Love You My Love รักเธอที่เป็นเธอ
9.6
เขียนโดย แม่หญิงเมืองสาคร
วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.50 น.
9 ตอน
1 วิจารณ์
11.05K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 16.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่4 น้องสาวสุดที่รักของเฮีย (อัพ 100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่4 น้องสาวสุดที่รักของเฮีย

I'm Pause
เป็นอย่างที่ฉันคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด พอพี่ชายเห็นหน้าฉันปุ๊บ ก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาทันที
“ไอ้พิมพ์ งานบ้านเอ็งเขาเข้ากันบ่ายสองหรอ นี่ถ้าไม่มีเตี่ยนะ เอ็งโดนเฮียไล่ออกแน่” เฮียพอสชี้หน้าว่าฉัน
“ชดเชยเมื่อวันก่อนที่เฮียทำให้พิมพ์พักผ่อนไม่พอ”ฉันลอยหน้าลอยตาไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับคำบ่นเพราะเมื่อวันก่อนเฮียผิดยังไม่ขอโทษฉันเลยด้วยซ้ำ
“เอาเป็นว่าเฮียขอโทษจบนะ” เฮียพอสเดินเข้ามาลูบหัวฉันเบาๆ อย่างเอ็นดู
โป๊ก!!!.....
“โอ๊ย!!!!” ฉันรีบยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเมื่อกำปั้นแข็งๆ ของเฮียเขกลงมากลางหัวฉัน ไอ้ที่บอกว่าเฮียเอ็นดูน่ะฉันขอถอนคำพูดคืนทันไหม
“วันหลังห้ามเถียงเฮียอีก เข้าใจไหม” เฮียเขกหัวฉันเสร็จก็เอื้อมมือมาลูบตรงที่เขาเขกนั่นแหล่ะ
“คิดถึงไอ้เต้มันเนอะ” จู่ๆเฮียก็พูดถึงเพื่อนสนิทของเขาขึ้นมา
“ถ้ามันยังอยู่ เฮียคงหมดห่วงเรื่องพิมพ์”
“เฮียไปทำงานเถอะพิมพ์จะทำงานแล้ว” ฉันพูดเสียงเศร้าแล้วเดินอ้อมเฮียมานั่งที่โต๊ะทำงานประจำของตัวเอง เปิดแฟ้มเอกสารที่วางกองพะเนินเทินทึก แต่แล้วฉันก็ต้องปิดแฟ้มพวกนั้นลง เพราะเฮียพอสแท้ๆเลยทำให้ฉันไม่เป็นอันทำงานทำการ
“ไม่ต้องร้อง น้องสาวของเฮียต้องเข้มแข็ง เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว เฮียไม่อยากเห็นพิมพ์เป็นแบบนี้อีก” เฮียดึงฉันเข้าไปกอด
“เรามาสัญญากันก่อน”
“เฮียเชื่อว่าเพื่อนของเฮียคงอยากเห็นพิมพ์ร่าเริง แกร่งเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นพิมพ์สัญญาได้ไหม ว่าจะไม่ร้องไห้เรื่องเต้อีก”
ฉันพยายามอยู่แต่ฉันอ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับความจริงนี้ได้ ถึงฉันจะดีกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ มันฝังใจฉันไปแล้ว
“พิมพ์จะพยายามนะเฮีย พิมพ์จะทำให้ได้นะ”
...........................................

I'm Point
หลังจากหายเศร้า ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเคลียร์งานที่คั่งค้างมาหลายวัน กว่าจะเคลียร์เสร็จก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่ม
กรี๊ง กริ๊ง กริ๊ง!!!
เฮียพอยท์ เอ๊ะ!!! เฮียโทรมาทำไมดึกๆ พรุ่งนี้จะเจอกันอยู่แล้วนี่
“ว่าไงเฮีย”
“ไอ้พิมพ์ อยู่ไหน มารับเฮียที่สนามบินทีดิ”
“แล้วไมเฮียไม่ขับรถกลับเองล่ะ รถตัวเองก็มี ยังจะมาให้คนอื่นไปรับอีก”
“รถเฮียสตาร์ทไม่ติด กว่าช่างจะมาอีกนาน เฮียขี้เกียจรอ” น้ำเสียงเฮียเริ่มหงุดหงิด
“แท็กซี่ไงเฮีย ไม่ต้องรอพิมพ์ด้วย” เออ...ถ้ารีบขนาดนี้ไมไม่ขึ้นแท๊กซี่วะ
“อย่าเถียงเฮีย เร็วๆ”
ให้มันได้อย่างนี้ซิ “เออๆ เฮียรอแปบนะ พิมพ์ยังอยู่ออฟฟิต” เจอคำว่าอย่าเถียงเฮียเข้าไป มีหรอที่น้องสาวอย่างฉันจะกล้าหือ
“ดีมากน้องสาวสุดที่รัก วันนี้เฮียขอนอนด้วยนะ ไว้พรุ่งนี้เข้าบ้านพร้อมกัน แค่นี้แหล่ะ เร็วๆด้วย”
“เออ” ฉันกระแทกเสียงตอบเฮียพ๊อยแบบเซ็งๆ
..............................................
พอถึงสนามบิน คำแรกที่เจอหน้ากันก็ทำให้ฉันประทับใจสุดๆ
“ไมมาช้าจังวะ หลบๆ เฮียขับเอง”
เฮียไล่ฉันลงจากที่นั่งคนขับ คือเฮียคงลืมไปว่านี่มันรถนะ จะให้เหาะไปเหาะมาเหมือนเครื่องบินที่เฮียขับอยู่ทุกวันได้ยังไง
ฉันยอมทำตามย้ายไปนั่งข้างๆคนขับแต่โดยดี แล้วก็ได้แต่ก่นด่าอีเฮียในใจ เพราะมีหวังถ้าเถียงออกไปฉันคงโดนเขมือบหัวแน่
“หิวว่ะ ที่คอนโดเอ็งมีไรกินบ้าง” เฮียพ๊อยหันมาถามฉันในขณะที่ขับรถกลับ
“มีแต่อาหารสด พิมพ์ไม่ทำให้กินหรอกนะ วันนี้เหนื่อย” วันนี้ฉันเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เพลียร่างสุดๆ
“งั้นแวะหาไรกินก่อนเข้าคอนโดดีเปล่า เดี๋ยวป๋าเลี้ยงเองน้อง” เฮียพ๊อยหันมายิ้มและเอามือตีที่หน้าอกตัวเองเบาๆ
“ตามใจเฮียละกัน”
คำตอบของฉันคงเป็นที่พึงพอใจ เพราะฉันถูกมือหนาๆวางลงบนหัวพร้อมกับโยกไปมาอย่างเมามัน เฮียแต่ละคนคงคิดว่าหัวฉันคือคันโยกแน่นอน สมองฉันจะเสื่อมก็เพราะพวกเขาเนี่ยแหล่ะ
เราสองคนเลือกร้านอาหารใกล้ๆ คอนโด ความจริงไม่ใช่เราสองคนหรอกที่เลือกร้าน แต่เป็นเฮียพ๊อยคนเดียวต่างหากที่เลือก ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงสำหรับจัดการอาหารมื้อนี้ ซึ่งหนึ่งชั่วโมงนี่คือรวมเวลารออาหารแล้วนะ กินจริงๆไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ มันบ่งบอกว่าเราทั้งคู่ไม่ค่อยหิวกันสักเท่าไหร่ หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว เราก็มุ่งหน้ากลับคอนโดทันที
เฮ้อ!!! ถึงที่พักสักที ตอนนี้สภาพเราทั้งสองคนเหมือนหุ่นยนต์ที่แบตกำลังจะหมด ต่างคนก็ต่างจะลืมตาไม่ขึ้นกันอยู่แล้ว ระหว่างที่ฉันกำลังกดรหัสเข้าห้องอยู่นั้น เสียงเปิดประตูของห้องตรงข้ามก็ดังขึ้น เฮียพ๊อยหันหลังไปมองตามเสียง ส่วนฉันไม่คิดจะหันไปด้วยซ้ำ เพราะฉันรู้ว่าคนที่เปิดออกมานั่นไม่ใช่ใคร เป็นอีตาบ้าแน่นอน
“เฮ้ย!! ไอ้พอล”
“อ้าว!!! ไอ้พอยท์”
ฉันหันมองผู้ชายสองคนยืนกอดทักทายกันเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน
“มึงมาทำไรที่นี่วะ” อีตาบ้าพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตามาทางฉัน
“กูก็...” เฮียพอยท์หยุดพูดแล้วมองหน้าฉันสลับกับเขาก่อนจะหันไปตอบ
“กูก็มาหาแฟนกูดิ โลกแม่งโคตรกลมเลยเนอะ กูไม่รู้ว่ามึงกลับมาจากอเมริกาแล้ว” ฉันพอจะรู้หรอกว่าเฮียตัวเองทำไมถึงออกตัวแรง ก็เพราะเฮียหวงน้องสาวสุดที่รักอย่างฉันไง
“นี่แฟนมึงหรอ” เขาดูเหมือนช็อคกับอะไรบางอย่างแต่ฉันไม่อดทนรอให้พวกเขkสนทนากันจนจบหรอก เพราะฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
“งั้นพิมพ์เข้าห้องก่อนนะ” ฉันหันไปสะกิดบอกเฮีย
“เดี๋ยวเฮียตามไปนะจ๊ะที่รัก”
ว่าแล้วฉันก็เดินหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ผู้ชายสองคนยืนสนทนากันต่อไป
............................................
ฉันเดินเช็ดผมออกมาจากห้องตัวเองกะว่าจะออกมาดูห้องนอนอีกห้องให้เฮียพอยท์ว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า แต่ฉันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอเฮียกับอีตาบ้านั่งก๊งเหล้ากันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนหันมามองฉัน ก่อนที่เฮียจะกวักมือเรียกให้เข้าไปหา
“ที่รัก มาหาเฮียหน่อยซิ”
เฮียคงกำลังนึกสนุกกับการอำเพื่อนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เดินเข้าไปหาแต่โดยดี เฮียดึงแขนฉันให้นั่งลงบนตัก แล้วใช้แขนของเขาโอบเอวฉันไว้ แถมหอมแก้มโชว์คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกด้วย ส่วนไอ้คนตรงหน้าก็เอาแต่นั่งมองด้วยสายตาที่นิ่งเฉยไม่แสดงอาการหรืออารมณ์ใดๆออกมา
“คิดถึงจังเลย วันนี้เฮียขออนุญาตพาเพื่อนมานั่งดริ๊งค์ในห้องนะคะ เฮียไม่อยากออกไปข้างนอก” ถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องขออนุญาตแล้วมั้งเฮีย
“เอ่อ...เฮียลืมแนะนำ”
“นี่เพื่อนเฮียเอง ชื่อพอลมันเป็นหมอ” ฉันหันไปมองหน้าอีตาบ้านิ่งๆส่วนเขาก็มองฉันตอบด้วยสายตาที่นิ่งเฉยเหมือนกัน
“ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ไงก็ฝากแฟนกูด้วยนะ” เฮียพ๊อยหันไปบอกคนตรงหน้า
“ส่วนที่รัก ถ้าไม่สบายก็บอกไอ้พอลมันได้ มันรักษาเก่ง” ฉันได้แต่นั่งยิ้มพยักหน้าตอบรับ
“ที่รักไปนอนเถอะ เฮียดื่มเสร็จจะตามเข้าไปนะคะ” เฮียพูดพร้อมกับลูบหัวฉันเบาๆ “ก่อนนอนเช็ดผมให้แห้งด้วย ป่ะเฮียเดินไปส่งเข้านอนดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวกูมา” เฮียพอยท์หันไปบอกเพื่อน ก่อนพยุงตัวฉันลุกขึ้น แล้วเดินมาส่งในห้องนอน
พอมีแค่เราสองคนพี่น้อง ฉันก็รีบถามเฮียว่าทำไมต้องแสดงเป็นคู่รักให้อีกคนหนึ่งเห็นใหญ่โตขนาดนี้
“นี่เฮียกำลังเล่นอะไร ซ้อมรับตุ๊กตาทองรึไง”
“เฮียแค่ไม่อยากให้มันมายุ่งกับเอ็ง แค่มองตามันเฮียก็รู้ว่ามันคิดไรอยู่”
“เฮียคิดมากไปหรือเปล่า ไม่มีทางแน่นอน พิมพ์ยังทำใจรักใครไม่ได้หรอก” เฮียพอยท์ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไอ้พอลมันเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่งก็จริง แต่เฮียก็รู้สันดานเรื่องผู้หญิงของมันดี เฮียแค่กันมันออกห่างจากเอ็ง ว่าแต่นี่เอ็งยังตัดใจจากเฮียเต้ไม่ได้อีกหรอวะ”
ฉันเงียบไม่ได้ตอบอะไร เฮียเห็นแบบนั้นก็เดินเข้ามาลูบหัวฉันเพื่อปลอบใจ
“เฮียรู้ว่าเรื่องนี้มันทำใจลำบาก แต่เอ็งก็ต้องอยู่กับความจริง และมีชีวิตอยู่กับมันให้ได้ อย่าลืมนะว่าชีวิตเอ็งไม่ได้มีแค่เฮียเต้เพียงคนเดียว แต่ยังมีเตี่ย มีม๊า มีเฮียๆ มีเพื่อน มีลูกน้องที่เป็นห่วงและอยู่เคียงข้างเอ็งเสมอ แล้วจะให้พวกเขาไม่เป็นห่วงได้ยังไง ถ้าเอ็งยังเป็นแบบนี้อยู่” เฮียพอยท์ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นฉันน้ำตาไหล
“เฮ้อ!!! เฮียบังคับความรู้สึกใครไม่ได้หรอก เฮียไม่ได้ให้เอ็งลืมเฮียเต้ แต่กำลังให้เอ็งอยู่กับความจริงให้ได้ อย่าทำร้ายตัวเอง และคนข้างๆอีก” เฮียยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน ค่อยๆประคองตัวฉันนอนลงบนเตียง แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้
“พรุ่งนี้เรากลับบ้านกัน เฮียหวังว่าจะเห็นน้องสาวของเฮียคนเดิมกลับมานะ”
เฮียจุ๊บหน้าผากฉันก่อนจะเดินออกไป ฉันได้แต่มองตามเฮีย และหวนคิดถึงคำพูดของพี่ชายทั้งสองคน ทุกอย่างที่พวกเขาพูดมันลอยเข้ามาในหัว ซึ่งมันล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
ฉันหลับตาลงแล้วลองย้อนนึกถึงตัวเองหลังจากที่เต้จากไป 3ปีที่ผ่านมาฉันทำอะไรลงไปบ้าง
ขอโทษนะทุกคน พิมพ์ในโหมดนี้จะไม่มีอีกแล้ว ฉันจะไม่ทำร้ายตัวเองและใครอีก พรุ่งนี้พิมพ์คนเดิมจะกลับมา
..............................พิมพ์สัญญา.................................
พอยท์ Part
วันนี้ผมโทรหาน้องสาวสุดที่รัก เพื่อให้เธอมารับผมที่สนามบิน ความจริงรถผมไม่ได้เป็นอะไรหรอก ผมแค่เป็นห่วงน้องสาวตัวเองเลยกุเรื่องรถพังขึ้นมา ก็ไอ้เฮียพอสมันโทรมายกเลิกนัดปาร์ตี้ฉลองที่ผมได้หยุดพัก และอีกอย่างไอ้เฮียมันสั่งให้ผมไปดูแลน้องสาวด้วย ผมฟังเรื่องที่ไอ้เฮียเล่า แล้วผมก็อดที่จะสงสารน้องตัวเองไม่ได้ ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอดี ขนาดผมเลิกกับแฟนยังเจ็บ และทรมานเจียนตาย แล้วเธอล่ะ เธอต้องมาสูญเสียคนที่เธอรักในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต คงทรมานกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ส่วนเหตุผลที่เธอมาอยู่คอนโดนี้คนเดียวเพราะอะไรรู้ไหม เพราะคอนโดนี้มันเป็นของเฮียเต้ ห้องที่เธออยู่ก็เป็นห้องของอดีตคนรักที่เคยใช้ชีวิตอยู่ เธอบอกว่าไว้เธอทำใจเรื่องเฮียเต้ได้ เธอจะกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แต่เมื่อไหร่ล่ะที่น้องสาวผมจะทำใจได้ นี่ก็ปาเข้าไป 3 ปีแล้วยังไม่มีวี่แววจะกลับมาบ้านเลย
ผมอดอิจฉาเฮียเต้ไม่ได้ ถ้าผมมีแฟนที่รักผมมากขนาดนี้ ผมคงเป็นผู้ชายที่โคตรโชคดีที่สุด ได้เจอผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง แต่ถึงยังไงผมก็ปล่อยให้น้องสาวเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ยิ่งเห็นเธอร้องไห้ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่ช่วยอะไรน้องสาวตัวเองไม่ได้เลย ผมนี่มันเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ
“ไมทำหน้าแบบนั้นวะ” เพื่อนทักขึ้นเมื่อผมเดินออกมาจากห้องนอนของน้องสาว
“หน้ากูมันทำไม”
“ทะเลาะกับแฟนรึไง” อ่อ สงสัยผมคงเดินหน้าเครียดออกมาให้มันเห็น ก็ผมเพิ่งปลอบน้องสาวที่ร้องไห้เรื่องคนรักเก่ามาเมื่อกี้เอง
“ป่าวไม่มีไร...แก้วมึงยุงไข่หมดละ ยกๆ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไอ้พอยท์ กูมีไรจะถาม”
“มีไร”
“มึงรู้รึเปล่าว่าแฟนมึงเคยแต่งงานแล้ว” ผมเกือบจะสำลักเหล้า แล้วเพื่อนผมมันรู้ได้ไงว่าน้องสาวผมเคยแต่งงาน
“อย่าหาว่ากูเสือกเลย มึงคบกับแฟนมานานหรือยัง” เฮ้ย!!!เพื่อนผมมันเป็นบ้าอะไรของมัน ปกติผมจะคบกับใครมันไม่เคยสนใจ
“มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะ” ผมจ้องตามันกลับ
“เปล่าไม่มีไร...เอ๊าหมดแก้ว”
มันบอกหมดแก้วแต่มันไม่ได้ยกแก้วขึ้นมากระดก มันดันยกขวดเหล้าเพียวๆขึ้นมากระดกแทน ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบเอือมมือไปห้าม
“พอๆ เดี๋ยวก็น็อคตาย พรุ่งนี้ไปทำงานไม่ไหวพอดี” มันยกหลังมือขึ้นมาปาดเช็ดปากมัน
“กูกลับห้องและ ไว้เจอกัน”
ไอ้พอลลุกพรวดเดินไปทางประตู ส่วนผมไม่ได้ห้ามอะไรได้แต่เดินตามไปส่งมัน ก่อนที่จะปิดประตู มันดันเรียกผมแล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมเข้าใจอาการของมันในครั้งนี้มากขึ้น
“ไอ้พ๊อย มึงอย่าทำให้พิมพ์เสียใจเด็ดขาด ถ้ามึงทำให้เธอเสียใจ กูจะมาจัดการมึง”
พูดเสร็จมันก็หันหลังเดินเข้าห้องปิดประตูใส่หน้าผม ชัดเลยผมมั่นใจแล้วว่า เพื่อนผมมันแอบชอบน้องผมแน่นอน แต่ผมอ่านสายตามันออกก่อนที่มันจะพูดประโยคนี้ด้วยซ้ำ ขอโทษ กูไม่มั่นใจในตัวมึงไอ้พอล กูคงปล่อยให้น้องสาวกูอยู่กับเสือผู้หญิงอย่างมึงไม่ได้หรอก ยิ่งน้องสาวกูเป็นแบบนี้ กูยิ่งให้เธอต้องมาเจ็บเรื่องความรักอีกไม่ได้ คงต้องข้ามศพพี่ชายอย่างกูไปก่อน
ผมได้แต่ยืนมองเพื่อนตัวเองเดินเข้าห้องไปอย่างเงียบๆ ไว้ให้ผมเปิดใจกับเพื่อนเมื่อไหร่ ผมเนี่ยแหล่ะ จะเป็นพ่อสื่อให้มันเอง
...............................................
กลิ่นหอมของอาหารลอยมาเตะจมูก ผมต้องค่อยๆ ลืมตามองหญิงสาวที่ผมรักเดินยกถ้วยอะไรสักอย่างมาตั้งไว้ตรงหน้า ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ทันทีที่มองถ้วยข้าวต้มที่ดูน่ากิน เสียงท้องก็ร้องดังประท้วงออกมาแบบไม่ปิดบังอาการของความหิวเลย
“โหเฮีย ท้องร้องดังไม่เกรงใจชาวบ้านขนาดนี้ ไป รีบไปอาบน้ำแล้วมาจัดการมันซะ” เธอเข้ามาดึง แล้วผลักผมให้เข้าไปในห้องน้ำ
เมื่ออาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นพิมพ์นั่งกอดอกมองผมอยู่ ผมได้แต่ยิ้มแล้วเข้าไปนั่งข้างๆเธอ
“เมื่อคืนไมเฮียไม่เข้าไปนอนในห้อง เมาคาที่ขนาดนั้นเลยหรอ”
ผมมองหน้าเธอเฉยๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับถามเธอเรื่องอื่นแทน
“แล้วนี่ทำไมไม่กิน จะปล่อยให้มันระเหยหรือไง” ผมชี้ไปที่ถ้วยข้าวต้มของเธอ เธอเบะปากใส่ผมแล้วก็ตักข้าวต้มใส่ปากตัวเองไปหนึ่งคำ จากนั้นผมก็ก้มลงซัดข้าวต้มของตัวเองบ้าง เห็นน้องสาวผมลุยๆแบบนี้ขอโทษฝีมือทำกับข้าวอร่อยไม่แพ้คนอื่นเหมือนกัน
“เฮียซื้อมือถือมาใหม่หรอ” เธอพูดพร้อมโชว์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดของใครก็ไม่รู้
ผมส่ายหน้าตอบเธอไป
“แล้วของใคร” เธอทำหน้าสงสัย
เออ ถ้ามันไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ของเธอ แล้วมันของใครกัน

ออด...ออด...!!!
เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น พิมพ์กำลังจะลุกขึ้นไปเปิด แต่ผมดันห้ามเธอไว้ก่อน
“พิมพ์ไม่ต้อง เฮียไปดูเอง” ผมเดินมาเปิดประตู ก็เห็นหนุ่มหน้าหล่อสไตล์เกาหลี ยืนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แหงแหล่ะจะไม่ให้มันมองแบบนั้นได้ไง ก็ผมใส่แค่ผ้าเช็ดตัวปิดท่อนล่างไว้ ส่วนท่อนบนว่างเปล่า
“มึงมีไรมาเคาะห้องกูแต่เช้า ”
“กูจะมาถามมึงว่าเห็นมือถือกูไหม เมื่อคืนลืมทิ้งไว้”
อ่อ มือถือมันนี่เอง “เออ เอาค่าฝากมือถือมาด้วย กูคิดชั่วโมงละ 2 พัน” ผมกวนประสาทมันแต่มันดันยกมือมาผลักหัวผมแทน
“มึงผลักหัวกูทำไม” ผมเอามือลูบหัวตัวเอง
“ผลักขอหาหมั่นไส้ มีไรป่ะ” มันยิ้มเยาะเย้ยผม
“มี มึงยืนรอกูแปบ” ผมหันหลังเดินเข้าห้องเพื่อจะไปหยิบมือถือให้มัน แต่มันไม่ทำตามที่ผมพูด มันกลับผลักประตูเดินตามผมมาเฉยๆ
“หอมจัง กินด้วยคนดิ” มันเดินเข้ามาจ้องหน้าน้องสาวผมที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่
ผมว่ามันต้องการพิสูจน์เรื่องผมกับพิมพ์แน่นอน นี่แหล่ะนิสัยของมันถ้าลองได้ติดใจหรือชอบอะไรสักอย่างแล้ว มันต้องตามสืบรู้ความจริงให้ได้ เพื่อนผมมันไม่โง่นะครับ ฉลาดเป็นกรด มันคงจับพิรุธอะไรสักอย่างจากผมกับน้องได้
เหมือนเรื่องแฟนเก่าของมันไม่มีผิด ก็แฟนมันมาขอห่างกับมัน เพราะเหตุผลหมดรักในตัวมัน แต่ที่ไหนได้ แฟนมันดันไปมีคนใหม่ ช่วงหลังจากที่มันรู้ มันอย่างกับปีศาจ ผมก็สงสารมันอยู่หรอก เอาไว้ผมมั่นใจในตัวมันแล้วผมจะบอกความจริงให้มันรู้เอง
ผมยืนมองการกระทำของพิมพ์ที่มีต่อมัน ดูแล้วน้องสาวผมคงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเพื่อนผมคนนี้สักเท่าไหร่ มันอุตส่าห์กล้าขอขนาดนี้ แต่น้องผมกลับไม่สนใจมันเลย เธอทำเสมือนว่าในห้องนี้มีแค่เธอกับถ้วยข้าวต้มอยู่เท่านั้น ผมว่าระหว่างไอ้พอลกับพิมพ์มันต้องมีซัมติงแน่ๆ ไม่เป็นไรไว้ผมค่อยถามเรื่องนี้กับน้องสาวทีหลัง
“น้อยๆ หน่อยเถอะมึง เป็นแขกก็ควรเกรงใจเจ้าของห้องบ้าง” ผมปรามมัน แต่ดูมันไม่ค่อยสลด
“เออ กูจะได้รู้ไว้ว่าเจ้าของห้องนี้ใจดำ” มันตอบผมก็จริง แต่กลับไม่ได้มองหน้าผมเลย คนที่มันมองก็นิ่งทำเหมือนเสียงไอ้พอลเป็นแค่อากาศธาตุ
“เฮ้ย!! เขยิบออกมาห่างๆ คนของกูเลย” ผมต้องรีบเดินไปดึงแขนมันออกมา เพราะมันกำลังเข้าไปนั่งข้างๆ น้องผม
“หวงก้างนะมึง...เออ...กูไปทำงานดีกว่าขอบใจสำหรับมือถือ” มันพูดแถมยิ้มกวนประสาทก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“เฮียคบเพื่อนแย่ๆ แบบนี้ไปได้ยังไง” พอมันออกไป พิมพ์ก็เปิดประเด็นถามผมทันที
“ตั้งแต่ถูกผู้หญิงทิ้งมามันก็แย่แค่เรื่องผู้หญิงอย่างเดียวแหล่ะ แต่เรื่องอื่นมันดีหมดนะ” ผมตอบไปตามความจริง
“อือ พิมพ์เชื่อเรื่องผู้หญิง แต่ไม่เชื่อว่านิสัยดี”
“ทำไมวะ เอ็งไปมีเรื่องอะไรกับมัน”
พอเธอได้ยินคำถามนี้ เธอก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟังทั้งเรื่องผู้หญิงที่ชื่อเกล และเรื่องที่มันมาขอให้เธอพาไปโรงพยาบาล ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดไรขึ้น การที่มันเข้าหาพิมพ์ รู้ว่าเธอเคยแต่งงาน รู้ว่าเธอเป็นวิศวะ เรื่องที่เธอไปรอเพื่อนในห้องทำงานมัน ผมรับรู้ได้เลยว่าเพื่อนผมมันเอาจริง ความคิดที่ผมจะขัดขวางมันเริ่มลดลง หรือว่ามันอาจจะเป็นคนที่ช่วยน้องผมให้หลุดพ้นจากอดีตที่เลวร้ายก็ได้
..........................................................................
ชเวยองโด (พอล) Part
ผมดีใจแทบตายที่ได้เจอเพื่อนสมัยเรียนหมออย่างไอ้พอยท์ ถึงแม้มันจะเรียนได้แค่สองปี และค้นพบว่าตัวเองไม่เหมาะกับทางด้านนี้ เลยซิ่วไปเรียนการบินแทน แต่ไอ้ความดีใจมันกลับหมดลงเมื่อมันมากับยัยหมวยที่ผมหมายตาไว้ อะไรกัน เธอเป็นแฟนกับเพื่อนผมอย่างนั้นเหรอ โลกมันจะกลมไปหรือเปล่าวะ
ผมนอนดิ้นไปมาไม่ยอมหลับ เพราะมัวแต่คิดเรื่องยัยหมวยกับเพื่อนผมอยู่ ภาพบาดตาบาดใจเมื่อกี้นี้บอกตรงๆ หน้าอกด้านซ้ายผมรู้สึกเจ็บหน่วงๆ เฮ้อ!!! ผู้หญิงคนนี้อันตรายจริงๆ นี่ขนาดผมได้เจอและคุยกับเธอแค่ไม่กี่ครั้งเอง เธอสามารถทำให้ผมคิดมากได้ขนาดนี้ แต่ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะ
ภาพบัตรประจำตัวเธอที่ผมเห็นวางอยู่บนโต๊ะทำงานก็พุดขึ้น เฮ้ย!!!!!!! ผมเด้งตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน นามสกุลยัย หมวยกับไอ้พอยท์มันนามสกุลเดียวกันนี่หว่า ไม่รอช้าผมรีบควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่โทรศัพท์ผมหายไปไหน ผมนั่งนึกอยู่สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าผมถือเข้าไปที่ห้องเธอแล้วลืมหยิบออกมา ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยไปเอา ดีจะได้พิสูจน์อะไรบางอย่าง
พอถึงตอนเช้าผมรีบอาบน้ำแต่งตัว เดินไปเคาะห้องยัยหมวยเพื่อเอาโทรศัพท์ บอกตรงๆว่าผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เพื่อนผมเป็นแฟนกับเธอ ทั้งรูปพรีเวดดิ้งในห้อง คนอย่างไอ้พอยท์มันคงไม่ยอมให้แฟนมันเอารูปคู่กับผู้ชายคนอื่นมาตั้งโชว์หล้าขนาดนั้นแน่นอน ทั้งร้านกาแฟที่เธอชอบไปคนเดียวประจำ และทั้งนามสกุลที่เหมือนกันโดยบังเอิญ
รอไม่นานไอ้พอยท์ก็เป็นคนเปิดประตูให้ผม มันบอกให้ผมรอหน้าห้อง แต่เรื่องอะไรจะต้องเชื่อในเมื่อมันกำลังโกหกผมอยู่ ส่วยยัยหมวยน่ะหรอ เธอไม่แม้แต่จะชายตามองผมเสียด้วยซ้ำ ช่างเถอะ ผมรีบไปโรงพยาบาลเพื่อไปตามหาความจริงจากปากเพื่อนสนิทของเธอดีกว่า
“หมอโรส ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครับ”
เมื่อถึงโรงพยาบาล ผมตรงดิ่งไปยังแผนกผิวหนัง และเดินนำหมอโรส ออกมาข้างนอกทันที ผมแอบเห็นสายตาของพยาบาลที่จ้องมาทางผมอย่างอยากรู้อยากเห็น
“สวัสดีค่ะคุณหมอพอล มีเรื่องอะไรจะคุยกับโรสหรอคะ” เธอเดินตามผมออกมา และถามผมด้วยความสงสัย
“ผมอยากรู้ว่าคุณพิมพ์ มีพี่ชาย หรือน้องชายไหม” พอผมยิงคำถามไป หมอโรสถึงกับงง และดูเหมือนเธอจะขำกับประโยคคำถามของผม
“มีค่ะ เธอมีพี่ชาย 2 คน”
“พี่ชายเธอใช่คนที่ชื่อพอยท์หรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ เฮียพอส กับเฮียพอยท์ ว่าแต่คุณหมอถามทำไมคะ”
“ไม่มีไรครับ ขอบคุณมาก คุณกลับไปทำงานต่อเถอะ”
สิ่งที่ผมสันนิษฐานเป็นจริงไอ้พอยท์กับยัยหมวยไม่ได้เป็นแฟนกันแต่เป็นพี่น้องกัน เรื่องนี้ผมต้องจัดการเพื่อนผมก่อนเลย แล้วค่อยจัดการยัยตัวดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิดโกหกผมกันดีนัก...หึหึ...ว่าแต่เรื่องนี้มันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย เหมือนยกภูเขาออกจากอก โลงใจ
.............................................
อัพ 100%
- มาแล้วจ๊ะ มาอัพแล้วนะตะเอง โฮ๊ะๆๆวันนี้เฮียๆของน้องหมวยมากันครบเลย
- เฮียๆของหมวยเนี่ยดูรัก และหวงน้องสาวม๊ากมาก แบบนี้หนุ่มๆ จะเข้าถึงน้องตัวเองได้อย่างไรเล่า แม้แต่เพื่อนตัวเอง ยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนมีน้องสาว อะไรจะหวงขนาดนั้นคะคุณชายกลาง

I'm Pause
เป็นอย่างที่ฉันคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด พอพี่ชายเห็นหน้าฉันปุ๊บ ก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาทันที
“ไอ้พิมพ์ งานบ้านเอ็งเขาเข้ากันบ่ายสองหรอ นี่ถ้าไม่มีเตี่ยนะ เอ็งโดนเฮียไล่ออกแน่” เฮียพอสชี้หน้าว่าฉัน
“ชดเชยเมื่อวันก่อนที่เฮียทำให้พิมพ์พักผ่อนไม่พอ”ฉันลอยหน้าลอยตาไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับคำบ่นเพราะเมื่อวันก่อนเฮียผิดยังไม่ขอโทษฉันเลยด้วยซ้ำ
“เอาเป็นว่าเฮียขอโทษจบนะ” เฮียพอสเดินเข้ามาลูบหัวฉันเบาๆ อย่างเอ็นดู
โป๊ก!!!.....
“โอ๊ย!!!!” ฉันรีบยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเมื่อกำปั้นแข็งๆ ของเฮียเขกลงมากลางหัวฉัน ไอ้ที่บอกว่าเฮียเอ็นดูน่ะฉันขอถอนคำพูดคืนทันไหม
“วันหลังห้ามเถียงเฮียอีก เข้าใจไหม” เฮียเขกหัวฉันเสร็จก็เอื้อมมือมาลูบตรงที่เขาเขกนั่นแหล่ะ
“คิดถึงไอ้เต้มันเนอะ” จู่ๆเฮียก็พูดถึงเพื่อนสนิทของเขาขึ้นมา
“ถ้ามันยังอยู่ เฮียคงหมดห่วงเรื่องพิมพ์”
“เฮียไปทำงานเถอะพิมพ์จะทำงานแล้ว” ฉันพูดเสียงเศร้าแล้วเดินอ้อมเฮียมานั่งที่โต๊ะทำงานประจำของตัวเอง เปิดแฟ้มเอกสารที่วางกองพะเนินเทินทึก แต่แล้วฉันก็ต้องปิดแฟ้มพวกนั้นลง เพราะเฮียพอสแท้ๆเลยทำให้ฉันไม่เป็นอันทำงานทำการ
“ไม่ต้องร้อง น้องสาวของเฮียต้องเข้มแข็ง เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว เฮียไม่อยากเห็นพิมพ์เป็นแบบนี้อีก” เฮียดึงฉันเข้าไปกอด
“เรามาสัญญากันก่อน”
“เฮียเชื่อว่าเพื่อนของเฮียคงอยากเห็นพิมพ์ร่าเริง แกร่งเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นพิมพ์สัญญาได้ไหม ว่าจะไม่ร้องไห้เรื่องเต้อีก”
ฉันพยายามอยู่แต่ฉันอ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับความจริงนี้ได้ ถึงฉันจะดีกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ มันฝังใจฉันไปแล้ว
“พิมพ์จะพยายามนะเฮีย พิมพ์จะทำให้ได้นะ”
...........................................

I'm Point
หลังจากหายเศร้า ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเคลียร์งานที่คั่งค้างมาหลายวัน กว่าจะเคลียร์เสร็จก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่ม
กรี๊ง กริ๊ง กริ๊ง!!!
เฮียพอยท์ เอ๊ะ!!! เฮียโทรมาทำไมดึกๆ พรุ่งนี้จะเจอกันอยู่แล้วนี่
“ว่าไงเฮีย”
“ไอ้พิมพ์ อยู่ไหน มารับเฮียที่สนามบินทีดิ”
“แล้วไมเฮียไม่ขับรถกลับเองล่ะ รถตัวเองก็มี ยังจะมาให้คนอื่นไปรับอีก”
“รถเฮียสตาร์ทไม่ติด กว่าช่างจะมาอีกนาน เฮียขี้เกียจรอ” น้ำเสียงเฮียเริ่มหงุดหงิด
“แท็กซี่ไงเฮีย ไม่ต้องรอพิมพ์ด้วย” เออ...ถ้ารีบขนาดนี้ไมไม่ขึ้นแท๊กซี่วะ
“อย่าเถียงเฮีย เร็วๆ”
ให้มันได้อย่างนี้ซิ “เออๆ เฮียรอแปบนะ พิมพ์ยังอยู่ออฟฟิต” เจอคำว่าอย่าเถียงเฮียเข้าไป มีหรอที่น้องสาวอย่างฉันจะกล้าหือ
“ดีมากน้องสาวสุดที่รัก วันนี้เฮียขอนอนด้วยนะ ไว้พรุ่งนี้เข้าบ้านพร้อมกัน แค่นี้แหล่ะ เร็วๆด้วย”
“เออ” ฉันกระแทกเสียงตอบเฮียพ๊อยแบบเซ็งๆ
..............................................
พอถึงสนามบิน คำแรกที่เจอหน้ากันก็ทำให้ฉันประทับใจสุดๆ
“ไมมาช้าจังวะ หลบๆ เฮียขับเอง”
เฮียไล่ฉันลงจากที่นั่งคนขับ คือเฮียคงลืมไปว่านี่มันรถนะ จะให้เหาะไปเหาะมาเหมือนเครื่องบินที่เฮียขับอยู่ทุกวันได้ยังไง
ฉันยอมทำตามย้ายไปนั่งข้างๆคนขับแต่โดยดี แล้วก็ได้แต่ก่นด่าอีเฮียในใจ เพราะมีหวังถ้าเถียงออกไปฉันคงโดนเขมือบหัวแน่
“หิวว่ะ ที่คอนโดเอ็งมีไรกินบ้าง” เฮียพ๊อยหันมาถามฉันในขณะที่ขับรถกลับ
“มีแต่อาหารสด พิมพ์ไม่ทำให้กินหรอกนะ วันนี้เหนื่อย” วันนี้ฉันเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เพลียร่างสุดๆ
“งั้นแวะหาไรกินก่อนเข้าคอนโดดีเปล่า เดี๋ยวป๋าเลี้ยงเองน้อง” เฮียพ๊อยหันมายิ้มและเอามือตีที่หน้าอกตัวเองเบาๆ
“ตามใจเฮียละกัน”
คำตอบของฉันคงเป็นที่พึงพอใจ เพราะฉันถูกมือหนาๆวางลงบนหัวพร้อมกับโยกไปมาอย่างเมามัน เฮียแต่ละคนคงคิดว่าหัวฉันคือคันโยกแน่นอน สมองฉันจะเสื่อมก็เพราะพวกเขาเนี่ยแหล่ะ
เราสองคนเลือกร้านอาหารใกล้ๆ คอนโด ความจริงไม่ใช่เราสองคนหรอกที่เลือกร้าน แต่เป็นเฮียพ๊อยคนเดียวต่างหากที่เลือก ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงสำหรับจัดการอาหารมื้อนี้ ซึ่งหนึ่งชั่วโมงนี่คือรวมเวลารออาหารแล้วนะ กินจริงๆไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ มันบ่งบอกว่าเราทั้งคู่ไม่ค่อยหิวกันสักเท่าไหร่ หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว เราก็มุ่งหน้ากลับคอนโดทันที
เฮ้อ!!! ถึงที่พักสักที ตอนนี้สภาพเราทั้งสองคนเหมือนหุ่นยนต์ที่แบตกำลังจะหมด ต่างคนก็ต่างจะลืมตาไม่ขึ้นกันอยู่แล้ว ระหว่างที่ฉันกำลังกดรหัสเข้าห้องอยู่นั้น เสียงเปิดประตูของห้องตรงข้ามก็ดังขึ้น เฮียพ๊อยหันหลังไปมองตามเสียง ส่วนฉันไม่คิดจะหันไปด้วยซ้ำ เพราะฉันรู้ว่าคนที่เปิดออกมานั่นไม่ใช่ใคร เป็นอีตาบ้าแน่นอน
“เฮ้ย!! ไอ้พอล”
“อ้าว!!! ไอ้พอยท์”
ฉันหันมองผู้ชายสองคนยืนกอดทักทายกันเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน
“มึงมาทำไรที่นี่วะ” อีตาบ้าพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตามาทางฉัน
“กูก็...” เฮียพอยท์หยุดพูดแล้วมองหน้าฉันสลับกับเขาก่อนจะหันไปตอบ
“กูก็มาหาแฟนกูดิ โลกแม่งโคตรกลมเลยเนอะ กูไม่รู้ว่ามึงกลับมาจากอเมริกาแล้ว” ฉันพอจะรู้หรอกว่าเฮียตัวเองทำไมถึงออกตัวแรง ก็เพราะเฮียหวงน้องสาวสุดที่รักอย่างฉันไง
“นี่แฟนมึงหรอ” เขาดูเหมือนช็อคกับอะไรบางอย่างแต่ฉันไม่อดทนรอให้พวกเขkสนทนากันจนจบหรอก เพราะฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
“งั้นพิมพ์เข้าห้องก่อนนะ” ฉันหันไปสะกิดบอกเฮีย
“เดี๋ยวเฮียตามไปนะจ๊ะที่รัก”
ว่าแล้วฉันก็เดินหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ผู้ชายสองคนยืนสนทนากันต่อไป
............................................
ฉันเดินเช็ดผมออกมาจากห้องตัวเองกะว่าจะออกมาดูห้องนอนอีกห้องให้เฮียพอยท์ว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า แต่ฉันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอเฮียกับอีตาบ้านั่งก๊งเหล้ากันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนหันมามองฉัน ก่อนที่เฮียจะกวักมือเรียกให้เข้าไปหา
“ที่รัก มาหาเฮียหน่อยซิ”
เฮียคงกำลังนึกสนุกกับการอำเพื่อนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เดินเข้าไปหาแต่โดยดี เฮียดึงแขนฉันให้นั่งลงบนตัก แล้วใช้แขนของเขาโอบเอวฉันไว้ แถมหอมแก้มโชว์คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกด้วย ส่วนไอ้คนตรงหน้าก็เอาแต่นั่งมองด้วยสายตาที่นิ่งเฉยไม่แสดงอาการหรืออารมณ์ใดๆออกมา
“คิดถึงจังเลย วันนี้เฮียขออนุญาตพาเพื่อนมานั่งดริ๊งค์ในห้องนะคะ เฮียไม่อยากออกไปข้างนอก” ถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องขออนุญาตแล้วมั้งเฮีย
“เอ่อ...เฮียลืมแนะนำ”
“นี่เพื่อนเฮียเอง ชื่อพอลมันเป็นหมอ” ฉันหันไปมองหน้าอีตาบ้านิ่งๆส่วนเขาก็มองฉันตอบด้วยสายตาที่นิ่งเฉยเหมือนกัน
“ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ไงก็ฝากแฟนกูด้วยนะ” เฮียพ๊อยหันไปบอกคนตรงหน้า
“ส่วนที่รัก ถ้าไม่สบายก็บอกไอ้พอลมันได้ มันรักษาเก่ง” ฉันได้แต่นั่งยิ้มพยักหน้าตอบรับ
“ที่รักไปนอนเถอะ เฮียดื่มเสร็จจะตามเข้าไปนะคะ” เฮียพูดพร้อมกับลูบหัวฉันเบาๆ “ก่อนนอนเช็ดผมให้แห้งด้วย ป่ะเฮียเดินไปส่งเข้านอนดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวกูมา” เฮียพอยท์หันไปบอกเพื่อน ก่อนพยุงตัวฉันลุกขึ้น แล้วเดินมาส่งในห้องนอน
พอมีแค่เราสองคนพี่น้อง ฉันก็รีบถามเฮียว่าทำไมต้องแสดงเป็นคู่รักให้อีกคนหนึ่งเห็นใหญ่โตขนาดนี้
“นี่เฮียกำลังเล่นอะไร ซ้อมรับตุ๊กตาทองรึไง”
“เฮียแค่ไม่อยากให้มันมายุ่งกับเอ็ง แค่มองตามันเฮียก็รู้ว่ามันคิดไรอยู่”
“เฮียคิดมากไปหรือเปล่า ไม่มีทางแน่นอน พิมพ์ยังทำใจรักใครไม่ได้หรอก” เฮียพอยท์ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไอ้พอลมันเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่งก็จริง แต่เฮียก็รู้สันดานเรื่องผู้หญิงของมันดี เฮียแค่กันมันออกห่างจากเอ็ง ว่าแต่นี่เอ็งยังตัดใจจากเฮียเต้ไม่ได้อีกหรอวะ”
ฉันเงียบไม่ได้ตอบอะไร เฮียเห็นแบบนั้นก็เดินเข้ามาลูบหัวฉันเพื่อปลอบใจ
“เฮียรู้ว่าเรื่องนี้มันทำใจลำบาก แต่เอ็งก็ต้องอยู่กับความจริง และมีชีวิตอยู่กับมันให้ได้ อย่าลืมนะว่าชีวิตเอ็งไม่ได้มีแค่เฮียเต้เพียงคนเดียว แต่ยังมีเตี่ย มีม๊า มีเฮียๆ มีเพื่อน มีลูกน้องที่เป็นห่วงและอยู่เคียงข้างเอ็งเสมอ แล้วจะให้พวกเขาไม่เป็นห่วงได้ยังไง ถ้าเอ็งยังเป็นแบบนี้อยู่” เฮียพอยท์ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นฉันน้ำตาไหล
“เฮ้อ!!! เฮียบังคับความรู้สึกใครไม่ได้หรอก เฮียไม่ได้ให้เอ็งลืมเฮียเต้ แต่กำลังให้เอ็งอยู่กับความจริงให้ได้ อย่าทำร้ายตัวเอง และคนข้างๆอีก” เฮียยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน ค่อยๆประคองตัวฉันนอนลงบนเตียง แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้
“พรุ่งนี้เรากลับบ้านกัน เฮียหวังว่าจะเห็นน้องสาวของเฮียคนเดิมกลับมานะ”
เฮียจุ๊บหน้าผากฉันก่อนจะเดินออกไป ฉันได้แต่มองตามเฮีย และหวนคิดถึงคำพูดของพี่ชายทั้งสองคน ทุกอย่างที่พวกเขาพูดมันลอยเข้ามาในหัว ซึ่งมันล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
ฉันหลับตาลงแล้วลองย้อนนึกถึงตัวเองหลังจากที่เต้จากไป 3ปีที่ผ่านมาฉันทำอะไรลงไปบ้าง
ขอโทษนะทุกคน พิมพ์ในโหมดนี้จะไม่มีอีกแล้ว ฉันจะไม่ทำร้ายตัวเองและใครอีก พรุ่งนี้พิมพ์คนเดิมจะกลับมา
..............................พิมพ์สัญญา.................................
พอยท์ Part
วันนี้ผมโทรหาน้องสาวสุดที่รัก เพื่อให้เธอมารับผมที่สนามบิน ความจริงรถผมไม่ได้เป็นอะไรหรอก ผมแค่เป็นห่วงน้องสาวตัวเองเลยกุเรื่องรถพังขึ้นมา ก็ไอ้เฮียพอสมันโทรมายกเลิกนัดปาร์ตี้ฉลองที่ผมได้หยุดพัก และอีกอย่างไอ้เฮียมันสั่งให้ผมไปดูแลน้องสาวด้วย ผมฟังเรื่องที่ไอ้เฮียเล่า แล้วผมก็อดที่จะสงสารน้องตัวเองไม่ได้ ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอดี ขนาดผมเลิกกับแฟนยังเจ็บ และทรมานเจียนตาย แล้วเธอล่ะ เธอต้องมาสูญเสียคนที่เธอรักในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต คงทรมานกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ส่วนเหตุผลที่เธอมาอยู่คอนโดนี้คนเดียวเพราะอะไรรู้ไหม เพราะคอนโดนี้มันเป็นของเฮียเต้ ห้องที่เธออยู่ก็เป็นห้องของอดีตคนรักที่เคยใช้ชีวิตอยู่ เธอบอกว่าไว้เธอทำใจเรื่องเฮียเต้ได้ เธอจะกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แต่เมื่อไหร่ล่ะที่น้องสาวผมจะทำใจได้ นี่ก็ปาเข้าไป 3 ปีแล้วยังไม่มีวี่แววจะกลับมาบ้านเลย
ผมอดอิจฉาเฮียเต้ไม่ได้ ถ้าผมมีแฟนที่รักผมมากขนาดนี้ ผมคงเป็นผู้ชายที่โคตรโชคดีที่สุด ได้เจอผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง แต่ถึงยังไงผมก็ปล่อยให้น้องสาวเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ยิ่งเห็นเธอร้องไห้ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่ช่วยอะไรน้องสาวตัวเองไม่ได้เลย ผมนี่มันเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ
“ไมทำหน้าแบบนั้นวะ” เพื่อนทักขึ้นเมื่อผมเดินออกมาจากห้องนอนของน้องสาว
“หน้ากูมันทำไม”
“ทะเลาะกับแฟนรึไง” อ่อ สงสัยผมคงเดินหน้าเครียดออกมาให้มันเห็น ก็ผมเพิ่งปลอบน้องสาวที่ร้องไห้เรื่องคนรักเก่ามาเมื่อกี้เอง
“ป่าวไม่มีไร...แก้วมึงยุงไข่หมดละ ยกๆ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไอ้พอยท์ กูมีไรจะถาม”
“มีไร”
“มึงรู้รึเปล่าว่าแฟนมึงเคยแต่งงานแล้ว” ผมเกือบจะสำลักเหล้า แล้วเพื่อนผมมันรู้ได้ไงว่าน้องสาวผมเคยแต่งงาน
“อย่าหาว่ากูเสือกเลย มึงคบกับแฟนมานานหรือยัง” เฮ้ย!!!เพื่อนผมมันเป็นบ้าอะไรของมัน ปกติผมจะคบกับใครมันไม่เคยสนใจ
“มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะ” ผมจ้องตามันกลับ
“เปล่าไม่มีไร...เอ๊าหมดแก้ว”
มันบอกหมดแก้วแต่มันไม่ได้ยกแก้วขึ้นมากระดก มันดันยกขวดเหล้าเพียวๆขึ้นมากระดกแทน ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบเอือมมือไปห้าม
“พอๆ เดี๋ยวก็น็อคตาย พรุ่งนี้ไปทำงานไม่ไหวพอดี” มันยกหลังมือขึ้นมาปาดเช็ดปากมัน
“กูกลับห้องและ ไว้เจอกัน”
ไอ้พอลลุกพรวดเดินไปทางประตู ส่วนผมไม่ได้ห้ามอะไรได้แต่เดินตามไปส่งมัน ก่อนที่จะปิดประตู มันดันเรียกผมแล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมเข้าใจอาการของมันในครั้งนี้มากขึ้น
“ไอ้พ๊อย มึงอย่าทำให้พิมพ์เสียใจเด็ดขาด ถ้ามึงทำให้เธอเสียใจ กูจะมาจัดการมึง”
พูดเสร็จมันก็หันหลังเดินเข้าห้องปิดประตูใส่หน้าผม ชัดเลยผมมั่นใจแล้วว่า เพื่อนผมมันแอบชอบน้องผมแน่นอน แต่ผมอ่านสายตามันออกก่อนที่มันจะพูดประโยคนี้ด้วยซ้ำ ขอโทษ กูไม่มั่นใจในตัวมึงไอ้พอล กูคงปล่อยให้น้องสาวกูอยู่กับเสือผู้หญิงอย่างมึงไม่ได้หรอก ยิ่งน้องสาวกูเป็นแบบนี้ กูยิ่งให้เธอต้องมาเจ็บเรื่องความรักอีกไม่ได้ คงต้องข้ามศพพี่ชายอย่างกูไปก่อน
ผมได้แต่ยืนมองเพื่อนตัวเองเดินเข้าห้องไปอย่างเงียบๆ ไว้ให้ผมเปิดใจกับเพื่อนเมื่อไหร่ ผมเนี่ยแหล่ะ จะเป็นพ่อสื่อให้มันเอง
...............................................
กลิ่นหอมของอาหารลอยมาเตะจมูก ผมต้องค่อยๆ ลืมตามองหญิงสาวที่ผมรักเดินยกถ้วยอะไรสักอย่างมาตั้งไว้ตรงหน้า ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ทันทีที่มองถ้วยข้าวต้มที่ดูน่ากิน เสียงท้องก็ร้องดังประท้วงออกมาแบบไม่ปิดบังอาการของความหิวเลย
“โหเฮีย ท้องร้องดังไม่เกรงใจชาวบ้านขนาดนี้ ไป รีบไปอาบน้ำแล้วมาจัดการมันซะ” เธอเข้ามาดึง แล้วผลักผมให้เข้าไปในห้องน้ำ
เมื่ออาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นพิมพ์นั่งกอดอกมองผมอยู่ ผมได้แต่ยิ้มแล้วเข้าไปนั่งข้างๆเธอ
“เมื่อคืนไมเฮียไม่เข้าไปนอนในห้อง เมาคาที่ขนาดนั้นเลยหรอ”
ผมมองหน้าเธอเฉยๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับถามเธอเรื่องอื่นแทน
“แล้วนี่ทำไมไม่กิน จะปล่อยให้มันระเหยหรือไง” ผมชี้ไปที่ถ้วยข้าวต้มของเธอ เธอเบะปากใส่ผมแล้วก็ตักข้าวต้มใส่ปากตัวเองไปหนึ่งคำ จากนั้นผมก็ก้มลงซัดข้าวต้มของตัวเองบ้าง เห็นน้องสาวผมลุยๆแบบนี้ขอโทษฝีมือทำกับข้าวอร่อยไม่แพ้คนอื่นเหมือนกัน
“เฮียซื้อมือถือมาใหม่หรอ” เธอพูดพร้อมโชว์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดของใครก็ไม่รู้
ผมส่ายหน้าตอบเธอไป
“แล้วของใคร” เธอทำหน้าสงสัย
เออ ถ้ามันไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ของเธอ แล้วมันของใครกัน

ออด...ออด...!!!
เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น พิมพ์กำลังจะลุกขึ้นไปเปิด แต่ผมดันห้ามเธอไว้ก่อน
“พิมพ์ไม่ต้อง เฮียไปดูเอง” ผมเดินมาเปิดประตู ก็เห็นหนุ่มหน้าหล่อสไตล์เกาหลี ยืนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แหงแหล่ะจะไม่ให้มันมองแบบนั้นได้ไง ก็ผมใส่แค่ผ้าเช็ดตัวปิดท่อนล่างไว้ ส่วนท่อนบนว่างเปล่า
“มึงมีไรมาเคาะห้องกูแต่เช้า ”
“กูจะมาถามมึงว่าเห็นมือถือกูไหม เมื่อคืนลืมทิ้งไว้”
อ่อ มือถือมันนี่เอง “เออ เอาค่าฝากมือถือมาด้วย กูคิดชั่วโมงละ 2 พัน” ผมกวนประสาทมันแต่มันดันยกมือมาผลักหัวผมแทน
“มึงผลักหัวกูทำไม” ผมเอามือลูบหัวตัวเอง
“ผลักขอหาหมั่นไส้ มีไรป่ะ” มันยิ้มเยาะเย้ยผม
“มี มึงยืนรอกูแปบ” ผมหันหลังเดินเข้าห้องเพื่อจะไปหยิบมือถือให้มัน แต่มันไม่ทำตามที่ผมพูด มันกลับผลักประตูเดินตามผมมาเฉยๆ
“หอมจัง กินด้วยคนดิ” มันเดินเข้ามาจ้องหน้าน้องสาวผมที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่
ผมว่ามันต้องการพิสูจน์เรื่องผมกับพิมพ์แน่นอน นี่แหล่ะนิสัยของมันถ้าลองได้ติดใจหรือชอบอะไรสักอย่างแล้ว มันต้องตามสืบรู้ความจริงให้ได้ เพื่อนผมมันไม่โง่นะครับ ฉลาดเป็นกรด มันคงจับพิรุธอะไรสักอย่างจากผมกับน้องได้
เหมือนเรื่องแฟนเก่าของมันไม่มีผิด ก็แฟนมันมาขอห่างกับมัน เพราะเหตุผลหมดรักในตัวมัน แต่ที่ไหนได้ แฟนมันดันไปมีคนใหม่ ช่วงหลังจากที่มันรู้ มันอย่างกับปีศาจ ผมก็สงสารมันอยู่หรอก เอาไว้ผมมั่นใจในตัวมันแล้วผมจะบอกความจริงให้มันรู้เอง
ผมยืนมองการกระทำของพิมพ์ที่มีต่อมัน ดูแล้วน้องสาวผมคงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเพื่อนผมคนนี้สักเท่าไหร่ มันอุตส่าห์กล้าขอขนาดนี้ แต่น้องผมกลับไม่สนใจมันเลย เธอทำเสมือนว่าในห้องนี้มีแค่เธอกับถ้วยข้าวต้มอยู่เท่านั้น ผมว่าระหว่างไอ้พอลกับพิมพ์มันต้องมีซัมติงแน่ๆ ไม่เป็นไรไว้ผมค่อยถามเรื่องนี้กับน้องสาวทีหลัง
“น้อยๆ หน่อยเถอะมึง เป็นแขกก็ควรเกรงใจเจ้าของห้องบ้าง” ผมปรามมัน แต่ดูมันไม่ค่อยสลด
“เออ กูจะได้รู้ไว้ว่าเจ้าของห้องนี้ใจดำ” มันตอบผมก็จริง แต่กลับไม่ได้มองหน้าผมเลย คนที่มันมองก็นิ่งทำเหมือนเสียงไอ้พอลเป็นแค่อากาศธาตุ
“เฮ้ย!! เขยิบออกมาห่างๆ คนของกูเลย” ผมต้องรีบเดินไปดึงแขนมันออกมา เพราะมันกำลังเข้าไปนั่งข้างๆ น้องผม
“หวงก้างนะมึง...เออ...กูไปทำงานดีกว่าขอบใจสำหรับมือถือ” มันพูดแถมยิ้มกวนประสาทก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“เฮียคบเพื่อนแย่ๆ แบบนี้ไปได้ยังไง” พอมันออกไป พิมพ์ก็เปิดประเด็นถามผมทันที
“ตั้งแต่ถูกผู้หญิงทิ้งมามันก็แย่แค่เรื่องผู้หญิงอย่างเดียวแหล่ะ แต่เรื่องอื่นมันดีหมดนะ” ผมตอบไปตามความจริง
“อือ พิมพ์เชื่อเรื่องผู้หญิง แต่ไม่เชื่อว่านิสัยดี”
“ทำไมวะ เอ็งไปมีเรื่องอะไรกับมัน”
พอเธอได้ยินคำถามนี้ เธอก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟังทั้งเรื่องผู้หญิงที่ชื่อเกล และเรื่องที่มันมาขอให้เธอพาไปโรงพยาบาล ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดไรขึ้น การที่มันเข้าหาพิมพ์ รู้ว่าเธอเคยแต่งงาน รู้ว่าเธอเป็นวิศวะ เรื่องที่เธอไปรอเพื่อนในห้องทำงานมัน ผมรับรู้ได้เลยว่าเพื่อนผมมันเอาจริง ความคิดที่ผมจะขัดขวางมันเริ่มลดลง หรือว่ามันอาจจะเป็นคนที่ช่วยน้องผมให้หลุดพ้นจากอดีตที่เลวร้ายก็ได้
..........................................................................
ชเวยองโด (พอล) Part
ผมดีใจแทบตายที่ได้เจอเพื่อนสมัยเรียนหมออย่างไอ้พอยท์ ถึงแม้มันจะเรียนได้แค่สองปี และค้นพบว่าตัวเองไม่เหมาะกับทางด้านนี้ เลยซิ่วไปเรียนการบินแทน แต่ไอ้ความดีใจมันกลับหมดลงเมื่อมันมากับยัยหมวยที่ผมหมายตาไว้ อะไรกัน เธอเป็นแฟนกับเพื่อนผมอย่างนั้นเหรอ โลกมันจะกลมไปหรือเปล่าวะ
ผมนอนดิ้นไปมาไม่ยอมหลับ เพราะมัวแต่คิดเรื่องยัยหมวยกับเพื่อนผมอยู่ ภาพบาดตาบาดใจเมื่อกี้นี้บอกตรงๆ หน้าอกด้านซ้ายผมรู้สึกเจ็บหน่วงๆ เฮ้อ!!! ผู้หญิงคนนี้อันตรายจริงๆ นี่ขนาดผมได้เจอและคุยกับเธอแค่ไม่กี่ครั้งเอง เธอสามารถทำให้ผมคิดมากได้ขนาดนี้ แต่ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะ
ภาพบัตรประจำตัวเธอที่ผมเห็นวางอยู่บนโต๊ะทำงานก็พุดขึ้น เฮ้ย!!!!!!! ผมเด้งตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน นามสกุลยัย หมวยกับไอ้พอยท์มันนามสกุลเดียวกันนี่หว่า ไม่รอช้าผมรีบควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่โทรศัพท์ผมหายไปไหน ผมนั่งนึกอยู่สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าผมถือเข้าไปที่ห้องเธอแล้วลืมหยิบออกมา ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยไปเอา ดีจะได้พิสูจน์อะไรบางอย่าง
พอถึงตอนเช้าผมรีบอาบน้ำแต่งตัว เดินไปเคาะห้องยัยหมวยเพื่อเอาโทรศัพท์ บอกตรงๆว่าผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เพื่อนผมเป็นแฟนกับเธอ ทั้งรูปพรีเวดดิ้งในห้อง คนอย่างไอ้พอยท์มันคงไม่ยอมให้แฟนมันเอารูปคู่กับผู้ชายคนอื่นมาตั้งโชว์หล้าขนาดนั้นแน่นอน ทั้งร้านกาแฟที่เธอชอบไปคนเดียวประจำ และทั้งนามสกุลที่เหมือนกันโดยบังเอิญ
รอไม่นานไอ้พอยท์ก็เป็นคนเปิดประตูให้ผม มันบอกให้ผมรอหน้าห้อง แต่เรื่องอะไรจะต้องเชื่อในเมื่อมันกำลังโกหกผมอยู่ ส่วยยัยหมวยน่ะหรอ เธอไม่แม้แต่จะชายตามองผมเสียด้วยซ้ำ ช่างเถอะ ผมรีบไปโรงพยาบาลเพื่อไปตามหาความจริงจากปากเพื่อนสนิทของเธอดีกว่า
“หมอโรส ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครับ”
เมื่อถึงโรงพยาบาล ผมตรงดิ่งไปยังแผนกผิวหนัง และเดินนำหมอโรส ออกมาข้างนอกทันที ผมแอบเห็นสายตาของพยาบาลที่จ้องมาทางผมอย่างอยากรู้อยากเห็น
“สวัสดีค่ะคุณหมอพอล มีเรื่องอะไรจะคุยกับโรสหรอคะ” เธอเดินตามผมออกมา และถามผมด้วยความสงสัย
“ผมอยากรู้ว่าคุณพิมพ์ มีพี่ชาย หรือน้องชายไหม” พอผมยิงคำถามไป หมอโรสถึงกับงง และดูเหมือนเธอจะขำกับประโยคคำถามของผม
“มีค่ะ เธอมีพี่ชาย 2 คน”
“พี่ชายเธอใช่คนที่ชื่อพอยท์หรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ เฮียพอส กับเฮียพอยท์ ว่าแต่คุณหมอถามทำไมคะ”
“ไม่มีไรครับ ขอบคุณมาก คุณกลับไปทำงานต่อเถอะ”
สิ่งที่ผมสันนิษฐานเป็นจริงไอ้พอยท์กับยัยหมวยไม่ได้เป็นแฟนกันแต่เป็นพี่น้องกัน เรื่องนี้ผมต้องจัดการเพื่อนผมก่อนเลย แล้วค่อยจัดการยัยตัวดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิดโกหกผมกันดีนัก...หึหึ...ว่าแต่เรื่องนี้มันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย เหมือนยกภูเขาออกจากอก โลงใจ
.............................................
อัพ 100%
- มาแล้วจ๊ะ มาอัพแล้วนะตะเอง โฮ๊ะๆๆวันนี้เฮียๆของน้องหมวยมากันครบเลย
- เฮียๆของหมวยเนี่ยดูรัก และหวงน้องสาวม๊ากมาก แบบนี้หนุ่มๆ จะเข้าถึงน้องตัวเองได้อย่างไรเล่า แม้แต่เพื่อนตัวเอง ยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนมีน้องสาว อะไรจะหวงขนาดนั้นคะคุณชายกลาง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ