Love You My Love รักเธอที่เป็นเธอ

9.6

วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.50 น.

  9 ตอน
  1 วิจารณ์
  11.05K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 16.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 6 คู่แข่ง (ตัวสำคัญ) (อัพ 100%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 6 คู่แข่ง (ตัวสำคัญ)
 

 
I'm Sky
 
พิมพ์ Part
 
          และแล้ววันที่ต้องเดินทางขึ้นเหนือก็มาถึง เราสามคนพี่น้อง เฮียพอส เฮียพอยท์ ฉัน ได้เดินทางเข้ามาพักโรงแรมของลูกค้ารายใหญ่ และยังมีบรรดาหัวหน้าวิศวกร เด็กฝึกงานตามมาด้วยอีกหกคน เมื่อมาถึงเฮียพอสก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา เริ่มคุยงาน และสำรวจพื้นที่โดยทันที เพราะเฮียต้องการให้มีเวลาเหลือ เผื่อพาพวกเราไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ส่วนเฮียพอยท์ถึงจะเป็นนักบินไม่ได้จบทางสายวิศวะมาโดยตรง แต่เฮียก็คลุกคลีกับวงการนี้มาไม่น้อย เพราะเตี่ยชอบหิ้วบรรดาเฮียๆ ไปทำงานด้วย มันเลยทำให้เฮียซึมซับด้านนี้มาพอสมควร
 
          “คุณพิมพ์เจ้า เจ้านายของจุ๋มเอาน้ำมาหื้อเจ้า เปิ้ลเห็นยะการกันเหนื่อยๆ สักก๋ำนายจะลงมาพบนะเจ้า” เสียงคุณจุ๋มเลขาส่วนตัวของลูกค้าเดินเอาน้ำมาเสริฟ์ให้พวกเราที่รอเข้าประชุมกับเจ้านายของเธอ 
          
          “ขอบคุณนะคะ เอ๊า!!! เด็กๆ มาเอาน้ำไปกินกัน”  ฉันขอบคุณคุณจุ๋ม และหันไปบอกให้เด็กฝึกงานมาหยิบน้ำไปแจก
 
          กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง!!!! 
 
          “ว่าไงโรส”
          “หมวย ตอนนี้แกถึงสกายโฮเทลหรือยัง” เอ๊ะเพื่อนฉันรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่โรงแรมนี้
          “นี่แกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่” 
          “ก็เมื่อกี้ฉันเพิ่งคุยกับหมอกายมา เห็นบอกว่าที่โรงแรมกำลังจะสร้างอาคารใหม่ คุยไปคุยมาฉันก็นึกได้ว่าแกขึ้นไปดูงานที่เหนือ สรุปก็เป็นทีมงานของบ้านแกจริงๆ แกจำคนที่ฉันจะแนะนำให้ได้หรือเปล่า ที่บอกว่านิสัยดี หล่อ รวย แกจำได้ไหม” โรสดูตื่นเต้นแถมยังดูดี๊ด๊าร่ายยาวไม่หยุด
          “จำได้ แล้วยังไง”
          “ก็คนที่ฉันจะแนะนำให้แกรู้จักเป็นเจ้าของโรงแรมที่แกไปทำงานอยู่นี่ไง ฉันได้ฝากฝังเพื่อนฉันให้ดูแลแกเป็นอย่างดีแล้วด้วย” พอฉันฟังเพื่อนเล่า ก็ถึงบางอ้อทันที มิน่าล่ะทำไมลูกค้าถึงต้อนรับ และดูแลทีมงานของฉันดีเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นเพื่อนของโรสนี่เอง
 
          “ก็ไหนแกว่าเขาไปสัมมนาที่ออสเตรียไม่ใช่หรอ”
          “ใช่...แต่เขากลับมาไทยแล้ว และลาพักร้อนกลับไปช่วยทางบ้านดูแลธุรกิจ” 
          “อ่อ งั้นก็ขอบใจนะ”
          “ ไงก็ฝากดูแลกิจการเพื่อนหมอของฉันดีๆ นะจ๊ะเพื่อนเลิฟ เม้าท์แค่นี้แหล่ะ บ๊ายบาย จุ๊ฟๆ”
 
          ฉันวางสายจากโรสได้ไม่นาน ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าตรงมาทางห้องที่พวกเรานั่งรออยู่ สายตาฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งดูหล่อ สุขุม นุ่มลึก รอยยิ้มของเขาค่อนข้างมีเสน่ห์ กระชากใจหญิงแท้ และหญิงเทียมได้ไม่น้อย ถ้าฉันไม่ได้หลงตัวเองเหมือนว่าเขากำลังจ้องมาทางฉันอยู่เหมือนกัน คนผู้นี้คงเป็นคนที่เพื่อนฉันเอ่ยถึงแน่นอน 
          ส่วนข้างๆของเขามีหญิงสาวสวยที่ดูอ่อนหวานสมกับเป็นหญิงไทย ในลุคอ่อนหวานนั้นกลับแฝงไปด้วยความมั่นใจในตัวเองเกินร้อย เธอคนนั้นต้องเป็นใครคนหนึ่งที่มีตำแหน่งหรืออิทธิพลในที่นี่เป็นแน่ และยังมีผู้ชายหน้าตาดีอีกคนแต่ดูเหมือนเจ้าเล่ห์ไงก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันไม่ค่อยถูกชะตากับอีตานี่ และผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่
          เมื่อคุณจุ๋มเห็นคนกลุ่มนี้กำลังเดินมาก็รีบแจ้งให้พวกเราทราบว่าคนกลุ่มนี้คือผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมที่จะเข้ามาประชุมคุยงานกับเรา
 
          “ขอโทษที่ให้รอนานครับ”
          ผู้ชายคนแรกที่ฉันเห็นเอ่ยขอโทษพวกเราเมื่อเข้ามาถึงในห้อง
          “สวัสดีทุกท่านแบบเป็นทางการอีกครั้งครับ ผมกาย เป็นรองประธานของโรงแรมนี้ และเป็นคนรับผิดชอบดูแลในส่วนของอาคารที่ต้องการสร้างใหม่ทั้งหมด” หมอกายเริ่มแนะนำสมาชิกที่ร่วมเข้าประชุมทีละคน
          “คุณเกมส์ น้องชายของผมจะดูแลในส่วนของหน้างานตลอดจนกว่าเป้าหมายของเราจะสำเร็จ”
           “ส่วนคุณผู้หญิงท่านนี้คุณด้า เธอเป็นผู้ช่วยของผม จะดูแลรับผิดชอบ และประสานงานแทนผมในช่วงที่ผมไม่อยู่”
           “นี่เลขาประจำตัวผม คุณจุ๋ม ถ้ามีอะไรติดต่อเร่งด่วน สามารถติดต่อเธอได้ตลอดเวลา”
 
          ในระหว่างที่หมอกายกำลังแนะนำตัวเองอยู่นั้น เฮียพอยท์ดูมีพฤติกรรมแปลกๆไป เอาแต่นั่งจ้องหน้าคุณด้า ทำเหมือนเคยรู้จักและเคยมีเรื่องบาดหมางกับเธอมาก่อน ส่วนยัยผู้หญิงที่ชื่อด้าก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเฮียกลับเหมือนกัน แววตาที่เธอมองเฮียพอยท์​นั้นเหมือนมีเรื่องมากมายที่ต้องการจะ​พูดระบายออกมา
 
          เวลาผ่านไปเกือบสอง​ชั่วโมงแล้ว พวกเรายังคง​คุยรายละเอียดของงานกันอยู่​ ฉันต้องตั้งใจฟัง และคอยจดงาน เพื่อสรุปให้เฮียพอสฟังอีกครั้ง แต่จู่ๆ ทำไมฉันถึงครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะไม่สบายขึ้นมาเอาดื้อๆ คงเป็นเพราะอากาศร้อนของกรุงเทพ แล้วต้องมาเจออากาศเย็นของทางเหนือ ร่างกายคงปรับตาม​สภาพแวดล้อมไม่ทัน ฉันจำต้องฝืนสังขาร นั่งฟังการประชุมต่อไป 
          เราใช้เวลาคุยงานกันเกือบห้าชั่วโมง นี่คือการคุยงานกันครั้งแรก ฉันไม่อยากนึกถึงการประชุมสรุปงานในครั้งต่อๆไปเลยจริงๆ
 
          ในขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายไปพักผ่อน หมอกายได้แจ้งกับทางเราว่าวันนี้เวลา 19.00 น. ทางโรงแรมได้จัดเตรียมอาหารมื้อค่ำต้อนรับพวกเรา และมีการแสดงพื้นเมืองให้เราได้ชม ในฐานะที่เราไม่ใช่คนอื่นคนไกล เหตุเพราะว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทกับหมอโรส ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับเขาเช่นเดียวกัน แต่ฉันว่ามันไม่ได้สมเหตุสมผลหรือเกี่ยวข้องอะไรกันเลย ถ้าฉันเป็นโรสว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที หมอกายก็ว่าไปเรื่อย และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ฉันถูกบรรดาพวกลูกน้อง เด็กฝึกงาน และเฮียๆ แซวกันยกใหญ่ ตลอดทางไปห้องพัก
          “ว๊าว เจ้พิมพ์ เสน่ห์แรงไม่เบานะเนี่ย” (เด็กฝึกงานคนที่ 1)
          “ปี๋สาวครับ ตอนนี้ผมเป๋นหนุ่มแล้วครับ จำน้องชายคนนี้ได้ก่อ จำได้บ่ได้ก็บอกมา ลาลา” (เด็กฝึกงานคนที่ 2)
          “ฮิ๊ววววววววววว” (เสียงเฮียๆ)
          “จะเป็นหมอลูกเจ้าของโรงพยาบาล หรือ หมอลูกเจ้าของโรงแรมดีน้า” (เฮียพอยท์)
          “พอๆ หยุดแซวพิมพ์กันซะที พิมพ์ปวดหัว ขอไปพักก่อน แล้วเจอกัน”
          ฉันเบรกทุกคนเมื่อมาถึงหน้าห้องพักตัวเอง ตอนนี้ฉันปวดหัวมาก บริเวณขมับเต้นตุ๊บๆ เหมือนกำลังจะระเบิด แล้วยิ่งต้องมาได้ยินเสียงแซวจากพวกนี้อีก มันยิ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นเลิศ ดีที่ฉันพกยาแก้ปวดหัวมาด้วย ไม่งั้นมีหวังต้องหามส่งโรงพยาบาลแน่ ฉันจัดการกินยาแล้วพุ่งหาเตียง ซุกตัวเองเข้าใต้ผ้าห่มทันที...ขอพักสักงีบแล้วกัน เผื่ออาการปวดหัวจะดีขึ้น
 
.................................................................................
 
          มี​เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงคนเรียกอยู่หน้าห้อง ฉันค่อยๆลืมตามองไปรอบๆ แล้วพยุงตัวเองเพื่อเดิน​ไปเปิดประตู อาการปวดหัวที่คิดว่าจะดีขึ้นมันกลับตรงข้ามอย่างที่คิด 
 
          ก๊อก ก๊อก ก๊อก
 
          “คุณพิมพ์ครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
          ฉันค่อยๆ แง้มประตู ปรับโฟกัสสายตาไปยังคนที่มาเคาะห้อง แต่ภาพคนที่อยู่ตรงหน้ากลับเบลอ เลือนลาง 
          “คุณกายหรอคะ”
 
          ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ขมับฉันกระตุก เหมือนกล้ามเนื้อกำลังเต้นเพลงจังหวะ​สามช่า ให้มันได้อย่างนี้ซิ มาไม่สบายอะไรตอนนี้นะพิมพ์
 
          “คุณพิมพ์ ขอโทษนะครับ” คนตรงหน้าเรียกชื่อฉันแบบตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นหลังมือมาอังที่หน้าผากฉัน
          “ไม่สบายทำไมไม่บอกผม ตัวร้อนขนาดนี้ ถ้าช็อกขึ้นมาจะทำยังไงครับ” เขาตำหนิฉันด้วยความเป็นห่วง ถึงจะตำหนิแต่เขาก็โอบประคองพาฉันเข้ามานอนพักที่เตียง
 
          “ไอ้พิมพ์ทำไรอยู่วะ ไมไม่ลง เฮ้ย!!! ไอ้หมอมึงจะทำไรน้องกู” และแล้วความปั่นป่วนก็เกิดขึ้น เมื่อเฮียพอสเข้ามาเห็นช่วงที่หมอกายกำลังพยุงฉันเอนตัวนอน​ เฮียรีบปรี่เข้ามากระชาก​แขนหมอกายเหวี่ยงวงแขนเกือบจะชกเข้าที่หน้าหมอ แต่ดีที่ฉันรวบรวมกำลังเอาตัวเข้าไปกอดเฮีย เพื่อห้ามการกระทำของเฮียที่อาจส่งผลต่อธุรกิจของเราไว้ได้ทัน
 
          “เฮียหยุด มันไม่ใช่อย่างที่เฮียคิด” ไอความร้อนของฉันแผ่รัศมีออกมาจนทำให้เฮียสัมผัสถึงความร้อนนั้นได้
          “พิมพ์ ทำไมเอ็งตัวร้อนขนาดนี้” เฮียพอสดูเหมือนจะตกใจแล้วรีบกอดฉันตอบ
          “วันหลังเฮียอย่าทำอะไรวู่วามแบบนี้อีกนะ” ฉันซุกหน้าเข้ากับอกของเฮีย พยายามพูดเตือนสติเฮีย แต่เสียงอู้อี้ของฉันดูเหมือนว่าเฮียจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่
 
          “หมอเมื่อกี้ผมขอโทษ ตอนนี้ช่วยน้องผมก่อน ตัวเธอร้อนมากเลยหมอ” ก็ยังดีที่เฮียพอสขอโทษ ดูเหมือนว่าหมอกายจะไม่ได้โกรธอะไรเฮียฉันเลย กลับพยักหน้าแล้วทำตามที่เฮียฉันบอกอย่างว่าง่าย จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ สติฉันรับรู้ถึงเสียงสุดท้ายก่อนจะล้มพับทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปที่เฮียพอส
 
          “ไอ้พิมพ์ / คุณพิมพ์!!!!!!!!”
 
.................................................................
 
สกาย Part
 
          ผมเพิ่งกลับมาจากสัมมนาที่ออสเตรียได้ไม่กี่วัน ดีที่ผมยื่นเรื่องลาพักร้อนไว้จะได้พักผ่อน และกลับมาช่วยดูแลธุรกิจความเรียบร้อยของโรงแรม บ้านเกิดผมอยู่ที่ภาคเหนือ ผมชื่อสกายเป็นลูกชายคนโต ส่วนน้องชายผมชื่อเกมส์ เหตุผลที่ผมเลือกเรียนหมอแทนเรียนบริหาร เพราะมันเป็นความใฝ่ฝันของผมเอง ถึงผมจะเป็นหมอก็จริงแต่งานด้านการบริหารโรงแรมผมก็ยังคงเป็นตัวหลักรองจากพ่อผมอยู่ ดังนั้นเวลาว่างของผมจะน้อยมาก การเดินทางจากกรุงเทพมาเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ไปกรุงเทพ ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ แต่สำหรับผมมันชิวมากครับ เพราะชินเสียแล้ว 
 
          ตอนนี้คุณพ่อของผมต้องการขยายธุรกิจโดยสร้างอาคารใหม่ เนื่องจากผลตอบรับการเข้าพักของลูกค้าถือว่าดีมากเลยทีเดียว ท่านจึงมอบความรับผิดชอบในส่วนนี้ให้ผมจัดการดูแลแทน
 
          “โลกมันกลมเนอะแก เป็นไงตัวจริงพิมพ์น่ารักไหม”
 
          เสียงแหลมๆของหมอโรสถามถึงเพื่อนที่จะแนะนำให้ผมรู้จัก ผมกับโรสเราเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ตอนเรียนหมอแล้วครับ เพราะเราอยู่กลุ่มเดียวกันตลอด และเป็นความบังเอิญที่เราโคจรมาทำงานโรงพยาบาลเดียวกัน เธอเลยกลายเป็นเพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดในกลุ่ม ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรผมก็จะปรึกษาเธอตลอด มีอะไรดีๆก็จะคอยแนะนำผมเสมอ 
 
          และใน​ครั้งนี้เธอดูตั้งใจ ภูมิใจแนะนำผู้หญิงคนนี้ให้ผมรู้จักมาก ผมพอจะรู้เรื่องราวของพิมพ์คราวๆ บ้าง เพราะเพื่อนตัวแสบไม่ได้เล่าอะไรมาก​ นอกจากบอกให้ไปฟังจากปากพิมพ์เอง และการที่ผมเลือกบริษัทของพิมพ์ ไม่ใช่ความบังเอิญหรือโลกกลมอะไรหรอกครับ ผมตั้งใจเจาะจงเลือกบริษัทนี้โดยเฉพาะ ผมคิดว่าผมชอบเธอตั้งแต่ที่โรสเอารูปมาให้ดูแล้ว ทั้งๆที่โรสพยายามนัดให้เรามาเจอกัน แต่ด้วยความที่ทั้งเธอและผมมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมาย เราเลยไม่เคยได้มีโอกาสเจอกันสักที คราวนี้มันคือโอกาสที่ดีของผม
 
          “น่ารักมาก น่ารักกว่าในรูปที่โรสให้กายดูอีก”
 
          ตอนที่ทีมงานของพิมพ์มาถึงเป็นช่วงเดียวกับที่ผมกำลังจอดรถอยู่พอดี ผมเห็นผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นึกไปนึกมาผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวกันกับในรูปที่เพื่อนผมจะแนะนำให้รู้จัก ตัวจริงดูดีกว่าตั้งเยอะ หน้าหมวย ขาว ตัวเล็ก ผมยาวตรง เป็นที่ตรงตามความต้องการของตลาดมาก
 
          “งั้นก็ฝากดูเพื่อนสาวของฉันให้ดีๆนะแก อย่าให้เสียชื่อโรสนะคะ”
          “เออ...รู้แล้วครับ”
          “ดีมาก แค่นี้นะแล้วเจอกัน บาย”
          “แล้วเจอกันโรส บาย”
 
          เมื่อผมคุยกับโรสเสร็จ ก็เตรียมตัวเข้าประชุมกับทีมงานของบ้านพิมพ์ที่จะมาดูแลความเรียบร้อยอาคารหลังใหม่ให้กับโรงแรมผม พวกเราประชุมกันตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงเย็น วันนี้ผมได้สั่งให้ลูกน้องจัดเตรียมอาหาร และการแสดงเพื่อต้อนรับทีมงานของพิมพ์โดยเฉพาะ แต่พอถึงเวลานัดหมาย ผมกลับไม่เห็นพิมพ์ลงมาร่วมงานที่ผมตั้งใจเตรียมไว้ให้เลย เห็นแต่พี่ชายและทีมงานของเธอเท่านั้น ไม่รอช้าผมตัดสินใจไปตามเธอที่ห้อง พอเห็นสภาพเธอ ผมค่อนข้างตกใจ เพราะเธอหน้าซีด และเหมือนจะมีไข้สูง ดีที่ผมมาเจอเธอก่อน ถ้าเธอเกิดช็อกจากพิษไข้ขึ้นมาจริงๆ คงต้องแย่แน่ๆ
 
          ผมพยุงเธอไปนอนพักผ่อนที่เตียง แต่พี่ชายของเธอดันมาเห็นจังหวะที่ผมกำลังพาน้องเขาขึ้นเตียง!! แต่คนตัวเล็กไวมาก เธอพุ่งเอาตัวเองไปขวางพี่ชายเพื่อช่วยผมที่เกือบจะโดนชก ดูแล้วคงหนักเอาเรื่องอยู่  ต้องขอบคุณเธอที่ช่วยผมไว้ แต่ตอนนี้ดูเธอคงจะไม่ไหวแล้ว เพราะเธอได้เป็นลมไปเรียบร้อย ทั้งผมและพี่ชายของเธอต่างก็ตกใจ ผมรีบเข้าไปอุ้มเธอแล้วพามาที่ห้องพยาบาลของโรงแรมทันที
 
          “รบกวนรอด้านนอกครับ...ช่วยกันญาติผู้ป่วยไม่ให้เข้ามายุ่งด้วยครับ” พอถึงห้องพยาบาล ผมหันไปบอกพี่ชายของเธอแล้วหันไปย้ำกับพยาบาลให้ช่วยห้ามญาติของคนไข้อีกที ผมเช็คอาการของเธอโชคดีที่เธอเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา อาจเป็นเพราะความเครียด พักผ่อนน้อย และอากาศเปลี่ยนแปลง ร่างกายเธอเลยปรับไม่ทัน ผมสั่งให้พยาบาลเช็ดตัวเธอ เพื่อระบายความร้อนให้ทุเลาลง
 
          “อย่าเพิ่งเข้าไปกวนคนไข้เลยครับ ผมต้องการให้พิมพ์พักผ่อนให้เต็มที่” บรรดาพี่ชาย และลูกน้องของเธอต่างก็กรูจะเข้าไปหาเธอให้ได้
          “ผมจะเข้าไปดูอาการน้องผมสักนิดไม่ได้หรอครับ” คุณพอสถามผมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
          “ไว้พรุ่งนี้ก่อนดีกว่าครับ พวกคุณไปทานอาหาร และชมการแสดงที่ผมจัดเตรียมไว้ให้ดีกว่า ส่วนพิมพ์เดี๋ยวผมดูแลเองครับ อย่าลืมว่าผมเป็นหมอนะ”
 
          “เดี๋ยวแนนดูแลเธอเองค่ะคุณหมอกาย” พยาบาลที่อยู่ประจำรีบอาสาอยู่ดูแลแทน
 
          “ไม่เป็นไรครับ คนไข้คนนี้เป็นคนพิเศษของผมครับ” พอผมพูดออกไปแบบนั้นทุกคนก็หันหน้าหากัน แล้วอมยิ้มกรุ่มกริ่มๆ ให้กัน  
          “พิมพ์เป็นเพื่อนของโรส และเป็นคนที่ดูแลโครงการใหม่ของผม ผมต้องดูแลเธอเป็นพิเศษอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่มีไรมากกว่านั้นหรอกครับ...ผมขอตัวไปดูคุณพิมพ์ก่อน”ผมหันหลังเดินเข้าห้อง ได้ยินเสียงซุบซิบตามหลังมา ถามว่าผมสนใจเสียงพวกนั้นไหม ไม่เลยครับ ตอนนี้ผมสนใจคนตัวเล็กที่นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้มากกว่า
 
          ผมกุมมือเธอ มองใบหน้าเนียนไร้รูขุมขน คนอะไรอายุจะสามสิบแต่ยังเหมือนเด็กมัธยมดีๆนี่เอง ผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะเมื่อมองหน้าเธอนานๆเข้า ขนตาเรียงเป็นแพร พอมองมาที่ริมฝีปากของเธอ หัวใจผมยิ่งเต้นรัวผิดปกติ มารู้ตัวอีกที ปลายจมูกของผมดันชนกับปลายจมูกของเธอซะแล้ว 
          ผมต้องรีบดึงตัวเองออกมา ยืนหันหลังให้คนตัวเล็กที่ยังหลับเพราะพิษไข้อยู่ ใบหน้าผมมันร้อนผ่าวๆ รู้ได้ทันทีว่าหน้าตัวเองคงแดง เพราะเลือดสูบฉีดขึ้นหน้าเป็นแน่ นี่ผมเป็นอะไรไป แค่เจอเธอครั้งแรกเธอก็สามารถทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะควบคุมตัวเองไม่ได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ ผมหันไปมองหน้าเธอ รอยยิ้มมีความสุขที่ผมไม่เคยเผยออกมา ณ ตอนนี้กลับผุดขึ้นที่หน้าของผม คุณมันแม่มดชัดๆยัยตัวเล็ก
 
          ตอนนี้เป็นเวลาตี 3 เสียงขยับตัวของคนบนเตียงทำให้ผมที่ฟุบหลับอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง คนตัวเล็กค่อยๆ ลืมตามองไปรอบๆห้อง ก่อนจะมาหยุดที่หน้าของผม
          “ตื่นแล้วหรอครับคุณพิมพ์” ผมยิ้มทักทายให้คนที่เพิ่งฟื้นจากไข้
          “คุณหมอกาย” เธอเรียกชื่อผมเบาๆ
          “ทานน้ำกับยานะครับ” ผมรินน้ำใส่แก้วแล้วส่งน้ำพร้อมยาให้เธอ
          “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณผมด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนแรง
          “เรียกผมว่ากายก็พอครับ พิมพ์” ผมถือโอกาสเรียกชื่อเธอ และให้เธอเรียกชื่อผมธรรมดาเหมือนกัน จะได้ดูสนิทกันมากขึ้น เธอเพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ผมเท่านั้น
          “นอนพักต่อเถอะครับ ตอนนี้เพิ่งสามเองยังไม่เช้าเลยนะ” ผมเอื้อมมือไปลูบผมเธอเบาๆ แต่ปฏิกิริยาของเธอดูเกร็งๆ เมื่อผมทำแบบนั้น แต่เธอก็ยอมทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย ส่วนตัวผมก็นั่งประจำที่เดิม นั่งมองหน้าคนตัวเล็กเหมือนเดิม กุมมือเธอเหมือนเดิม
          “หายไวๆนะครับ” ผมกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ แล้วฟุบหลับข้างเตียงไปพร้อมกับเธอ อยากจะหยุดเวลานี้ไว้ให้นาน ไม่อยากให้ผ่านไปเลย
 
                                             .................................................................
 

 
พิมพ์ Part

          การมาทำงานครั้งนี้เป็นครั้งที่สบายมากที่สุด เพราะเฮียไม่ให้ฉันทำอะไรเลยนอกจากนอนพักผ่อนอยู่แต่ในห้อง เพราะไข้พิษที่เล่นงานฉันตั้งแต่วันแรกที่มาถึง พรุ่งนี้พวกเราก็จะเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว  ฉันคงต้องเดินทางไปกลับเชียงใหม่บ่อยขึ้น เพื่อมาดูแลความคืบหน้าของงาน ส่วนคุณหมอกายก็ดูแลเอาใจใส่ฉันดีเหลือเกิน จนพนักงานในโรงแรมเจอหน้าฉันทีไรก็ซุบซิบๆ ทำเหมือนว่าฉันเป็นตัวประหลาด
 
          ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
          เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น คงเป็นหมอกายอีกตามเคย แต่พอเปิดประตูกลับไม่ใช่ คนที่อยู่ตรงหน้าฉันเป็นผู้หญิงอ่อนหวานที่เคยเข้าประชุมร่วมกันกับฉัน
 
          “สวัสดีค่ะคุณพิมพ์ ได้ข่าวว่าไม่สบาย ตอนนี้ดีขึ้นหรือยังคะ” 
          “ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณมากค่ะ”
          “พอดีด้าเพิ่งว่างมาเยี่ยมคุณพิมพ์ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
          “ไม่เป็นไรค่ะ พิมพ์เข้าใจ”
          “ถ้าไม่เป็นการรบกวน ด้ามีธุระจะคุยกับคุณ ก่อนอื่นด้าขอเรียกคุณว่าพี่พิมพ์ได้ไหมค่ะ เพราะด้าเด็กกว่าคุณ แล้วอีกอย่างในอนาคตเราอาจต้องพึ่งพากัน อยู่ด้วยกันอีกนาน"
 
          "ได้ซิค่ะ น้องด้า" เธอยิ้มกลับให้กับคำตอบของฉัน 
          “คือด้าเคยได้ยินพี่กายเปรยๆว่าพี่​พิมพ์แต่งงานแล้ว ด้าเลยมาขอคำปรึกษาเรื่องแต่งงานค่ะ" ฉันต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินคำขอปรึกษาของเธอ
          "พี่พิมพ์เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น"
          "อ่อ เปล่าค่ะ...ว่าแต่น้องด้ามีคอนเซ็ปต์ หรือธีมงานแต่งหรือยังค่ะ"
          “ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนด้าขอดูรูปงานแต่งพี่พิมพ์ได้ไหมค่ะ"เธอพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
          "วันนี้พี่คงไม่สะดวก เพราะในมือถือพี่ไม่มีรูปเลยแล้วในเฟสบุ๊คกับไอจี พี่ก็ไม่ค่อยได้อัพรูปลงด้วย เอาไว้พี่กลับกรุงเทพแล้วจะส่งมาให้น้องด้าดูเป็นแนวทางก็แล้วกัน"
          "ขอบคุณค่ะพี่พิมพ์...งานแต่งด้าพี่พิมพ์ต้องมา ห้ามพลาดเลยนะ ถือว่าด้าบอกล่วงหน้าแล้วนะค่ะ"
          "จ๊ะ"
          "งั้นพี่พิมพ์พักผ่อนเถอะค่ะ ด้าไม่รบกวนแล้ว"
 
          เธอโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องฉันไปอย่างอารมณ์ดี ส่วนฉันได้แต่มองตามหลังเธอเดินออกไปเท่านั้น นึกแล้วมันช่างหดหู่ใจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก  
 
          กริ๊ง...กริ๊ง..กริ๊ง!!!!
​          จังหวะที่ฉันนึกถึงเรื่องงานแต่งของตัวเองอยู่นั้น เฮียพอสก็โทรเข้ามาขัดจังหวะพอดี
 
          "ว่าไงเฮีย"
          "อาบน้ำหรือยัง ถ้าทำไรเสร็จแล้วลงมากินข้าวที่ห้องอาหารเลยวันๆอยู่แต่ในห้อง เอ็งควรเดินออกกำลังกายบ้างเฮียรออยู่ลงมา"
          "โอเค เดี๋ยวพิมพ์ลงไป"
 
          ฉันสำรวจสภาพตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพปกติแล้ว จึงลงไปห้องอาหารตามที่เฮียบอก 
          ฉันเดินผ่านล็อบบี้ของโรงแรม ดันเจอเฮียพอยท์กำลังนั่งคุยอยู่กับใครสักคน ฉันมองไม่ถนัดนัก เพราะคู่สนทนาของเฮียนั่งหันหลังแถมต้นไม้ที่โรงแรมใช้ประดับตกแต่งยังบังอยู่อีก ไม่รอช้าฉันค่อยๆย่องเข้าไปแอบฟัง​มองหาที่ซ่อนตัวใกล้ๆ ตรงหลังพุ่มไม้นี่แหล่ะ 
 
          “จะถามถึงมันทำไม” นี่เฮียพ๊อยกำลังคุยกับใคร
          “ยังรู้สึกผิดอยู่เลยพอยท์ แต่ก็อยากรู้ว่าเขาเป็นไงบ้าง” นี่มันเสียงน้องด้านิ
          “พอเถอะ เธอจะแต่งงานอยู่แล้ว​”
          “ช่วยหน่อยนะพอยท์ ขอร้อง ขอแค่ให้ได้ยินเสียงเขาก็ยังดี”
          “เธอนี่มัน...เฮ้อ!!!” เฮียพอยท์ถอนหายใจก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคน
          “ฮัลโหล โทษทีที่รบกวนว่ะ มีคนอยากคุยกับมึง” เฮียพอยท์ยื่นโทรศัพท์ไปให้ด้า ว่าแต่เฮียโทรหาใคร
 
          “มาทำอะไรตรงนี้ครับพิมพ์” ฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อหมอกายทักฉัน
          “กาย พิมพ์ตกใจหมด” เขากลับหัวเราะกับท่าทางตกใจของฉัน
          “แล้วนี่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอครับ ถึงมายืนเล่นอยู่ตรงนี้” กายยืนส่งยิ้มมาให้ฉัน ฉันก็ได้แต่ส่งยิ้มตอบกลับ
          “ยิ้มแบบนี้แสดงว่ายังไม่ได้เก็บ ใช่ไหมพิมพ์”
          “พวกหมอนี่ฉลาดรู้ทันคนอื่นหมดเลยหรือเปล่า เบื่อพวกรู้ทันจริงๆ” ทุกครั้งที่เราเจอกันฉันยังคงเห็นรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะจากผู้ชายคนนี้เสมอ
          “เดี๋ยวผมคงต้องกลับแล้วล่ะครับ แค่แวะมาหาพิมพ์ เพราะอยากเห็นหน้าก่อนกลับ ไว้เจอกันที่กรุงเทพนะครับ”
          “เดินทางปลอดภัยนะกาย แล้วเจอกัน” ฉันโบกมือลาจนหมอกายเดินขึ้นรถไป

          เออใช่ เฮียพอยท์ 
          แต่พอหันกลับมา น้องด้าและพี่ชายของฉันก็ได้หายไปจากตรงนั้นแล้ว เสียดายชะมัดหมอกายไม่น่ามาขัดจังหวะเลยให้ตายซิ อดรู้เลยว่าคนที่น้องด้าคะยั้นคะยอให้เฮียโทรหาคือใคร​ มองดูแล้วน้องน่าจะแคร์เขามาก หากว่าที่เจ้าบ่าวเป็นฉันแล้วมารู้ว่าตอนนี้เจ้าสาวของตัวเองกำลังแคร์ผู้ชายคนอื่นอยู่ ฉันคงไม่เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็นเมียแน่นอน งานนี้ต้องไปง้างปากเฮียพอยท์ให้ได้ 
 
.........................................................................
 
อัพ 100%
ว่าแต่ว่า คู่แข่งของหมอพอลเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเหมือนกันนะ แล้วอย่างนี้ หมอพอลจะรับมือยังไง แล้วพิมพ์จะสนใจคู่แข่งคนนี้หรือไม่ รอติดตามกันนะคะ แต่ทีแน่ๆ ศัตรูหัวใจเพิ่มมาอีก 1 งานนี้สาวพิมพ์ผู้น่าสงสารจะเป็นยังไงบ้างหนอ
 
ปล.ฝากด้วยนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ไรท์ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยจ้า ติชมได้เลยค่ะ❤️ เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า❤️

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา