัวเองจากสิ่งที่ควบคุมโลกได้ง่ายแบบนั้นแล้วตอนที่คิริโนะคุงกำลังจะเขียนพันธสัญญาที่ฉันขอเจรจากับอากิครั้งนั้นน่ะพูดตามตรงแค่ไม่ถูกฆ่าซะตรงนั้นก็โชคดีแค่ไหนแล้วเพราะจะฆ่าฉันแล้วแย่งไปก็ได้แท้ๆ คิดตามหลักผลลัพธ์แล้วคงยังเห็นว่าฉันเป็นสิ่งจำเป็น อ๊ะ ถึงจะมาถามเอาป่านนี้ก็เถอะแต่ชอบน้ำเก๊กฮวยรึเปล่าคะ”
     ยูบาริกลับมาที่หัวมุมโต๊ะพร้อมกับถาดที่มีแก้วเซรามิกวางคว่ำสองใบกับกาน้ำอยู่บนนั้น
     “คงพูดได้ว่าชอบแบบเย็นในสภาพอากาศร้อนมากกว่าล่ะนะ”
     “หึๆ ต้องขออภัยค่ะ”
     ยูบาริวางแก้วทั้งสองลงบนโต๊ะและจึงค่อยๆ รินลงอย่างบรรจง
     “แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเหตุผลที่ 5 คะแนนนั้นจะถูกหัก 3 คะแนนจากการที่คิริโนะคุงประเมินตัวเองต่ำไปเพราะเป็นคนธรรมดาสุดแสนจะธรรมดา อืม ไม่สิคงใช้กับคนที่ล้มเหลวในชีวิตวัยรุ่นไม่ได้หรอกมั้งนะ”
     “ใช่แล้วล่ะฉันเนี่ยเรียกได้ว่าพิเศษสุดๆ เลยไงล่ะ สเปเชียลไม่ก็อิเล็กกูลาเงี้ย”
     บทสนทนามันชักจะมั่วแล้วสิ
     “นั่นสิคะอีก 2 คะแนนนั่นคงเป็นการที่ไม่ยึดมั่นในความคิดของตัวเองด้วยที่ว่าวันหยุดจะต้องหยุดแต่กลับถูกจูงจนลืมตัวแบบนี้เนี่ย”
     โว้ย ใครก็ได้มาเปลี่ยนตัวทีน่าหงุดหงิดจริงยัยนี่
     ยูบาริเมินสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกด้านลบและยกแก้วดื่มอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะวางลงและพูดต่อด้วยสีหน้าอารมณ์ดี
     “อีก 10 คะแนนที่เข้าใจผิดซะใหญ่โตเลยฉันไม่คิดจะเป็นศัตรูหรอกนะค้า เพราะฉะนั้นไม่ต้องระแวงตลอดเวลาก็ได้เหตุผลที่จริงๆ แล้วส่งตัวอย่างสิทธิบัตรและที่พูดไปทั้งหมดเมื่อกี้แล้วเนี่ยก็แค่ ‘เล่นสนุก’ เองค่ะแบบนี้ค่อยคุมค่ากับที่ลงแรงไปหน่อย แต่สิ่งที่ฉันพูดไปก็เป็นเรื่องจริงที่เมืองนี้จะทำอะไรต่อจากนี้”
     แม่เคยพูดไว้ว่าไม่ควรพูดคำว่าเกลียดหรือชอบใครง่ายๆ แต่ผมก็พบแล้วคนที่ถ้าให้เลือกว่าชอบหรือเกลียดก็จะตอบกลับไปอย่างงดงามเลยว่า เกลียดผู้หญิงคนนี้
     เสียงกระดิ่งร้านที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจนกึกก้องไปทั่วบริเวณกระทบกับตัวอาคารที่ทำจากไม้พร้อมกับเผยร่างของคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกง่ายๆ
     “อ้าวคิริโนะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
     จู่ๆ ท่ามกลางความเงียบสบายใจไปจนถึงไขสันหลังนั้นก็พบกับผู้อ้างตัวเองว่าเป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์เข้าให้
     “เอ่อ สวัสดีครับ”
     จากนั้นผมจึงส่งสายตาตั้งคำถามไปหายูบาริ เฮ้ยๆ ไหนว่าร้านปิดไม่ใช่รึไงไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา เอาจริงๆ ข้างนอกก็ไม่ใช่ว่ากำลังประกาศเคอร์ฟิวอยู่หรอกเหรอถึงจะอ้างตัวว่าเป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์แต่จะอยู่เหนือกฎหมายมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ
     ม่านตาของเธอขยายขึ้นและแหงนหน้าไปมองป้ายที่มีข้อความว่า ‘Open’ บนประตูที่เธอจับอยู่ตอนนี้จากข้างในร้าน
     “…..”
     “ไม่เป็นไรค่ะยังไงร้านก็ไม่ได้เปิดมานานถือว่าเป็นบริการพิเศษเป็นไงค้า แต่ว่าอย่าไปบอกมาสเตอร์นะค้า เชิญค่ะคุณกลินดา อ๊ะ จะว่าไปแล้วร้านเงียบเกินไปจะให้ฉันเปิดเพลงในร้านรึเปล่าคะ?”
     ยูบาริเดินเข้าไปรับแขกอย่างรื่นไหล นี่มันหมายความว่าไง?
     “ไม่ล่ะไม่ต้องก็ได้แต่ไม่ใช่ว่ายูบาริลาออกไปแล้วหรอกเหรอ?”
     “จะลาออกได้ยังไงคะ ฉันไม่ใช่พนักงานที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วคงจะลาออกไม่ได้หรอกค่ะ”
     ไม่ผิดแน่ทั้งสองคนต่างรู้จักกันอยู่แล้วคนพวกนี้แค่ยังไม่รู้ถึงตัวตนเบื้องลึกของอีกฝ่าย ถึงผมเองก็ยังไม่ได้เห็นหลักฐานจากคุณกลินดาก็เถอะ
 
     ผมรินน้ำเก๊กฮวยจากกาบนโต๊ะขณะจ้องมองพนักงานเสิร์ฟผู้ยิ้มแย้มกับพี่สาวที่เหมือนมนุษย์เงินเดือนหลังเลิกงานที่มีผมสีขาวโดยมีตุ๊กตาผีบินอยู่เหนือหัวของทั้งคู่จนกระทั่งยูบาริกลับมาที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมตุ๊กตาเองก็บินลอยตามเธอมาเหมือนเป็นเทพคุ้มครอง
     “แล้วคิริโนะคุงอยากทำอะไรบ้างล่ะตอนนี้น่ะฉันไม่ใช่มาสเตอร์ไม่คิดที่จะเลี้ยงขอบคุณอะไรแบบนั้นหรอกนะค้าแต่ถ้าอยากกินอะไรก็สั่งมาได้เลยเพราะร้านนี้ก็เป็นบ้านของมาสเตอร์ด้วย”
     ยูบาริกวักมือเรียกตุ๊กตาผีให้มาลอยอยู่บนตักของเธอจากนั้นจึงลูบหัวและพูดต่อไปพราง
     “ที่จริงแล้วถ้าให้พูดตามความรู้สึกฉันไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าฉันไม่ได้แค้นเคืองเป็นแค่ความไม่พอใจที่ไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการเฉยๆ”
     ผมจ้องสีหน้าของเธอสักพักจากนั้นจึงค่อยมองไปทางคุณกลินดาที่ห่างไปเพียงสองช่วงโต๊ะดูเหมือนว่าเธอกำลังพักผ่อนด้วยการหยิบหนังสือปกหน้ามาอ่านพร้อมกับพายแอปเปิล
     “แล้วยังไงล่ะ”
     “เพราะฉะนั้นฉันถึงอยากให้คิริโนะคุงนำพาความบันเทิงมาสู่โลกหน่อยไงค้า”
     คำพูดนั้นทำให้ผมต้องหลี่ตามองเธอด้วยความสงสัยอย่างสุดซึ้ง
     “นำความบันเทิงมาสู่โลกนี่มันยังไง?”
     “ก็สิ่งที่คิริโนะคุงเขียนขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนไงคะ”
     ยูบาริพูดยังงั้นพรางมองไปทางคุณกลินดาและคอยระวังเนื้อหาคำพูดไปด้วย ค่อยยังชั่วหน่อยที่ไม่ได้จะลากไปเป็นพวกนักแสดงอะไรทำนองนั้น
     “ตอนนี้ก็คงต้องรอผลว่าการประชุมจะให้ผลลัพธ์ยังไงแต่คิดว่ามันต้องมีเรื่องน่าสนุกเกินขึ้นแน่นอนเลย แค่คิดก็อดใจรอไม่ไหวแล้วน้า”
     ยัยนี่มาที่โลกนี้เพื่อพักผ่อนหรือมาเพื่อก่อกวนกัน สรุปว่าอยากหาอะไรบันเทิงจิตเท่านั้นใช่ไหมเรื่องนั้นผมเองก็เข้าใจเหมือนกันแต่กระแสของสังคมที่ไหลผ่านไปตามกาลเวลาก็ทำให้ความคิดแบบเด็กเริ่มที่จะหายไปจนบ้างครั้งก็เกิดกลัวขึ้นมา
     “ฟังนะยูบาริอย่าหาว่าฉันยุ่งเรื่องคนอื่นงั้นงี้เลยนะแต่ฉันคิดว่าความบันเทิงหรือเรื่องน่าสนใจที่ว่ามามันก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละเพราะมันก็ขึ้นอยู่กับคนด้วยให้ยกตัวอย่างที่เห็นภาพที่สุดก็คนที่ยินดีปรีดาบนความทุกข์ของคนอื่นนั่นเองสำหรับเขาก็บันเทิงเหมือนกันนั่นแหละ”
     “ก็เพราะแบบตัวอย่างแบบนั้นไงคะฉันถึงอยากจบมันด้วยพันธสัญญาน่ะ ความบันเทิงแบบนั้นน่ะมันไม่ยั่งยืนหรอก ลองคิดดูให้ดีนะคะว่าถ้าคนแบบนั้นสนุกสนานไปกับการทำร้ายผู้อื่นทำให้คนอื่นทุกข์ทรมานจนหมดโลกแล้วจะทำยังไงต่อล่ะ?”
     ก็จะไม่เหลืออะไรให้ทำมันก็แค่นั้น
     “คิริโนะคุงหรือคนอื่นๆ เองต่างก็คงเคยเจอเรื่องประมาณนี้อยู่ก็น่าจะรู้นี่คะ”
     จู่ๆ ยูบาริก็เริ่มจริงจังขึ้นมาคงเพราะนึกถึงเหตุผลที่เธอตั้งใจจะสร้างพันธสัญญาขึ้นมาได้ถึงทำให้สีหน้าเปลี่ยนไป แต่ว่าจนหมดโลกนั่นมันบ้าบอสิ้นดีตำรวจกับหน่อยรักษาความปลอดภัยเก่งๆ ก็มีอยู่เยอะแยะด้วยแถมพอได้ลองยุ่งเกี่ยวกับโลกฝั่งนี้แล้วก็ยังรู้ว่ายังมีกลุ่มคนที่ขี้โกงอยู่ด้วยถึงแม้จะถูกถอนเขี้ยวเล็บไปแล้วก็ตาม
     แต่ว่ามันไม่ใช่ ตัวเรานั้นไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่เลยเพราะเรื่องที่ยูบาริพูดมานั้นถูกต้องที่สุด
     “มันก็แค่การคัดสรรโดยธรรมชาติ”
     บทสนทนาของพวกเราเกิดความเงียบขึ้นมาสายตาที่จ้องผมเขม่งของยูบาริทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ ผมพยายามยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอีกครั้งแต่ว่ามันเกลี้ยงแก้วแล้วเลยคิดจะเติมต่อแต่กาดันไปอยู่ทางฝั่งของยูบาริแล้วพอจะเอื้อมมือไปหยิบเธอก็ยกหนีผม
     เฮ้อ เหมือนจะพูดเรื่องไม่สมควรออกไปแล้วสิเรา
     “คือว่า…”
     เสียงลูกค้าท่านเดียวดังขึ้นมาพอรู้ตัวอีกทีคุณกลินดาก็มายืนอยู่ตรงหัวมุมโต๊ะแล้วทั้งผมทั้งยูบาริจึงหันไปมองพร้อมกันทำให้ผมรอดจากเรื่องนี้ไปได้ แต่ปัญหาใหญ่ก็กำลังเดินย่ำเท้าเข้ามาก็เมื่อกี้ยัยยูบาริดันหลุดคำว่าพันธสัญญาออกมาแต่ทำไมถึงมาได้ยินและเอะใจกับคำนี้คำเดียวล่ะทั้งที่การสนทนาจนถึงเมื่อครู่น่าสงสัยสุดๆ แท้ๆ
     “จู่ๆ ฉันก็มีงานด่วนเข้ามาต้องไปแล้วล่ะช่วยคิดเงินหน่อยสิ ว่าแต่ว่าคัดสรรโดยธรรมชาติมันทำไมเหรอ? เดี๋ยวนี้เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนากันของวัยรุ่นแล้วเหรอ?”
     “มะ ไม่ต้องหรอกคะคุณกลินดายังไงวันนี้เขาก็จองร้านกินฟรีไปแล้วถือว่าเลี้ยงก็แล้วกันค่ะ”
     ผมพยักหน้าช่วยยูบาริอีกคนถึงจะมากินของเขาฟรีอย่างที่พูดจริงๆ แต่พอพูดมาตรงๆ มันก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อยแต่จะว่าไปผมยังแค่ได้จิบน้ำเก๊กฮวยเองเรียกว่ากินฟรียังไม่ได้ด้วยซ้ำ
     “จะว่าไปแล้วทั้งสองคนเคยได้ยินเรื่องเครื่องบันดาลความปรารถนามาก่อนรึเปล่า”
     ผมกับยูบาริมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
     “ว่ากันว่าความสามารถของมันไม่แม้แต่จะสร้างปาฏิหาริย์แต่ยังทำให้สิ่งที่ไม่มีมีจริงได้ด้วย เคยอ่านในนิยายน่ะ  แล้วก็ยูบาริพยายามอย่าอยู่คนเดียวล่ะช่วงนี้ฟันเฟืองกำลังเดินน่ะ อ่ะ ต้องไปจริงๆ แล้วสิงั้นลานะ”
     เสีงกระดิ่งร้านดังอีกครั้งพร้อมกับปล่อยให้ยูบาริเอียงคอสงสัยอย่างไร้คำตอบ
     “นั่นสินะ เกมที่เล่นตอนนี้พลังงานคงเต็มแล้วขอกลับไปเล่นที่บ้านจะได้ไหม? เธอเองก็บอกว่าจะไปตามงานช่วงที่หยุดด้วยนี่นากลับกันได้แล้วมั้ง?”
     ยูบาริเท้าสะเอวก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเจือนๆ
     “ช่วยไม่ได้นะ ถ้างั้นคิริโนะคุงกลับไปก่อนเดี๋ยวฉันจะไปทำเค้กให้สักหน่อยแล้วกันนะค้า แล้วค่อยส่งไปให้ที่บ้านเอาแบบนี้ไหมคะจะได้รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้มาเสียเที่ยวน่ะ งั้นก็เดินมาตรงนี้เลยค่ะ”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา