เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.63K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) ขอไม่จ่ายพันธสัญญาจากต่างโลกนี้ 3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เขาว่ากันว่าปัญหามักจะเกิดติดๆ กันไม่ให้หยุดพักสงสัยคนที่คิดคำพูดนี้ขึ้นมาจะต้องเป็นนโปเลียนแห่งคำพยากรณ์แน่
“นั่นคือสถานการณ์ปัจจุบันของฉันงานของจุดเหนือกฎเกณฑ์”
ว็อทเดอะ... ทำไมเมื่อผมกลับบ้านมาแล้วจู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากห้องนั่งเล่นทั้งๆ ที่คำพูดนั้นก็ไม่ได้เสียงดังอะไรแท้ๆ แต่กลับเป็นถอยคำที่ทำให้ผมหูผึ่งได้ง่ายๆ ราวกับคำพูดนั้นถูกกระซิบอยู่ข้างๆ หูฟังจากน้ำเสียงท่าทางจะเป็นผู้หญิง อีกแล้ว
“แต่ถึงมีพันธสัญญางานของฉันก็ยังไม่แตกต่างจากทุกครั้งเท่าไหร่ จึงหมายความว่าจะสามารถเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี แต่ต้องเปลี่ยนแผนงานการดำเนินการนิดหน่อย”
ดูเหมือนจะมีการพูดคุยของคนเหนือมนุษย์อยู่ในห้องนั่งเล่นผมจึงลังเลว่าจะเข้าไปแจมด้วยคนหรือว่าเดินผ่านไม่ก็รอจนกว่าจะคุยกันเสร็จดี ใจหนึ่งก็อยากเห็นหน้าคนที่เป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์ใจหนึ่งก็ไม่อยาก จู่ๆ ก็มีคนโผล่มาเพิ่มแบบนี้ลำบากใจนะแต่ทำไมมันมีแต่ผู้หญิงกันนะสัดส่วนคนรู้จักในช่วงนี้มันไม่สมดุลเลยสักนิด
“แล้วทำไมถึงมาหาฉัน?”
“ก็มันเริ่มไปแล้วนี่นาจึงต้องมาทักทายเอาไว้น่ะ เอาล่ะนั่นคือทั้งหมดที่รายงานขออภัยที่มารบกวนคุณฮัทสึฮารุ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วผมจึงทำท่าเดินแบบไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรและตอนนั้นเองใบหน้าของคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์ก็ปรากฏให้ผมเห็นเมื่อเธอเดินออกมาจากห้องรับแขกและสบตากับผมเหมือนอยากทักทาย
“ขอโทษที่มารบกวนนะแต่ฉันยังไงก็ต้องมาแสดงตัวให้เห็นฉันกริดาเนีย เรียกกรินดาก็ได้แล้วก็เป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์เป็นเจ้าของกุญแจดอกนี้ด้วย”
หญิงสาวที่มีผมยาวสีขาวสนิทราวกับว่าเส้นผมไม่สามารถสร้างเม็ดสีได้แล้ว แต่เมื่อเทียบใบหน้าดูแล้วกลับมีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นในมืออีกข้างกำลังจูงสายกระเป๋าลากสีน้ำตาลเอาไว้
แล้วจุดเหนือกฎเกณฑ์มันคืออะไร ผู้เหนือกฎหมายเรอะ
“ถ้าให้พูดก็คงเป็นคนที่ให้คุณคิริโนะใช้พลังในการหยุดเวลาน่ะ ถ้าอย่างงั้นตอนนี้ฉันต้องไปส่งของแล้ว”
ส่งของ?
“ก็เพราะโดยพื้นฐานแล้วฉันยังเป็นมนุษย์ทั่วไปจึงต้องเลี้ยงปากเลี้ยงเท้าด้วย ต้องขอโทษที่ตอนนี้ยังไม่สามารถมาตอบคำถามอะไรให้ได้นะ”
ไม่ใช่เลี้ยงปากเลี้ยงเท้าแต่เป็นเลี้ยงท้องครับอยากจะพูดกลับไปแบบนั้นแต่เธอก็เมินผมและเดินออกไปทางประตูเหมือนคนปกติจริงๆ ตามที่พูด ถึงจะดูเสียมารยาทก็เถอะแต่ดูปกติดีถ้าเทียบแค่ลักษณะภายนอกระหว่างฮัทสึฮารุกับยูบาริเธอดูปกติที่สุดก็ว่าได้
ผมสลัดความคิดเรื่องคุณกลินดาออกไปและเข้าไปในห้องนั่งเล่นวันนี้คุณน้องสาวไม่มีเรียนพิเศษด้วยจึงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างและเมื่อเข้าไปผมก็เห็นฮัทสึฮารุที่นั่งฝุบโต๊ะกินข้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“ก็แค่นักเวทธรรมดาไม่ต้องใส่ใจ”
แต่เมื่อกี้ว่าเป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์เชียวนะเป็นคนหยุดเวลาเมื่อตอนนั้นเชียวนาจะพูดว่าบังเอิญผ่านมามันก็ไม่ใช่แล้วนา
“ต้นกำเนิดตัวตนของจุดเหนือกฎเกณฑ์ฉันยังไม่ทราบ แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่โลกไม่ได้สร้างขึ้นมาหรืออาจถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่างนั่นจึงอาจเป็นเหตุผลที่แก่นแท้ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเธอได้ ถึงฉันจะเห็นเธอจากมุมมองอื่นแต่ก็ไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายกับสักเท่าไหร่กับ ‘ฆาตกร’ แบบนั้น”
ฟังแล้วคำพูดของพี่สาวคนนั้นก็ลอยเข้ามาในหัวผมโดยเฉพาะคำว่า ‘ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา’ ก็ลอยมาแต่ไกลแต่ใบหน้าของฮัทสึฮารุที่เบื่อหน่ายกลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูเย็นชาทำให้ผมไม่กล้าถามกลับไป
“อะ อือ หืม พี่คิริโนะกลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงของน้องสาวที่ดังมาจากทางโซฟากระจายไปทั่วบริเวณ การสนทนาจึงจบลงไปตรงนั้น เอาเถอะ ถึงจะมีเรื่องชวนปวดหัวเหนื่อยใจเข้ามาเพิ่มในชีวิตแต่กลับติดใจตรงที่ว่าเมื่อเจอเรื่องเหล่านี้แล้วผมยังคงต้องทำการบ้านเหมือนเดิมมันจึงทำให้ผมรู้สึกว่ามันขัดๆ กันยังไงๆ ชอบกล
“จริงสิพี่คิริโนะมีไอ้นี่ส่งมาน่ะ”
คุณน้องสาวยกซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาทั้งที่สภาพยังครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ไปแอบซื้ออะไรมาอีกรึไง? ถ้าแม่มาเจอเข้าได้บ้านแตกแน่เลยนะ”
“เฮ้ย ไม่ได้ซื้ออะไรสักหน่อย”
ผมยื่นมือไปรับซองเอกสารจากน้องสาวที่เริ่มหลี่ตาจับผิดและเปลี่ยนมาเป็นสายตาอยากรู้แทน เห็นดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องออกไปเปิดดูนอกห้อง
มีกระดาษอยู่สองแผ่น
แผ่นแรกคล้ายๆ กับเอกสารคำอธิบายอะไรบางอย่างที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตั้งแต่ตัวแรกจนตัวสุดท้ายแต่บางส่วนกลับถูกเว้นไว้ด้วยเส้นประอยู่หลายจุด
อีกแผ่นเป็นข้อความที่ทำให้ผมได้เข้าใจถึงสถานการณ์นี้เป็นตัวหนังสือที่ถูกเขียนด้วยลายมือ
‘เรียนคิริโนะคุงอย่างที่ทราบกันดีว่าดิฉันต้องการทำข้อตกลงเรื่องสิทธิบัตรเวทมนตร์จึงส่งตัวอย่างใบจดสิทธิบัตรมาให้ได้ทราบและมากำหนดทิศทางต่อจากนี้เพราะราคามันสูงเกินกว่าจะให้ไปฟรีๆ กันได้อย่างน้อยๆ แล้วราคาก็จะอยู่ที่ราวๆ ...’
หนึ่ง สอง สาม ผมหยุดนับทันที่เมื่อมาถึงเลขศูนย์ตัวที่หก และต้องเข่าทรุดเมื่อเห็นสกุลเงินดอลลากำกับเอาไว้หลังเลขศูนย์ตัวสุดท้าย
นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี
ไม่ได้เขียนชื่อเอาไว้แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใครผมจึงเบนสายตาออกมาจากกระดาษไปสบตากับฮัทสึฮารุที่เพิ่งลงมาจากชั้นสองเพื่อกินข้าว
“ขอโทษที่ก่อเรื่องและขอโทษอีกครั้งที่ฉันเข้าไปยุ่งไม่ได้”
ผมยืนมองฮัทสึฮารุที่พูดขึ้นเหมือนรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น
“เพื่อที่จะมาอาศัยที่บ้านหลังนี้มีแต่ต้องให้ยูบาริมาช่วยพูดให้ ข้อเสนอของเธอคือการห้ามไม่ให้ฉันเข้าไปยุ่งกับการทำธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมของเธอ”
ท่าทีนั้นดูไม่เหมือนกับคนที่ไปตัดระบบประสาทของยูบาริและแย่งพันธสัญญามาใช้เลยนะ
ฮัทสึฮารุส่ายหัวครั้งหนึ่งและเดินขึ้นบันไดไปอย่างไร้คำพูดใดๆ
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงนั่นคือวันที่จะได้ไปกินของฟรีให้เต็มคาบแบไม่ต้องเสียเงินบุพการีแม้แต่แดงเดียว
“เอาล่ะทุกท่านพร้อมแล้วสินะ”
ยูบาริที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวันก็กำลังยืนมองผมด้วยท่าทางกระสับกระส่ายกับมิสตีที่มาพร้อมกับกระเป๋าคาดเอวใบเดิมเพิ่มเติมคือถือกระเป๋าเดินทางอีกใบคิดว่าน่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันในช่วงที่อยู่สองสามวันนี้ ก็เป็นช่วงหลังจากที่ฮัทสึฮารุกับคิโยออกไปแล้วได้สักพักนั่นเองผมจึงบอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกเหมือนกันและด้วยเหตุนี้พวกเราก็กำลังยืนเตรียมพร้อมอยู่หน้ารั้วบ้านผม
“แล้วจะไปยังไงกันจะใช้ไอ้นั้นเหรอที่ผลุบๆ โผล่ๆ นั่นใช่ไหม”
ผมถามขึ้นเพราะนึกสงสัยขึ้นมา
“ไอ้ผลุบๆ โผล่ๆ เนี่ยออกจะแปลกใช่ไหมของแบบนั้นเหมือนมันขี้โกงสุดๆ ไปเลย”
ยูบาริเมื่อได้ยินคำเสริมจากมิสตีก็พรางรู้สึกเอือมระอาและเอามือทาบหน้าผากตัวเอง
“คือว่าอย่างน้อยช่วยตั้งชื่อให้มันดูดีเท่ๆ หน่อยดีไหมคะ ผลุบๆ โผล่ๆ เนี่ยเสียของหมด อย่างเกทออฟอะไรสักอย่างเงี้ย ยังไงก็เถอะก็ไปวิธีนั้นนั่นแหละมันไม่ใช่ของที่จะทำร้ายใครได้ก็เป็นแค่การไปจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งแค่นั้นเองคิดว่าทำได้ไม่ผิดพันธสัญญา”
เธอพูดคำว่าพันธสัญญาพรางเหลือบมองมาทางผมทำให้ต้องลบสายตานั้นราวกับเป็นสัญชาติญาณ ภายในใจผมจึงคิดคำพูดที่แสนจะเหมาะสมกับเรื่องนี้ได้ดีว่า ‘ไม่น่ารับคำเชิญไปเลย’
ยูบาริเข้ามาคว้ามือผมข้างหนึ่งและมิสตีข้างหนึ่งจากนั้นก็เริ่มเดิน ก้าวสองก้าวสามก้าว
ทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปเป็นสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายพอหันมองกลับไปก็พบว่าเกิดรอยแตกเหมือนทุกครั้งที่เธอทำแบบนี้ ผมยืนมองรั้วบ้านตัวเองจากอีกฝั่งจนรอยนั้นสมานกลับจนไม่เหลือร่องรอยในเวลาไม่กี่วิฯ
ไอ้นี่สะดวกจริงๆ ถ้ารู้จักใช้หน่อยคงดีน่าดู
“บอกไว้ก่อนนะค้าคิริโนะคุงฉันไม่สนใจความมั่งคั่งทรัพย์สินเงินทองหรอกก็แค่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานต่อไปแบบนี้ก็พอแล้ว”
ใช่ๆ พอมาคิดๆ ดูแล้วเรื่องเงินเนี่ยเป็นเรื่องเล็กน้อยเลยนะครับเนี่ยว่าไหม?
ยูบาริกอดอกพูดออกมาด้วยความมั่นใจจนอยากแทรกว่าถ้าไม่มีเงินแล้วจะใช้ชีวิตยังไงเหมือนกันแต่ก็ไม่เอาดีกว่า ผมมองเข้าไปในร้านที่ครั้งหนึ่งเคยมากินชีสเค้กพอมองไปยังโต๊ะตัวหนึ่งท่ามกลางความมืดก็พบว่าตุ๊กตาชวนขนลุกตัวเดิมยังถูกวางเอา
“เฮ้อ ก็นั่นสิน้าก็ไม่ได้มาตั้งสองสามวันแล้วนี่น้า”
ผมหันไปมองตามเสียงถอดถอนใจครั้งใหญ่ของมิสตีที่มองนิ้วตัวเองและถอนหายใจออกมาอีกครั้งราวกับกำลังเรียกร้องความสนใจตรงบริเวณเคาน์เตอร์ร้าน
“ช่วยไม่ได้น้า ถ้างั้นก็คิริโนะคุงไปเล่นข้างนอกกันเถอะ”
“เดี๋ยว เธอน่ะต้องมาช่วยฉัน”
“เอ๋ ก็มันน่าเบื่อนี่นา อยากออกไปข้างนอกอ่ะ”
“ไม่มีแต่ ทางนี้เองก็โดนทดลองอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะเหนื่อยสุดๆ เลยล่ะทางฉันไม่ได้ผลตอบแทนหรือประโยชน์อะไรจากวันที่ผ่านๆ มาเลยนะ”
มิน่าล่ะถึงว่าไม่ยักกะเห็นหัวยูบาริที่โรงเรียนหลายวัน
ผมยืนฟังอยู่เฉยๆ เพราะเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกกีดกันก่อนจะเสนอไอเดียโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดตัวเองที่ทำให้รู้สึกเหมือนไอ้โง่คนหนึ่งที่เพิ่งเข้าเมืองใหญ่ครั้งแรก
“คือว่าทำไมไม่ใช้เวทมนตร์อะไรสักอย่างทำล่ะ?”
มิสตีหันมามองผมด้วยใบหน้าลำบากใจก่อนจะอธิบายให้ผมฟังถึงที่มาของสีหน้านั้น
“ไม่มีศาสตร์เวทที่จะทำให้สะอาดได้หรอกนะ ศาสตร์เวทนะไม่ใช่ของวิเศษของหุ่นยนต์แมวจากอนาคต ศาสตร์เวทเป็นการสร้างหรือบังคมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติขึ้นมาในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่นการทำให้วัตถุลอยเองก็ทำให้กระแสแรงโน้มถ่วงเกิดผิดปกติแต่จะทำแบบนั้นได้จำเป็นจะต้องเข้าใจน้ำหนักของวัตถุและเอาไปคิดกับแรงโน้มถ่วงโลกอีกและถ้าจะทำให้เคลื่อนที่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เหนื่อยกว่าทำเองอีกแล้วเวทที่คิดว่าจะทำให้รอบๆ สะอาดขึ้นมาได้ทันทีเลยของแบบนั้นมันไม่มีหรอกนะอย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้แหละ”
ก็คนมันไม่รู้นี่นา
“ก็บอกแล้วไงคะว่าสูตรคำนวณให้ลอยเฉยๆ กับสูตรคำนวณให้เคลื่อนที่น่ะมันใช้ตัวเดียวกันไม่ได้น่ะ”
“ฉันจะไปรู้เราะเรื่องนั้นน่ะไปบอกกระทรวงเองสิ”
“ก็ถ้าฉันรู้วิธีเขียนสูตรบินคงทำไปนานแล้วค่ะ เวทมนตร์กับศาสตร์เวทที่มนุษย์สร้างมันต่างกันนะค้า”
ใจเย็นครับ ใจเย็น มีคนยืนโง่อยู่ตรงนี้คนหนึ่งเกรงใจหน่อยครับ
“นี่จะว่าไปแล้วที่นี่มันที่ไหนเหรอ?”
“อะ อ้อ เมืองเวทมนตร์เซ็นทรัลนี่บ้านฉันเอง”
มิสตีที่ผละจากการเถียงกับยูบาริตอบกลับมา
ดังนั้นแล้วขาผมจึงพาไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างอัตโนมัติ มองวิวทิวทัศน์เพื่อให้เห็นกับตาตัวเอง
แต่ก็เหมือนเดิมทิวทัศน์เป็นเหมือนกับตอนที่มาครั้งก่อนหน้าไม่มีแม้แต่นกสักตัว ประกาศเคอร์ฟิวกันอยู่รึไงนะเป็นเพราะผมรึเปล่า? ไม่มั้ง จะว่าไปแล้วระบอบการปกครองใช้แบบไหนกัน? ตั้งอยู่ตรงไหนขอโลกสเกลเวลาต่างจากประเทศผมเท่าไหร่? ประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นยังไง? แต่ที่ควรตั้งคำถามและเค้นหาคำตอบราวกับข้อสอบไฟนอลมูลค่ายี่สิบคะแนนนั้นคือทำไมถึงยังมืดเหมือนกับตอนนั้น
ไม่รู้แม้แต่ข้อเดียว
ขณะที่กำลังจะดำดิ่งสู่มิติแห่งจิตใจวินาทีทัดมาเสียงเคาะประตูร้านก็ดังขึ้นมากระชากผมกลับดังเดิม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ก็จริงอยู่ที่ว่าเป็นร้านอาหารแต่ก็ปิดมาหลายวันถึงจะมีคนเคาะก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกแต่สีหน้าของมิสตีที่ค่อยๆ เดินไปทางประตูกลับไม่คิดแบบนั้นด้วยเนี่ยสิ
ใบหน้าของชายตัวสูงที่อายุมากกว่าไม่กี่ปีจึงโผล่ออกมาพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวด้านหลังแต่พอปิดประตูลงก็กลับมาเงียบเป็นป่าช้าตามเดิม บนใบหน้านั้นมีแว่นกลมโตเหมาะกับโครงหน้ารูปสามเหลี่ยมสวมชุดรำรองที่ไม่ได้แปลกตาอะไร แม้เขาจะดูอายุมากกว่าแต่มิสตีก็เอ่ยขึ้นโดยไม่ใยดีด้วยคำพูดอย่าง “วันนี้ร้านจองไว้แล้ว” ด้วยใบหน้าไม่รับแขกแบบตรงตามตัวอักษรเลยจนชายคนนั้นเผลอออกอาการลนเล็กน้อย
“น่าๆ ใจเย็นก่อนสิมิสตีคุณผู้จัดการอยู่รึเปล่าล่ะ?”
“ไม่อยู่ค่ะแล้วก็ไม่เห็นมาสักพักแล้วด้วย มีธุระอะไรเหรอคะ?”
“เอ่อ ที่จริงแล้ววันนี้พวกเราเพิ่งจะจับนักโทษกลับมาได้หมดก็เลยจะเรียกไปประชุมกันเกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นและเรื่องต่อจากนี้กันน่ะ”
มิสตีหันมามองผมด้วยใบหน้าที่ซับซ้อน ผมจึงแกล้งเซ่อทำไม่รู้เรื่อง
“เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นนี่เหนื่อยหน่อยนะคะ”
“ไม่หรอกนั่นมันงานของหน่วยงานอื่นน่ะ”
ชายคนนั้นส่งยิ้มตอบแทนให้ในความเป็นและเริ่มกวาดสายตามองเข้ามาในร้านเพราะมีคนนอกแน่ๆ คนหนึ่งซึ่งก็คือผมเอง
“ยังไงก็เถอะถ้าผู้จัดการไม่อยู่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วมิสตีไม่ลองไปแทนหน่อยเหรอ?”
“ประชุมที่ได้กลิ่นดำมืดแบบนั้นไม่เอาหรอกค่ะ แล้วทางนี้ก็เป็นแค่เด็กด้วยเพราะฉะนั้นรีบๆ กลับไปได้แล้วค่ะ”
ก็พยายามที่จะไล่กลับไปอย่างเปิดเผยจริงล่ะนะ แต่นี่ก็โจ่งแจ้งไป
“มาสเตอร์ไปเถอะค่ะ!”
ยูบาริที่จู่ๆ ก็โพล่งแบบนั้นขึ้นมาทำให้ทุกสายตาไปบรรจบอยู่ที่เดียวกัน
“สถานการณ์ตอนนี้ท่าทางจะน่าสนใจที่สุดด้วยสิคะ”
หลังคำพูดนั้นมิสตีจึงก้มหน้าก้มตาคิดอะไรบางอย่างครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับขอเวลาคุยกับพวกผมสักครู่โดยให้ชายสวมแว่นอยู่นอกร้านรอ ที่ว่าสถานการณ์ตอนนี้น่าสนใจที่สุดมันก็จริงเพราะท่าทางกำลังจะเริ่มเดือดแล้วด้วย
“ที่พูดหมายความว่ายังไงอีกล่ะ” มิสตีพูด
ยูบาริยังไม่ตอบคำถามนั้นและกวักมือเรียกให้พวกเราเขาไปหาใกล้ๆ และก้มตัวนั่งยองๆ พวกเราจึงไม่มีทางเลือกต้องทำตาม กลิ่นของปัญหาจึงเริ่มเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ จะว่าไปทำไมต้องก้มกันด้วย
“คิดว่าพวกเขาจะพูดเรื่องเกี่ยวกับอะไรล่ะคะครั้งนี้น่ะ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องความผิดปกติที่เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ดูท่าจะเริ่มสังเกตแล้วว่ามีพลังอำนาจบางอย่างพยายามควบคุมพวกเขาอยู่แน่”
“พันธสัญญาสินะ”
“ใช่ค่ะแต่ตรงนั้นแหละเพราะพวกเขายังไม่รู้ถึงเรื่องพันธสัญญาคนที่รู้ก็คงมีแต่พวกเราเท่านั้น”
“แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ ทำให้พวกนั้นไขว้เขวงั้นเหรอฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่ดีตรงไหนนะแอบบอกเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาไปดีไหม?”
“เรื่องนั้นก็ยังบอกไม่ได้ค่ะพวกเรายังเชื่อใจพวกเขาไม่ได้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้เพราะตอนนี้พวกเขาก็เหมือนถูกชิงเขี้ยวเล็บไปคิดว่าจะต้องทำยังไงล่ะคะ แน่นอนว่าหาต้นต่อของเรื่องรับรองว่าไม่เกินพรุ่งนี้ได้มีคนแปลกๆ มาวนเวียนในเมืองของพวกเราแน่ค่ะคิริโนะคุง”
คำพูดนั้นทำให้มิสตีกอดอกครุ่นคิดอยู่สักพักและเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“นั่นสินะพันธสัญญาตอนนี้เป็นสิ่งที่ยังไม่มีตัวตนที่แน่ชัดสำหลับพวกเขาอาจจะรวมตัวฉันด้วยคงไม่แปลกที่จะกลัวของที่มีพลังอำนาจมากขนาดนั้น”
ผมเงียบคิดถึงผลกระทบต่างๆ ทั้งความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยและอื่นๆ เท่าที่มีเวลาคิดได้ก่อนจะตัดสิใจ
“งั้นก็เอาเลย”
ยูบาริหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ อะไรเล่าเวลานี้ฉันคิดดีที่สุดในสามโลกแล้วนะอย่ามาแขวะกันเลยน่า
“นี่คงไม่ได้ลืมไปแล้วใช่ไหมคะว่าฉันเป็นเอลฟ์ที่มาจากต่างโลกน่ะ”
“อ้อ ไอ้นั่นน่ะเหรอแล้วมันทำไมล่ะ?”
“ก็ตามพันธสัญญาข้อสองแล้วฉันไปยุ่งปัญหาของทางนี้ไม่ได้ค่ะ”
ทั้งๆ ที่ไอ้คนที่เสนอไปประชุมมันเธอเองนะ
“ข้อสองนี่ทางฉันเองก็ลำบากนะคะจะไปสมัครงานอะไรก็จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่เข้าไปยุ่งกับปัญหาของคนอื่นค่ะ สรุปแล้วคิริโนะคุงจะบังคับให้ฉันกลายเป็นนีทสินะ”
“เดี๋ยวๆ เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกันนะครับที่แก้ปัญหาชาวบ้านมันก็มีไม่กี่อาชีพเองนี่ทำมาหากินได้ตั้งหลายอย่างอย่าเพิ่งไปจบที่นีทสิ”
รู้สึกข้อสองนี่ก็ลำบากไม่แพ้กันเลย
“ยังไงก็ตามมาสเตอร์ช่วยไปเข้าประชุมด้วยนะค้าเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและอนาคต”
“เฮ้อ เข้าใจแล้วแค่ไปก็พอใช่ไหม? แต่เธอก็ต้องทำความสะอาดร้านด้วยล่ะ เอลฟ์รักษาสัญญารึเปล่าล่ะ?”
“เยสเซอร์”
ยูบาริทำท่าวันทยหัตถ์รับขณะนั่งยอง ก่อนมิสตีจะออกจากร้านไปเธอหันมาทางพวกเราด้วยสีหน้าปั้นยากพรางถอนหายใจออกมาอีกครั้งเป็นการส่งท้าย
หลังเสียงสั่นของกระดิ่งประตูเงียบลงผมจึงมองไปยังทิศที่ทั้งสองคนน่าจะไปผ่านทางหน้าต่างสักพัก แต่ก็ไม่มีใครเดินผ่านมันไปเลย
“เอาล่ะคิริโนะคุงมาทำความสะอาดร้านด้วยกันเถอะเดี๋ยวจะให้ดูของดีด้วยน้า”
“จัดไป”
เพื่อทำตามคำพูดนั้นยูบาริจึงเดินไปหาตุ๊กตาไม่รับเลี้ยงและมัดผูกกับผ้ากันเปื้อนจากนั้นก็มองไปรอบๆ และวิ่งหายเข้าไปหลังประตูร้านสักพักจึงกลับมาพร้อมไม้ปัดฝุ่นสองด้ามกับเทปกาวก่อนจะกลับไปที่ตุ๊กตาอีกครั้ง
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเอาไม้ปัดฝุ่นไปติดกับแขนตุ๊กตาสองข้าง”
“ก็แบบนี้ไงคะ”
ยูบาริยกตุ๊กตาขึ้นมาและแยกมือออกทว่าไอ้เจ้าตุ๊กตาบ้านั่นยังลอยเคว้งคว้างไม่ถูกแรงดึงดูดของโลกกระทำอันที่จริงมันไม่ขยับเหมือนกับตอนสมาร์ทโฟนของผมในโลกเสมือนเลย
“ยะ แย่แล้ว!! ลืมท่องคาถาเท่ๆ ก่อนใช้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ไปเลยเอ่อ ‘ไนติงเกล’”
ไม่แขวะละกัน แต่ว่าๆๆ ไม่เอาแบบนี้สิแค่หน้าตาตุ๊กตาที่ไม่สมควรถือวิ่งไปมาตอนนี้กำลังบินไปมาในร้านแล้วนะแถมยังกำลังปัดฝุ่นอีกต่างหากและผ้ากันเปื้อนที่ยาวย้อยลงมาก็ไม่ได้เข้ากันเลยสักนิดนี่มันแปลกเกินไปแล้ว ก็รู้ว่าที่ผ่านมามันมีแต่เรื่องแปลกแต่นี่มันหากคิดตามสามัญสำนึกแล้วมันน่ากลัวเกินไป ไม่สิไม่มีสามัญสำนึกโลกไหนจะยอมรับเรื่องนี้เด็ดขาด
“ตุ๊กตานั่นของเธอ?”
ยูบาริที่กวาดสายตามองผลงานตัวเองด้วยแววตาปลื้มปริก็กลับมามองผม
“ฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นหรอกค่ะ”
ก็แล้วมันของใครฟะนับวันมันยิ่งน่ากลัวขึ้นไปทุกทีแล้วนะเฟ้ย
“เอาล่ะเรื่องทำความสะอาดร้านก็ปล่อยให้ไนติงเกลจัดการไปพวกเรามาหาอะไรคุยกันหน่อยไหมคะคิริโนะคุง”
สายตาที่จ้องมาของยูบาริเปลี่ยนเป็นสายตาที่เต็มด้วยแรงกดดันอันมากมายราวกับแรงกระหายเลือดของสัตว์ป่าทันที
แต่จะมาหยุดแค่นี้ไม่ได้ เข้าสู่ช่วงเควสชั่นควิซอีกแล้วสิว่างั้น ถึงต่อให้เธอหาทางให้มิสตีออกไปได้แล้วก็ต้องขอชื่นชม แต่ไม่ยอมหรอกวันนี้วันหยุดทั้งทีขึ้นชื่อว่าวันหยุดก็ต้องหยุดสิ
“ฉันคิดว่าร้านมันใหญ่เกินไปที่จะใช้แค่ตุ๊กตาตัวเดียวทำนะตั้งใจทำความสะอาดไม่ดีกว่าเหรอ? เดี๋ยวก็โดนโกรธเอาหรอก”
“อะไรกันนึกว่าจะเป็นพวกขี้เกียจซะอีกรู้งานรู้การกว่าที่คิดนะค้า”
“ก็มันแน่อยู่แล้วคนทำไม่ใช่ฉันสักหน่อยเธอต่างหาก”
“ก็คิดไว้แล้ว งั้นถ้าฉันมีเวทมนตร์อย่างที่พูดเอาไว้ล่ะค่ะ”
ยูบาริหันมองไปทางตุ๊กตาทีหนึ่งทำให้สายตาของผมถูกนำไปด้วยและเธอก็หันกลับมามองผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“การทำความสะอาดเนี่ยดูง่ายขึ้นมาเลยนะค้า”
“จะบอกว่ามีไอ้เวทมนตร์ที่สามารถทำให้สะอาดได้รึไงกัน”
คำพูดนั้นทำให้เธอยักไหล่ขึ้นมา
“คิดจะเล่นจิตวิทยากับฉันรึไง?”
“แหมๆ ต้องขออภัย แค่หยอกเล่นเองค่ะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันก็เป็นของที่มาจากต่างโลกนี่นะความเป็นไปได้ที่จะมีก็มีเหมือนกันขนาดของอย่างพันธสัญญายังมีเลย”
ยูบาริพูดไปพรางเดินไปยังโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งริมหน้าต่างและหยิบผ้าออกมาจากอากาศที่เกิดรอยแตกเช็ดไปพราง
“รู้รึเปล่าว่าอะไรทำให้ฉันได้เปรียบเรื่องเวทมนตร์มากกว่ามนุษย์?”
“เป็นเอลฟ์มั้ง?”
“ก็ไม่ผิดสักทีเดียวแต่สิ่งที่ฉันได้เปรียบคือเรื่องที่มีสามารถควบคุมปรากฏการณ์ได้หมายความว่ายังไงลองเดาเล่นหน่อยเป็นไงคิริโนะคุง”
อยากพูดอะไร
“นั่นสินะจะบอกได้ว่าสามารถสร้างเวทมนตร์หรือค้นพบได้ล่ะมั้ง เรื่องที่จะคิดเวทที่สามารถทำให้ร้านสะอาดได้กำจัดเฉพาะฝุ่นไม่ทำลายอนุภาคอื่นเลยก็ไม่ได้เป็นศูนย์ซะทีเดียว ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ฉันก็เผยแพร่เวทมนตร์ให้โลกนี้มาเยอะเหมือนกันน้า”
ยูบาริปล่อยผ้าเช็ดโต๊ะในมือ มันจึงร่วงลงไปในรอยแยกของอากาศที่ถูกสร้างขึ้นและส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้ผม
“เชิญนั่งก่อนสิค้าคิริโนะคุง”
“นั่นคือสถานการณ์ปัจจุบันของฉันงานของจุดเหนือกฎเกณฑ์”
ว็อทเดอะ... ทำไมเมื่อผมกลับบ้านมาแล้วจู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากห้องนั่งเล่นทั้งๆ ที่คำพูดนั้นก็ไม่ได้เสียงดังอะไรแท้ๆ แต่กลับเป็นถอยคำที่ทำให้ผมหูผึ่งได้ง่ายๆ ราวกับคำพูดนั้นถูกกระซิบอยู่ข้างๆ หูฟังจากน้ำเสียงท่าทางจะเป็นผู้หญิง อีกแล้ว
“แต่ถึงมีพันธสัญญางานของฉันก็ยังไม่แตกต่างจากทุกครั้งเท่าไหร่ จึงหมายความว่าจะสามารถเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี แต่ต้องเปลี่ยนแผนงานการดำเนินการนิดหน่อย”
ดูเหมือนจะมีการพูดคุยของคนเหนือมนุษย์อยู่ในห้องนั่งเล่นผมจึงลังเลว่าจะเข้าไปแจมด้วยคนหรือว่าเดินผ่านไม่ก็รอจนกว่าจะคุยกันเสร็จดี ใจหนึ่งก็อยากเห็นหน้าคนที่เป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์ใจหนึ่งก็ไม่อยาก จู่ๆ ก็มีคนโผล่มาเพิ่มแบบนี้ลำบากใจนะแต่ทำไมมันมีแต่ผู้หญิงกันนะสัดส่วนคนรู้จักในช่วงนี้มันไม่สมดุลเลยสักนิด
“แล้วทำไมถึงมาหาฉัน?”
“ก็มันเริ่มไปแล้วนี่นาจึงต้องมาทักทายเอาไว้น่ะ เอาล่ะนั่นคือทั้งหมดที่รายงานขออภัยที่มารบกวนคุณฮัทสึฮารุ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วผมจึงทำท่าเดินแบบไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรและตอนนั้นเองใบหน้าของคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์ก็ปรากฏให้ผมเห็นเมื่อเธอเดินออกมาจากห้องรับแขกและสบตากับผมเหมือนอยากทักทาย
“ขอโทษที่มารบกวนนะแต่ฉันยังไงก็ต้องมาแสดงตัวให้เห็นฉันกริดาเนีย เรียกกรินดาก็ได้แล้วก็เป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์เป็นเจ้าของกุญแจดอกนี้ด้วย”
หญิงสาวที่มีผมยาวสีขาวสนิทราวกับว่าเส้นผมไม่สามารถสร้างเม็ดสีได้แล้ว แต่เมื่อเทียบใบหน้าดูแล้วกลับมีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นในมืออีกข้างกำลังจูงสายกระเป๋าลากสีน้ำตาลเอาไว้
แล้วจุดเหนือกฎเกณฑ์มันคืออะไร ผู้เหนือกฎหมายเรอะ
“ถ้าให้พูดก็คงเป็นคนที่ให้คุณคิริโนะใช้พลังในการหยุดเวลาน่ะ ถ้าอย่างงั้นตอนนี้ฉันต้องไปส่งของแล้ว”
ส่งของ?
“ก็เพราะโดยพื้นฐานแล้วฉันยังเป็นมนุษย์ทั่วไปจึงต้องเลี้ยงปากเลี้ยงเท้าด้วย ต้องขอโทษที่ตอนนี้ยังไม่สามารถมาตอบคำถามอะไรให้ได้นะ”
ไม่ใช่เลี้ยงปากเลี้ยงเท้าแต่เป็นเลี้ยงท้องครับอยากจะพูดกลับไปแบบนั้นแต่เธอก็เมินผมและเดินออกไปทางประตูเหมือนคนปกติจริงๆ ตามที่พูด ถึงจะดูเสียมารยาทก็เถอะแต่ดูปกติดีถ้าเทียบแค่ลักษณะภายนอกระหว่างฮัทสึฮารุกับยูบาริเธอดูปกติที่สุดก็ว่าได้
ผมสลัดความคิดเรื่องคุณกลินดาออกไปและเข้าไปในห้องนั่งเล่นวันนี้คุณน้องสาวไม่มีเรียนพิเศษด้วยจึงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างและเมื่อเข้าไปผมก็เห็นฮัทสึฮารุที่นั่งฝุบโต๊ะกินข้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“ก็แค่นักเวทธรรมดาไม่ต้องใส่ใจ”
แต่เมื่อกี้ว่าเป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์เชียวนะเป็นคนหยุดเวลาเมื่อตอนนั้นเชียวนาจะพูดว่าบังเอิญผ่านมามันก็ไม่ใช่แล้วนา
“ต้นกำเนิดตัวตนของจุดเหนือกฎเกณฑ์ฉันยังไม่ทราบ แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่โลกไม่ได้สร้างขึ้นมาหรืออาจถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่างนั่นจึงอาจเป็นเหตุผลที่แก่นแท้ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเธอได้ ถึงฉันจะเห็นเธอจากมุมมองอื่นแต่ก็ไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายกับสักเท่าไหร่กับ ‘ฆาตกร’ แบบนั้น”
ฟังแล้วคำพูดของพี่สาวคนนั้นก็ลอยเข้ามาในหัวผมโดยเฉพาะคำว่า ‘ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา’ ก็ลอยมาแต่ไกลแต่ใบหน้าของฮัทสึฮารุที่เบื่อหน่ายกลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูเย็นชาทำให้ผมไม่กล้าถามกลับไป
“อะ อือ หืม พี่คิริโนะกลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงของน้องสาวที่ดังมาจากทางโซฟากระจายไปทั่วบริเวณ การสนทนาจึงจบลงไปตรงนั้น เอาเถอะ ถึงจะมีเรื่องชวนปวดหัวเหนื่อยใจเข้ามาเพิ่มในชีวิตแต่กลับติดใจตรงที่ว่าเมื่อเจอเรื่องเหล่านี้แล้วผมยังคงต้องทำการบ้านเหมือนเดิมมันจึงทำให้ผมรู้สึกว่ามันขัดๆ กันยังไงๆ ชอบกล
“จริงสิพี่คิริโนะมีไอ้นี่ส่งมาน่ะ”
คุณน้องสาวยกซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาทั้งที่สภาพยังครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ไปแอบซื้ออะไรมาอีกรึไง? ถ้าแม่มาเจอเข้าได้บ้านแตกแน่เลยนะ”
“เฮ้ย ไม่ได้ซื้ออะไรสักหน่อย”
ผมยื่นมือไปรับซองเอกสารจากน้องสาวที่เริ่มหลี่ตาจับผิดและเปลี่ยนมาเป็นสายตาอยากรู้แทน เห็นดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องออกไปเปิดดูนอกห้อง
มีกระดาษอยู่สองแผ่น
แผ่นแรกคล้ายๆ กับเอกสารคำอธิบายอะไรบางอย่างที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตั้งแต่ตัวแรกจนตัวสุดท้ายแต่บางส่วนกลับถูกเว้นไว้ด้วยเส้นประอยู่หลายจุด
อีกแผ่นเป็นข้อความที่ทำให้ผมได้เข้าใจถึงสถานการณ์นี้เป็นตัวหนังสือที่ถูกเขียนด้วยลายมือ
‘เรียนคิริโนะคุงอย่างที่ทราบกันดีว่าดิฉันต้องการทำข้อตกลงเรื่องสิทธิบัตรเวทมนตร์จึงส่งตัวอย่างใบจดสิทธิบัตรมาให้ได้ทราบและมากำหนดทิศทางต่อจากนี้เพราะราคามันสูงเกินกว่าจะให้ไปฟรีๆ กันได้อย่างน้อยๆ แล้วราคาก็จะอยู่ที่ราวๆ ...’
หนึ่ง สอง สาม ผมหยุดนับทันที่เมื่อมาถึงเลขศูนย์ตัวที่หก และต้องเข่าทรุดเมื่อเห็นสกุลเงินดอลลากำกับเอาไว้หลังเลขศูนย์ตัวสุดท้าย
นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี
ไม่ได้เขียนชื่อเอาไว้แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใครผมจึงเบนสายตาออกมาจากกระดาษไปสบตากับฮัทสึฮารุที่เพิ่งลงมาจากชั้นสองเพื่อกินข้าว
“ขอโทษที่ก่อเรื่องและขอโทษอีกครั้งที่ฉันเข้าไปยุ่งไม่ได้”
ผมยืนมองฮัทสึฮารุที่พูดขึ้นเหมือนรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น
“เพื่อที่จะมาอาศัยที่บ้านหลังนี้มีแต่ต้องให้ยูบาริมาช่วยพูดให้ ข้อเสนอของเธอคือการห้ามไม่ให้ฉันเข้าไปยุ่งกับการทำธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมของเธอ”
ท่าทีนั้นดูไม่เหมือนกับคนที่ไปตัดระบบประสาทของยูบาริและแย่งพันธสัญญามาใช้เลยนะ
ฮัทสึฮารุส่ายหัวครั้งหนึ่งและเดินขึ้นบันไดไปอย่างไร้คำพูดใดๆ
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงนั่นคือวันที่จะได้ไปกินของฟรีให้เต็มคาบแบไม่ต้องเสียเงินบุพการีแม้แต่แดงเดียว
“เอาล่ะทุกท่านพร้อมแล้วสินะ”
ยูบาริที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวันก็กำลังยืนมองผมด้วยท่าทางกระสับกระส่ายกับมิสตีที่มาพร้อมกับกระเป๋าคาดเอวใบเดิมเพิ่มเติมคือถือกระเป๋าเดินทางอีกใบคิดว่าน่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันในช่วงที่อยู่สองสามวันนี้ ก็เป็นช่วงหลังจากที่ฮัทสึฮารุกับคิโยออกไปแล้วได้สักพักนั่นเองผมจึงบอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกเหมือนกันและด้วยเหตุนี้พวกเราก็กำลังยืนเตรียมพร้อมอยู่หน้ารั้วบ้านผม
“แล้วจะไปยังไงกันจะใช้ไอ้นั้นเหรอที่ผลุบๆ โผล่ๆ นั่นใช่ไหม”
ผมถามขึ้นเพราะนึกสงสัยขึ้นมา
“ไอ้ผลุบๆ โผล่ๆ เนี่ยออกจะแปลกใช่ไหมของแบบนั้นเหมือนมันขี้โกงสุดๆ ไปเลย”
ยูบาริเมื่อได้ยินคำเสริมจากมิสตีก็พรางรู้สึกเอือมระอาและเอามือทาบหน้าผากตัวเอง
“คือว่าอย่างน้อยช่วยตั้งชื่อให้มันดูดีเท่ๆ หน่อยดีไหมคะ ผลุบๆ โผล่ๆ เนี่ยเสียของหมด อย่างเกทออฟอะไรสักอย่างเงี้ย ยังไงก็เถอะก็ไปวิธีนั้นนั่นแหละมันไม่ใช่ของที่จะทำร้ายใครได้ก็เป็นแค่การไปจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งแค่นั้นเองคิดว่าทำได้ไม่ผิดพันธสัญญา”
เธอพูดคำว่าพันธสัญญาพรางเหลือบมองมาทางผมทำให้ต้องลบสายตานั้นราวกับเป็นสัญชาติญาณ ภายในใจผมจึงคิดคำพูดที่แสนจะเหมาะสมกับเรื่องนี้ได้ดีว่า ‘ไม่น่ารับคำเชิญไปเลย’
ยูบาริเข้ามาคว้ามือผมข้างหนึ่งและมิสตีข้างหนึ่งจากนั้นก็เริ่มเดิน ก้าวสองก้าวสามก้าว
ทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปเป็นสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายพอหันมองกลับไปก็พบว่าเกิดรอยแตกเหมือนทุกครั้งที่เธอทำแบบนี้ ผมยืนมองรั้วบ้านตัวเองจากอีกฝั่งจนรอยนั้นสมานกลับจนไม่เหลือร่องรอยในเวลาไม่กี่วิฯ
ไอ้นี่สะดวกจริงๆ ถ้ารู้จักใช้หน่อยคงดีน่าดู
“บอกไว้ก่อนนะค้าคิริโนะคุงฉันไม่สนใจความมั่งคั่งทรัพย์สินเงินทองหรอกก็แค่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานต่อไปแบบนี้ก็พอแล้ว”
ใช่ๆ พอมาคิดๆ ดูแล้วเรื่องเงินเนี่ยเป็นเรื่องเล็กน้อยเลยนะครับเนี่ยว่าไหม?
ยูบาริกอดอกพูดออกมาด้วยความมั่นใจจนอยากแทรกว่าถ้าไม่มีเงินแล้วจะใช้ชีวิตยังไงเหมือนกันแต่ก็ไม่เอาดีกว่า ผมมองเข้าไปในร้านที่ครั้งหนึ่งเคยมากินชีสเค้กพอมองไปยังโต๊ะตัวหนึ่งท่ามกลางความมืดก็พบว่าตุ๊กตาชวนขนลุกตัวเดิมยังถูกวางเอา
“เฮ้อ ก็นั่นสิน้าก็ไม่ได้มาตั้งสองสามวันแล้วนี่น้า”
ผมหันไปมองตามเสียงถอดถอนใจครั้งใหญ่ของมิสตีที่มองนิ้วตัวเองและถอนหายใจออกมาอีกครั้งราวกับกำลังเรียกร้องความสนใจตรงบริเวณเคาน์เตอร์ร้าน
“ช่วยไม่ได้น้า ถ้างั้นก็คิริโนะคุงไปเล่นข้างนอกกันเถอะ”
“เดี๋ยว เธอน่ะต้องมาช่วยฉัน”
“เอ๋ ก็มันน่าเบื่อนี่นา อยากออกไปข้างนอกอ่ะ”
“ไม่มีแต่ ทางนี้เองก็โดนทดลองอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะเหนื่อยสุดๆ เลยล่ะทางฉันไม่ได้ผลตอบแทนหรือประโยชน์อะไรจากวันที่ผ่านๆ มาเลยนะ”
มิน่าล่ะถึงว่าไม่ยักกะเห็นหัวยูบาริที่โรงเรียนหลายวัน
ผมยืนฟังอยู่เฉยๆ เพราะเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกกีดกันก่อนจะเสนอไอเดียโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดตัวเองที่ทำให้รู้สึกเหมือนไอ้โง่คนหนึ่งที่เพิ่งเข้าเมืองใหญ่ครั้งแรก
“คือว่าทำไมไม่ใช้เวทมนตร์อะไรสักอย่างทำล่ะ?”
มิสตีหันมามองผมด้วยใบหน้าลำบากใจก่อนจะอธิบายให้ผมฟังถึงที่มาของสีหน้านั้น
“ไม่มีศาสตร์เวทที่จะทำให้สะอาดได้หรอกนะ ศาสตร์เวทนะไม่ใช่ของวิเศษของหุ่นยนต์แมวจากอนาคต ศาสตร์เวทเป็นการสร้างหรือบังคมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติขึ้นมาในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่นการทำให้วัตถุลอยเองก็ทำให้กระแสแรงโน้มถ่วงเกิดผิดปกติแต่จะทำแบบนั้นได้จำเป็นจะต้องเข้าใจน้ำหนักของวัตถุและเอาไปคิดกับแรงโน้มถ่วงโลกอีกและถ้าจะทำให้เคลื่อนที่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เหนื่อยกว่าทำเองอีกแล้วเวทที่คิดว่าจะทำให้รอบๆ สะอาดขึ้นมาได้ทันทีเลยของแบบนั้นมันไม่มีหรอกนะอย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้แหละ”
ก็คนมันไม่รู้นี่นา
“ก็บอกแล้วไงคะว่าสูตรคำนวณให้ลอยเฉยๆ กับสูตรคำนวณให้เคลื่อนที่น่ะมันใช้ตัวเดียวกันไม่ได้น่ะ”
“ฉันจะไปรู้เราะเรื่องนั้นน่ะไปบอกกระทรวงเองสิ”
“ก็ถ้าฉันรู้วิธีเขียนสูตรบินคงทำไปนานแล้วค่ะ เวทมนตร์กับศาสตร์เวทที่มนุษย์สร้างมันต่างกันนะค้า”
ใจเย็นครับ ใจเย็น มีคนยืนโง่อยู่ตรงนี้คนหนึ่งเกรงใจหน่อยครับ
“นี่จะว่าไปแล้วที่นี่มันที่ไหนเหรอ?”
“อะ อ้อ เมืองเวทมนตร์เซ็นทรัลนี่บ้านฉันเอง”
มิสตีที่ผละจากการเถียงกับยูบาริตอบกลับมา
ดังนั้นแล้วขาผมจึงพาไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างอัตโนมัติ มองวิวทิวทัศน์เพื่อให้เห็นกับตาตัวเอง
แต่ก็เหมือนเดิมทิวทัศน์เป็นเหมือนกับตอนที่มาครั้งก่อนหน้าไม่มีแม้แต่นกสักตัว ประกาศเคอร์ฟิวกันอยู่รึไงนะเป็นเพราะผมรึเปล่า? ไม่มั้ง จะว่าไปแล้วระบอบการปกครองใช้แบบไหนกัน? ตั้งอยู่ตรงไหนขอโลกสเกลเวลาต่างจากประเทศผมเท่าไหร่? ประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นยังไง? แต่ที่ควรตั้งคำถามและเค้นหาคำตอบราวกับข้อสอบไฟนอลมูลค่ายี่สิบคะแนนนั้นคือทำไมถึงยังมืดเหมือนกับตอนนั้น
ไม่รู้แม้แต่ข้อเดียว
ขณะที่กำลังจะดำดิ่งสู่มิติแห่งจิตใจวินาทีทัดมาเสียงเคาะประตูร้านก็ดังขึ้นมากระชากผมกลับดังเดิม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ก็จริงอยู่ที่ว่าเป็นร้านอาหารแต่ก็ปิดมาหลายวันถึงจะมีคนเคาะก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกแต่สีหน้าของมิสตีที่ค่อยๆ เดินไปทางประตูกลับไม่คิดแบบนั้นด้วยเนี่ยสิ
ใบหน้าของชายตัวสูงที่อายุมากกว่าไม่กี่ปีจึงโผล่ออกมาพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวด้านหลังแต่พอปิดประตูลงก็กลับมาเงียบเป็นป่าช้าตามเดิม บนใบหน้านั้นมีแว่นกลมโตเหมาะกับโครงหน้ารูปสามเหลี่ยมสวมชุดรำรองที่ไม่ได้แปลกตาอะไร แม้เขาจะดูอายุมากกว่าแต่มิสตีก็เอ่ยขึ้นโดยไม่ใยดีด้วยคำพูดอย่าง “วันนี้ร้านจองไว้แล้ว” ด้วยใบหน้าไม่รับแขกแบบตรงตามตัวอักษรเลยจนชายคนนั้นเผลอออกอาการลนเล็กน้อย
“น่าๆ ใจเย็นก่อนสิมิสตีคุณผู้จัดการอยู่รึเปล่าล่ะ?”
“ไม่อยู่ค่ะแล้วก็ไม่เห็นมาสักพักแล้วด้วย มีธุระอะไรเหรอคะ?”
“เอ่อ ที่จริงแล้ววันนี้พวกเราเพิ่งจะจับนักโทษกลับมาได้หมดก็เลยจะเรียกไปประชุมกันเกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นและเรื่องต่อจากนี้กันน่ะ”
มิสตีหันมามองผมด้วยใบหน้าที่ซับซ้อน ผมจึงแกล้งเซ่อทำไม่รู้เรื่อง
“เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นนี่เหนื่อยหน่อยนะคะ”
“ไม่หรอกนั่นมันงานของหน่วยงานอื่นน่ะ”
ชายคนนั้นส่งยิ้มตอบแทนให้ในความเป็นและเริ่มกวาดสายตามองเข้ามาในร้านเพราะมีคนนอกแน่ๆ คนหนึ่งซึ่งก็คือผมเอง
“ยังไงก็เถอะถ้าผู้จัดการไม่อยู่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วมิสตีไม่ลองไปแทนหน่อยเหรอ?”
“ประชุมที่ได้กลิ่นดำมืดแบบนั้นไม่เอาหรอกค่ะ แล้วทางนี้ก็เป็นแค่เด็กด้วยเพราะฉะนั้นรีบๆ กลับไปได้แล้วค่ะ”
ก็พยายามที่จะไล่กลับไปอย่างเปิดเผยจริงล่ะนะ แต่นี่ก็โจ่งแจ้งไป
“มาสเตอร์ไปเถอะค่ะ!”
ยูบาริที่จู่ๆ ก็โพล่งแบบนั้นขึ้นมาทำให้ทุกสายตาไปบรรจบอยู่ที่เดียวกัน
“สถานการณ์ตอนนี้ท่าทางจะน่าสนใจที่สุดด้วยสิคะ”
หลังคำพูดนั้นมิสตีจึงก้มหน้าก้มตาคิดอะไรบางอย่างครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับขอเวลาคุยกับพวกผมสักครู่โดยให้ชายสวมแว่นอยู่นอกร้านรอ ที่ว่าสถานการณ์ตอนนี้น่าสนใจที่สุดมันก็จริงเพราะท่าทางกำลังจะเริ่มเดือดแล้วด้วย
“ที่พูดหมายความว่ายังไงอีกล่ะ” มิสตีพูด
ยูบาริยังไม่ตอบคำถามนั้นและกวักมือเรียกให้พวกเราเขาไปหาใกล้ๆ และก้มตัวนั่งยองๆ พวกเราจึงไม่มีทางเลือกต้องทำตาม กลิ่นของปัญหาจึงเริ่มเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ จะว่าไปทำไมต้องก้มกันด้วย
“คิดว่าพวกเขาจะพูดเรื่องเกี่ยวกับอะไรล่ะคะครั้งนี้น่ะ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องความผิดปกติที่เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ดูท่าจะเริ่มสังเกตแล้วว่ามีพลังอำนาจบางอย่างพยายามควบคุมพวกเขาอยู่แน่”
“พันธสัญญาสินะ”
“ใช่ค่ะแต่ตรงนั้นแหละเพราะพวกเขายังไม่รู้ถึงเรื่องพันธสัญญาคนที่รู้ก็คงมีแต่พวกเราเท่านั้น”
“แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ ทำให้พวกนั้นไขว้เขวงั้นเหรอฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่ดีตรงไหนนะแอบบอกเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาไปดีไหม?”
“เรื่องนั้นก็ยังบอกไม่ได้ค่ะพวกเรายังเชื่อใจพวกเขาไม่ได้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้เพราะตอนนี้พวกเขาก็เหมือนถูกชิงเขี้ยวเล็บไปคิดว่าจะต้องทำยังไงล่ะคะ แน่นอนว่าหาต้นต่อของเรื่องรับรองว่าไม่เกินพรุ่งนี้ได้มีคนแปลกๆ มาวนเวียนในเมืองของพวกเราแน่ค่ะคิริโนะคุง”
คำพูดนั้นทำให้มิสตีกอดอกครุ่นคิดอยู่สักพักและเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“นั่นสินะพันธสัญญาตอนนี้เป็นสิ่งที่ยังไม่มีตัวตนที่แน่ชัดสำหลับพวกเขาอาจจะรวมตัวฉันด้วยคงไม่แปลกที่จะกลัวของที่มีพลังอำนาจมากขนาดนั้น”
ผมเงียบคิดถึงผลกระทบต่างๆ ทั้งความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยและอื่นๆ เท่าที่มีเวลาคิดได้ก่อนจะตัดสิใจ
“งั้นก็เอาเลย”
ยูบาริหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ อะไรเล่าเวลานี้ฉันคิดดีที่สุดในสามโลกแล้วนะอย่ามาแขวะกันเลยน่า
“นี่คงไม่ได้ลืมไปแล้วใช่ไหมคะว่าฉันเป็นเอลฟ์ที่มาจากต่างโลกน่ะ”
“อ้อ ไอ้นั่นน่ะเหรอแล้วมันทำไมล่ะ?”
“ก็ตามพันธสัญญาข้อสองแล้วฉันไปยุ่งปัญหาของทางนี้ไม่ได้ค่ะ”
ทั้งๆ ที่ไอ้คนที่เสนอไปประชุมมันเธอเองนะ
“ข้อสองนี่ทางฉันเองก็ลำบากนะคะจะไปสมัครงานอะไรก็จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่เข้าไปยุ่งกับปัญหาของคนอื่นค่ะ สรุปแล้วคิริโนะคุงจะบังคับให้ฉันกลายเป็นนีทสินะ”
“เดี๋ยวๆ เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกันนะครับที่แก้ปัญหาชาวบ้านมันก็มีไม่กี่อาชีพเองนี่ทำมาหากินได้ตั้งหลายอย่างอย่าเพิ่งไปจบที่นีทสิ”
รู้สึกข้อสองนี่ก็ลำบากไม่แพ้กันเลย
“ยังไงก็ตามมาสเตอร์ช่วยไปเข้าประชุมด้วยนะค้าเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและอนาคต”
“เฮ้อ เข้าใจแล้วแค่ไปก็พอใช่ไหม? แต่เธอก็ต้องทำความสะอาดร้านด้วยล่ะ เอลฟ์รักษาสัญญารึเปล่าล่ะ?”
“เยสเซอร์”
ยูบาริทำท่าวันทยหัตถ์รับขณะนั่งยอง ก่อนมิสตีจะออกจากร้านไปเธอหันมาทางพวกเราด้วยสีหน้าปั้นยากพรางถอนหายใจออกมาอีกครั้งเป็นการส่งท้าย
หลังเสียงสั่นของกระดิ่งประตูเงียบลงผมจึงมองไปยังทิศที่ทั้งสองคนน่าจะไปผ่านทางหน้าต่างสักพัก แต่ก็ไม่มีใครเดินผ่านมันไปเลย
“เอาล่ะคิริโนะคุงมาทำความสะอาดร้านด้วยกันเถอะเดี๋ยวจะให้ดูของดีด้วยน้า”
“จัดไป”
เพื่อทำตามคำพูดนั้นยูบาริจึงเดินไปหาตุ๊กตาไม่รับเลี้ยงและมัดผูกกับผ้ากันเปื้อนจากนั้นก็มองไปรอบๆ และวิ่งหายเข้าไปหลังประตูร้านสักพักจึงกลับมาพร้อมไม้ปัดฝุ่นสองด้ามกับเทปกาวก่อนจะกลับไปที่ตุ๊กตาอีกครั้ง
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเอาไม้ปัดฝุ่นไปติดกับแขนตุ๊กตาสองข้าง”
“ก็แบบนี้ไงคะ”
ยูบาริยกตุ๊กตาขึ้นมาและแยกมือออกทว่าไอ้เจ้าตุ๊กตาบ้านั่นยังลอยเคว้งคว้างไม่ถูกแรงดึงดูดของโลกกระทำอันที่จริงมันไม่ขยับเหมือนกับตอนสมาร์ทโฟนของผมในโลกเสมือนเลย
“ยะ แย่แล้ว!! ลืมท่องคาถาเท่ๆ ก่อนใช้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ไปเลยเอ่อ ‘ไนติงเกล’”
ไม่แขวะละกัน แต่ว่าๆๆ ไม่เอาแบบนี้สิแค่หน้าตาตุ๊กตาที่ไม่สมควรถือวิ่งไปมาตอนนี้กำลังบินไปมาในร้านแล้วนะแถมยังกำลังปัดฝุ่นอีกต่างหากและผ้ากันเปื้อนที่ยาวย้อยลงมาก็ไม่ได้เข้ากันเลยสักนิดนี่มันแปลกเกินไปแล้ว ก็รู้ว่าที่ผ่านมามันมีแต่เรื่องแปลกแต่นี่มันหากคิดตามสามัญสำนึกแล้วมันน่ากลัวเกินไป ไม่สิไม่มีสามัญสำนึกโลกไหนจะยอมรับเรื่องนี้เด็ดขาด
“ตุ๊กตานั่นของเธอ?”
ยูบาริที่กวาดสายตามองผลงานตัวเองด้วยแววตาปลื้มปริก็กลับมามองผม
“ฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นหรอกค่ะ”
ก็แล้วมันของใครฟะนับวันมันยิ่งน่ากลัวขึ้นไปทุกทีแล้วนะเฟ้ย
“เอาล่ะเรื่องทำความสะอาดร้านก็ปล่อยให้ไนติงเกลจัดการไปพวกเรามาหาอะไรคุยกันหน่อยไหมคะคิริโนะคุง”
สายตาที่จ้องมาของยูบาริเปลี่ยนเป็นสายตาที่เต็มด้วยแรงกดดันอันมากมายราวกับแรงกระหายเลือดของสัตว์ป่าทันที
แต่จะมาหยุดแค่นี้ไม่ได้ เข้าสู่ช่วงเควสชั่นควิซอีกแล้วสิว่างั้น ถึงต่อให้เธอหาทางให้มิสตีออกไปได้แล้วก็ต้องขอชื่นชม แต่ไม่ยอมหรอกวันนี้วันหยุดทั้งทีขึ้นชื่อว่าวันหยุดก็ต้องหยุดสิ
“ฉันคิดว่าร้านมันใหญ่เกินไปที่จะใช้แค่ตุ๊กตาตัวเดียวทำนะตั้งใจทำความสะอาดไม่ดีกว่าเหรอ? เดี๋ยวก็โดนโกรธเอาหรอก”
“อะไรกันนึกว่าจะเป็นพวกขี้เกียจซะอีกรู้งานรู้การกว่าที่คิดนะค้า”
“ก็มันแน่อยู่แล้วคนทำไม่ใช่ฉันสักหน่อยเธอต่างหาก”
“ก็คิดไว้แล้ว งั้นถ้าฉันมีเวทมนตร์อย่างที่พูดเอาไว้ล่ะค่ะ”
ยูบาริหันมองไปทางตุ๊กตาทีหนึ่งทำให้สายตาของผมถูกนำไปด้วยและเธอก็หันกลับมามองผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“การทำความสะอาดเนี่ยดูง่ายขึ้นมาเลยนะค้า”
“จะบอกว่ามีไอ้เวทมนตร์ที่สามารถทำให้สะอาดได้รึไงกัน”
คำพูดนั้นทำให้เธอยักไหล่ขึ้นมา
“คิดจะเล่นจิตวิทยากับฉันรึไง?”
“แหมๆ ต้องขออภัย แค่หยอกเล่นเองค่ะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันก็เป็นของที่มาจากต่างโลกนี่นะความเป็นไปได้ที่จะมีก็มีเหมือนกันขนาดของอย่างพันธสัญญายังมีเลย”
ยูบาริพูดไปพรางเดินไปยังโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งริมหน้าต่างและหยิบผ้าออกมาจากอากาศที่เกิดรอยแตกเช็ดไปพราง
“รู้รึเปล่าว่าอะไรทำให้ฉันได้เปรียบเรื่องเวทมนตร์มากกว่ามนุษย์?”
“เป็นเอลฟ์มั้ง?”
“ก็ไม่ผิดสักทีเดียวแต่สิ่งที่ฉันได้เปรียบคือเรื่องที่มีสามารถควบคุมปรากฏการณ์ได้หมายความว่ายังไงลองเดาเล่นหน่อยเป็นไงคิริโนะคุง”
อยากพูดอะไร
“นั่นสินะจะบอกได้ว่าสามารถสร้างเวทมนตร์หรือค้นพบได้ล่ะมั้ง เรื่องที่จะคิดเวทที่สามารถทำให้ร้านสะอาดได้กำจัดเฉพาะฝุ่นไม่ทำลายอนุภาคอื่นเลยก็ไม่ได้เป็นศูนย์ซะทีเดียว ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ฉันก็เผยแพร่เวทมนตร์ให้โลกนี้มาเยอะเหมือนกันน้า”
ยูบาริปล่อยผ้าเช็ดโต๊ะในมือ มันจึงร่วงลงไปในรอยแยกของอากาศที่ถูกสร้างขึ้นและส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้ผม
“เชิญนั่งก่อนสิค้าคิริโนะคุง”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ