Love You My Love รักเธอที่เป็นเธอ
9.6
เขียนโดย แม่หญิงเมืองสาคร
วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.50 น.
9 ตอน
1 วิจารณ์
11.05K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 16.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บทที่ 8 ว่าที่ลูกเขย (อัพ 100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 8 ว่าที่ลูกเขย

พิมพ์ Part
“ฮัลโหล ว่าไงคะม๊า” ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมารับสายม๊า
“ตายแล้ว นี่ตะวันแยงก้นแล้วนะลูก ทำไมถึงตื่นสายขนาดนี้”
รับปุ๊บม๊าก็บ่นปั๊บ เพราะท่านจะซีเรียสเรื่องเวลาตื่นนอนมาก ตอนเด็กๆท่านจะสอนให้ลูกๆ ตื่นเช้าตีห้า นี่ต้องตื่นแล้วนะ ถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดก็เถอะ ถ้าวันไหนในสามพี่น้องมีใครตื่นสายนี่บ้านแตกแน่ ม๊าจะบอกตลอดว่าการตื่นเช้าเป็นกำไรของชีวิต เพราะทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน คนที่เห็นคุณค่าของเวลาและตื่นเช้าจะใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่าซึ่งมันก็จริงอย่างที่ม๊าสอนนั่นแหล่ะ แต่ม๊าไม่รู้นี่ว่าฉันนอนตีสาม เพราะถูกก่อกวนจากผู้ชายห้องตรงข้าม เลยอยากนอนตื่นสายๆ สักวัน
ย้อนเวลาวันวาน
แฟลชไดร์ฟฉันหายไปไหน เมื่อคุยงานกับหมอกายเสร็จ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมแฟลชไดรฟ์งานไว้ที่คอมของคนกวนประสาท ฉันลังเล สองจิตสองใจว่าจะกลับไปเอาคืนมาตอนนี้เลยดีไหม หรือวานให้โรสไปเอาให้ดี แต่แล้วฉันก็ตัดสินใจไปยังห้องทำงานส่วนตัวลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลนี้เพียงคนเดียว พอไปถึงกลับไม่มีใครอยู่ งั้นมีอีกทางคือกลับไปทวงที่คอนโดน่าจะมีโอกาสเจอตัวมากที่สุด
เป็นอย่างที่คิดไว้ เขาอยู่คอนโด และตอนนี้แฟลชไดร์ฟของฉันก็อยู่ในมือเขา
"ตามหาไอ้นี่อยู่ใช่ไหม"
"ใช่ ฉันมาของานฉันคืน"
"ทำผมไว้เจ็บแสบ แล้วจะมาเอาคืนไปง่ายๆแบบนี้ได้ไง มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนดิคุณ"
"อย่าลีลาได้ไหมคุณ ฉันมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ"
"หว่า!!! แย่จัง ดูเหมือนว่าเจ้าของแกไม่ได้อยากได้แกจริงๆนะ" เขาชูแฟลชไดร์ฟขึ้น แล้วบ่นพรึมพรำๆอยู่คนเดียว แถมยังเหล่ตามองฉันอีกต่างหาก
"จะเอาอะไรก็รีบว่ามา"
"นอนห้องคุณ"
"เป็นบ้าหรือไง เลิกกวนประสาทฉันสักที"
"งั้นก็ไม่ต้องเอา ผู้หญิงอะไรใจร้ายชะมัด ดูแผลที่ทำไว้ด้วย เท้าบวมหมดแล้วเห็นไหม" ฉันก้มมองผลงานที่ฝากไว้กับบาทาของเขาซึ่งมันก็บวมจริงๆ
"เห็นผลงานตัวเองหรือยัง คุณทำให้ผมเดินเหินลำบาก เพราะฉะนั้นคืนนี้คุณต้องดูแลผม"
"นับ 1 ถึง 3 เดินตามฉันให้ทัน ถ้าไม่ทันฉันถือว่าข้อตกลงเป็นโมฆะ"
แต่มีหรอที่อีตานี่จะตามฉันไม่ทัน เขาก้าวขาเพียงก้าวเดียวก็เหมือนกับฉันก้าวขาไปสิบก้าว ยังไม่ถึงสามดีเขาก็ปิดประตูล็อคห้องให้เรียบร้อย จากนั้นก็แต่งตั้งตัวเองเป็นองค์ชาย นอนชี้นิ้วสั่งฉันทำโน้นนี่นั้นให้อย่างสบายใจ จนกระทั่ง
"คุณจะเอาไรอีกไหม ฉันจะขอตัวไปเคลียร์งานต่อ เอาของฉันคืนมาได้แล้ว"
"มาตรงนี้ซิ" เขาตบโซฟาเบาๆเรียกให้ฉันเข้าไปนั่งตรงนั้น
"จะทำไร"
"มาเถอะ ถ้ามาจะคืนของให้" ฉันทำตามที่เขาขอ
"แล้วไงต่อ"
"นั่งนิ่งๆนะคุณ" ว่าแล้วเขาก็เอนตัวนอนหนุนตักฉัน ก่อนจะพลิกตัวหันมากอดตัวฉันไว้ "ตักนิ่มจัง ตัวคุณห๊อมหอม"
"ออกไปเลยนะคุณ เล่นบ้าอะไรเนี่ย" ฉันระดมตีไปที่ตัวเขา งัดแขนที่โอบรอบเอวฉันออก
"ถ้าตีอีก ผมจะจับคุณปล้ำตรงนี้แหล่ะ ลองดูไหม ผมยิ่งเป็นพวกชอบความรุนแรงซะด้วย ยิ่งตี ผมยิ่งมีอารมณ์" ฉันหยุดชะงักมือทันที
"หึหึ ไม่ตีอีกล่ะคุณ ตีอีกซิ"
"หยุดพูดมากเลย คุณมันเป็นพวกผู้ชายมือไว ฉวยโอกาสได้ฉวยโอกาสดี ฉันเสียหายนะคุณ"
"ผมรับผิดชอบแน่ไม่ต้องห่วง ลองได้ ว่าผมพูดจริงหรือเปล่า"
เขาเด้งตัวลุกขึ้นใช้แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแน่นๆคร่อมตัวฉันเอาไว้ ฉันพยายามดิ้นหนีเอาตัวรอด แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งโถมน้ำหนักตัวลงมาทับ ทำให้ฉันหนีไปไหนไม่ได้ เราสองคนสบตากันอยู่เกือบนาที แววตาของเขาเป็นประกายบอกถึงความรู้สึกว่าต้องการ เป็นฉันเองที่ไม่สามารถทนทานสายตาอันเร้าร้อนของเขาได้จึงรีบเบี่ยงหน้าหนี แต่แล้วเขากลับโน้มหน้าเข้ามาคลอเคลียบริเวณซอกคอระหง ความรู้สึกวาบหวามพลันพลุกพล่านขึ้นอย่างบอกไม่ถูก สัมผัสจากริมฝีปากนุ่มของชายตรงหน้าค่อยๆไต่ไล่ระดับจากลำคอไปยังหู เขาหยุดทิ้งช่วงหอบหายใจถี่อยู่ตรงนั้น ฉันคิดว่าเขาจะหยุดการกระทำนี้ แต่ฉันคิดผิด เขากลับประคองใบหน้าของฉันให้หันไปเผชิญกับดวงตาหวานเยิ้มของเขา
ฉันเรียกสติตัวเองรวบรวมกำลังที่มีอยู่ผลักเขาออกไป แต่แรงอันน้อยนิดของฉันไม่มีผลเลย เขากลับรวบแขนของฉันไว้ด้วยมือหนาเพียงข้างเดียว แล้วซุกหน้าเข้ามาที่ซอกคอ กัด เม้มให้เกิดรอยช้ำอีกครั้ง มืออีกข้างเริ่มลูบไล้วงขาขาวเขยิบเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะสอดเข้ามาในเสื้อนวดคลึงบริเวณแผ่นหลัง รู้ตัวอีกทีเขาก็ปลดตะขอเสื้อในของฉันออกเรียบร้อยแล้ว
"หยุด!!! ฉันบอกให้หยุดไง" ได้ผลเขาหยุดการกระทำนั้นแล้วดึงฉันเข้ามากอดไว้แน่น
เขานอนกอดฉันอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ก่อนจะค่อยๆคลายกอดและกระซิบที่ข้างหูของฉันเบาๆว่า
"ครั้งนี้สำหรับครั้งที่คุณโกหกว่าเป็นแฟนกับพี่คุณ วันหลังอย่าโกหกผมอีก ถ้าจับได้ ผมไม่หยุดแค่นี้แน่"
ปัจจุบัน
“ตื่นแล้วค่ะ เมื่อคืนพิมพ์เคลียร์งานดึกไปหน่อย” ใครจะกล้าบอกว่าเมื่อคืนฉันเจออะไรถึงไม่หลับไม่นอน
“ลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าเลย วันนี้มีนัดกินข้าวเย็นกันที่บ้าน ม๊าโทรบอกลูกพอลไว้แล้ว เดี๋ยวหนูก็มากับเฮียเขาเลยแล้วกัน อยู่ห้องตรงข้ามกันนิ ติดรถเฮียเขามาเลยนะลูก”
จากอาการงัวเงีย คราวนี้ฉันตื่นเต็มตัว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “เดี๋ยวนะม๊า เมื่อกี้บอกให้พิมพ์ไปพร้อมใครนะ”
“ม๊าให้หนูมาพร้อมเฮียพอลไงลูก เฮียเขาบอกให้หนูไปพร้อมเขาเลย...พอลนี่น่ารักเนอะ หนูคิดเหมือนม๊าไหม” คิดตรงข้ามเลยเหอะ อีตาบ้านี่ไปทำยังไงให้ม๊าติดอกติดใจได้ถึงขั้นนี้
“พิมพ์ขับรถกลับเองก็ได้นิ ก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องลำบากเขาเลย”
“ไม่น่ารักเลยนะลูก ลำบงลำบากอะไรกัน ม๊าบอกยังไงก็ทำตามแบบนั้น อย่าเถียงม๊า” อีกแล้ววลีสุดฮิตของบ้านฉัน พวกเฮียๆ เจริญรอยตามมาจากม๊ากับเตี่ยนี่เอง อย่าเถียง อย่าเถียง อย่าเถียง
“พิมพ์ไปอาบน้ำดีกว่า ไว้เจอกันที่บ้านค่ะ”
“มาเร็วๆนะลูก”
ให้ตายเถอะ ทำไมม๊าต้องชวนเขาไปกินข้าวด้วยก็ไม่รู้ คิดว่ารอดพ้นช่วงเมื่อคืนนี้มาได้ ยังต้องมาเจอกันตอนเช้าอีก ยิ่งเห็นรอยช้ำที่ต้นคอ ยิ่งเจ็บใจชะมัด ฉันนั่งเอาไดร์เป่าผมตัวเอง และได้แต่นั่งบ่นอยู่ในใจ
ออด...ออด...ออด!!!!!...
“ไงที่รัก ตื่นสายนะวันนี้” เขาทักทายฉันได้กวนประสาทมาก เสียใจฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วย แค่เห็นหน้าเขาฉันก็หมดอารมณ์แล้ว
“ที่ลงที่รักอะไรของคุณ” ฉันเดินปลีกตัวเข้าไปเอากระเป๋าในห้องนอน
“ทำไมวันนี้ใส่เสื้อคอเต่าล่ะคะที่รัก ไม่ร้อนหรอแต่ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกผมรีบ เพราะคุณแม่ของคุณฝากเราซื้อของสดให้ท่านอีก ท่านกำชับว่าห้ามถึงบ้านช้า” เสียงตะโกนของคนกวนประสาทก็ยังคงเรียกฉันว่าที่รักเหมือนเดิม ฉันเดินออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายคู่ใจ แต่ดันโดนเขาดึงไปถือให้ซะอย่างนั้น
“เอากระเป๋าของฉันคืนมา”
“อยากถือให้ มีไรไหม” เขายังคงทำหน้ามึนกวนอารมณ์เหมือนเคย
“อยากถือก็ถือไป...ปิดห้องให้ด้วย”
ฉันจงใจเดินชนกระแทกไหล่คนตัวโต แต่ความจริงกลับไม่โดนไหล่เขาเลย ดันไปโดนหน้าอกแน่นๆเข้าเต็มๆ ส่วนฉันหรอไหล่แทบจะหลุดกระเด็นออกมาอยู่แล้ว เจ็บเป็นบ้า แต่ต้องรักษาฟอร์มเก็บอาการเจ็บไว้ ไม่งั้นโดนหัวเราะเยาะแน่
เรากำลังมุ่งหน้าไปหาซื้อของตามที่ม๊าสั่งเขาให้ฉันเลือกระหว่างห้างกับตลาดสดว่าฉันอยากไปซื้อของที่ไหนมากกว่ากัน
“ตลาดสด” พอเขาได้ยินคำตอบก็ถึงกับเลิกคิ้วสูง เหล่ตาหันมามองฉัน ทำไมล่ะ การที่คนอย่างฉันชอบไปตลาดสดมากกว่าเข้าห้างมันน่าแปลกใจตรงไหน
“มองฉันแบบนี้หมายความว่าไง มันน่าตกใจมากหรือกับการที่ฉันชอบเดินตลาดมากกว่าห้าง”
“ก็แปลกกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยคบ...แต่ดันเหมือนผู้หญิงที่ผมรักอยู่คนหนึ่ง” เขาตอบแล้วหันมายิ้มให้ฉัน
“แหม มองหน้าผมขนาดนี้ อยากรู้หรอว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร”
“ไม่เห็นจะอยากรู้”
“ก็ได้ๆ ผมบอกก็ได้ ไม่เห็นจะต้องงอนเลย” เขาหัวเราะ แล้วเริ่มเล่าถึงเรื่องผู้หญิงที่เขาคบมา
“ผมแปลกใจในตัวคุณเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผมคบค่อนข้างจะคุณหนูไม่เคยเดินตลาดสดนอกจากเดินห้างช๊อปปิ้งไปวันๆ จะมาลุยๆ ทึกๆ บึกบึน แบบคุณน่ะไม่มี”
ประโยคหลังนี่เขาหลอกว่ากันชัดๆ ฉันหันไปส่งค้อนวงใหญ่ใส่คนที่หลอกว่าฉันเมื่อกี้ แต่เขาก็เอาแต่หัวเราะฉันอยู่เหมือนเดิม
“แต่คุณเหมือนแม่ผมนะ ระหว่างห้างกับตลาด แม่ผมเลือกเดินตลาดมากกว่า”
“ฉันว่าคุณคิดไปเอง ใครๆเขาก็เดินตลาดกันทั้งนั้นแหล่ะ แค่เดินตลาดก็เอามาเป็นประเด็น”
“ไม่รู้ซิ แต่ผมชอบผู้หญิงแบบนี้มากกว่า” เขาพูดพร้อมชี้นิ้วมาทางฉัน นี่เขากำลังว่านล้อมฉันอีกแล้วนะ
“อันแน่ เขินอะดิ หน้าแดงเชียว”
“รีบๆ หาที่จอดรถซื้อของเลย ถึงบ้านช้าเดี๋ยวม๊าบ่น ท่านบ่นฉัน ไม่ได้บ่นคุณ”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องไล่ให้เขาหาที่จอดรถ ขืนถ้าฉันอยู่กับเขานานๆ ไม่งั้นฉันอาจได้พึ่งยาแก้ปวดหัว 10 กระปุกแน่ คนอะไรกวนประสาทที่สุด
ระหว่างที่ฉันกับเขาเดินเลือกซื้อของอยู่นั่น สายตาจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้ารวมถึงผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของในตลาด จับจ้องเราตลอดทาง
“ช่วยเดินห่างๆฉันหน่อยได้ไหม เดินชิดขนาดนี้ไม่สิงฉันไปเลยล่ะคุณ” ฉันหันไปสั่งสารถีที่คอยถือของเดินตามต้อยๆ
“เอ๊า!!! สิงได้จริงๆหรอ” เขากวนประสาทเสร็จก็เอาแต่หัวเราะ “ผมก็เดินของผมปกติ คุณอยากเดินช้าเองทำไม” ฉันเปล่าเดินช้าอย่างที่เขากล่าวหานะ แต่ช่วงจังหวะก้าวขาเขายาวกว่าฉันแค่นั้นเอง
“ขาฉันสั้นจบไหม” ฉันส่งค้อนวงใหญ่ให้เขาอีกครั้ง แต่เขากลับหัวเราะ แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มนุษย์แคระก็แบบนี้แหล่ะคุณพิมพ์ ทำใจเถอะ” พอได้ยินที่เขาพูดฉันก็หยุดชะงัก ทำให้เขาเดินชนหลังฉันเข้าอย่างจัง จังหวะนั้นเองฉันยกศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องของเขาเพื่อแก้แค้น
“โอ๊ยคุณพิมพ์!!!” เขารีบเอามือกุมท้องตัวเอง
“มนุษย์ปากเสียก็ต้องโดนแบบนี้แหล่ะคุณพอล ทำใจเถอะ...หึหึ” ฉันสะบัดหน้าเดินนำเขาต่อ คิดจะป่วนฉันดีนัก ต้องโดนซะบ้าง
เราเดินซื้อของที่ม๊าสั่งทีละอย่างๆ เริ่มจาก ผัก ผลไม้ ขนมหวาน จนมาถึงของที่ทุกคนในบ้านฉันโปรดปรานมากที่สุดนั้นก็คืออาหารทะเล โดยเฉพาะเตี่ย เฮียๆ สามคนนี้ชอบกินกุ้งกับปู น้ำจิ้มรสแซ่บฝีมือม๊ามากๆ ถ้าลูกๆ กลับมารวมตัวกันที่บ้านเมื่อไหร่ จะขาดเมนูที่มีกุ้งกับปูไม่ได้เลยจริงๆ
“อ้าวหนูพิมพ์ วันนี้รับปูแบบไหนจ๊ะ เดี๋ยวเจ้จะคัดสรรจัดให้อย่างดี” เสียงทักทายสดใสจากเจ้นัด แม่ค้าขายอาหารทะเลร้านเจ้าประจำที่ม๊าชอบมาซื้อ จนบ้านเราเป็นลูกค้าระดับวีไอพีกันเลยทีเดียว คิดดูว่ามาซื้อบ่อยแค่ไหน
“ไม่เป็นไรเจ้นัด เดี๋ยววันนี้พิมพ์เลือกเองค่ะ” ว่าแล้วฉันก็เอือมมือไปหยิบตะกร้าเพื่อมาใส่ปูที่เลือก
“แบบคุณจะเลือกปูเป็นเหรอคุณหนูพิมพ์” ยัง ยังไม่เข็ดอีกนะ ผู้ชายคนนี้เจ็บแล้วยังไม่จำ จะดูถูกกันเกินไปแล้ว
“โอ๊ย!!!คุณค่ะ เห็นแบบนี้ เธอนี่เจ้าแม่แห่งการคัดสรรปูเลยนะค่ะ” พอเจ้นัดได้ยินที่อีตาบ้าพูด เจ้ก็รีบตอบคำถามแทนฉันทันที แต่เจ้ค่ะ เจ้าแม่แห่งการคัดสรรปูเลยหรอ ฉันว่ามันเกินความจริงไปหน่อยนะ
“เหรอครับ”
“ถ้าเป็นตัวแม่จริง ไหนสอนผมหน่อยซิว่าเขาเลือกกันยังไง” เขาเปลี่ยนจากหน้าตกใจ มาเป็นหน้าจริงจัง เกิดอยากจะมารู้เรื่องวิธีเลือกปูอะไรตอนนี้
“อยากรู้จริงหรอ” เขาพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นก็เขามาใกล้ๆ”
ฉันหยิบปูที่ถูกมัดขึ้นมาหนึ่งตัว
“วันนี้เราจะกินปูไข่นะ ง่ายๆ เลย คุณก็แค่กดใต้ท้องปู บริเวณนี้ มันคือกล้ามเนื้ออกชั้นที่สองของปู” แล้วฉันก็สาธิตให้เขาดูพร้อมกับอธิบายให้เขาฟัง
“ลองกดดูว่าเนื้อแน่หรือเปล่า ถ้าแน่นไม่ยุบก็ถือว่าใช้ได้ หรือไม่ก็ให้ทางร้านแงะเบาๆ ตรงกระดองปูดูว่ามีไข่หรือเปล่า อ่ะคุณลองดูซิ”
ฉันมัวแต่สาธิตวิธีการเลือก พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีจมูกของเขาก็ฝังแน่นลงมาที่แก้มฉันแล้ว เฮ้ย!!....นี่มันกลางตลาดสดนะ
“แหม โชว์หวานกันหน้าร้านเจ้เลย ว่าแต่แฟนใหม่น้องพิมพ์หรอคะ หล่อ เจ้ให้สามผ่านเลยค่ะ” เสียงเจ้นัดแซวฉัน แถมเจ้ยังเข้าใจผิดว่าฉันกับเขาเป็นแฟนกันอีก ส่วนอีตาบ้าก็เอาแต่ยิ้ม ไม่พูดปฏิเสธหรือขอโทษฉันสักคำ
“เขาไม่ใช่....” ฉันกำลังจะแก้เรื่องที่เจ้นัดเข้าใจผิด แต่อีตาบ้าก็เอาแขนหนาๆ มาโอบพาดคอดึงฉันเข้าไปหาเขา
“เจ้ครับจัดการคัดสรรปูแทนแฟนผมที ผมรีบ ขืนปล่อยให้แฟนผมเลือกคงอีกนาน รบกวนเจ้ด้วยนะครับ”
ฉันพยายามดิ้นเอาแขนหนักๆ ออกจากคอแต่มันก็ไม่เป็นผลเอาซะเลย เจ้นัดก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แทนที่จะช่วยฉัน กลับทำตามที่อีตาบ้านี่บอกซะงั้น
“ถ้าไม่อยากให้ผมหอมแก้มคุณอีก กรุณาอยู่เฉยๆ อย่าดิ้น” เขาก้มลงมากระซิบ
“ปูได้แล้วจ้า” เจ้นัดยื่นถุงที่มีปูไข่มาให้เรา แถมเจ้ยังฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม
“แต่งกันเมื่อไหร่ อย่าลืมมาเชิญเจ้ไปร่วมแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะ”
“ได้ครับ...เราขอตัวก่อนนะครับเจ้”
...........................................................
“ทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติฉันเลยนะคุณพอล”
เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วการที่เขามาหอมแก้มฉันในที่สาธารณะแบบนี้ บอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกัน มันเป็นการไม่ให้เกียรติฉันเลย สุภาพบุรุษเขาไม่ทำกับผู้หญิงแบบนี้หรอก
“งั้นเรามาเป็นแฟนกันจริงๆซิ”
"..............."
“ว่าไงผมขอคุณเป็นแฟนแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง ผมมีตัวเลือกให้คุณ หนึ่งตกลงเป็นแฟนกับสองตกลงแต่งงานกับผม”
ฉันว่าเขาต้องเป็นโรคประสาทไปแล้วแน่ๆ ไอ้ขอเป็นแฟนนี่ว่าหนักแล้ว แต่ไอ้ขอแต่งงานนี่หนักยิ่งกว่า เราเพิ่งจะเจอกันไม่กี่ครั้ง จะมาขอแต่งงานไวไปไหม
“ฉันว่าคุณคงทำงานหนักมากไป คุณควรพักผ่อนหรือไม่ก็ไปพบจิตแพทย์บ้างก็ดี”
“หึหึ...โอเค คุณยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้” เขายังคงหัวเราะ
“แต่ต่อไปนี้คุณไม่ต้องเรียกผมว่าคุณพอลแล้วนะ ผมให้คุณเรียกผมว่า ยองโด”
ให้ฉันเรียกว่ายองโดอย่างนั้นหรอ ทำไมต้องให้เรียกแบบนั้น
“คุณนี่ตลกเนอะ คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองเป็นคนน่ารัก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นไหมๆ หน้าแดงอีกแล้ว เขินผมหรอ”
“หยุดพูดอะไรเลี่ยนๆ สักที ขับรถไปเลย ฉันอยากถึงบ้านแล้ว”
“ก็คุณน่ารักจริงๆนิ เวลาคุณคิดอะไรหน้าตาคุณมันออกมาแบบที่คุณคิดเลย ผมไม่ต้องมานั่งเดาอารมณ์คุณเลยว่าตอนนี้คุณรู้สึกแบบไหนสงสัย โมโห โกรธ เขิน เพราะสีหน้าของคุณมักจะแสดงตามอารมณ์ตามความรู้สึกตลอด ผมชอบๆ”
ยังไม่หยุดอีกนะ ทำไมฉันต้องมานั่งฟังเขาพูดบ้าอะไรแบบนี้ด้วย
“ไม่แกล้งแล้วๆ เอาเป็นว่าเรื่องที่ผมขอคุณเป็นแฟนผมไม่ได้พูดเล่น ผมจริงจัง” จู่ๆน้ำเสียงทีเล่นทีจริงเมื่อกี้ก็เปลี่ยนมาเป็นจริงจัง
“คุณจะเปิดใจให้โอกาสผมได้ไหมพิมพ์ คุณยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้”
ฉันได้แต่นั่งฟังเขาไปเงียบๆ
“แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราจูบกันแสดงว่าคุณยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เมื่อถึงวันนั้นผมสัญญาว่าจะเล่าทุกเรื่องในชีวิตผมให้คุณรู้ จะไม่ปิดบัง แล้วเราจะไม่มีความลับต่อกัน”
เราต่างคนต่างนิ่ง ฉันได้แต่เหล่มองเขาที่ขับรถอยู่ สายตาเขามองตรงไปข้างหน้าไม่ได้หันมามองฉันเลยสักนิด ใจฉันเริ่มสั่น หน้าร้อนวูบวาบ ไม่นะพิมพ์อยู่ๆ จะมาหวั่นไหวกับผู้ชายที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเจอแบบนี้ไม่ได้
“ส่วนระหว่างที่ผมรอคำตอบจากคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมขอแค่ให้คุณเชื่อใจผม”
หลังจากสิ้นเสียงของเขา เราสองคนต่างเงียบไม่ได้พูดอะไรกันต่ออีกเลยจนถึงบ้าน
.......................................................................................
“กับข้าวถูกปากไหมจ๊ะลูกพอล เนี่ยพิมพ์เป็นคนทำเองเลยนะ ทานเยอะๆนะจ๊ะ”
“แหมม๊า ไมไม่ถามพอยท์บ้างล่ะ ถามแต่ไอ้พอล ตั้งแต่มีมันเข้ามานี่ลืมเฮียพอส กับพอยท์ไปแล้วหรอ”
“พูดมากเดี๋ยวข้าวก็ติดคอหรอก อีกหน่อยพอลก็จะมาเป็นน้องเขยลูกแล้วนะ” ม๊าพูดไปยิ้มไป ซึ่งตรงข้ามกับฉัน
“แค๊ก แค๊ก!!! ขอน้ำๆ” ฉันรีบรับน้ำจากเฮียพอสมาดื่ม
“ค่อยๆ กินซิไอ้พิมพ์ แกเป็นอะไรไปวะ เฮียเห็นเหม่อๆ ตั้งแต่กลับถึงบ้านแหล่ะ” เฮียพอสถามพร้อมช่วยลูบหลังให้ฉัน “หรือเอ็งยังไม่หายดี เฮียอนุญาตให้เอ็งหยุดงานพักผ่อน3วันเอาไหม”
“ไม่เป็นไรเฮียพิมพ์หายแล้ว”
“ช่วงนี้คุณพิมพ์คงมีเรื่องให้คิดเยอะครับ”
ฉันมองหน้าคนที่พูดมากตั้งแต่อยู่ในรถ ใช่ฉันคิดแต่เรื่องที่นายพูดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถึงจะพยายามไม่คิด แต่สมองอันน้อยนิดของฉันมันก็ยังคิดวนไปวนมาอยู่ได้
“พอส เอ็งก็ปล่อยให้น้องมันหยุดพักผ่อนบ้างก็ดี ตั้งแต่กลับมาเตี่ยไม่เห็นมันจะได้หยุดเลย นี่มันก็เพิ่งหายไข้ให้พักสักสองสามวันน่าจะดี”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเตี่ย ที่บริษัทงานยิ่งยุ่งๆอยู่ พิมพ์ช่วยเฮียเขาเคลียร์ก่อนดีกว่า ถ้าโปรเจคนี้เสร็จ พิมพ์ค่อยพักก็ได้ค่ะ”
“เอางั้นหรอ ก็ได้เตี่ยแล้วแต่พิมพ์”
ทุกคนต่างชื่นชมรสมือการทำอาหารของฉันในวันนี้ ความจริงฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้าครัวเองหรอก ก็ม๊าดันมาเจ็บข้อมือเพราะลื่นล้มแขนกระแทกพื้นซะก่อน ฉันเลยต้องโชว์ฝีมือทำอาหารซะเอง โชคดีที่ฉันพกหมอมาด้วย ม๊าเลยไม่ต้องไปโรงพยาบาลให้เสียเวลา เขาดูแลม๊าดีมาก ยิ่งทำให้ม๊าชอบอยากได้เขามาเป็นลูกอีกคนในบ้าน แต่ในสถานะลูกเขยนะ
“อะ ผมแกะให้ ตอบแทนที่วันนี้ทำกับข้าวให้ผมทาน โชคดีจังที่ได้ชิมฝีมือคุณ ทำให้ผมทานบ่อยๆนะ” อีตาบ้าส่งเนื้อปูที่เขาแกะแล้วมาให้ฉัน แถมยังหยอดคำหวานไม่หยุด ทำให้ทุกคนต่างยิ้มกับการกระทำของเขา ส่วนฉันนี่อยากจะมุดหายตัวไปจากตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเราทานอาหารกันเสร็จ ตอนนี้ก็เป็นเวลาสนทนาจิปาถะตามสไตล์ของครอบครัวเรา
“เตี่ยครับ ม๊าครับ เฮียๆครับ” จู่ๆผู้ชายที่ม๊าฉันปลื้มก็ขัดจังหวะการคุย ทำให้เสียงหัวเราะจากบทสนทนาเมื่อสักครู่เงียบลง
“ผมมีเรื่องอยากจะขออนุญาตครับ......คือ.....ผมจะขออนุญาตดูแลพิมพ์ได้ไหมครับ แต่ตอนนี้ผมขอความช่วยเหลือจากทุกคนหน่อย ผมพยายามจีบ และขอเธอเป็นแฟนอยู่ แต่เธอยังไม่ตอบตกลงผมเลย ผมควรทำยังไงดีครับ”
โอ๊ย!!!! ช๊อค!!!! ผู้ชายคนนี้ทำฉันช๊อคอีกแล้ว ถือว่าเขากล้ามากที่พูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคนในครอบครัว เขาอาจทำให้เตี่ยกับเฮียเคืองได้แน่ๆ
ฉันรีบลุกไปดึงแขนเขา เพื่อรีบพาเขาออกไปจากตรงนั้น ถ้าเกิดเตี่ยกับเฮียมีน้ำโหขึ้นมา เขาอาจมีสิทธิ์สิ้นชีพตรงนี้ได้เลยนะ บรรยากาศรอบข้างเริ่มเย็นยะเยือก ทุกอย่างยังคงเงียบสนิทเหมือนเดิม
“พูดบ้าอะไรของคุณ รีบลุกตามฉันมาซิ อยากตายหรือไง” ฉันกระซิบบอกเขาเบาๆ แต่เขาขืนตัวไม่ยอมลุกตามแรงดึงอันน้อยนิดของฉัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะของทุกคนระเบิดขึ้น ทำให้ฉันงงกับการที่ทุกคนหัวเราะออกมาแบบนี้ นี่เตี่ยกับเฮียไม่มีใครโมโหเขาเลยหรอ ไหนว่าหวงน้องสาวไง อีตานี้เป็นเสือผู้หญิงไม่ใช่หรอเฮีย ไมยังนั่งหัวเราะกันแบบนี้
“ไอ้นี่มันกล้าดีเว้ย” เฮียพอสลุกขึ้นมาตบไหล่เขาเบาๆ
“ให้มันได้แบบนี้ซิ...นี่ไอ้พอลเพื่อนผมครับๆ ต่อไปมันจะกลายมาเป็นน้องเขยผมแล้ว”
ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเฮียของฉันจะชอบและเชียร์เขาขนาดนี้ ฉันหันไปมองหน้าเตี่ยที่ยังคงนั่งยิ้มอยู่ ส่วนม๊าน่ะหรอ ไม่ต้องพูดถึงท่านคงชอบใจกับการกระทำของลูกเขยท่านมากเลยแหล่ะ
“เตี่ยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะเอาชนะใจลูกสาวเตี่ยไม่ยากหรอก หมอเคยได้ยินประโยคนี้ไหม น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน หมอก็พยายามเข้านะ ไอ้เจ้าพอสกับพอยท์เขาเล่าเรื่องหมอให้เตี่ยฟังแล้วล่ะ อย่าทำให้ลูกสาวเตี่ยเสียใจอีกแล้วกัน ถ้าหมอทำให้ลูกสาวเตี่ยเสียใจ เตี่ยไม่เก็บหมอไว้แน่”
เหตุการณ์ทุกอย่างมันกลับตาลปัดไปหมด ฉันยังงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งวัน เขาทำให้ทุกคนยอมรับในตัวเขาเพียงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งต่างกับเต้ที่เกือบจะโดนเฮีย และเตี่ยฉันเล่นงาน
“ทุกคนอนุญาตหมดแล้ว เหลือแต่คุณ ผมรอคำตอบอยู่นะ”
.......................................................................
อัพ 100%
กรี๊ด!!!!!!!!! หมอลวนลามหมวย ทำไมหมอถึงทำกับน้องแบบนี้ รุกหนักขึ้น หนักขึ้นตลอดเลยนะช่วงนี้ เว้นช่องว่างให้น้องหายใจหายคอบ้าง แต่หมวยน้อยของเราก็เริ่มหวั่นๆแล้วน้า จะเป็นยังไงต่อห้ามพลาดดดดดดดดดด
คำเตือน นิยายไรท์ไม่ใช่แนวใสๆนะจ๊ะ
ปล.ไรท์เพิ่งจะเข้ามาอัพได้วันนี้เอง หลังจากที่ไม่สามารถเข้าwebได้มาเป็นอาทิตย์ บอกตามตรงเซ็งจิตนิดนึงค่ะ พอเข้าได้ก็มาอัพเพิ่มเลย อย่าลืมติดตามนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

พิมพ์ Part
“ฮัลโหล ว่าไงคะม๊า” ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมารับสายม๊า
“ตายแล้ว นี่ตะวันแยงก้นแล้วนะลูก ทำไมถึงตื่นสายขนาดนี้”
รับปุ๊บม๊าก็บ่นปั๊บ เพราะท่านจะซีเรียสเรื่องเวลาตื่นนอนมาก ตอนเด็กๆท่านจะสอนให้ลูกๆ ตื่นเช้าตีห้า นี่ต้องตื่นแล้วนะ ถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดก็เถอะ ถ้าวันไหนในสามพี่น้องมีใครตื่นสายนี่บ้านแตกแน่ ม๊าจะบอกตลอดว่าการตื่นเช้าเป็นกำไรของชีวิต เพราะทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน คนที่เห็นคุณค่าของเวลาและตื่นเช้าจะใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่าซึ่งมันก็จริงอย่างที่ม๊าสอนนั่นแหล่ะ แต่ม๊าไม่รู้นี่ว่าฉันนอนตีสาม เพราะถูกก่อกวนจากผู้ชายห้องตรงข้าม เลยอยากนอนตื่นสายๆ สักวัน
ย้อนเวลาวันวาน
แฟลชไดร์ฟฉันหายไปไหน เมื่อคุยงานกับหมอกายเสร็จ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมแฟลชไดรฟ์งานไว้ที่คอมของคนกวนประสาท ฉันลังเล สองจิตสองใจว่าจะกลับไปเอาคืนมาตอนนี้เลยดีไหม หรือวานให้โรสไปเอาให้ดี แต่แล้วฉันก็ตัดสินใจไปยังห้องทำงานส่วนตัวลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลนี้เพียงคนเดียว พอไปถึงกลับไม่มีใครอยู่ งั้นมีอีกทางคือกลับไปทวงที่คอนโดน่าจะมีโอกาสเจอตัวมากที่สุด
เป็นอย่างที่คิดไว้ เขาอยู่คอนโด และตอนนี้แฟลชไดร์ฟของฉันก็อยู่ในมือเขา
"ตามหาไอ้นี่อยู่ใช่ไหม"
"ใช่ ฉันมาของานฉันคืน"
"ทำผมไว้เจ็บแสบ แล้วจะมาเอาคืนไปง่ายๆแบบนี้ได้ไง มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนดิคุณ"
"อย่าลีลาได้ไหมคุณ ฉันมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ"
"หว่า!!! แย่จัง ดูเหมือนว่าเจ้าของแกไม่ได้อยากได้แกจริงๆนะ" เขาชูแฟลชไดร์ฟขึ้น แล้วบ่นพรึมพรำๆอยู่คนเดียว แถมยังเหล่ตามองฉันอีกต่างหาก
"จะเอาอะไรก็รีบว่ามา"
"นอนห้องคุณ"
"เป็นบ้าหรือไง เลิกกวนประสาทฉันสักที"
"งั้นก็ไม่ต้องเอา ผู้หญิงอะไรใจร้ายชะมัด ดูแผลที่ทำไว้ด้วย เท้าบวมหมดแล้วเห็นไหม" ฉันก้มมองผลงานที่ฝากไว้กับบาทาของเขาซึ่งมันก็บวมจริงๆ
"เห็นผลงานตัวเองหรือยัง คุณทำให้ผมเดินเหินลำบาก เพราะฉะนั้นคืนนี้คุณต้องดูแลผม"
"นับ 1 ถึง 3 เดินตามฉันให้ทัน ถ้าไม่ทันฉันถือว่าข้อตกลงเป็นโมฆะ"
แต่มีหรอที่อีตานี่จะตามฉันไม่ทัน เขาก้าวขาเพียงก้าวเดียวก็เหมือนกับฉันก้าวขาไปสิบก้าว ยังไม่ถึงสามดีเขาก็ปิดประตูล็อคห้องให้เรียบร้อย จากนั้นก็แต่งตั้งตัวเองเป็นองค์ชาย นอนชี้นิ้วสั่งฉันทำโน้นนี่นั้นให้อย่างสบายใจ จนกระทั่ง
"คุณจะเอาไรอีกไหม ฉันจะขอตัวไปเคลียร์งานต่อ เอาของฉันคืนมาได้แล้ว"
"มาตรงนี้ซิ" เขาตบโซฟาเบาๆเรียกให้ฉันเข้าไปนั่งตรงนั้น
"จะทำไร"
"มาเถอะ ถ้ามาจะคืนของให้" ฉันทำตามที่เขาขอ
"แล้วไงต่อ"
"นั่งนิ่งๆนะคุณ" ว่าแล้วเขาก็เอนตัวนอนหนุนตักฉัน ก่อนจะพลิกตัวหันมากอดตัวฉันไว้ "ตักนิ่มจัง ตัวคุณห๊อมหอม"
"ออกไปเลยนะคุณ เล่นบ้าอะไรเนี่ย" ฉันระดมตีไปที่ตัวเขา งัดแขนที่โอบรอบเอวฉันออก
"ถ้าตีอีก ผมจะจับคุณปล้ำตรงนี้แหล่ะ ลองดูไหม ผมยิ่งเป็นพวกชอบความรุนแรงซะด้วย ยิ่งตี ผมยิ่งมีอารมณ์" ฉันหยุดชะงักมือทันที
"หึหึ ไม่ตีอีกล่ะคุณ ตีอีกซิ"
"หยุดพูดมากเลย คุณมันเป็นพวกผู้ชายมือไว ฉวยโอกาสได้ฉวยโอกาสดี ฉันเสียหายนะคุณ"
"ผมรับผิดชอบแน่ไม่ต้องห่วง ลองได้ ว่าผมพูดจริงหรือเปล่า"
เขาเด้งตัวลุกขึ้นใช้แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแน่นๆคร่อมตัวฉันเอาไว้ ฉันพยายามดิ้นหนีเอาตัวรอด แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งโถมน้ำหนักตัวลงมาทับ ทำให้ฉันหนีไปไหนไม่ได้ เราสองคนสบตากันอยู่เกือบนาที แววตาของเขาเป็นประกายบอกถึงความรู้สึกว่าต้องการ เป็นฉันเองที่ไม่สามารถทนทานสายตาอันเร้าร้อนของเขาได้จึงรีบเบี่ยงหน้าหนี แต่แล้วเขากลับโน้มหน้าเข้ามาคลอเคลียบริเวณซอกคอระหง ความรู้สึกวาบหวามพลันพลุกพล่านขึ้นอย่างบอกไม่ถูก สัมผัสจากริมฝีปากนุ่มของชายตรงหน้าค่อยๆไต่ไล่ระดับจากลำคอไปยังหู เขาหยุดทิ้งช่วงหอบหายใจถี่อยู่ตรงนั้น ฉันคิดว่าเขาจะหยุดการกระทำนี้ แต่ฉันคิดผิด เขากลับประคองใบหน้าของฉันให้หันไปเผชิญกับดวงตาหวานเยิ้มของเขา
ฉันเรียกสติตัวเองรวบรวมกำลังที่มีอยู่ผลักเขาออกไป แต่แรงอันน้อยนิดของฉันไม่มีผลเลย เขากลับรวบแขนของฉันไว้ด้วยมือหนาเพียงข้างเดียว แล้วซุกหน้าเข้ามาที่ซอกคอ กัด เม้มให้เกิดรอยช้ำอีกครั้ง มืออีกข้างเริ่มลูบไล้วงขาขาวเขยิบเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะสอดเข้ามาในเสื้อนวดคลึงบริเวณแผ่นหลัง รู้ตัวอีกทีเขาก็ปลดตะขอเสื้อในของฉันออกเรียบร้อยแล้ว
"หยุด!!! ฉันบอกให้หยุดไง" ได้ผลเขาหยุดการกระทำนั้นแล้วดึงฉันเข้ามากอดไว้แน่น
เขานอนกอดฉันอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ก่อนจะค่อยๆคลายกอดและกระซิบที่ข้างหูของฉันเบาๆว่า
"ครั้งนี้สำหรับครั้งที่คุณโกหกว่าเป็นแฟนกับพี่คุณ วันหลังอย่าโกหกผมอีก ถ้าจับได้ ผมไม่หยุดแค่นี้แน่"
ปัจจุบัน
“ตื่นแล้วค่ะ เมื่อคืนพิมพ์เคลียร์งานดึกไปหน่อย” ใครจะกล้าบอกว่าเมื่อคืนฉันเจออะไรถึงไม่หลับไม่นอน
“ลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าเลย วันนี้มีนัดกินข้าวเย็นกันที่บ้าน ม๊าโทรบอกลูกพอลไว้แล้ว เดี๋ยวหนูก็มากับเฮียเขาเลยแล้วกัน อยู่ห้องตรงข้ามกันนิ ติดรถเฮียเขามาเลยนะลูก”
จากอาการงัวเงีย คราวนี้ฉันตื่นเต็มตัว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “เดี๋ยวนะม๊า เมื่อกี้บอกให้พิมพ์ไปพร้อมใครนะ”
“ม๊าให้หนูมาพร้อมเฮียพอลไงลูก เฮียเขาบอกให้หนูไปพร้อมเขาเลย...พอลนี่น่ารักเนอะ หนูคิดเหมือนม๊าไหม” คิดตรงข้ามเลยเหอะ อีตาบ้านี่ไปทำยังไงให้ม๊าติดอกติดใจได้ถึงขั้นนี้
“พิมพ์ขับรถกลับเองก็ได้นิ ก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องลำบากเขาเลย”
“ไม่น่ารักเลยนะลูก ลำบงลำบากอะไรกัน ม๊าบอกยังไงก็ทำตามแบบนั้น อย่าเถียงม๊า” อีกแล้ววลีสุดฮิตของบ้านฉัน พวกเฮียๆ เจริญรอยตามมาจากม๊ากับเตี่ยนี่เอง อย่าเถียง อย่าเถียง อย่าเถียง
“พิมพ์ไปอาบน้ำดีกว่า ไว้เจอกันที่บ้านค่ะ”
“มาเร็วๆนะลูก”
ให้ตายเถอะ ทำไมม๊าต้องชวนเขาไปกินข้าวด้วยก็ไม่รู้ คิดว่ารอดพ้นช่วงเมื่อคืนนี้มาได้ ยังต้องมาเจอกันตอนเช้าอีก ยิ่งเห็นรอยช้ำที่ต้นคอ ยิ่งเจ็บใจชะมัด ฉันนั่งเอาไดร์เป่าผมตัวเอง และได้แต่นั่งบ่นอยู่ในใจ
ออด...ออด...ออด!!!!!...
“ไงที่รัก ตื่นสายนะวันนี้” เขาทักทายฉันได้กวนประสาทมาก เสียใจฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วย แค่เห็นหน้าเขาฉันก็หมดอารมณ์แล้ว
“ที่ลงที่รักอะไรของคุณ” ฉันเดินปลีกตัวเข้าไปเอากระเป๋าในห้องนอน
“ทำไมวันนี้ใส่เสื้อคอเต่าล่ะคะที่รัก ไม่ร้อนหรอแต่ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกผมรีบ เพราะคุณแม่ของคุณฝากเราซื้อของสดให้ท่านอีก ท่านกำชับว่าห้ามถึงบ้านช้า” เสียงตะโกนของคนกวนประสาทก็ยังคงเรียกฉันว่าที่รักเหมือนเดิม ฉันเดินออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายคู่ใจ แต่ดันโดนเขาดึงไปถือให้ซะอย่างนั้น
“เอากระเป๋าของฉันคืนมา”
“อยากถือให้ มีไรไหม” เขายังคงทำหน้ามึนกวนอารมณ์เหมือนเคย
“อยากถือก็ถือไป...ปิดห้องให้ด้วย”
ฉันจงใจเดินชนกระแทกไหล่คนตัวโต แต่ความจริงกลับไม่โดนไหล่เขาเลย ดันไปโดนหน้าอกแน่นๆเข้าเต็มๆ ส่วนฉันหรอไหล่แทบจะหลุดกระเด็นออกมาอยู่แล้ว เจ็บเป็นบ้า แต่ต้องรักษาฟอร์มเก็บอาการเจ็บไว้ ไม่งั้นโดนหัวเราะเยาะแน่
เรากำลังมุ่งหน้าไปหาซื้อของตามที่ม๊าสั่งเขาให้ฉันเลือกระหว่างห้างกับตลาดสดว่าฉันอยากไปซื้อของที่ไหนมากกว่ากัน
“ตลาดสด” พอเขาได้ยินคำตอบก็ถึงกับเลิกคิ้วสูง เหล่ตาหันมามองฉัน ทำไมล่ะ การที่คนอย่างฉันชอบไปตลาดสดมากกว่าเข้าห้างมันน่าแปลกใจตรงไหน
“มองฉันแบบนี้หมายความว่าไง มันน่าตกใจมากหรือกับการที่ฉันชอบเดินตลาดมากกว่าห้าง”
“ก็แปลกกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยคบ...แต่ดันเหมือนผู้หญิงที่ผมรักอยู่คนหนึ่ง” เขาตอบแล้วหันมายิ้มให้ฉัน
“แหม มองหน้าผมขนาดนี้ อยากรู้หรอว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร”
“ไม่เห็นจะอยากรู้”
“ก็ได้ๆ ผมบอกก็ได้ ไม่เห็นจะต้องงอนเลย” เขาหัวเราะ แล้วเริ่มเล่าถึงเรื่องผู้หญิงที่เขาคบมา
“ผมแปลกใจในตัวคุณเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผมคบค่อนข้างจะคุณหนูไม่เคยเดินตลาดสดนอกจากเดินห้างช๊อปปิ้งไปวันๆ จะมาลุยๆ ทึกๆ บึกบึน แบบคุณน่ะไม่มี”
ประโยคหลังนี่เขาหลอกว่ากันชัดๆ ฉันหันไปส่งค้อนวงใหญ่ใส่คนที่หลอกว่าฉันเมื่อกี้ แต่เขาก็เอาแต่หัวเราะฉันอยู่เหมือนเดิม
“แต่คุณเหมือนแม่ผมนะ ระหว่างห้างกับตลาด แม่ผมเลือกเดินตลาดมากกว่า”
“ฉันว่าคุณคิดไปเอง ใครๆเขาก็เดินตลาดกันทั้งนั้นแหล่ะ แค่เดินตลาดก็เอามาเป็นประเด็น”
“ไม่รู้ซิ แต่ผมชอบผู้หญิงแบบนี้มากกว่า” เขาพูดพร้อมชี้นิ้วมาทางฉัน นี่เขากำลังว่านล้อมฉันอีกแล้วนะ
“อันแน่ เขินอะดิ หน้าแดงเชียว”
“รีบๆ หาที่จอดรถซื้อของเลย ถึงบ้านช้าเดี๋ยวม๊าบ่น ท่านบ่นฉัน ไม่ได้บ่นคุณ”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องไล่ให้เขาหาที่จอดรถ ขืนถ้าฉันอยู่กับเขานานๆ ไม่งั้นฉันอาจได้พึ่งยาแก้ปวดหัว 10 กระปุกแน่ คนอะไรกวนประสาทที่สุด
ระหว่างที่ฉันกับเขาเดินเลือกซื้อของอยู่นั่น สายตาจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้ารวมถึงผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของในตลาด จับจ้องเราตลอดทาง
“ช่วยเดินห่างๆฉันหน่อยได้ไหม เดินชิดขนาดนี้ไม่สิงฉันไปเลยล่ะคุณ” ฉันหันไปสั่งสารถีที่คอยถือของเดินตามต้อยๆ
“เอ๊า!!! สิงได้จริงๆหรอ” เขากวนประสาทเสร็จก็เอาแต่หัวเราะ “ผมก็เดินของผมปกติ คุณอยากเดินช้าเองทำไม” ฉันเปล่าเดินช้าอย่างที่เขากล่าวหานะ แต่ช่วงจังหวะก้าวขาเขายาวกว่าฉันแค่นั้นเอง
“ขาฉันสั้นจบไหม” ฉันส่งค้อนวงใหญ่ให้เขาอีกครั้ง แต่เขากลับหัวเราะ แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มนุษย์แคระก็แบบนี้แหล่ะคุณพิมพ์ ทำใจเถอะ” พอได้ยินที่เขาพูดฉันก็หยุดชะงัก ทำให้เขาเดินชนหลังฉันเข้าอย่างจัง จังหวะนั้นเองฉันยกศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องของเขาเพื่อแก้แค้น
“โอ๊ยคุณพิมพ์!!!” เขารีบเอามือกุมท้องตัวเอง
“มนุษย์ปากเสียก็ต้องโดนแบบนี้แหล่ะคุณพอล ทำใจเถอะ...หึหึ” ฉันสะบัดหน้าเดินนำเขาต่อ คิดจะป่วนฉันดีนัก ต้องโดนซะบ้าง
เราเดินซื้อของที่ม๊าสั่งทีละอย่างๆ เริ่มจาก ผัก ผลไม้ ขนมหวาน จนมาถึงของที่ทุกคนในบ้านฉันโปรดปรานมากที่สุดนั้นก็คืออาหารทะเล โดยเฉพาะเตี่ย เฮียๆ สามคนนี้ชอบกินกุ้งกับปู น้ำจิ้มรสแซ่บฝีมือม๊ามากๆ ถ้าลูกๆ กลับมารวมตัวกันที่บ้านเมื่อไหร่ จะขาดเมนูที่มีกุ้งกับปูไม่ได้เลยจริงๆ
“อ้าวหนูพิมพ์ วันนี้รับปูแบบไหนจ๊ะ เดี๋ยวเจ้จะคัดสรรจัดให้อย่างดี” เสียงทักทายสดใสจากเจ้นัด แม่ค้าขายอาหารทะเลร้านเจ้าประจำที่ม๊าชอบมาซื้อ จนบ้านเราเป็นลูกค้าระดับวีไอพีกันเลยทีเดียว คิดดูว่ามาซื้อบ่อยแค่ไหน
“ไม่เป็นไรเจ้นัด เดี๋ยววันนี้พิมพ์เลือกเองค่ะ” ว่าแล้วฉันก็เอือมมือไปหยิบตะกร้าเพื่อมาใส่ปูที่เลือก
“แบบคุณจะเลือกปูเป็นเหรอคุณหนูพิมพ์” ยัง ยังไม่เข็ดอีกนะ ผู้ชายคนนี้เจ็บแล้วยังไม่จำ จะดูถูกกันเกินไปแล้ว
“โอ๊ย!!!คุณค่ะ เห็นแบบนี้ เธอนี่เจ้าแม่แห่งการคัดสรรปูเลยนะค่ะ” พอเจ้นัดได้ยินที่อีตาบ้าพูด เจ้ก็รีบตอบคำถามแทนฉันทันที แต่เจ้ค่ะ เจ้าแม่แห่งการคัดสรรปูเลยหรอ ฉันว่ามันเกินความจริงไปหน่อยนะ
“เหรอครับ”
“ถ้าเป็นตัวแม่จริง ไหนสอนผมหน่อยซิว่าเขาเลือกกันยังไง” เขาเปลี่ยนจากหน้าตกใจ มาเป็นหน้าจริงจัง เกิดอยากจะมารู้เรื่องวิธีเลือกปูอะไรตอนนี้
“อยากรู้จริงหรอ” เขาพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นก็เขามาใกล้ๆ”
ฉันหยิบปูที่ถูกมัดขึ้นมาหนึ่งตัว
“วันนี้เราจะกินปูไข่นะ ง่ายๆ เลย คุณก็แค่กดใต้ท้องปู บริเวณนี้ มันคือกล้ามเนื้ออกชั้นที่สองของปู” แล้วฉันก็สาธิตให้เขาดูพร้อมกับอธิบายให้เขาฟัง
“ลองกดดูว่าเนื้อแน่หรือเปล่า ถ้าแน่นไม่ยุบก็ถือว่าใช้ได้ หรือไม่ก็ให้ทางร้านแงะเบาๆ ตรงกระดองปูดูว่ามีไข่หรือเปล่า อ่ะคุณลองดูซิ”
ฉันมัวแต่สาธิตวิธีการเลือก พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีจมูกของเขาก็ฝังแน่นลงมาที่แก้มฉันแล้ว เฮ้ย!!....นี่มันกลางตลาดสดนะ
“แหม โชว์หวานกันหน้าร้านเจ้เลย ว่าแต่แฟนใหม่น้องพิมพ์หรอคะ หล่อ เจ้ให้สามผ่านเลยค่ะ” เสียงเจ้นัดแซวฉัน แถมเจ้ยังเข้าใจผิดว่าฉันกับเขาเป็นแฟนกันอีก ส่วนอีตาบ้าก็เอาแต่ยิ้ม ไม่พูดปฏิเสธหรือขอโทษฉันสักคำ
“เขาไม่ใช่....” ฉันกำลังจะแก้เรื่องที่เจ้นัดเข้าใจผิด แต่อีตาบ้าก็เอาแขนหนาๆ มาโอบพาดคอดึงฉันเข้าไปหาเขา
“เจ้ครับจัดการคัดสรรปูแทนแฟนผมที ผมรีบ ขืนปล่อยให้แฟนผมเลือกคงอีกนาน รบกวนเจ้ด้วยนะครับ”
ฉันพยายามดิ้นเอาแขนหนักๆ ออกจากคอแต่มันก็ไม่เป็นผลเอาซะเลย เจ้นัดก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แทนที่จะช่วยฉัน กลับทำตามที่อีตาบ้านี่บอกซะงั้น
“ถ้าไม่อยากให้ผมหอมแก้มคุณอีก กรุณาอยู่เฉยๆ อย่าดิ้น” เขาก้มลงมากระซิบ
“ปูได้แล้วจ้า” เจ้นัดยื่นถุงที่มีปูไข่มาให้เรา แถมเจ้ยังฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม
“แต่งกันเมื่อไหร่ อย่าลืมมาเชิญเจ้ไปร่วมแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะ”
“ได้ครับ...เราขอตัวก่อนนะครับเจ้”
...........................................................
“ทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติฉันเลยนะคุณพอล”
เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วการที่เขามาหอมแก้มฉันในที่สาธารณะแบบนี้ บอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกัน มันเป็นการไม่ให้เกียรติฉันเลย สุภาพบุรุษเขาไม่ทำกับผู้หญิงแบบนี้หรอก
“งั้นเรามาเป็นแฟนกันจริงๆซิ”
"..............."
“ว่าไงผมขอคุณเป็นแฟนแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง ผมมีตัวเลือกให้คุณ หนึ่งตกลงเป็นแฟนกับสองตกลงแต่งงานกับผม”
ฉันว่าเขาต้องเป็นโรคประสาทไปแล้วแน่ๆ ไอ้ขอเป็นแฟนนี่ว่าหนักแล้ว แต่ไอ้ขอแต่งงานนี่หนักยิ่งกว่า เราเพิ่งจะเจอกันไม่กี่ครั้ง จะมาขอแต่งงานไวไปไหม
“ฉันว่าคุณคงทำงานหนักมากไป คุณควรพักผ่อนหรือไม่ก็ไปพบจิตแพทย์บ้างก็ดี”
“หึหึ...โอเค คุณยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้” เขายังคงหัวเราะ
“แต่ต่อไปนี้คุณไม่ต้องเรียกผมว่าคุณพอลแล้วนะ ผมให้คุณเรียกผมว่า ยองโด”
ให้ฉันเรียกว่ายองโดอย่างนั้นหรอ ทำไมต้องให้เรียกแบบนั้น
“คุณนี่ตลกเนอะ คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองเป็นคนน่ารัก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นไหมๆ หน้าแดงอีกแล้ว เขินผมหรอ”
“หยุดพูดอะไรเลี่ยนๆ สักที ขับรถไปเลย ฉันอยากถึงบ้านแล้ว”
“ก็คุณน่ารักจริงๆนิ เวลาคุณคิดอะไรหน้าตาคุณมันออกมาแบบที่คุณคิดเลย ผมไม่ต้องมานั่งเดาอารมณ์คุณเลยว่าตอนนี้คุณรู้สึกแบบไหนสงสัย โมโห โกรธ เขิน เพราะสีหน้าของคุณมักจะแสดงตามอารมณ์ตามความรู้สึกตลอด ผมชอบๆ”
ยังไม่หยุดอีกนะ ทำไมฉันต้องมานั่งฟังเขาพูดบ้าอะไรแบบนี้ด้วย
“ไม่แกล้งแล้วๆ เอาเป็นว่าเรื่องที่ผมขอคุณเป็นแฟนผมไม่ได้พูดเล่น ผมจริงจัง” จู่ๆน้ำเสียงทีเล่นทีจริงเมื่อกี้ก็เปลี่ยนมาเป็นจริงจัง
“คุณจะเปิดใจให้โอกาสผมได้ไหมพิมพ์ คุณยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้”
ฉันได้แต่นั่งฟังเขาไปเงียบๆ
“แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราจูบกันแสดงว่าคุณยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เมื่อถึงวันนั้นผมสัญญาว่าจะเล่าทุกเรื่องในชีวิตผมให้คุณรู้ จะไม่ปิดบัง แล้วเราจะไม่มีความลับต่อกัน”
เราต่างคนต่างนิ่ง ฉันได้แต่เหล่มองเขาที่ขับรถอยู่ สายตาเขามองตรงไปข้างหน้าไม่ได้หันมามองฉันเลยสักนิด ใจฉันเริ่มสั่น หน้าร้อนวูบวาบ ไม่นะพิมพ์อยู่ๆ จะมาหวั่นไหวกับผู้ชายที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเจอแบบนี้ไม่ได้
“ส่วนระหว่างที่ผมรอคำตอบจากคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมขอแค่ให้คุณเชื่อใจผม”
หลังจากสิ้นเสียงของเขา เราสองคนต่างเงียบไม่ได้พูดอะไรกันต่ออีกเลยจนถึงบ้าน
.......................................................................................
“กับข้าวถูกปากไหมจ๊ะลูกพอล เนี่ยพิมพ์เป็นคนทำเองเลยนะ ทานเยอะๆนะจ๊ะ”
“แหมม๊า ไมไม่ถามพอยท์บ้างล่ะ ถามแต่ไอ้พอล ตั้งแต่มีมันเข้ามานี่ลืมเฮียพอส กับพอยท์ไปแล้วหรอ”
“พูดมากเดี๋ยวข้าวก็ติดคอหรอก อีกหน่อยพอลก็จะมาเป็นน้องเขยลูกแล้วนะ” ม๊าพูดไปยิ้มไป ซึ่งตรงข้ามกับฉัน
“แค๊ก แค๊ก!!! ขอน้ำๆ” ฉันรีบรับน้ำจากเฮียพอสมาดื่ม
“ค่อยๆ กินซิไอ้พิมพ์ แกเป็นอะไรไปวะ เฮียเห็นเหม่อๆ ตั้งแต่กลับถึงบ้านแหล่ะ” เฮียพอสถามพร้อมช่วยลูบหลังให้ฉัน “หรือเอ็งยังไม่หายดี เฮียอนุญาตให้เอ็งหยุดงานพักผ่อน3วันเอาไหม”
“ไม่เป็นไรเฮียพิมพ์หายแล้ว”
“ช่วงนี้คุณพิมพ์คงมีเรื่องให้คิดเยอะครับ”
ฉันมองหน้าคนที่พูดมากตั้งแต่อยู่ในรถ ใช่ฉันคิดแต่เรื่องที่นายพูดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถึงจะพยายามไม่คิด แต่สมองอันน้อยนิดของฉันมันก็ยังคิดวนไปวนมาอยู่ได้
“พอส เอ็งก็ปล่อยให้น้องมันหยุดพักผ่อนบ้างก็ดี ตั้งแต่กลับมาเตี่ยไม่เห็นมันจะได้หยุดเลย นี่มันก็เพิ่งหายไข้ให้พักสักสองสามวันน่าจะดี”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเตี่ย ที่บริษัทงานยิ่งยุ่งๆอยู่ พิมพ์ช่วยเฮียเขาเคลียร์ก่อนดีกว่า ถ้าโปรเจคนี้เสร็จ พิมพ์ค่อยพักก็ได้ค่ะ”
“เอางั้นหรอ ก็ได้เตี่ยแล้วแต่พิมพ์”
ทุกคนต่างชื่นชมรสมือการทำอาหารของฉันในวันนี้ ความจริงฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้าครัวเองหรอก ก็ม๊าดันมาเจ็บข้อมือเพราะลื่นล้มแขนกระแทกพื้นซะก่อน ฉันเลยต้องโชว์ฝีมือทำอาหารซะเอง โชคดีที่ฉันพกหมอมาด้วย ม๊าเลยไม่ต้องไปโรงพยาบาลให้เสียเวลา เขาดูแลม๊าดีมาก ยิ่งทำให้ม๊าชอบอยากได้เขามาเป็นลูกอีกคนในบ้าน แต่ในสถานะลูกเขยนะ
“อะ ผมแกะให้ ตอบแทนที่วันนี้ทำกับข้าวให้ผมทาน โชคดีจังที่ได้ชิมฝีมือคุณ ทำให้ผมทานบ่อยๆนะ” อีตาบ้าส่งเนื้อปูที่เขาแกะแล้วมาให้ฉัน แถมยังหยอดคำหวานไม่หยุด ทำให้ทุกคนต่างยิ้มกับการกระทำของเขา ส่วนฉันนี่อยากจะมุดหายตัวไปจากตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเราทานอาหารกันเสร็จ ตอนนี้ก็เป็นเวลาสนทนาจิปาถะตามสไตล์ของครอบครัวเรา
“เตี่ยครับ ม๊าครับ เฮียๆครับ” จู่ๆผู้ชายที่ม๊าฉันปลื้มก็ขัดจังหวะการคุย ทำให้เสียงหัวเราะจากบทสนทนาเมื่อสักครู่เงียบลง
“ผมมีเรื่องอยากจะขออนุญาตครับ......คือ.....ผมจะขออนุญาตดูแลพิมพ์ได้ไหมครับ แต่ตอนนี้ผมขอความช่วยเหลือจากทุกคนหน่อย ผมพยายามจีบ และขอเธอเป็นแฟนอยู่ แต่เธอยังไม่ตอบตกลงผมเลย ผมควรทำยังไงดีครับ”
โอ๊ย!!!! ช๊อค!!!! ผู้ชายคนนี้ทำฉันช๊อคอีกแล้ว ถือว่าเขากล้ามากที่พูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคนในครอบครัว เขาอาจทำให้เตี่ยกับเฮียเคืองได้แน่ๆ
ฉันรีบลุกไปดึงแขนเขา เพื่อรีบพาเขาออกไปจากตรงนั้น ถ้าเกิดเตี่ยกับเฮียมีน้ำโหขึ้นมา เขาอาจมีสิทธิ์สิ้นชีพตรงนี้ได้เลยนะ บรรยากาศรอบข้างเริ่มเย็นยะเยือก ทุกอย่างยังคงเงียบสนิทเหมือนเดิม
“พูดบ้าอะไรของคุณ รีบลุกตามฉันมาซิ อยากตายหรือไง” ฉันกระซิบบอกเขาเบาๆ แต่เขาขืนตัวไม่ยอมลุกตามแรงดึงอันน้อยนิดของฉัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะของทุกคนระเบิดขึ้น ทำให้ฉันงงกับการที่ทุกคนหัวเราะออกมาแบบนี้ นี่เตี่ยกับเฮียไม่มีใครโมโหเขาเลยหรอ ไหนว่าหวงน้องสาวไง อีตานี้เป็นเสือผู้หญิงไม่ใช่หรอเฮีย ไมยังนั่งหัวเราะกันแบบนี้
“ไอ้นี่มันกล้าดีเว้ย” เฮียพอสลุกขึ้นมาตบไหล่เขาเบาๆ
“ให้มันได้แบบนี้ซิ...นี่ไอ้พอลเพื่อนผมครับๆ ต่อไปมันจะกลายมาเป็นน้องเขยผมแล้ว”
ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเฮียของฉันจะชอบและเชียร์เขาขนาดนี้ ฉันหันไปมองหน้าเตี่ยที่ยังคงนั่งยิ้มอยู่ ส่วนม๊าน่ะหรอ ไม่ต้องพูดถึงท่านคงชอบใจกับการกระทำของลูกเขยท่านมากเลยแหล่ะ
“เตี่ยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะเอาชนะใจลูกสาวเตี่ยไม่ยากหรอก หมอเคยได้ยินประโยคนี้ไหม น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน หมอก็พยายามเข้านะ ไอ้เจ้าพอสกับพอยท์เขาเล่าเรื่องหมอให้เตี่ยฟังแล้วล่ะ อย่าทำให้ลูกสาวเตี่ยเสียใจอีกแล้วกัน ถ้าหมอทำให้ลูกสาวเตี่ยเสียใจ เตี่ยไม่เก็บหมอไว้แน่”
เหตุการณ์ทุกอย่างมันกลับตาลปัดไปหมด ฉันยังงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งวัน เขาทำให้ทุกคนยอมรับในตัวเขาเพียงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งต่างกับเต้ที่เกือบจะโดนเฮีย และเตี่ยฉันเล่นงาน
“ทุกคนอนุญาตหมดแล้ว เหลือแต่คุณ ผมรอคำตอบอยู่นะ”
.......................................................................
อัพ 100%
กรี๊ด!!!!!!!!! หมอลวนลามหมวย ทำไมหมอถึงทำกับน้องแบบนี้ รุกหนักขึ้น หนักขึ้นตลอดเลยนะช่วงนี้ เว้นช่องว่างให้น้องหายใจหายคอบ้าง แต่หมวยน้อยของเราก็เริ่มหวั่นๆแล้วน้า จะเป็นยังไงต่อห้ามพลาดดดดดดดดดด
คำเตือน นิยายไรท์ไม่ใช่แนวใสๆนะจ๊ะ
ปล.ไรท์เพิ่งจะเข้ามาอัพได้วันนี้เอง หลังจากที่ไม่สามารถเข้าwebได้มาเป็นอาทิตย์ บอกตามตรงเซ็งจิตนิดนึงค่ะ พอเข้าได้ก็มาอัพเพิ่มเลย อย่าลืมติดตามนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ