เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  22.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ขอวันไร้แก่นสารนี้ดำเนินต่อไป 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
     โครม!!
     ขณะที่กำลังจะกดลิฟต์ในโรงแรมเบื้องหน้ากลับมีหญิงชราล้มลงจากวีลแชร์ทำให้ตัดสินใจลากเท้าออกไปจากลิฟต์อย่างไม่ลังเล
     “เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
     เมื่อค่อยๆ ประคองหญิงชราขึ้นมาคนที่มาช่วยเหมือนฉันก็ได้ตั้งวีลแชร์ขึ้นอีกครั้งจึงค่อยๆ พยุงแกไปนั่งอีกกครั้งก่อนที่จะมีพนักงานโรงแรมออกมารับผิดชอบพร้อมกับพนักงานขนกระเป๋าอีกคนก่อนจะมีคนที่เหมือนจะเป็นคนในครอบครัวกลับมารับพร้อมกับขอบคุณยกใหญ่
     ‘ข่าวต่อไปช่วงหน้ามาเจาะลึกเรื่องนี้ที่กำลังเป็นประเด็นพูดถึงกันนะครับว่าผู้ต้องสงสัยเป็นลูกชายวัย 15 ฆ่าพ่อแม่ตัวเองจริงๆ หรือไม่อย่างไรช่วงหน้าครับ’
     หลังจากถูกประเด็นข่าวในโทรทัศน์ดึงดูดไปสักพักพอหันกลับไปที่ลิฟต์ก็มองเห็นหญิงชราเมื่อครู่กับญาติกำลังปิดประตูลิฟต์พร้อมกับที่ลิฟต์อีกตัวก็กำลังถูกพนักงานขนกระเป๋าใช้
     เฮ้อ
 
 
     “มีอะไรเหรอครับ?”
     ผมก้มมองอาจารย์ประจำชั้นคานิเอะซึ่งกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในห้องพักครูโบกพัดราวกับอยู่กลางหน้าร้อน
     “ทำไมไม่ลองถามตัวเองดูล่ะ”
     “ไม่ครับไม่ทราบครับรายงานระดับโนเบลของผมมันทำไมครับ?”
     อาจารย์คานิเอะมองผมด้วยสายตาทิ่มแทง ผมจึงหันหน้าหนีอัตโนมัติทำให้เธอถอนหายใจออกมา
     “ไอ้ที่เขียนไปนี่มันอะไรกัน มีทั้งระบายปมด้อยแก้ตัวจากนั้นก็เนียนเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย มันไม่เกี่ยวกับหัวข้อเลยไม่ใช่รึไง? แถมยังมีการยกบุคคลสำคัญมาเพิ่มความน่าเชื่อถืออีก กับหัวข้อที่ว่า ‘การดำรงตนในยุคโลกาภิวัตน์’ จะว่าเกี่ยวมันก็เกี่ยวว่าไม่เกี่ยวมันก็ไม่เกี่ยวเหมือนกัน”
     “อยากให้ใช้คำว่าเขียนให้อยู่ในขอบเขตแล้วเนียนเปลี่ยนเรื่องดีกว่านะครับ”
     รู้ทันอีก ก็นะผมก็อยู่กับแกมาได้ตั้งเดือนกว่าๆ แล้วคงไม่แปลกที่จะถูกจับได้ง่ายๆ แต่มันก็เร็วเกินไปอยู่ดี
     “นั่นสินะอย่างเธอคงมีเวลาเขียนไม่พอ ฉันจะให้เอาไปแก้ใหม่แล้วค่อยเอามาส่งภายในอาทิตย์นี้ซะ”
     “ถึงกับต้องเขียนใหม่เลยเหรอครับ? มอบงานให้ผมก็เหมือนมอบภาระให้โลกนั่นแหละครับเปลืองกระดาษ โลกจะร้อนเปล่าๆ ครับ”
     อาจารย์คานิเอะมองผมอย่างเอือมระอาและรวบบทสนทนาทันที
     “ฉันก็อยากให้เธอไปหาอะไรที่เอามาเขียนได้เป็นผู้เป็นคนหน่อยน่ะ แล้วก็ห้ามไปก๊อบในเน็ตมาล่ะ ไอ้ภาษาเขียนแบบแปลกๆ มันมีคนเดียวนี่ล่ะถ้ามันไม่ใช่ภาษาแบบนี้ฉันก็ไม่รับ”
     ผมถอนหายใจออกมาทางจมูกและยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายที่ประสบอยู่คนเดียวจึงพาสายตาไปยังโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ในห้องพักครูเพื่อให้หัวไม่คิดเรื่องนี้
     ‘วันนี้แล้วนะครับกับการฝากขังจำเลยคดีฆ่าพ่อแม่เด็กที่จับได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา จนทำให้เกิดเป็นกระแสมาว่าไม่มีเงินจะผ่าตัดได้ไหม? ไม่มีเงินไปฆ่าชิงทรัพย์มารักษาขาแม่ตัวเองถูกไหม? มาคุยกันครับ’
     ก่อนจะออกจากห้องพักครูเพื่อไปหาที่กินข้าวกลางวัน ณ สถานที่ประจำคนเดียวเหมือนทุกที
     นี่เป็นวันแรกหลังสัปดาห์โกลเด้นวีคอากาศจึงเริ่มร้อนขึ้นไปอีกขั้นแสงแดดที่รุนแรงเปลี้ยงปร้างชวนแสบตาราวกับไมโครเวฟรุ่นใหม่กำลังทำงานทำให้พื้นที่ๆ จะใช้นั่งกินถูกจำกัดไปโดยปริยายแต่การจะไปนั่งกินในห้องให้ตัวเองรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนอยู่กลางมหาสมุทรคนเดียวมันก็ใช่ที่
     โลกเนี่ยทั้งที่อยู่มาตั้งนานก็มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายอย่างสภาพอากาศมันก็ยังสามารถร้อนได้กว่าตอนนี้ ถ้าเกิดมันรัอนมากกว่านี้อีกล่ะจะเป็นยังไงกันนะ ส่วนตัวผมคิดว่าการที่มันร้อนคงเพราะอากาศร้อนเราๆ จึงเปิดสิ่งที่เรียกว่า ‘แอร์’ กันและยิ่งเปิดกันก็จะยิ่งทำให้ร้อนขึ้นไปอีกทำให้ต้องเปิดแอร์ต่อไปช่างเป็นวัฏจักรที่น่าเวทนาจริงๆ ถึงแม้ว่าผมเองก็ทำแบบเดียวกันนั้นก็ตามทีแต่ช่างมันเหอะคิดไปก็ไม่ช่วยให้เกิดสาระมากมายอะไร
     อ๊ะ นี่เองก็น่าจะเอาไปเขียนได้เหมือนกันนะ
     ผมเดินเรื่อยเปื่อยเพื่อหาสถานที่ซึ่งจะได้ลิ้มรสชาติข้าวกล่องฝีมือน้องสาวในสภาพที่แผ่นหลังเริ่มจะมีหยดเหงื่อเกาะแต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ก็มีผู้คนสุมหัวเกลื่อนกลาดอยู่กันไปหมดแม้แต่ม้านั่งยาวที่ประจำของผมก็ถูกยึดไปด้วยจึงไม่มีที่จะสิงสถิตแต่ก็มีความคิดหนึ่งแว็บเข้ามาในหัวที่จะลองคิดขึ้นไปกินบนชั้นดาดฟ้าที่รู้อยู่แก่ใจว่าประตูมันต้องล็อคไม่ให้ใครขึ้นไปได้ แต่จะให้มาคิดอยู่อย่างนี้มันก็น่ารำคาญจะเดินไปก็ขี้เกียจแต่ขามันก็ดันพาหยุดอยู่ใกล้ทางขึ้นพอดีเนี่ยสิ ความว่างทำให้คนเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอ
     ผมหมุนลูกบิดประตูไม่ได้เปิดออกแต่อย่างใดซึ่งถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ดีไป ผมเข้าไปด้วยความแปลกใจแล้วจึงมองไปรอบๆ คิดว่าลุงภารโรงแกอาจมีธุระอะไรก็ได้แต่ก็ไม่พบเห็นวี่แววของใครแม้แต่เงาอยู่เลย ถ้าหากมาโดนเจอค่อยขอโทษไปแล้วกันอีกอย่างประตูนี้เป็นแบบลูกบิดล็อกจากด้านในแม่กุญแจเองก็ไม่ได้คล้องอยู่ใกล้ๆ  ถ้าหากเปิดประตูทิ้งไว้แล้วนั่งใกล้ๆ ก็คงไม่มีทางโดนขังแน่แต่ตรงนั้นกลับมีแดดส่องสว่างจ้าจึงต้องไปนั่งบริเวณที่เป็นร่มเงาแต่ต้องเสี่ยงเอาว่าจะถูกขังรึเปล่า
     ทิวทัศน์บนนี้สามารถมองรอบๆ โรงเรียนได้สบายๆ สายลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่านแก้มจากทิศเหนือ ทำให้สภาพจิตใจรู้สึกผ่อนคลายสมองปลอดโปร่งจากการเรียนในภาคเช้า หลังรับรู้อรรถรสจากสถานที่แห่งนี้แล้วก็ได้เวลาเปิดฉากกินอาหารกลางวันได้สักที
     ผมมองไปยังเมืองที่ห่างออกไประหว่างที่กินข้าวไป
     “จะเห็นบ้านตัวเองรึเปล่านะ?”
     น่าเบื่อขนานแท้เลยจริงๆ เหตุผลในการมีชีวิตเนี่ยไม่รู้เลยจริงๆ เกิดมาอย่างคาดหวังและก็ตายไปอย่างว่างเปล่าสุดท้ายการใช้ชีวิตมันก็เสียเวลาจริงๆ นั่นแหละ ทำไมทุกคนถึงต่างมีชีวิตต่อไปในที่แบบนี้ได้กันนะ เกิดมาแล้วสุดท้ายก็ต้องตายกันเป็นธรรมดา ผมไม่เข้าใจไอ้คำพูดสวยหรูอย่างเกิดมาเพื่อรักใครสักคนหรือเพื่อชดใช้บาปกรรมแก่ชาติปางก่อนหรอก อาจจะเพราะยังเด็กแถมเพื่อนเป็นตัวเป็นตนยังไม่มีก็ได้ทำให้ผมยังไม่เข้าใจเรื่องนั้น
     ผมมองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อปล่อยให้จิตใจไหลไปตามกระแสลมหมู่เมฆ ขณะนั้นเองเกิดเสียงที่เหมือนกับมีอะไรถูกสะบัดอย่างแรงดังขึ้นต่อๆ กันเหมือนปฏิกิริยาตอบโต้ดังเหนือหัวด้านหลังผม ฝูงนกฝูงหนึ่งบินผ่านไปทางเมืองตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันจึงกินข้าวเที่ยงอย่างเหม่อลอยต่อไป พอสังเกตดูแล้วเป็นสีขาวทั้งฝูง จะเป็นนกพิราบขาวรึเปล่านะ
     แต่พอสังเกตให้ดีกว่านั้นก็ทำให้ผมเบิกตาโพรงนับว่าโชคยังดีที่ในตอนนั้นกลืนข้าวลงกระเพาะไปแล้วจึงไม่เกิดอาการติดคอตบท้าย แต่ได้สิ่งติดตามาแทน ผมเคยคิดว่าตัวเองยังสามารถแยกความจริงกับความฝันออกอยู่แต่เพราะสิ่งที่ผมเห็นนั้นก็ทำให้ความคิดนั้นเริ่มสั่นคลอน
     มันเป็นสิ่งที่เรียกว่านกได้ลำบากเพราะมันสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมยังมีรูปร่างแปลกๆ มีรอยเหลี่ยมตามส่วนต่างๆ ไม่มีตา เหมือนกันหมดจะดูยังไงมันก็เหมือนกับกระดาษที่ถูกพับมาเป็นอย่างดีจนเหมือนนกจริงๆ ผิดกับที่มีในหนังสือสอนพับกระดาษจำนวนมากที่โบยบินท่ามกลางท้องฟ้าอย่างไม่เกรงใจใครหน้าไหนและสุดท้ายมันก็บินหายเข้าไปจากปลายสายตา
     ในขณะที่ผมตัวแข็งอ้ำอึ้งไปราวกับถูกสตาฟพร้อมส่งพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาในภายภาคหน้าโดยมีชื่อผลงานว่า “ตื่นตลึง” เริ่มขยับอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัวจึงลุกขึ้นมาและตรงไปยังรั้วกันที่อยู่ด้านหน้า
     “มันอะไรน่ะ?”
     ถ้าผมเพี้ยนไปจริงๆ นี่ก็เป็นความบันเทิงต่อสิ่งแปลกใหม่อย่างหนึ่งเหมือนกันแต่ขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังแย่แน่ผมเกาะรั้วกั้นแน่นขนัดก่อนตัดสินใจกลับไปกินข้าวต่อที่เหลือและกว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองยังอยู่โรงเรียนไปไหนข้างนอกไม่ได้ก็เมื่อเสียงกริ๊งบอกเวลามาไล่ให้กลับห้องเรียนดังขึ้น
     พอกลับมาถึงก็ปาเข้าคาบไปแล้ว 5 นาที พบว่าทุกคนอยู่กันครบหน้าหมดเว้นแต่อาจารย์ซึ่งน่าจะกำลังมาทางนี้ ทำให้ผมรอดพ้นจากการตกเป็นเป้าสายตามากมายและอาจถูกซักถามว่าไปทำอะไรมาก็ได้ซึ่งถ้าถูกถามมาจริงผมคงได้ถูกส่งไปห้องพยาบาลเป็นแน่จึงรีบเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองแล้วเนียนทำตัวตามปกติแต่ก็ยังไม่หมดเรื่องเพียงนี้ เมื่อคนที่นั่งด้านหน้าผมซึ่งปกติก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรทั้งๆ ที่นั่งติดกันจะปริปากเป็นฝ่ายหันมาปฏิสัมพันธ์พูดก่อน
     "ไปไหนมา?"
     “โทษที”
     “เปล่าฉันหมายถึงพักเที่ยงไปอยู่ไหนมาต่างหาก?”
     รู้สึกถ้าจำไม่ผิดเธอคนนี้ชื่อฮัทสึฮารุ อากิ หญิงสาวผมยาวประบ่ามนุษย์สัมพันธ์ในระดับปกติเอ่ยปากขึ้นโดยที่ผมไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าเจ้าตัวมีจุดประสงค์เพื่ออะไรจึงตอบไปงั้นๆ ให้มันผ่านๆ ไป
     “กินข้าวเที่ยง บนดาดฟ้า”
     “ทำไมถึงไปที่นั่นล่ะมันล็อคห้ามเข้าไม่ใช่เหรอ?”
     “ก็นั่นสินะฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมถึงถ่อสังขารไปที่แบบนั้นน่ะอีกอย่างวันนี้ประตูก็ไม่ได้ล็อคด้วยสิ”
     จะให้หลุดเข้าเรื่องที่เห็นมาไม่ได้ด้วยสิเดี๋ยวจะถูกจ้องด้วยสายตาแปลกๆ เฮ้ อะไรอีกเล่ามาจ้องตาฉันทำไมเล่าแถมอย่างกับสายตาจับผิดแหน่ะ
     “หืม …งั้นเหรอนายเองก็ซนกว่าที่คิดนะ”
     ปกติต้องถามกลับมาว่า “ทำไมวันนี้ถึงไม่ล็อคเอาไว้ล่ะ?” สิ
     ต้องขอบคุณประเทศนี้จริงๆ ที่จำเป็นต้องสื่อสารกับผู้หลักผู้ใหญ่มากต่อให้ไม่มีเพื่อนเป็นตัวเป็นตนก็ยังทำให้สนทนากันได้ไม่ติดขัดแม้ว่าจะเป็นเพศตรงข้ามก็ตาม อีกอย่างหนึ่งอะไรทำให้เธอมาคุยกับฉันล่ะรึว่าแอบปิ๊งงั้นเหรอ แอบปิ๊งใช่ไหม แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากขึ้นเสียงประตูก็ดังขึ้นมาพร้อมกับประตูที่ค่อยๆ เปิดออกด้วยฝีมือของอาจารย์ประจำวิชาถัดไป ฮัทสึฮารุจึงหันหน้ากลับไปบทสนทนาจึงจบลงแต่ต่อให้ไม่มีใครเข้ามาบทสนทนาก็เหมือนจะจบไปแล้วอยู่ดี
     ก่อนที่ผมจะตรงกลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียนเพราะถึงยังไงผมเองก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ผู้ซึ่งมักคิดว่าตัวเองเป็นอิเล็กกูลาแตกต่างจากคนอื่นแต่ท่าทางวันนี้ที่เจอตอนพักเที่ยงจะทำให้ผมอยากกลับไปนอนเอื่อยเฉื่อยเต็มที ผมจึงลงจากอาคารไปแล้วนึกย้อนเล่นว่าทำไมคนอย่างผมถึงถ่อไปบนดาดฟ้ากันเรื่องการบ้านที่โดนยัดเยียดมาก็แล่นเข้ามาในหัวพอดี
     ผมเดินมาหยุดอยู่บริเวณสนามโรงเรียนก็พบเห็นกลุ่มคนที่กำลังวิ่งรอบสนามด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
     พวกนี้วางเป้าหมายในชีวิตไว้ยังไงกันแน่นะทั้งที่สุดท้ายแล้วพอจบไปก็ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้แล้วแท้ๆ รถหรือยานพาหนะเองก็ถูกสร้างมาเพื่อไม่ให้เราต้องมาวิ่งแท้ๆ วางเป้าหมายระดับโลกงั้นเหรอ?
     อาชีพหมอเองที่เห็นอยากเป็นกันนักหนามันก็แค่เพราะถูกพ่อแม่สั่งมาเพื่อจะได้เอาไปอวดใครต่อใครเองไม่ใช่เหรอ แล้วถ้าได้เงินเท่าค่าแรงขั้นต่ำแรงงานจะมีคนทำอยู่รึเปล่านะ
     สุดท้ายแล้วก็ไม่เข้าใจเลย ทำไมมนุษย์ถึงยึดมั่นได้มากขนาดนั้นเพื่อใครกันสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนหรือครอบครัวมันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ ผมก็ไม่ได้อยากทำตัวขวางโลกหรอกนะเพียงแต่ไม่ค่อยจะเข้าใจเหล่าคนที่ยังมีความฝันก็เท่านั่นเอง
     ผมเชื่อในความสามารถของบุคคลเชื่อในความฝันของมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เข้าใจที่มาของแรงจูงใจของความฝันเหล่านั้น
     ผมเดินไปรอบโรงเรียนไปเรื่อยเปื่อยเพื่อหาหัวข้อมาเขียนรายงานก่อนจะตัดสินใจที่จะกลับบ้านไปแต่โดยดี แต่ก่อนจะทำแบบนั้นเมื่อมาถึงสวนหย่อมโรงเรียนที่ปกติถ้าผมไม่ถูกรั้งตัวไว้ก็จะมาหาม้านั่งดีๆ แถวนี้จนไม่ทันระวังเพราะมัวแต่คิดเรื่องการบ้านกับสามัญสำนึกในหัวปนกันมั่วอยู่นั้นก็เกือบจะชนกับใครคนหนึ่งบนทางเชื่อมอาคารเข้าแต่ก็หยุดได้หวุดหวิดทันท่วงที
     “อ๊ะ ขอโทษครับ”
     ผมขอโทษเธอไปตามมารยาทส่วนเธอก็พยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นสัญญาณ ไม่ได้สวมเครื่องแบบนักเรียนเอาไว้จึงน่าจะเป็นคนนอก เส้นผมที่ยาวถึงเอวได้ปลิวไปมาตามแรงลมสั่นไหวไปพร้อมกับแรงที่เดินทั้งที่ไม่เคยพบกันแน่ๆ แต่ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างบอกไม่ถูกซึ่งกำลังโอบกองเอกสารบางอย่างเอาไว้เดินสวนผมไปโดยไม่ติดขัดอะไร ผมจึงคลายสายตาจากคนๆ นั้นเพราะมันก็มีเหตุผลอยู่หลายๆ เรื่องที่จะมีคนแต่งตัวแบบนั้นมาโรงเรียนยิ่งเป็นตอนเย็นก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ ผมจึงจะตั้งใจเดินโดยไม่ประมาทเหมือนเมื่อครู่ก็เหลือบไปเห็นของที่อยู่บนพื้นใกล้ๆ และหยิบมันขึ้นมา
     นี่มัน รู้สึกจะเป็นเอกสารประวัตินักเรียนไม่ใช่เหรอ
     ผมเงยหน้าขึ้นโดยหวังดีจะเอาไปคืนคนเมื่อกี้เพราะแกอาจจะมีเรื่องอะไรสักอย่างก็ได้ แต่ผมก็ต้องตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบกับรอยยิ้มจางๆ อยู่ตรงหน้าผม
     ฉับพลันนั้นผมก็เด้งตัวถอยไปข้างหลังตามสัญชาตญาณในช่วงเวลานั้นเองที่ตัวผมจู่ๆ ก็รู้สึกคล้ายจะหมดแรงหน้ามืดขึ้นมาดื้อๆ จึงพยายามกุมสติตัวเองเอาไว้ ไม่ใช่ว่าใช้พลังงานไปจนหมดหรอกนะ? ขนาดวันนี้ไม่มีคาบพละนะเนี่ยถึงจะไม่ใช่สายกีฬาแต่ถ้าไม่อยู่กลางแดดผมก็ไม่เคยหน้ามืดเลยแท้ๆ
     สุดท้ายก็พยุงร่างตัวเองไม่ไหวจนต้องเซไปพิงกับเสาอาคารและค่อยๆ ร่วงลงไปกับพื้นก่อนที่สติของผมจะดับไปเธอก็ย่อตัวลงมามองและในที่สุดสติของผมก็ขาดลง
 
     พอรู้สึกตัวอีกทีเบื้องหน้าผมก็มองเห็นสถานที่อันคุ้นเคยอยู่ตรงหน้าเสียแล้วแถมโดยรอบยังมืดค่ำแล้วด้วยก่อนที่ผมจะมาอยู่ตรงนี้สติครั้งสุดท้ายของผมบังเอิญบอกมาว่าเป็นโรงเรียนเวลากิจกรรมชมรม ยังไงก็เหอะด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ผมจำเป็นต้องปัดความคิดเกี่ยวกับที่มาที่ไปเพื่อกลั่นกรองหาสุดยอดข้อแก้ตัวที่น่าเชื่อถือที่สุด
     สภาพผมคงไม่ต่างจากพนักงานบริษัทที่ไปดื่มมาแล้วกลับบ้านไม่ไหวล่ะนะตอนนี้
     ผมค่อยๆ ชันกายขึ้นยืนจากท่านั่งพิงกำแพงแล้วหยิบกระเป๋านักเรียนบนพื้นข้างๆ ขึ้นมาปัดเศษฝุ่นรอบตัวกับกระเป๋าออกหลายทีจากนั้นก็สูดลมรับออกซิเจนเข้าลึกๆ ให้ชุ่มปอดเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจมุ่งไปยังสถานที่เบื้องหน้าแห่งนี้ ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงไม่ต้องทำลีลาอะไรถึงขนาดนี้หรอก เพียงแต่ตอนนี้มันเป็นตอนกลางดึกแถมน่าจะดึกมากแล้วด้วยมันจึงผิดไปจากทุกครั้งชีวิตผมจึงอันตรายยิ่งนัก
     “กลับมาแล้ว”
     และนั่นคือคำพูดแรกที่ผมพูดออกไปเมื่อกลับถึงบ้านด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
 
     รุ่งขึ้นผมตื่นเช้ากว่าทุกทีโดยไม่ต้องให้น้องสาวมาปลุกไม่ใช่เพราะผมได้นอนเต็มคราบมาหรอก ในหัวผมเหมือนมีภาพเหตุการณ์อะไรแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอฉายหลายต่อหลายช๊อตเหมือนจะเป็นตัวเองแต่ไม่ใช่ตัวเองอยู่ในหัวรางๆ แต่น่าเสียดายที่ภาพเหตุการณ์นั้นมันไม่คมชัด FullHD จึงนอนนึกอยู่ทั้งคืนทำให้นอนไม่หลับจนไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันแต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกอยู่ดี แต่ช่างเหอะในเมื่อมันค่อยๆ เลือนหายไปตอนผมแปลงฟันและเหมือนไม่เคยมีอะไรก็ตอนออกจากบ้านจึงเล่าไม่ได้ว่ามันเป็นยังไงบ้างเพียงแต่ความรู้สึกที่หลงเหลือจากความฝัน
     หลังจากที่เรียนภาคเช้าซึ่งยังไงก็ไม่รู้เรื่องเลยสักนิดส่วนเหตุผลขอละไว้ในสถานะที่เข้าใจกันขณะที่กำลังจะออกจากห้องไปนั้นหัวหน้าห้องผู้มีมนุษย์สัมพันธ์เกินจำเป็นเรียกได้ว่าเป็นคนดีของสังคมเลยก็เข้ามาทักทายผม ทั้งโลกคงมีคนแบบนี้คนเดียวล่ะมั้งที่เข้ามาทักทายคนที่เป็นโซโล่อย่างผมทั้งที่ทุนเดิมไม่ได้สนิทชิดเชื้อกัน
     “คิริโนะทำไมวันนี้ถึงดูเพลียๆ ไปซะล่ะ”
     กะว่าจะรีบไปหาม้านั่งที่อยู่ใต้ร่มห่างไกลจากรังสียูวีเอ บี ก่อนที่จะมีใครไปจับจอง แต่จะให้เมินหัวหน้าห้องที่อุตส่าห์แสดงความหวังดีแบบลมๆ แล้งๆ ที่ส่งมามีหวังได้เกิดผลเสียตามมาภายหลังแน่
     ไม่รู้เพราะอะไรทำให้คนที่เข้ามาทักผมมักจะพูดชื่อผมกันทั้งนั้นถึงปกติคนที่ทักตลอดแบบนี้ที่โรงเรียนก็มีแค่อาจารย์คานิเอะก็ตาม …คุณเองเหรอครับอาจารย์ ใช่ซี่ก็มันไม่มีคนทักคนอื่นแล้วนี่
     ผมจ้องมองใบหน้าของหัวหน้าห้องที่เข้ามาทักทายด้วยท่าทางเป็นห่วงอาจจะเพราะอยากสร้างภาพในสายตาคนอื่นหรือไม่ก็มาทำลายผมให้ถูกสังคมรังเกียจ ประณาม แอบจิกกัดนินทา ใช่เหมือนกับยัยมนุษย์สองคนที่อยู่ด้านหลังหัวหน้าห้องที่มองมาทางนี้แล้วหัวเราะออกมา แต่เอาเหอะสายตานั่นจะมองใครอยู่ไม่สำคัญถ้ามาใส่ใจเรื่องแค่นั้นก็ไม่มีตัวผมในวันนี้หรอก
     “ก็แค่เมื่อคืนนอนไม่หลับน่ะ ถ้าไม่ว่าอะไรฉันขอตัวก่อนล่ะถ้าได้พักผ่อนก็คงหายแหละ”
     แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะมั้งถ้าเกิดพูดจาขวานผ่าซากไปคงได้กลายเป็นศัตรูกันแต่ถ้าพูดมากไปกว่านี้คนที่จะเสียหายก็คืออีกฝ่าย เพราะฉะนั้นบริบทการสนทนาประมาณนี้นี่แหละโอเคที่สุดแล้ว ถึงจะเป็นหัวหน้าที่ดีแต่ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องดูแลลูกน้องสักหน่อย
     “ถ้างั้นไม่ไปพักที่ห้องพยาบาลซะล่ะ”
     ก้าวขาของผมถูกน้ำเสียงอันไพเราะหยุดเอาไว้ราวกับเสียงนั้นเป็นเสียงที่ดังขึ้นมาจากสรวงสวรรค์ ห้องพยาบาลเรอะถ้าเป็นที่นั่นล่ะก็จะกินข้าวเที่ยงก็ยังได้จะของีบหนีคาบบ่ายก็ยังได้ถ้าเป็นผมตอนนี้ล่ะก็น่าจะพอขอนอนได้อยู่ ดีไม่ดีมีโอกาสได้กลับบ้านด้วยซ้ำ ยอดมากฮิเมกิ ชิกุเระขอโทษด้วยเธอเป็นหัวหน้าที่ดีมากเลย ขอยกนิ้วในใจให้
     “นั่นสินะ จะลองไปดูถ้าคาบบ่ายฉันไม่มาก็ช่วยบอกอาจารย์ด้วยล่ะ”
     ผมหันกลับไปพูดเหมือนปกติและก้าวเท้าเดินต่อไปโดยพยายามคิดท่าทางน่าสมเพชที่ครูพยาบาลเห็นแล้วจะเชื่อได้ในหัวระหว่างตรงไปห้องพยาบาลอย่างไม่ลังเลตามวัยของวัยรุ่นที่ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ว่าจะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว
     “ฮะฮะ นั่นสินะเมื่อวานเรื่องนั้นมันก็ดีสุดๆ ไปเลยมีทั้งฉากฮา ดรามา ผสมผสานกันได้ลงตัวสมกับที่ล่ำลือจริงๆ”
 
     ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาและสัมผัสได้ถึงความสดชื่นราวกับได้ลอกคราบหลังแช่บนเตียงในห้องพยาบาล อืม การนอนสุดยอด การนอนจงเจริญ ผมสงสัยว่าตัวเองนอนไปนานแค่ไหนถึงทำให้รู้สึกได้แบบนี้จึงเรียกอาจารย์ห้องพยาบาลแต่ไม่มีเสียงตอบกลับจึงหยิบมือถือสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาดูเวลาทำให้ม่านตาทั้งสองถึงกับเบิกโพรงและพูดอะไรไม่ออกเหงื่อไหล่ลงมาถึงแก้มช่วยบ่งบอกได้ดีว่าเข้าสู่สภาวะกดดันสุดขีดราวกับว่าได้ไปเห็นสิงไม่ควรเห็นเข้าแล้ว
     ตอนนี้มันไม่ใช่แค่เลิกเรียนแต่ดันปาไปจนหมดเวลากิจกรรมชมรมของวันซะแล้ว ผมจึงกระโดดลงจากเตียงโดยไม่สนใจว่าจะทำเตียงพังรึเปล่าและเพราะเขาไม่ให้วิ่งบนระเบียงผมจึงต้องเดินเร็วตรงไปยังห้องเรียนเพื่อไปหยิบกระเป๋าทั้งที่เมื่อกี้ยังรีบอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์รักษากฎระเบียบเอาไว้พลางพร่ำในใจเป็นทอดๆ ว่า ‘ให้ตายซิ’
     ผมเลื่อนประตูห้องออกแสงอาทิตย์ยามเย็นได้สาดส่องให้ทั่วทั้งห้องกลายเป็นสีส้มดูงามตาน่าหลงใหลในความแปลกใหม่นี้แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาปลาบปลื้มยินดีอะไร ตอนนี้ผมต้องรีบกลับบ้านไปแล้วเมื่อวานก็ทีหนึ่ง ผมตรงไปคว้ากระเป๋าที่แขวนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงเบื้องหน้าสายตา เมื่อผมไปคว้าจับกระเป๋าได้แล้วดันไปเหลือบเห็นเงาใครบางคนเข้า ผมจึงต้องรีบหันไปดูเพื่อความแน่ใจก่อนจะฟุ้งซ่านไปเอง
     “อะ อะไรกันเธอเองเรอะ?”
     ฮัทสึฮารุนั่งห้อยขาเท้าคางมองเหม่อไปทางหน้าต่างบนโต๊ะตัวหนึ่งกลางห้อง ผมกะว่าจะไม่ยุ่งด้วยจะเป็นการดีที่สุดจึงไม่ได้คุยมากกว่านั้นและเริ่มก้าวเท้าอีกครั้ง
     “มาแล้วสินะ”
     เสียงนั้นทำให้ผมชะงักอีกครั้งและหันไปมองฮัทสึฮารุตามปฏิกิริยาของร่างกายโดยฉับพลัน คงไม่มีอะไรเธออาจพูดลอยๆ ไม่ก็อาจเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนที่ตัวเธอเรียกมา อ๊ะ ถ้าเป็นยังงั้นก็แย่แฮะดันมาอยู่ในสถานการณ์ไม่เข้าท่าซะแล้วสิ โทษทีนะฮัทสึฮารุฉันผ่านมาเอากระเป๋าไม่ได้ตั้งใจจะมาขวางอะไรหรอกฉันจะทำเป็นเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นอย่ามามีปัญหากับฉันภายหลังเลยนะ
     แต่ในตอนนั้นฮัทสึฮารุก็หันหน้ามาทางผมทว่ายังคงนั่งบนโต๊ะท่าเดิมและพูดออกมาอีกครั้ง
     “ฉันรอนายจะมานี่แหละ”
     ฮัทสึฮารุลงจากโต๊ะแล้วกุมมือไว้ระดับอกพร้อมกับก้มหน้าเล็กน้อยเหมือนพวกแม่ชีตอนสวดมนตร์เดินมาทางผมส่วนผมเองก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจยืนมองเฉยๆ เพราะต้องมองไปรอบๆ ห้องรวมทั้งมองไปอีกฝากของประตูที่ตัวเองเปิดไว้เผื่อเจอใครแต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่เงา
     ฮัทสึฮารุค่อยๆ เดินมาอย่างเก้ๆ กังๆ โดยที่ใบหูเริ่มแดงหรือว่าผมอาจคิดไปเองก็ได้เพราะมีแสงยามเย็นย้อมสภาพห้องไปหมดแล้ว คงไปโดนเกมลงทัณฑ์ที่ไหนมาล่ะสิน่าสงสารแท้ๆ แต่เจ้าพวกที่เอาฉันเป็นบทลงโทษนี่น่าหงุดหงิดชะมัด
     “ชะ ช่วย…ช่วย”
     ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ สุดท้ายก็หลีกเลี่ยงเรื่องแคลงใจกันไม่ได้งั้นเรอะ
     “ช่วย… โอ๊ย! ทำไมฉันต้องมาทำเรื่องแบบนี้ด้วยเนี่ย!”
     จู่ๆ ท่าทีของเจ๊แกก็เปลี่ยนไป เอามือกุมหัวตัวเองเหมือนคนที่เพิ่งนึกคิดได้ว่ากำลังทำเรื่องน่าอายที่สุดในชีวิตลงไป น่าสงสารอยู่เป็นกลุ่มกันก็โดนแกล้งแบบนี้แหละ เอาล่ะกลับได้รึยังครับขอร้องล่ะไม่งั้นกระผมจะแย่จริงๆ นะถ้างั้นขอตัวล่ะครับ
     “นาย”
     “…?”
     ผมไปอยู่หน้าประตูแล้วจำเป็นต้องหยุดเพื่อหันไปหาเธออีกครั้งปรากฏว่าเธอได้โยนอะไรสักอย่างมาโดยไม่สนใจว่าผมจะรับทันรึเปล่าด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่ไม่รู้ว่ามั่นใจเรื่องอะไรของเขาแต่เพราะผมมีประสาทสัมผัสที่ผ่านการฝึกฝนมาจากเกมในระดับหนึ่งทำให้สามารถรับมันได้อย่างฉิวเฉียด
     “ทำอะไรของเธอ?”
     “เอาน่าลองดูก่อน”
     อะไรของเจ๊แกอีกล่ะ ผมก้มมองสิ่งที่ถูกโยนมาอย่างไม่ใยดีเมื่อครู่ในมือตามคำสั่ง มันคือกุญแจที่คล้องติดกับสายคล้องถูกยอมเป็นสีส้มของดวงตะวันจนยากที่จะมองออกว่าแท้จริงแล้วมันสีอะไรกันแน่
     “เอ่อ นี่มัน?”
     ผมได้แต่ทำหน้างงรับเท่านั้นเพราะมันไม่ใช่พวกกุญแจที่เราๆ ใช้กันอยู่ทั่วไปแต่มันคือกุญแจที่น่าจะทำเอาไว้เปิดหีบสมบัติอะไรแบบนั้นไม่ก็เป็นเครื่องประดับ
     “ก็แค่ของที่ระลึกธรรมดา”
     ของที่ระลึก? เนื่องในโอกาสอะไร
     “วันเกิดเธอเหรอ?”
     “ห๋า? พูดอะไรน่ะแล้วถ้าเป็นวันเกิดฉันทำไมเจ้าของวันเกิดต้องให้ของขวัญคนอื่นด้วยล่ะ”
     “ก็เผื่อว่าคนที่มาวันเกิดเธอมีคนที่เกิดวันเดียวกันไงบางทีก็ต้องใส่ใจให้มากๆ ด้วยยิ่งเป็นเจ้าของงานด้วยแล้ว”
     ถึงตัวเองจะไม่เคยจัดก็ตามเถอะนะ
     “เออๆ เข้าใจแล้วน่า”
     ฮัทสึฮารุสะบัดมือไปมาด้วยท่าทีขอไปที
     “ยังไงก็เก็บๆ มันไปเหอะ”
     ผมก้มมองกุญแจในมืออีกครั้ง อืม ก็ไม่เสียหายอะไร
     “แล้วเอามาให้ฉันทำไม หรือว่าให้คนในห้องไปหมดแล้วจึงเหลือแค่ฉันที่ไม่ได้ให้งั้นสิ และเพราะยังงั้นถึงกับยอมอยู่เย็น ขอโทษที่เป็นภาระนะแต่เธอที่นั่งเต๊ะท่าบนโต๊ะและทำทีอย่างกับจะสารภาพ...”
     ผมสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเธอเริ่มแดงอีกครั้งผมจึงหยุดพูดไว้แค่นั้น
     “กะ ก็เพื่อนฉันบอกว่าถ้าทำแบบนั้นมันได้บรรยากาศกว่านี่นา”
     ไม่ว่าเพื่อนเธอคนนั้นจะเป็นใครควรระวังตัวไว้หน่อยดีกว่านะ ผมเก็บกุญแจลงกระเป๋านักเรียนและหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง
     “โทษทีนะเวลาฉันมีจำกัดถ้าจะพูดอะไรก็เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน”
     “นั่นสินะฉันเองคงไม่ได้มาอีกแล้วล่ะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะนะ”
     ฮัทสึฮารุยักไหล่เหมือนกับกำลังพล่ามบางอย่างออกมาแต่ด้วยสายเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องผละจากที่แห่งนั้นไปโดยไม่ได้ทันแม้นแต่หวนคิดถึงสีหน้าขณะพูดของเธอ
     เมื่อผมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพคุณน้องสาววัยสิบสองที่เพิ่งจะขึ้นชั้นมอต้นมาหมาดๆ ก็เข้ามาตอนรับอย่างอบอุ่นด้วยการส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ทันทีเมื่อผมเปิดประตูบ้านเข้าไปราวกับว่ากำลังนั่งรออยู่หน้าประตูบ้านเป็นชั่วโมง
     “พี่คิริโนะไปซื้อวัตถุดิบตามที่เขียนไว้ในนี้หน่อยสิรีบๆ หน่อยก็ดีนะ”
     “เอ๊ะ?”
     “ก็ถึงได้บอกให้รีบๆ กลับไง เอาเหอะน่าเร็วๆ เข้าเดี๋ยวจะไม่ทัน”
     “อะ อืม”
     ผมถูกดันให้ออกจากบ้านไปอีกครั้งจึงยื่นกระเป๋าให้น้องสาวและไปคว้าจักยานในสวนบ้านตัวเองจากนั้นจึงรีบบึ่งไปห้างเล็กๆ ที่ไปประจำ ทั้งที่เจ้าจักรยานนี่เคยเป็นของผมมาก่อนแท้ๆ แต่เมื่อตัดมาปัจจุบันคุณน้องสาวผมกลับใช้มันไปโรงเรียนแทนเสียแล้ว ทำให้ผมต้องถูกปลุกแต่เช้าและตามมาด้วยอาการปวดข้อเอ็นกล้ามเนื้อ
     หลังกลับมาจากภารกิจซื้อของเติมเสบียงผมก็ถอนหายใจเหมือนคนหมดแรงเฮือกใหญ่ออกมาทีหนึ่ง สาเหตุนั้นไม่ใช่แค่การเดินทางอย่างเดียวเพราะกองทัพแม่บ้านและวัยรุ่นทั้งหลายที่กรู่กันเข้าห้างเพื่อไปแย่งกันซื้อของลดราคาเนื่องในโอกาสชดเชยโกลเด้นวีคและยังเป็นวันสุดท้านบวกกับเป็นเวลาขายข้าวกล่องครึ่งราคา ให้ตายสิมันเลยร้ายสุดๆ ไม่สินั่นเรียกได้ว่าเป็นสนามรบเลยก็ได้ มิหนำซ้ำผมยังไม่ได้รับเงินในส่วนนี้มาแต่นับว่าโชคยังดีที่รู้ทันจึงสามารถเอาไปวางคืนและออกไปกดเงินได้ทันก่อนที่จะถึงหน้าเคาเตอร์แต่แค่ต้องเริ่มเดินหาของใหม่เองทำให้ชวดไปหลายรายการเหมือนกัน
     ใช่แล้วที่ผมกำลังกลุ้มคือเรื่องจะถูกน้องสาวต่อว่านี่แหละ
     ผมหิ้วถุงพลาสติกอันบะเอ้งถุงหนึ่งเข้าบ้านหลังจอดจักรยานและล็อคล้อเรียบร้อยแล้ว
     “กลับมาแล้ว”
     ชั่งเป็นน้องสาวใจยักษ์ที่ใช้งานได้โหดสุดๆ แบบหน้าตาเฉยจริงๆ
     ผมเดินไปยังห้องนั่งเล่นตามสัญชาตญาณความเคยชินจึงเห็นน้องสาวกำลังถือกุญแจที่ผมเพิ่งจะได้มายืนอยู่ข้างตู้เย็นระบบอินเวอร์เตอร์ที่กำลังถูกเปิดทิ้งเอาไว้
     “พี่คิริโนะนี่อะไรเหรอ?”
     “อืม เครื่องซักผ้ามั้ง…ขอโทษครับกุญแจครับ”
     เพิ่งรู้นี่ล่ะว่าเจ้ากุญแจนั่นเป็นสีขาวแต่คุณน้องไปค้นกระเป๋าคุณพี่มาสินะครับ
     “ไม่ๆ ไปเอามาจากไหนต่างหาก แล้วของพี่คิริโนะเหรอ? ซื้อมาเท่าไหร่เนี่ย?”
     ผมวางถุงพลาสติกไว้บนโต๊ะก่อนจะตอบกลับน้องสาวที่ทำหน้าเหมือนจะพยายามจับผิด
     “มีคนใจดีแจกให้ แน่นอนว่าน่าจะแจกให้กันทั้งห้อง”
     “เห เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ?”
     “ไม่รู้”
     ดูเหมือนว่ากุญแจนั่นจะน่าสนใจสำหรับเธอไม่น้อยถึงยังยืนจ้องมองมันเหมือนจะตั้งคำถามต่างๆ นาๆ ให้รกสมองอยู่อย่างนั้น
     “มีอะไรอีกล่ะ?”
     ผมถามขึ้นเพราะท่าทางตู้เย็นกำลังกรีดร้องทำงานหนักกว่าปกติเพราะเธอเปิดข้างไว้
     “มันแปลกดีนะแถมยัง…อืม ลองปิดไฟดูสิ”
     ผมเดินไปปิดไฟตรงมุมห้องแล้วหันไปทางน้องสาวอีกครั้งก็มองเห็นลวดลายที่ปรากฏออกมาบนกุญแจ เรืองแสงสีแดงออกมาเหมือนกับรีโมทเครื่องเล่นดีวีดีหรือพวกรีโมทแอร์แต่เป็นลวดลายเส้นมั่วๆ สั้นบ้างยาวบ้างจนเป็นเหมือนสัญลักษณ์ข้อความอะไรสักอย่างซึ่งผมไม่มีทางรู้ได้แน่ถ้ายังไม่ได้ค้นจากอินเตอร์เน็ตหรือถามจากผู้ผลิตว่ามันหมายถึงอะไร ผมจึงเปิดไฟกลับเมื่อรู้เหตุผลที่น้องสาวสนใจ
     “เห็นไหม! ใครเขาจะผลิตให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ ดูยังไงก็เปลืองต้นทุนชัดๆ”
     “ปล่อยๆ เขาไปเหอะ บางครั้งนั่นก็เป็นยุทธวิธีการค้านะ”
     “กุญแจเนี่ยนะ?”
     งั้นทำไมของเล่นที่แถมจากเซตคุณหนูของแมกฯ ที่เรียงแสงได้ถึงไม่แปลกใจกับมันซะเลยเล่า
     “เพื่อความแปลกใหม่หรือสวยงามอะไรก็ว่ากันไป ไม่ก็เผื่อจะหาเจอได้ง่ายๆ เป็นไง”
     “อืม งั้นเหรอแต่ก็ออกแบบมาได้ละเอียดดีเหมือนกันนะ”
     ผมเดินไปยังโต๊ะอาหารที่มีของกินถูกวางเอาไว้แล้วจ้องมองมันสักพักเพื่อทำความเข้าใจอาหารตรงหน้า
     “ขอได้ไหม?”
     “ก็ตามใจ”
     ผมเริ่มขยับมือโดยมีเสียงท่าทางดีใจของน้องสาวเป็น BGM ระหว่างกินข้าวฝีมือของเธอ ส่วนเหตุที่น้องสาวเป็นคนทำกับข้าวแทนพระผู้เป็นแม่นั้นน่ะ เพราะแม่มักทำงานกลับบ้านจนดึกเป็นประจำจึงได้สอนวิชาการครัวให้คุณน้องสาวตั้งแต่…เอ่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า แต่ช่างมันเถอะคงไม่มีใครมาสนใจเรื่องนี้อยู่แล้วแต่พักหลังมานี้ผมกลับรู้สึกว่าเพื่อแม่จะได้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยตอนอยู่บ้านต่างหากคงเป็นการวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วมั้ง
     “แล้วแม่ล่ะกลับมารึยัง?”
     “ก็กลับมาแล้วนะมีอะไรเหรอ? ปกติพี่คิริโนะไม่ใช่คนที่จะถามทุกข์สุขใครนี่นา”
     น้องสาวที่กำลังแกว่งกุญแจเล่นกับแมวที่เลี้ยงไว้ก็ตอบมาด้วยสีหน้าแปลกใจพูดออกมาไม่เกรงใจราวกับเรื่องนั้นเป็นเรื่องตายตัว
     “ยังงั้นเลยเหรอ? พอดีมีงานที่ต้องเข้าใจแก่นแท้ทัศนะคติทางสังคมน่ะสิ”
     “หา? อะไรล่ะนั่น?”
     “ก็สิ่งที่คนเราทำกันไงสามัญสำนึกน่ะ”
     “เอ่อ เปล่าๆ ไม่ใช่ละหนูคิดว่านั่นไม่ใช่ประเด็นนะแต่เอ่อ ช่างเหอะแล้วได้อะไรมั่ง?”
ถึงกับไปไม่เป็นเลยเหรอ ก็นะ
     “คงเอาไว้ฆ่าเวลาไม่ก็เปิดบทสนทนามั้ง”
     “เอ จะว่าไปมันก็จริงนะเพราะส่วนใหญ่ถ้าไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไงก็มักใช้คำถามประเภทนี้นั่นแหละ เป็นเป็นยังไงบ้าง ทานข้าวรึยัง ก็จะเป็นลักษณะนี้นี่แหละแต่รู้สึกมันยังไงๆ อยู่นะ”
     ผมมองใบหน้าของน้องสาวตัวเองและเบือนไปมองกุญแจที่ถูกโอนกรรมสิทธ์ครอบครองไปแล้วในมือของเธอ
     “งั้นคิดว่าการยกสินทรัพย์ที่มาจากน้ำแรงของตัวเองหรือคนใกล้ชิดให้คนอื่นล่ะคิดว่าไง? อย่างมอบของขวัญให้กันวันคริสต์มาสหรือการบริจาคเงินให้การกุศลมันก็แค่อยากได้หน้าได้ตาเองไม่ใช่เหรอ”
     “พี่คิริโนะเนี่ยมองโลกแง่ลบกว่าที่คิดอีกนะรู้ตัวไหม? เป็นเด็กมีปัญหาสินะ คนบางคนเองก็มีสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถทำได้แล้วกลุ่มคนที่เข้ามาบริจาคคือกลุ่มคนที่…”
     “คิดว่าคนเหล่านั้นน่าสงสารสินะ”
     ผมถูกน้องสาวมองด้วยสายตาเอือมระอาทันที
     นั่นสินะไว้พรุ่งนี้ค่อยไปถามฮัทสึฮารุเอาดีกว่าว่าแจกให้เนื่องในโอกาสอะไรเราเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้เรื่องไม่มีเหตุผลหรือไม่มีคำอธิบายมากวนใจซะด้วยสิก็ว่างนี่นะ ไม่สินี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งของการบ้านจะได้เอาไปอ้างอิงช่วยไม่ได้ล่ะนะในเมื่อครูประจำชั้นสั่งมานีนา
 
     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา