Love You My Love รักเธอที่เป็นเธอ
เขียนโดย แม่หญิงเมืองสาคร
วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.50 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 16.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) บทที่ 7 ทำคะแนน&เอาคืน (อัพ 100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 7 ทำคะแนน&เอาคืน

พิมพ์ Part
ตอนนี้เราเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพแล้ว ฉันพยายามถามเฮียพอยท์ตลอดว่าคุยอะไรกับน้องด้า แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” แล้วด้าเขาไม่เด็กกว่าฉันตรงไหน ในเมื่อเฮียไม่ยอมบอกฉันก็เลยไม่ได้ตื้อถามอะไรอีก
“ไม่นอนบ้านก่อนหรอพิมพ์” เตี่ยถามเมื่อเห็นฉันยกกระเป๋าไปไว้ที่ท้ายรถของตัวเอง
“ไว้เสาร์นี้พิมพ์มานอนนะ” ฉันเข้าไปกอดอ้อนเตี่ย เพราะไม่อยากฟังท่านบ่น
“ตลอดเลยนะลูกสาวเตี่ย ใช้แผนนี้ทุกที” แค่อ้อนนิดเดียวเตี่ยก็ใจอ่อนแล้ว
“ม๊ากลับวันไหนอ่ะเตี่ย” เฮียพอยท์เดินถือกระเป๋าเข้ามายัดใส่ท้ายรถฉัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ
“นี่เฮียเอากระเป๋ามาใส่รถพิมพ์ทำไม” ฉันหันไปถามเฮียที่ยืนทำหน้ามึน
“ไม่เห็นต้องงง เอ็งต้องไปส่งเฮียที่สนามบินก่อนบ่ายสาม” สิ่งที่ตอบมามึนยิ่งกว่าหน้าของเฮียตอนนี้อีก
“ไมเฮียไม่ขับไปเองล่ะ เตี่ยดูเฮียพอยท์ซิ”
“น้อยๆ หน่อยไอ้พิมพ์ เฮียเคยบอกแล้วว่า...อย่าเถียงเฮีย...” ฉันละเบื่อกับวลีเด็ดของสองเฮียนี่จริงๆ
“พิมพ์ก็แวะไปส่งเฮียเขาหน่อย...ส่วนม๊ากลับอาทิตย์หน้า ไว้เตี่ยจะบอกให้” ดูเตี่ยฉันซิ ไม่เข้าข้างฉันเลย
“แล้วนี่จะไปกันได้รึยัง” ตอนนี้เฮียประจำที่คนขับเรียบร้อย
“เออๆ!!” ฉันเดินกระแทกเท้าไปนั่งข้างๆ คนที่ใช้แต่อำนาจ แต่เตี่ยกับเฮียกลับหัวเราะฉันซะอย่างนั้น
“ไปละเตี่ยสวัสดีครับ/สวัสดีค่ะเตี่ย”
แล้วเฮียพอยท์ก็เหยียบคันเร่งประหนึ่งขับเครื่องบินเหมือนเคย
......................................................................
“ไมทางเข้าสนามบินรถมันติดจังวะ” เฮียเริ่มหงุดหงิด ส่วนฉันสบายๆ เพราะนั่งหลับตลอดทาง
“ไอ้พิมพ์ตื่นมาคุยกันก่อนดิ” เฮียยื่นมือมาเขย่าฉันให้ตื่น
“อะไรเฮีย คนจะนอน” ฉันรีบเอี้ยวเบี่ยงตัวหนีมือหนาๆของเฮียที่พยายามปลุกฉัน
“ได้ ไม่ตื่นใช่ไหม” เฮียพอยท์เร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้น จนเบาะฉันสั่น พร้อมกับหัวใจฉันเต้นดังตึบๆตามจังหวะเพลง
“โอ๊ยเฮีย ตื่นแล้วๆ” ฉันต้องรีบเอื้อมมือไปเบาเพลงทันที
“5555555 ดีมากเด็กดีของเฮีย ตื่นมาคุยเป็นเพื่อนกันซะดีๆ”
“มีไรจะคุยว่ามา” ฉันถามเฮียไปอย่างหงุดหงิด
“รู้ตัวไหม ว่าพิมพ์ของเฮียเริ่มกลับมาเป็นคนเดิม” จากที่กวนประสาทฉันเมื่อกี้ ก็เปลี่ยนโหมดเป็นสีหน้า พร้อมน้ำเสียงที่ดูจริงจังขึ้น
“......”
“จำไอ้พอล ห้องตรงข้ามแกได้ไหม”
“ถ้ามีอะไรก็ขอความช่วยเหลือมันได้ตลอดนะ...ทุกเรื่อง...”
ฉันหันไปมองหน้าเฮีย...ทุกเรื่อง หมายความว่าไง
“เฮียยอมให้เพื่อนมายุ่งกับพิมพ์ได้แล้วหรอ ถึงเฮียจะยอม พิมพ์ก็ไม่อยากยุ่งกับเขาอยู่ดี”
“ไม่รู้ ก็ขึ้นอยู่กับเอ็ง เฮียอยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นหมอศัลยกรรมหรือหมอผิวหนัง” พูดแล้วก็ทำหน้าทะเล้นใส่
“ไม่ทั้งสองหมอนั่นแหล่ะ”
“บอกอีกอย่าง เพื่อนเฮียดีกว่าเพื่อนของเพื่อนเอ็งเยอะ”
"เรื่องของเพื่อนเฮียดิ...รีบๆลงไปได้แล้ว พิมพ์จะกลับไปพัก” ฉันรีบลงรถเพื่อไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ
“Thanks ที่มาส่งนะน้องรัก”
ในขณะที่ฉันกำลังจะปิดประตูรถ เฮียดันยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มฉัน ทำให้บรรดาผู้คนตรงนั้นหันมามองเรากันเป็นตาเดียว ไอ้เฮียนะไอ้เฮียชอบแกล้งแบบนี้ประจำเลย
“โห กัปตันโชว์หวานกลางสนามบินเลยนะครับ” เป็นเสียงแซวจากบรรดารุ่นน้อง หรือไม่ก็พวกเพื่อนร่วมงานของเฮียนั่นแหล่ะ
“น้อยๆ หน่อยครับพวกคุณ นั่นน้องสาวแท้ๆ ผมครับ” เฮียหันไปตอบคนกลุ่มนั้นก่อนจะมีเสียงแซวเกิดขึ้นอีก
“โหย มีน้องสาวสวยขนาดนี้ไม่เคยบอกพวกผมเลยนะ จีบได้ไหมครับพี่ชาย”
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่สงสัย ฉันเองยังสงสัยเลยว่าทำไมเพื่อนๆของเฮียถึงไม่เคยรู้จักฉัน นอกซะจากเพื่อนสมัยมัธยมเท่านั้น
“รีบไปให้ไวเลยครับ ก่อนที่พวกคุณจะโดนผมเล่นงาน” พอเฮียปรามคนกลุ่มนั้น ก็เกิดเสียงหัวเราะและวงแตกขึ้นทันทีหลังจากที่เฮียเดินเข้าไป
......................................................................
กว่าจะกลับมาถึงคอนโดก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว ฉันเดินลากกระเป๋ามาตามทางเดิน แต่โชคชะตาก็ดันมาเล่นตลกกับฉันอีกครั้ง เพราะตอนนี้มีคนบ้าจากแดนกิมจิยืนยิ้มแป้นเผยฟันครบ 32 ซี่ส่งตรงมาให้ฉันแต่ไกล
วันนี้มาแปลก ปกติหน้าตึงอย่างกับฉีดโบท๊อก เขาต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลบางอย่างกับฉันแน่ๆ
“ไม่สบายหายดี หรือยัง” (^v^)
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
“นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่ชายคุณฝากดูแลน้องสาวเป็นกรณีพิเศษ ผมไม่ทำให้นะ เห็นว่าไอ้พอยท์มันเป็นเพื่อนรักหรอก เลยทำตามที่มันขอ” (^v^)
“งั้นฉันไม่รบกวนให้คุณลำบากดีกว่า ถอยไป ฉันจะเข้าห้อง” ฉันใช้มือข้างที่ว่างผลักคนที่ยืนขวางออกจากประตู
“คุณนี่มันใจดำจริงๆ คนอุตส่าห์มีน้ำใจ โชคดีแค่ไหนที่มีหมอหล่อๆ อย่างผมอาสามาดูแล”
“ไหนบอกว่าพี่ฉันฝากไง” โกหกกันชัดๆ เมื่อกี้ยังอ้างเฮียอยู่เลย ไมตอนนี้กลายมาเป็นอาสาสมัครซะแล้วล่ะ
“มันก็เหมือนกันนั่นแหล่ะคุณ รีบเปิดประตูห้องซิ จะเข้าไหมห้องอ่ะ” อีตาบ้าหลีกทางพร้อมกับแย่งกระเป๋าฉันไปถือไว้ในมือ พอกันเลยทั้งเฮีย ทั้งเพื่อนเฮีย มึนพอกัน มิน่าถึงคบเป็นเพื่อนกันได้ นี่ถ้าฉันไม่เพลียฉันไม่ทำตามที่เขาบอกแน่ๆ
“คุณไปอาบน้ำเถอะ” เขาเดินลากกระเป๋าตามฉันเข้ามา แล้วหันมาไล่ให้ฉันไปอาบน้ำ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
“นั่นคุณจะทำอะไร”
“บอกให้ไปอาบน้ำไง ยังไม่ไปอีก ไปซิ”
ฉันเลิกให้ความสนใจคนตรงหน้า แล้วหายเข้าห้องนอนเพื่อมาจัดการอาบน้ำแต่งตัว เมื่อเสร็จเรียบร้อย จึงออกมาดูอีตาหมอว่ากำลังทำอะไรอยู่
“อ้าวอาบน้ำเสร็จแล้วหรอ มานั่งตรงนี้ซิ” คนหน้ามึนไม่เรียกฉันเปล่า ยังเดินเข้ามาลากแขนฉันให้ไปนั่งตรงที่เขาบอก ก่อนที่เจ้าตัวจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงข้าม พร้อมกับถ้วยซุปมักกะโรนีที่ฉันยอมรับเลยว่ามันดูน่ากินไม่น้อย
“เป็นไงหิวเลยดิ ลองชิมดู” ฉันมองหน้าคนกวนประสาท ที่นั่งจ้องฉันตาแป๋ว รอลุ้นให้ฉันชิมฝีมือการทำซุปของเขา
“อย่ามามองหน้าแบบนี้ จะกินเองหรือจะให้ป้อนฮะหมวย”
เฮ้อ!!! ฉันถึงกับต้องถอนหายใจ คนบ้าอะไรเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด เขาหยิบช้อนตักซุปมักกะโรนีทำท่าจะยัดใส่ปากฉัน
“ไม่ต้อง ฉันกินเองได้” ฉันร้องห้าม แล้วแย่งช้อนกลับคืนมา
“เป็นไง อร่อยไหม” เขาถามขึ้นเมื่อฉันตักซุปเข้าปากตัวเอง
“ก็...งั้นๆ” ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายตรงหน้าฉันก็ทำอาหารอร่อยเหมือนกันแหะ แต่มีหรอที่ฉันจะเอ่ยปากชมเขา
“โห!!! แค่งั้นๆเองหรอ” อีตาบ้าหน้าจ๋อยทันที ทำให้ฉันต้องแอบหัวเราะกับท่าทางงอแงของเขา แต่พอเขาเห็นท่าทีของฉันจากหน้าจ๋อยก็เปลี่ยนเป็นอมยิ้มแทน
“ยิ้มไร”
“เปล๊า ก็แค่เพิ่งเคยเห็นคุณหัวเราะแบบนี้ให้ผมเป็นครั้งแรก” เขาส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ จนฉันต้องรีบตีหน้านิ่งใส่
“รีบกิน แล้วกลับห้องไปซะ” ฉันไล่เขาแต่เขายังคงยิ้มเหมือนเดิม เราสองคนนั่งกินซุปกันอย่างเงียบๆ จนหมด แล้วก็เป็นเขาที่ทำลายบรรยายกาศความเงียบนี้
“พิมพ์"
“หืม...มีไร”
“อย่าลืมกินนี่” เขาส่งตลับอะไรสักอย่างมาให้ฉัน
“กินยาด้วย จะได้หายป่วยไวๆ” ฉันได้แต่มองเขานิ่งๆ
“อิ่มละ...ผมไม่กวนคุณดีกว่า” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้อง แต่ก่อนที่เขาจะปิดประตู ฉันรีบตะโกนเรียกเขาไว้
“เดี๋ยว!!!” เขาหยุดชะงักแล้วหันมามองฉัน “ขอบคุณนะหมอ”
รอยยิ้มที่ดูมีความสุขของผู้ชายคนนี้ปรากฏขึ้นบนหน้าของเขาอีกครั้ง ฉันเชื่อว่าคงเป็นรอยยิ้มที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก ถ้าบรรดาสาวน้อยใหญ่ได้เห็นคงละลายลงไปกองกับพื้นเป็นแน่ ยกเว้นกับฉันนะ เพราะการเจอกันครั้งแรกของเรามันยังทำให้ฉันประทับใจจนถึงทุกวันนี้อยู่เลย
"เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม" ไม่พูดเปล่าเขายังเดินกลับเข้ามาประชิดตัวฉันอีก จนฉันต้องรีบใช้แขนตัวเองยันกล้ามเนื้อหน้าอกเขาไว้
"หยุดคิดอกุศลเดี๋ยวนี้เลยนะหมอ" คนตรงหน้าได้แต่หัวเราะ และชูแขนสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้
"คุณเริ่มก่อนนะ" เขาก้มมองมือฉันและยิ้มกรุมกริม จึงทำให้ฉันต้องรีบชักมือกลับ
"555 แกล้งคุณนี่สนุกดีจัง" จังหวะที่ฉันเผลอ เขากลับตวัดแขนโอบเอวฉันไว้ แล้วดึงเข้ามาสวมกอด
"อย่าเพิ่งดิ้น ขอกอดคุณนิ่งๆอยู่อย่างนี้สักนาทีได้ไหม ผมขอใช้กอดนี้แทนคำขอบคุณของคุณก็แล้วกัน" ไม่พูดเปล่า เขายังจูบสัมผัสหน้าผากฉันเบาๆ และค่อยๆถอนจูบอย่างเชืองช้า
"ผมไปดีกว่า ขืนอยู่ต่อเดี๋ยวคุณจะไม่ได้พัก" พูดจบเขาก็เดินผิวปากออกจากห้องฉันไปหน้าตาเฉย
ไอ้หมอบ้า ไอ้หมอฉวยโอกาส ไอ้หมอชีกอ ฝากไว้ก่อนเถอะ
......................................................................

ชเวยองโด (พอล) Part
เมื่อวานผมไปดักรอพิมพ์ที่หน้าห้องเธอ เพราะไอ้พอยท์มันโทรมารายงานให้ผมฟังว่าเธอไม่สบาย แล้วผมก็กำลังมีคู่แข่ง ที่สำคัญไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นหมอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลของผมด้วย แถมยังเป็นเพื่อนของเพื่อนสนิทเธออีกต่างหาก ดีกรีพรีเมียมอย่างหมอกายมีหรอที่สาวๆ จะไม่ชอบ หวังว่ายัยหมวยของผมคงไม่หลงเสน่ห์เขาคนนั้นไปซะก่อน ผมต้องรีบทำคะแนนให้เธอหันมาสนใจผมให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่านเค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ สายตาผมดันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยทำให้ผมเจ็บเจียนตายมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเห็นแค่ด้านหลังของเธอก็ตาม แต่ผมก็ยังจำรายละเอียดของเธอได้หมดทุกอย่าง
เธอค่อยๆ หันมาก่อนจะหยุดนิ่งมองมาทางผม เราสองคนต่างสบตากัน เหมือนโลกของเราหยุดหมุนไปชั่วขณะ ทั้งๆที่สิ่งรอบข้างออกจะวุ่นวายแต่กลับไม่มีผลต่อเราสองคนเลย
“พอล” ปากของผู้หญิงตรงหน้าเรียกชื่อผมเบาๆ สีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก เหมือนว่าไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าสักเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่เธอ ผมเองก็เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมาเจอคนรักเก่าที่นี่
เธอเดินตรงเข้ามาหาผม แทนที่ผมจะเดินหนีเธอ แต่ขาผมไม่ยอมทำตามแบบนั้น
“พอลจริงๆ ด้วย” น้ำตาเธอเริ่มไหลแล้วโผเข้ากอดผม ทำให้พยาบาล พนักงาน และคนไข้ต่างหันมามองทางเราทั้งคู่
“คุณปล่อยผมก่อน” ผมร้องห้าม และพยายามดันตัวเธอออกห่าง
“พอล คุณเป็นไงบ้าง สบายดีไหม ฉันคิด......”
“หยุดพูดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์เถอะ” ผมต้องรีบห้ามเธออีกครั้ง เพราะผมไม่อยากได้ยินประโยคที่เหมือนให้ความหวังลมๆแล้งๆอีกต่อไป
เมื่อเธอได้ยินในสิ่งที่ผมพูด สีหน้าเธอเปลี่ยนเหมือนไม่เข้าใจในตัวผม ใช่แต่ก่อนผมเคยบอกว่าจะรอเธอกลับมา แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่ผมเจอกับพิมพ์
“คุณด้ามาอยู่นี่เองผมบอกให้คุณไปรอที่ร้านกาแฟไงครับ...อ้าวคุณหมอพอล สวัสดีครับมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า” หมอกายเดินเข้ามาทักได้จังหวะพอดี นี่ซินะผู้ชายที่เป็นคู่แข่งของผม
“ไม่มีอะไรครับ แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” เมื่อหมอกายได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ
“อ่อ...จริงซิ นี่คุณหมอพอล เป็นหมอแผนกศัลยกรรม และเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้”
“ส่วนนี่คุณด้าครับ เธอเป็นผู้ช่วยของผม” หมอกายแนะนำเราสองคนให้รู้จักกัน ด้ามองหน้าผมเหมือนมีเรื่องอยากคุยกับผมมากมาย แต่ผมไม่มีอะไรที่ต้องคุยกับเธออีกต่อไป
“อย่างนั้นหรอครับ งั้นตามสบายนะผมไม่รบกวนพวกคุณดีกว่า” ผมขอตัวแล้วเดินออกมาจากบรรยากาศที่น่าอึดอัดนั้น
ผมเดินตรงไปยังที่จอดรถประจำ แต่คงเดินเหม่อไปหน่อยจนชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง เอกสารที่เธอถือมาตก และปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว บางส่วนปลิวไปโดนน้ำ ผมต้องรีบช่วยเก็บ และรวบรวมไว้ให้เธอ พอผมเงยหน้ามอง
“หมวย”ผู้หญิงที่ผมเดินชน ดูเธอจะหงุดหงิดเอามากๆ
“นี่นายอีกแล้วเหรอ เวลาเดินก็หัดดูทางหรือดูคนอื่นเขาบ้างนะ ดูซิเนี่ยเอกสารของลูกค้าเละหมดแล้ว นายนี่มันจริงๆเลย” เธอใส่ผมไม่ยั้ง แต่ผมกลับไม่สลดกับความผิดของตัวเองเลยสักนิด
“พอๆ หยุดก่อน” ผมยกมือห้ามคำด่าที่คาดว่าน่าจะยังไม่จบ
“คุณเองก็เดินชนผม เอาเป็นว่าผมจะรับผิดชอบในส่วนที่เสียหายเองทั้งหมดก็แล้วกัน ตกลงไหม” เธอมองหน้าผมแบบไม่สบอารมณ์มากขึ้น
“รับผิดชอบตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วมั้งฉันจะคุยงานกับลูกค้ารู้เรื่องไหมเอกสารก็ดันปริ๊นมาแค่ชุดเดียวด้วย”
“ใจเย็นก่อนคุณ เอาเป็นว่าผมอนุญาตให้คุณใช้คอมผมปริ๊นงานได้” เธอยังคงจ้องหน้าผมด้วยความโกรธเหมือนเดิม
“จ้องหน้าแบบนี้ สรุปจะเอาไหม” เธอทำท่าลังเล แต่สุดท้ายก็ตกลงกับข้อเสนอของผม
“งั้นตามผมมา”
เธอเดินตามผมขึ้นมาที่ห้องทำงาน ทำให้พยาบาล และพนักงานคนอื่นๆ พากันซุบซิบมองตามเราตลอดทาง พวกเขาอาจจะงงว่าผมทำรถไฟชนกันหรือเปล่า และอีกอย่างพิมพ์เป็นเพื่อนกับหมอโรส เธอมาที่นี่บ่อย ทุกคนเลยคุ้นหน้าคุ้นตาเธอดี แต่ผมไม่เคืองพวกเขาหรอกนะ ถ้าเป็นเรื่องพิมพ์ ผมยินดีให้ซุบซิบ และยินดีไขข้อปริศนาที่พวกเขากำลังสงสัย
ในระหว่างที่พิมพ์กำลังนั่งปริ๊นงานอยู่ ผมดันเสนอไอเดียดีๆมายื่นให้เธอ
“เอางี้ดิคุณ ผมอนุญาตให้คุณเชิญลูกค้ามานั่งคุยงานในห้องนี้ได้”มันเป็นไอเดียที่ออกแนวเห็นแก่ตัวเล็กน้อย เพราะผมรู้ว่าลูกค้าที่เธอพูดถึงคือคู่แข่งผมเอง ถ้าผมให้พวกเขามาคุยงานกันในห้องนี้ทุกอย่างมันก็จะอยู่ในสายตาของผมตลอด
“ข้อเสนอของคุณ มันไม่ออกแนวเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรอคะ อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่” พิมพ์หันมาแขวะผมแบบรู้ทัน จะฉลาดไปแล้วแม่ทูนหัว
“เฮียฉันคงเล่าให้คุณฟังหมดแล้วซิ ไงก็ขอบคุณมากที่ให้ใช้ห้องส่วนตัวของคุณ...แต่...คุณยังติดหนี้ฉันอยู่ เพราะฉันเสียเวลากับความซุ่มซ่ามของคุณมามากแล้ว เอาไว้ค่อยชดใช้วันหลังก็แล้วกัน”
เธอจัดเรียงเอกสารให้เข้าที่ แล้วเตรียมลุกจากเก้าอี้ ผมรีบใช้แขนทั้งสองข้างกดหัวไหล่ของเธอให้นั่งลงตรงที่เดิม แล้วคร่อมตัวเธอไว้ ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หน้าเธอเรื่อยๆ
“คุณจะทำบ้าอะไร”
หน้าเธอเริ่มตื่นตระหนก และเบี่ยงหนี ผมแอบสังเกตเห็นคนตัวเล็กแข็งทื่อไม่กระดุกกระดิก นี่เหรออาการของคนที่เคยมีแฟน แถมยังแต่งงานแล้วด้วย ทำเหมือนไม่เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่ผมไม่แคร์หรอก อาจเป็นเพราะเรายังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น
ผมแกล้งเป่าลมเข้าหูของเธอเบาๆ เธอสะดุ้งหันหน้ากลับมาอย่างไว จนทำให้จมูกผมและเธอชนกัน ดวงตาเธอขยายโต แก้มเริ่มแดง ทำให้ผมขำกับภาพที่เห็นตรงหน้าเอามากๆ
“อ...ออ...ออกไปนะ” พอเธอได้สติก็รีบผลักผมออก แต่แรงคนตัวกระจี๊ดเดียวจะสู้แรงคนตัวใหญ่กว่าได้ยังไง
“พูดเพราะๆก่อนซิแล้วจะปล่อย” ผมเผยยิ้มมุมปาก ไม่ได้รู้สึกดีแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว มันเป็นความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีชัยชนะรออยู่ข้างหน้า อีกอย่างการแกล้งหยอกล้อคนที่เราชอบนี่มันสนุกสุดๆ
“ว่าไง ถ้าไม่พูด”ผมทำเสียงกระเซ้าเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้เธอเรื่อยๆ ค่อยๆเอียงหน้าเพื่อให้ปากของผมอยู่แนวเดียวกับปากของเธอ อีกนิดเดียวผมเกือบจะได้ลิ้มรสหวานของกลีบปากบางนั้น แต่คนตัวเล็กมีฤทธิ์เดชเยอะกว่าที่คิด เธอใช้เท้าที่ใส่รองเท้าส้นแหลมๆ กระทืบลงมาที่เท้าของผมอย่างแรง
“โอ๊ย!!!!!!” ผมร้องด้วยความเจ็บปวด เอามือกุมเท้าตัวเอง กระโดดเหยงๆ เหมือนเล่นกระต่ายขาเดียว
พอเธอได้จังหวะก็รีบลุกขึ้น แล้วใช้แฟ้มเอกสารทุบมาที่ตัวผมอย่างไม่ยั้งมือ
“โอ๊ย!!!คุณ พอแล้วๆ” เกราะป้องกันที่ดีสุดตอนนี้คงมีแค่แขนของผมเท่านั้น ที่สามารถช่วยผมได้
“พูดเพราะๆ ก่อนซิ แล้วจะหยุดทุบ” ยัยหมวยย้อนคำพูดของผมได้แสบทรวงมาก
“โอเค พอแล้วครับๆ ผมขอโทษครับคุณพิมพ์” ผมจำใจต้องพูดเพราะตามที่เธอสั่ง
“พูดด้วยว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก....พูดซิ” เธอบังคับให้ผมพูดตามเธอ พอผมไม่พูดเธอก็ขึ้นเสียงแถมยังทุบผมไม่หยุด
“จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับคุณพิมพ์” ผมพูดจบยัยหมวยก็หยุดทุบแล้วรีบเดินออกจากห้องผมไปทันที
“อย่าลืมมาทวงหนี้ที่ผมค้างคุณไว้ด้วยนะ” ผมตะโกนเสียงดังส่งท้ายให้คนตัวเล็กได้ยิน แล้วก็ต้องหัวเราะให้กับความแสบของเธอ นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า เล็กพริกขี้หนู เจ็บเท้าเป็นบ้าเลยวุ้ย!!
แฟลชไดร์ฟ!!!
ผมเหลือบเห็นแฟลชไดร์ฟของเธอยังเสียบคาคอมผมอยู่ คงโกรธจนลืมดึงออกเลยซิท่า ไว้คืนนี้แหล่ะผมจะ...เอา... คืนเธออย่างสาสมแน่นอน
......................................................................
อัพ 100%
ทำไมหมอพอลรุกน้องหมวยหนักขนาดนี้ ใจเย็นๆก่อนค่ะคุณหมอ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ใจร้อนเดี๋ยวไก่ตื่นกันพอดี อดกินขึ้นมาจะสมน้ำหน้าให้ แล้วยันดัน!!!!!!มาเจอกับรูมแมทเก่าอีก ห้ามหวั่นไหวเด็ดขาดเลยนะ ต้องใจแข็งไว้ ไรท์ขอห้าม ห้าม ห้าม ไปยุ่งเด็ดขาด ไม่งั้นจะให้น้องหมวยกระทืบหมอแบนไปเลย
ปล.ฝากด้วยนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ไรท์ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยจ้า ติชมได้เลยค่ะ❤️ เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า❤️
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ