เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ขอข้อแก้ตัวกับพันธสัญญานี้ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความลูกโป่งสีแดงที่ลอยไปติดอยู่บนต้นไม้นั่นคือทิวทัศน์แรกที่ผมเห็นหลังกลับมาและเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์จึงมองไปโดยรอบทำให้มองเห็นเด็กผู้หญิงราวอนุบาลวิ่งหนีจากจุดที่ผมอยู่ไปด้วยท่าทางหวาดกลัวและพอมองไปรอบๆ อีกครั้งก็เห็นเด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกันยืนจังก้ามองผมด้วยสายตาเป็นประกาย
“นี่พี่ชายมาจากต่างโลกสินะจะมาทำลายโลกใช่รึเปล่า?”
“มั่วแล้วนี่มันมนุษย์ต่างดาวต่างหากเห็นเมื่อกี้ไหมเหมือนมีรอยแตกเกิดขึ้นด้วย”
ยัยยูบาริถ้าจะส่งมาช่วยส่งมาในที่ลับตาคนหน่อยไม่ได้รึไงนี่เป็นพื้นฐานเลยนะเอ่อ
ผมมองไปรอบๆ อีกครั้งคราวนี้เป็นการมองเพื่อให้เข้าใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
แต่ไม่อยากโม้เลยจริงๆ ว่ามนุษย์ที่ไม่ยอมไปไหนเลยนอกจากทางไปโรงเรียนกับทางไปห้างเส้นทางสถานที่อื่นนอกนั้นล้วนแล้วไม่ทราบทั้งสิ้น
มีม้านั่งยาวอยู่หลายตัว มีเด็กพวกนี้อยู่แสดงว่าใกล้กับเขตอยู่อาศัย ภาษาที่ฟังก็เข้าใจดีรวมทั้งศัพท์แปลกๆ ที่เคยใช้สมัยก่อน อยู่ตรงนี้พอเงยหน้าขึ้นไปอีกทิศหนึ่งกับต้นไม้ที่มีลูกโป่งติดก็มองเห็นตึกเรืองกันเป็นตับตามปกติแต่ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองโดนส่งมาที่ไหนจังหวัดไหน เขตไหน ซอยไหน แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะอยู่ต่างประเทศล่ะนะ
เห็นทีงานนี้ต้องพึ่ง GPS ในโทรศัพท์ที่ใช้ไม่เป็นแล้วสิงานนี้แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ยังไงก็ตามออกไปจากตรงนี้ก่อนท่าจะดีเพราะเด็กแปลกหน้าสองคนนี้กำลังจะยัดข้อหาให้ผมเป็นผู้ทำลายจากดินแดนอันไกลโพ้นให้ได้อยู่ตลอดเวลาถ้าเป็นเด็กที่รู้จักดีก็อาจจะเล่นด้วยอยู่หรอกมั้ง แต่เป็นเด็กที่ไหนไม่รู้ผมก็ชักจะเริ่มทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
“ฮะๆๆ คนน่าสงสัยที่ว่าเนี่ยหมายถึงพี่ชายคนนั้นงั้นเหรอเนี่ย?”
ผมหันไปหาต้นเสียงที่ลอยมาก็ผมกับอาริมะที่มาพร้อมกับเด็กผู้หญิงที่น่าจะเป็นคนเดียวกับที่วิ่งหนีผมไปตอนแรกเกาะติดมาด้วย
ผมยืนมองเพื่อนร่วมชั้นเดินเข้ามาหาโดยไม่พูดอะไรเพราะพวกเราก็ไม่ได้สนิทสนมกันอะไรแต่พอมานึกได้ว่าตัวเองหลงทางอยู่ก็เอ่ยปากถามพระผู้ช่วยแทน
“อาริมะที่นี่...”
“นี่ๆ แปลงร่างแล้วใช้ท่าไม้ตายหน่อยสิ”
“คนน่าสงสัยน่ากลัว”
“มาจากโลกไหนเหรอ?”
แม้แต่เด็กยังแย่งพูดงั้นเหรอ นี่ฉันถูกโลกเอาเปรียบอยู่นี่หว่า เสียงเด็กทั้งสามคนที่ร้องเจียวจ้าวเป็นตลาดนัดทำให้ผมได้แต่ทำหน้าหงุดหงิดในใจกลับไปเท่านั้นจนในที่สุดอาริมะก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้วค่อยปรามเด็กทั้งสองคนเอาไว้ทว่าเด็กสาวที่เกาะอาริมะมากลับเงียบไปเองพร้อมกับใบหน้าที่เหมือนอยากจะร้องให้ออกมาเมื่อเข้าใกล้ผมทุกวินาที
“เป็นไงมาไงถึงมาสนามเด็กเล่นได้ล่ะเนี่ยคิริโนะ”
“คะ แค่ผ่านมา”
“ไม่ใช่แล้วเมื่อกี้เห็นกันจะๆ ว่าโผล่ออกมาดื้อๆ เลย”
“ใช่ๆ ”
“งือ...”
ไอ้พวกนี้นี่
“หลงทางสินะ”
“…อืม”
“ถ้าตรงไปทางขวามือนั้นเรื่อยๆ ก็จะมองเห็นโรงเรียนของเราได้เลยถ้าไปที่นั่นก็คงจะรู้เส้นทางแล้วล่ะนะ ว่าแต่ว่าหลงทางมาได้ยังไง”
ผมมองตามนิ้วที่ชี้ทางสว่างของอาริมะก่อนจะลำบากใจเรื่องเหตุผล
“ถ้ารู้ว่าหลงทางยังไงแล้วจะเรียกว่าหลงทางได้อีกงั้นเหรอ? เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นในใจแต่ไม่อาจเผยความในใจนี้ออกไปได้เพราะเกรงว่ามันหยาบคายเกินไป”
เสียงแหลมผ่านเข้าหูมายังบริเวณเพื่อกำลังพูดในสิ่งที่ผมคิดออกมา อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำจึงมองไปรอบๆ จนไปพบเข้ากับหัวสีขาวของคุณกลินดาหลังพุ่มไม้อีกฝั่งหนึ่งจังหวะนั้นเองที่เธอก็หันหน้ามาโบกมือให้ด้วยใบหน้าเอื้อไมตรี
“ดีค่ะ”
“คุณกลินดาทำไมมานั่งนี่ได้ล่ะ!?”
นั่นแหละ มาได้ไงคนฝั่งเวทมนตร์นี่มันสะดวกสบายเกินไปแล้วแต่ว่าลอบเข้าประเทศมารึเปล่าเนี่ย
“ไม่ใช่สักหน่อย”
ดูเหมือนเธอจะอ่านใจผมได้รึเปล่าถึงได้หยิบพาสปอร์ตขึ้นมาให้ดูด้วยสีหน้าปั้นยากเหมือนเด็ก
“คนรู้จักเหรอ?”
ผมลังเลครู่หนึ่ง
“ไม่รู้จัก พูดแบบนี้ก็คงจะได้เหมือนกัน”
“ทำงานจ๊ะทำงานแต่ก็เป็นงานที่ไม่มีค่าจ้างด้วยเหมือนเป็นหน้าที่ซะมากกว่าอีก”
คุณกลินดาชูกุญแจดีไซน์เดียวกันกับกุญแจที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยผมจากโลกเสมือน
“ช่างเหอะ เพื่อนของคิริโนะสิเหรอคะ ฉันกลิดาเนียเรียกกลินดาก็ได้ตามสะดวกจ๊ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักผมอาริมะครับ”
“วัยรุ่นนี่ดีนะ ช่วงวัยที่จะสั่งสมประสบการณ์ทั้งเรื่องผิดหวังเรื่องยินดีล้วนแล้วแต่เป็นรสชาติของวัยหนุ่มสาวพอเรียนจบมาแล้วก็ต้องเอาแต่ทำงานต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย”
อะ อาครับ
“อะไรกันพี่สาวผมหงอกคนนี้เป็นพวกของผู้ทำลายจากต่างโลกเหรอ?”
เสียงเด็กที่มากับอาริมะดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหรือก็คือตรงหน้าคุณกลินดา
“อ้าว คลาดสายตาไปทางนั้นกันหมดแล้วเหรอ ฮะๆ”
อาริมะเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจ
“แหม แต่การเป็นผู้ใหญ่เองก็ทำให้วิสัยทัศน์ต่ออะไรๆ เปลี่ยนไปเหมือนกันไม่ยอมแพ้หนุ่มสาวหรอก”
ผมมองคุณกลินดาโดยไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้กับการรับมือเด็กซนสามคนแม้แต่เด็กผู้หญิงที่กลัวผมก็ไม่ต่างกันกับพวกนั้นท่าทางสนอกสนใจของทั้งสามคนราวกับกำลังเจอผู้เปี่ยมด้วยเมตตาทั้งๆ ที่แค่ยิ้มให้เท่านั้น
ก็จริงอยู่ที่ว่าไม่ได้อยากให้เด็กมาเกาะแกะอะไรแต่พอเห็นยังงั้นแล้วจิตใจมันก็พลอยหงอยขึ้นมา
“คิริโนะเดี๋ยวพอจะมีเวลาสักหน่อยไหมอยากจะคุยด้วยน่ะ”
“อะ อาครับก็ได้อยู่หรอก”
“นี่ๆ จะวางแผนทำอะไรเหรอ? นี่ๆ”
เด็กคนหนึ่งถามขึ้นมา คุณกลินดาจึงจูงมือเด็กคนนั้นเดินมาหาพวกผมเด็กคนอื่นๆ ที่เหลือเองก็วิ่งตามมาก่อนคุณกลินดาจะเอานิ้วชี้ป้องปากตัวเองตามคำถาม
“เรื่องนั้นเป็นความลับจ๊ะ”
“ความลับ!!”
และเด็กคนนั้นรวมทั้งอีกสองคนจึงต่างก็มีแววตาเปล่งประกายขึ้นมาจนอาริมะต้องเข้าไปห้ามปรามอีกครั้ง จนท้ายที่สุดแล้วอาริมะก็ถูกจับพลัดจับผลูให้ไปเล่นด้วยเป็นการชดเชยคุณกลินดาจึงตรงมาม้านั่งที่ผมเป็นหุ่นขี้ผึ้งด้านข้างประดับยืนอยู่ใกล้ๆ
“ไม่นั่งก่อนล่ะ”
“ไม่ล่ะครับแบบนี้นี่แหละ แล้วความลับที่ว่าอะไรล่ะครับคงเป็นเรื่องพวกเหนือสามัญสำนึกอีกใช่ไหม?”
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่อยากจะถามว่าเรื่องครั้งแล้วที่จุดพลิกผันเธอที่เขียนพันธสัญญาทำยังไงถึงรอดมาได้น่ะ?"
ถ้าจุดเหนือกฎเกณฑ์ตั้งชื่อให้ว่าจุดพลิกผันไหนๆ ก็เอาเป็นแบบนั้นไปเลยก็แล้วกันจะได้เรียกให้มันถูกๆ หน่อย
“คิดไม่ออกเลยนะทั้งเรื่องที่เธอมีกุญแจของฉันและเรื่องที่กลายเป็นคนเขียนด้วยทั้งที่มีสัตว์ประหลาดขี้โกงอยู่ด้วยเนี่ย?”
ผมเงียบลังเลไปชั่วขณะว่าไม่ควรถามกลับไปว่าหมายถึงฟุตาบะ ยูบาริหรือว่าฮัทสึฮารุ อากิกัน
“ดวงล้วนๆ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้นครับ”
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดเรื่องครั้งนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเอาตัวรอดจริงๆ
“ดวงเหรอ? ไม่ค่อยเข้าใจเลยนะแต่ว่าถ้าพูดแบบนั้นแล้วล่ะก็ แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะได้เปิดมุมมองโลกใหม่น่ะ”
“เรียกว่าเปิดจักรวาลใหม่ไปอีกสองโลกเลยคงได้ครับการที่คนมีสามัญสำนึกน้อยเป็นทุนเดิมต้องมาพบกับเรื่องที่เหมือนจะตอกหน้าว่าสามัญสำนึกที่เรียนรู้มาอันน้อยนิดของแกมันใช้ไม่ได้แล้วไปอัพเดทเป็นแพตช์ปัจจุบันซะทั้งที่ยังไม่ถึงแพทช์ล่าสุดครับ”
“แหม ลำบากหน่อยนะแต่พยายามเข้าล่ะในเมื่อมุมมองอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้วน่ะอายุขัยของเธอก็เพิ่มขึ้นมานิดหน่อยแล้วด้วยสิ”
“คุณเห็นเหรอครับอายุขัยน่ะ?”
คุณกลินดาหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาคั่นกลางสายตาของเรา
“อื้ม ถึงจะเห็นยังงี้แต่ฉันเห็นอายุขัยของสิ่งมีชีวิตนะบางทีตอนนี้เธอในโลกคู่ขนานคงตายไปแล้วไม่ก็ยังอยู่ดีก็ได้มีกระจายไปนั่นแหละ”
“กำกวมจังเลยนะครับแต่นั่นก็แค่โลกคู่ขนานนี่ครับผมที่อยู่ในโลกนี้ก็มีเพียงคนเดียวและก็ยังอยู่ในโลกที่ตัวเองยังไม่ตายด้วยแค่นี้ก็พอแล้วครับหรือว่าคุณจะมองเห็นโลกคู่ขนานพวกนั้นน่ะ”
“เปล่า แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ อย่าเครียดไปหน่อยเลยคิริโนะฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะคุยเรื่องวิชาการแบบนั้นนะอุตส่าห์ได้วันหยุดทั้งทีขอผ่อนคล้ายบ้างสิ เดี๋ยวสักพักต้องทำหน้าที่ในฐานะจุดเหนือกฎเกณฑ์แล้วด้วยต่อจากนี้ก็ต้องทำงานหนักกว่าเดิมด้วยล่ะ”
คุณกลินดาทอดสายตาไปพร้อมกับสมาร์ทโฟนในมือไปทางอาริมะที่กำลังเล่นกับเด็กสามคนนั้นด้วยท่าทีอ่อนล้า
“เฮ้อ นั่นสิครับผมเองก็ไม่อยากเหมือนกันเป็นวันหยุดแท้ๆ กลับต้องมาเจอเรื่องตั้งมากมายวันหยุดแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครยอมหยุดเลยเนี่ยสิครับ”
“อืมๆ เข้าใจฉันเข้าใจดีเลยล่ะโดยเฉพาะงานจุดเหนือกฎเกณฑ์เนี่ยจะมาก็มาบางทีก็มาตอนกำลังกินข้าวบางทีก็มาตอนอาบน้ำหรือบางทีก็มาตอนนอนไม่ดูกาลเทศะเอาซะเลย”
“ผมจะไม่ถามนะครับว่างานนั้นมันทำอะไรบ้าง”
“อา ขอบใจมากน้าคิริโนะแต่แค่บอกก็ได้อยู่แล้วงานของฉันน่ะ...”
“พี่คิริโนะทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ชื่อคิริโนะเพรียกหาเสียงหวานนำพาให้ผมเผลอหันคอไปยังต้นเสียงตามสัญชาตญาณโดยที่ยังไม่รู้ว่าเรียกโนะไหนและใครเรียก จึงมองเห็นเหล่าสาวน้อยกับสิ่งที่วัดไม่ได้ กลุ่มของฮัทสึฮารุคิโยและพองเพื่อนที่เคยว่าเอาไว้นั่นเอง
“อ้าวคุณฮัทสึฮารุนี่นาวันนี้บังเอิญจังนะเจอเพื่อนร่วมชั้นสองคนพร้อมกันเลย”
อาริมะเอยทักขึ้นมาเมื่อกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มผูกมิตรของเพื่อนร่วมห้องฮัทสึฮารุจึงพยักหน้ารับไปพอเป็นพิธีเล็กน้อยให้กลับไปแทน
“หายากนะเนี่ยที่พี่คิริโนะจะออกมาข้างนอกที่ไม่ใช่ตรงไปซื้อของน่ะ”
เฮ้ย เห็นยังงี้ฉันเองก็มีออกไปดูหนังเข้าใหม่หรือไปร่วมงานอะไรๆ บ้างเป็นนานๆ ครั้งเหมือนกันนะ
“เอ่อเป็นคนรู้จักของพี่เหรอคะต้องขอโทษที่มาขัดจังหวะตอนคุยกัน?”
“ไม่หรอกๆ เราก็แค่บ่นเรื่องความโหดร้ายของสังคมด้วยกันน่ะฉันกลิดาเนียจะเรียกว่ากลินดาก็ได้นะ”
“อ๊ะ ค่ะน้องสาวของคนตรงนั้นชื่อคิโยค่ะ”
เดี๋ยวสิพี่จ๋าเสียใจนะ
“นั่นสินะ แล้วพวกคุณหนูคนอื่นล่ะจ๊ะ”
เด็กสาวมอต้นคนหนึ่งจึงตอบสนองด้วยท่าทีเต็มเปี่ยมไปด้วยความคึกคะนองพลังงานเหลือเฟือที่สามารถเปลี่ยนพลังงานศักย์ไปเป็นพลังงานจลน์ได้สมบูรณ์
“โอ้ว ฉันโทวมะยินดีที่ได้รู้จักนะพี่สาวตอนแรกเห็นผมขาวจั๊วนึกว่าจะสื่อสารกันไม่ได้ซะแล้วนะเนี่ย”
เด็กสาวที่ชื่อโทวมะนั้นแต่เดิมก็เคยเป็นเพื่อนสมัยประถมกับน้องผมแล้วบางครั้งเองก็มาเล่นที่บ้านเหมือนกันทำให้รู้จักหน้าค่าตาบ้างแต่มีอีกคนหนึ่งในนั้นที่ผมไม่รู้จัก
“โทวมะจังมันเสียมารยาทนะ ไม่คึกไปหน่อยเหรออารมณ์ยังติดมาจากหนังอยู่อีกเหรอ?”
เด็กสาวอีกคนเอ่ยขึ้นมา
“ก็มันสนุกนี่นาเนอะมิยูกิเองก็ทำตาเป็นประกายตั้งแต่หนังเริ่มฉายเลยนี่นา”
“อะ อะไรกันประสบการณครั้งแรกต่างหากน่ะ”
“แล้วใครกันน้าที่ซื้อของที่มาจากเรื่องนั้นจนลำบากให้คิโยกับพี่อากิออกเงินเลี้ยงข้าวน่ะ”
“ขอโทษค่ะ”
“อ่ะ อ้าคือว่าทั้งสองคนตรงนั้นมีร้านกาแฟอยู่ด้วยไปสงบ ไปคุยกันที่นั่นต่อเถอะ”
อา มิยูกิจะร้องไห้แล้วนา แต่เอาเป็นว่าช่างเรื่องของพวกนั้นก่อนแล้วกันเพราะว่า
“อีกกี่นาที”
ฮัทสึฮารุพูดกับคุณกลินดาไปแบบนั้นทำให้เธอต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดู
“ในอีก 5 4 3 2”
หลังการนับถอยหลังอันน่าสงสัยสายตาของทั้งสองคนจึงมองไปยังเบื้องหน้าตามตัวอักษรทำให้ผมเองก็เริ่มที่จะมองไปยังทิศทางเดียวกัน
เด็กที่มากับอาริมะคนหนึ่งวิ่งหายเข้าไปในเสาไฟ ใช่ฟังไม่ผิดหรอกเด็กคนนั้นน่าจะวิ่งไปด้านหลังเสาไฟบางๆ นั่นแหละแต่กลับไม่มีส่วนไหนโผล่ออกมาเลยจากอีกทางจนกระทั่งหายไปทั้งตัว เด็กอีกคนหนึ่งก็ทำนองเดียวกันเมื่อหกล้มลงไปหลังม้านั่งตัวหนึ่งและเด็กผู้หญิงคนสุดท้ายที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็หายไปเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างดูดเข้าไปจากห้วงอากาศคล้ายถูกน้ำวนดูดเข้าไป
“สามคน ดูเหมือนจะมาเส้นนี้นะ”
ขณะที่ตัวเองกำลังอ้ำอึ้งไม่สามารถหาคำบรรยายมาพูดได้อยู่นั้นยังมีอีกคนหนึ่งที่อาการคล้ายๆ กับของผมอยู่
“อะ อะไรน่ะเมื่อกี้ โคทาโล จุนยะ เจน ไปอยู่ไหนกันน่ะ นี่ออกมานะ”
ผมรีบตรงดิ่งไปหาทั้งสองคนที่มองอาริมะด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
“พะ...”
พวกเธอ นั่นคือคำที่ผมเค้นขึ้นมาจากลำคอทว่าก่อนที่ผมจะทันได้เอ่ยใดๆ ฮัทสึฮารุก็แง้มริมฝีปากขึ้นราวกับกำลังรอที่จะตอบก่อนแล้ว
“ถูกส่งไปต่างโลกตามพันธสัญญา”
“…..”
โธ่เว้ย อีกแล้วเรอะ
“คิริโนะ คุณฮัทสึฮารุ เห็นเด็กสามคนที่มากับฉันไหม?”
อาริมะที่ใบหน้าเริ่มซีดขาวท่าทางของเขาตอนนี้ผมกล้าบอกได้เลยว่าเป็นสภาพที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยจินตนาการเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เอาไว้ทั้งหมดเลย
“อา…”
ฮัทสึฮารุเริ่มก้าวเท้าเดินไปพราง
“ไม่อยู่อีกแล้ว”
ขอโทษ
“คิริโนะนายเห็นใช่ไหม? เมื่อกี้น่ะ”
อาริมะเข้ามาจับไหล่ผมทั้งสองข้าง ผมจึงมองไปยังคุณกลินดาที่นั่งอยู่จึงพบว่าเธอหยิบหนังสือเล่มเดียวกับที่เอามาอ่านในร้านของมิสตีอยู่เงียบๆ ผมจึงต้องมองไปรอบๆ เผื่อจะมีคนบริเวณโดยรอบเห็นเหมือนกันแต่เหมือนทุกคนจะไม่คิดเช่นนั้นกัน
ทำเป็นไม่เห็นกันรึว่าถูกทำให้ไม่เห็นกัน
“…ฉันไม่รู้”
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความรู้สึกของคนที่จะต้องสูญเสียคนสำคัญไปให้โลกแฟนตาซีอะไรพวกนั้น คิดแต่ในมุมมองของคนที่ได้ไปด้วยความเต็มใจแต่เรากลับเมินเฉยต่อเหล่าคนที่ขัดต่อความคิดของเราเมินเฉยต่อความห่วงใยของคนที่ผูกพันกับคนๆ นั้น
จะโง่ก็เรื่องของนายอย่าลากคนอื่นเข้าไปเดือดร้อน คงพูดกับตัวเองได้แค่นั้นล่ะนะ
เวลาพลบค่ำยามวิกาลของวันเดียวกันผมที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ประสาทการรับรู้ดันได้ยินเสียงแห่งเคราะห์กรรมจากเจ้ากรรมนายเวรเรียกร้องเหมียวๆ มาขออาหารอยู่หน้าห้อง
ในเมื่อนอนไม่หลับก็ไม่เสียหายอะไรถ้าเจ้าแมวนี่มันทำตัวเอ่ยๆ ให้ผมเห็นก็อาจจะลืมๆ เรื่องของวันนี้ไปก็ได้
“ไม่รีบไปนอนเดี๋ยวถูกคิโยดุเอาหรอก?”
“เธอเองก็เหอะเวลานี้ก็ควรไปนอนเหมือนกันนั่นแหละ”
ฮัทสึฮารุที่เข้ามาในนั่งเล่นอีกคนตรงเข้าไปยังบริเวณครัว
“ตอนนี้ฉันยังต้องทำงานจากเซ็นทรัลยังทำตามคำพูดนั้นไม่ได้”
คำพูดนั้นทำให้ผมตอบสนองหันไปหาฮัทสึฮารุทันที ซึ่งเจ้าตัวฮัทสึฮารุก็กำลังก้มหน้าก้มตาชงกาแฟใส่แก้วเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“เห็นสมุดบัญชีของฉันแล้วใช่ไหม มาจากนี่แหละถึงจะไม่ได้เอาไปใช้อะไรมากมายแต่ยังมีสิ่งที่ต้องคอยควบคุมอีกภายในองค์กรโดยไม่ใช้ลูกเล่นอะไร …รินฉันจะปกป้องเองทั้งสถานที่แห่งนี้ทั้งครอบครัวนี้ทั้งเธอขอสัญญาเลย”
เหมียว
เสียงเหมียวๆ ดังขึ้นมาอีกครั้งตามด้วยเสียงเคี้ยวอาหารจากด้านล่างที่ผมเพิ่งจะเทไปจึงได้แต่ก้มหน้าเงียบทำเป็นไม่ได้ยินขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าของฮัทสึฮารุจึงเริ่มห่างออกไปข้อความหนึ่งในจดหมายที่เคยได้รับมาจึงเข้ามาในหัวผมโดยไม่ได้ตั้งใจ
‘จะล้มเหลวอีกรึเปล่า?’
ข้อความนั้นก็ทำให้ผมราวกับถูกทิ่มแทงด้วยอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ไม่ชอบเลยความรู้สึกไร้ค่าแบบนี้
หลังการทำเวรความสะอาดกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้นผมก็ต้องรอให้ฮัทสึฮารุกลับไปก่อนราวๆ ครึ่งชั่วโมงเหมือนทุกทีจึงเป็นเวลาที่ผมได้แต่ต้องไปนั่งรออยู่เฉยๆ บนม้านั่งตัวโปรด
“ฉันรักนายคู่หูต่อจากนี้อีกสามปีก็ขอฝากตัวด้วย”
“เป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วน่าหดหู่จริงๆ นะคนเราเนี่ยพูดคำว่ารักกับม้านั่งได้ด้วยสินะเนี่ย”
อยากตาย นึกว่าไม่มีใครอยู่แล้วเลยอยากแสดงความรักกับเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเดือนหนึ่งแท้ๆ
“อะ อาจารย์ทำไมมาอยู่ที่นี่”
อาจารย์คานิเอะวางกระป๋องกาแฟกระป๋องหนึ่งลงบนม้านั่งข้างผมจากด้านหลังและยืนพิงซดกาแฟ
“ก็แค่ผ่านมาเห็นเด็กมีปัญหาอยู่คนเดียวไม่ยอมกลับบ้านเลยจะเข้ามาพูดคุยเล่นสักหน่อย”
“กลับไปทำงานสิจาร”
“นี่ คิริโนะพักนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ก็ปกติดีครับ”
“หืม ปกติที่ว่าเนี่ยหน้าตาอมทุกข์จังเลยนะ”
“ก็ประมาณนี้แหละครับเพียงแต่ก็มีเรื่องให้วิ่งนิดๆ หน่อยๆ แต่โดยรวมคิดว่าเหมือนทุกทีครับมีแต่เรื่องให้เข้ามาตลอด 24 ชั่วโมงทุกๆ 1440 นาที 8640 วินาที ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ถึงเดี๋ยวนี้ปัญหาเรื่องแม่กับพ่อจะเงียบไปแล้วก็เถอะครับ”
อาจารย์คานิเอะทำหน้าอ่อนโยนเหมือนอาจารย์ขึ้นมาจริงๆ
“ไอ้นั่นน่ะฉันให้ ถือซะว่าฉันเป็นเพื่อนร่วมแลกเปลี่ยนทุกข์สุขก็แล้วกันนะ”
ผมมองไปยังกาแฟที่วางเอาไว้และหยิบขึ้นมาจ้องมองมันสักระยะเหมือนกับจะประเมินหายาพิษ
“จะดีเหรอครับ?”
“เชิญเลย แล้วเป็นยังไงต่อล่ะ?”
“นั่นสิครับแม้แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าตัวเองกำลังสับสนเรื่องราวความเป็นอยู่ของตัวเองต่อจากนี้เหมือนกันถ้าหากสักวันผมจะต้องไปพบแพทย์ก็อยากให้อาจารย์รู้ไว้นะครับว่าผมไม่เสียใจที่ต้องอยู่คนเดียว”
อร่อยดีแฮะ
“เพื่อนฝูงล่ะ?”
“ก็รู้ๆ กันอยู่ของแบบนั้นไม่มีหรอกครับ”
“กับฮัทสึฮารุด้วยเหรอ?”
“ทำไมถึงคิดยังงั้นล่ะครับ?”
“ก็เปล่าเห็นว่าพักนี้สนิทกันดีนี่นาไม่ใช่เหรอ?”
ผมก้มหน้าก้มตาลังเลกับคำถามนี้มองภายในกระป๋องอย่างเลื่อนลอย
“…ผม...ไม่รู้ครับ”
“หืม เอาเถอะนิยามคำว่าเพื่อนของแต่ละคนมันก็ไม่เท่ากันนี่นะฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอมีใครอยู่บ้างเพราะจนกว่าจะถึงตอนที่ไปพบแพทย์นั่นคงบอกอะไรไม่ได้”
“…อาจารย์ทำไมถึงมาทำอาชีพนี้ล่ะครับ? เงินเหรอ? หรือว่าความมั่นคง?”
“เด็กน้อยเอ๊ยเรื่องนี้ฉันคงบอกนายไม่ได้หรอกของแบบนี้ตอนแรกมันก็แบบนั้นนั่นแหละ เอ๊า”
อาจารย์คานิเอะส่งกระป๋องกาแฟที่ดื่มจนหมดแล้วให้ผม
“ฝากทิ้งด้วยล่ะ อืม นั่นสินะไม่ลองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหน่อยล่ะเผื่อว่าจะรู้สึกกับชีวิตมากขึ้นน่ะจะทะนุถนอมจิตใจที่ยับเยินนั่นไปก็ได้นะแต่ของที่เสียไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้หรอกนะ ไปล่ะอย่าลืมทำการบ้านล่ะ”
พูดเสร็จอาจารย์ก็เดินหายเข้าไปในอาคารโดยไม่หันกลับมามอง
ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันงั้นเหรอ? ไม่ง่ายเลยนะต่อให้มุมมองที่มองโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนแต่สิ่งตรงหน้าทุกอย่างยังดำเนินของมันต่อไปทั้งแบบนั้นส่วนคนที่ไม่สามารถไหลตัวแทรกเข้าไปตามกระแสที่เรียกว่าสังคมได้แล้วจะล่องลอยไปทางไหนกัน
จะเป็นโลกฝั่งไหนก็ทำได้แค่ไหลแยกออกไปเหมือนๆ เดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ทัศนคติอันผิดเพี้ยนนั้นไม่อาจเข้ากับโลกอันผิดเพี้ยนได้
ก่อนที่ผมจะกลับเข้าไปในบ้านก็เผอิญไปเห็นรถตำรวจจอดอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเดินเครื่องและแล่นออกไปก่อนที่ผมจะเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน
อาริมะแจ้งคนหายแล้วสินะ
หลังจากกลับมาถึงบ้านผมก็ได้แต่ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าจากปัญหาที่ต้องคิดพร้อมๆ กันเมื่อก่อนแค่คิดเรื่องของตัวเองก็เหนื่อยพอแล้วเดี๋ยวนี้กลับต้องมาพะวงกับเรื่องเหนือธรรมชาติอีกโดยเฉพาะกับพันธสัญญา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกันอาจเป็นนาทีหรือว่าชั่วโมงที่ผมได้แต่นานคว่ำบนเตียงไม่ขยับไปไหนแต่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้
“รินข้าวเย็นเสร็จแล้ว”
เสียงของฮัทสึฮารุดังขึ้นมาปลุกออกมาจากด้านนอกห้องหลายนาทีต่อมาที่ผมไม่ได้ตอบกลับเธอไปเสียงฝีเท้าจึงค่อยๆ ห่างออกไป
กินข้าว ต้องไปกินข้าว
ผมกลิ้งลงจากเตียงไปตกบนพื้นจากนั้นจึงค่อยๆ จับเตียงพยุงร่างอันหนักอึ้งของตัวเองขึ้นมาและกวาดสายตาไปรอบๆ ท่ามกลางความมืดหาสมาร์ทโฟนและหยิบขึ้นมาดูเวลา
ป่านนี้แล้วเหรอ
นาทีต่อมาผมก็ออกมาจากห้องก่อนที่ก้าวขาแรกของผมจะแตะถึงซี่บันไดก็พบว่าช่องใต้ประตูห้องของฮัทสึฮารุมีเศษกระดาษแผ่นหนึ่งลอดออกมาด้วยความสงสัยจึงเดินไปหยิบมันขึ้นมาดูจึงพบกับภาพถ่ายหน้าตรงของใครสักคนที่ผมไม่รู้จักเข้าดังนั้นแล้วผมจึงเผลอเปิดห้องของเธอไปโดยไม่ได้ตั้งใจ (เอาแบบนั้นแล้วกันนะไม่ใช่ว่าอยากรู้สักหน่อย)
ผมคลำมือหาสวิตท์ไฟเมื่อหาเจอก็ทำให้ม่านตาของผมที่ล้าแสงตั้งแต่อยู่ในห้องก็เบิกเต็มบาน
บนพื้นห้องมีรูปของคนอีกมากมายทั้งบนพื้นบนเตียงรูปบางรูปเองก็ถูกเสียบเข้ากับหมุดติดบนแผนผังเมืองที่น่าจะเป็นเมืองนี้ข้างๆ กันนั้นก็มีแผนที่ภูมิศาสตร์ที่ติดไว้บนผนังห้องบนโต๊ะมีกองเอกสารและซองสีน้ำตาลอยู่เต็มจนล้นข้างใต้โต๊ะมีปริ้นเตอร์เปล่าๆ ที่ไม่ได้เสียบกับอะไรไว้
นี่ฉันเข้ามาโลกไหนแล้วเนี่ย
ผมหยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะแผ่นหนึ่งขึ้นมาลองอ่านดู
‘คุณมัตสึไดละซอยสามเวลา 16.02 แอบไปพบกับคุณมานะซอยห้าภรรยาของคุณอากาอิทั้งคู่จึงได้ตกลงหนีตามกันไป
ไม่มีอะไรผิดปกติ’
ผมวางกระดาษคว่ำลงอย่างสงบ
เขียนรายงานสินะ
“แอบเข้ามาในห้องของผู้หญิงมันยังเร็วไปนะ”
“อะ เอ่อ ขอโทษไม่ได้ตั้งใจ”
ฮัทสึฮารุยืนอยู่หน้าประตูมองผมโดยที่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
“ช่างเถอะ”
“ฮัทสึฮารุพวกนี้มันอะไรกัน?”
“ความลับสุดยอด จริงๆ คนที่รู้ก็ต้องปิดปากอยู่หรอกแต่ฉันไม่ได้คิดจะปิดบังกับรินเธอมีสิทธิรู้”
ฮัทสึฮารุปิดประตูห้อง
“สภากำลังให้ฉันตามหาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับเรื่องของพลังที่พวกเขาไม่อาจต่อกรได้นั่นคือพันธสัญญาที่รินเขียน ต่อไปนี้จะเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าจุดพลิกผันตามที่จุดเหนือกฎเกณฑ์ได้ให้ไว้”
“ทำไมเธอที่เป็นคนร่วมมือถึงจะต้องหาสาเหตุกันอีกล่ะก็มันรู้ๆ กันอยู่แล้วนี่นา”
“ไม่ใช่ พวกเขาไม่รับรู้ถึงตัวตนจริงๆ ของฉันสำหลับพวกเขาฉันคือ CP-004 ลอว์ พวกเขาติดต่อมาหาฉันที่ประจำอยู่เมืองนี้และมอบภารกิจให้หลังการประชุมเสร็จในเมื่อวาน สภาเวทยังไม่รู้ถึงตัวตนของพันธสัญญาจึงไม่อาจสันนิฐานของที่ไม่รู้ที่มาที่ไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้ว่ามันคืออะไร เกิดอะไรขึ้น”
ผมรู้สึกได้ว่าเริ่มมีเหงื่อเม็ดหนึ่งบนใบหน้า
“เนื้อหาของภารกิจคิดว่าไม่รู้จะสบายใจกว่า”
ผมมองไปรอบๆ ห้องสักพัก
“ถ้าอย่างงั้นก็มีทางอยู่ใช่รึเปล่าที่จะทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเกิดจากธรรมชาติไม่ก็พลังงานที่กระจายตัวในอากาศเกิดรวมตัวกันแล้วก่อเกิดผลลัพธ์บางอย่างน่ะ”
“ไม่ได้พลังงานที่กระจายอยู่ในอากาศไม่สามารถรวมตัวกันในจุดๆ เดียวโดยไม่มีเงื่อนไขหรือการบังคมให้เกิดได้และมีผลเฉพาะเจาะจงเกินไปจึงไปในทิศทางเป็นฝีมือใครบางคนมากกว่า”
“เฮ้ยๆ นี่จะบอกว่าให้ฉันยอมมอบตัวหรือไม่ก็ให้หาแพะมารับผิดแทนยังงั้นเหรอ? แบบนั้นมันก็ไม่ไหวหรอกจริงไหม?”
ผมไม่ใช่ผู้ผดุงความยุติธรรมเป็นใครต่างก็รักชีวิตตัวเองกันทั้งนั้นไม่ยอมเสียสละไปกับเรื่องพันนี้หรอก
“จะลองหาทางดูช่วยรอก่อนได้รึเปล่าอย่างน้อยตอนนี้ก็สามารถรับรองความสงบปกติของชีวิตประจำวันได้”
“ถ้านั่นมันเป็นงานของเธอแล้วล่ะก็ฉันคงไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งหรอก”
ฮัทสึฮารุเงียบไปสักพัก
“อืม ไปกินข้าวกันเถอะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ