ศพที่สอง

9.5

เขียนโดย Nixts

วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.53 น.

  8 บท
  5 วิจารณ์
  9,451 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 22.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) คนที่กลับมา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในเวลาถัดจากนั้น ท่ามกลางความเงียบในยามค่ำคืน อัยลดาเงยหน้าขึ้นมาหลังจากที่เริ่มสงบจิตใจของตนเองลงได้ เสียงเข็มวินาทีจากนาฬิกาดังเป็นจังหวะ ซึ่งในไม่ช้าก็จะถูกแทนที่ด้วยเสียงเม็ดฝนที่กำลังตกลงมาอีกครั้ง ฟ้าร้องดังเป็นระยะปลุกให้เธอกลับมาสู่ปัจจุบัน เธอปาดคราบน้ำตาที่เจิ่งนองอยู่บนใบหน้า แล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินไปยังห้องน้ำภายในห้อง เอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟ แต่หลอดไฟบนเพดานก็ไม่ได้สว่างขึ้น ดูเหมือนว่าไฟฟ้าจะดับ แต่ก็ยังดีที่น้ำยังไหลอยู่ เธอคิดขณะที่เปิดก๊อกน้ำ หลังจากที่เธอล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว อัยลดาเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูที่วางอยู่ในห้องน้ำแล้วเดินกลับออกมา เธอมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนัง เวลาบนนาฬิกาบอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน น่าแปลกใจที่เธอจำไม่ได้ว่าในห้องมีนาฬิกานี้ติดอยู่บนผนังตั้งแต่เมื่อไร

เธอเดินมากดสวิตซ์ไฟในห้อง ไฟก็ไม่ติดเหมือนกัน เธอจำได้ว่าอาพิทักษ์บอกว่าโรงพยาบาลมีเครื่องปั่นไฟ แล้วทำไมไฟยังดับได้อยู่ อากาศภายในห้องเริ่มที่จะอึดอัดมากขึ้น เธอสังเกตว่าเครื่องปรับอากาศก็หยุดทำงานเช่นเดียวกัน แสงสว่างที่พอจะทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้บ้าง ก็มีเพียงแต่แสงที่ส่องมาจากทางนอกหน้าต่าง และแสงจากฟ้าแลบที่ทำให้ห้องสว่างขึ้นมาบ้างในบางครั้ง

อัยลดาเดินมาที่หน้าต่างห้องของเธอ เธอรูดผ้าม่านขึ้น ปลดกลอนหน้าต่าง แล้วเปิดบานหน้าต่างออกไป บริเวณด้านนอก ฝนกำลังเริ่มตกใหม่อีกครั้ง ละอองฝนเม็ดเล็กๆ โปรยปรายลงมา แสงสว่างสีเขียวจากหลอดไฟที่ป้ายด้านหน้าโรงพยาบาล เป็นเพียงแสงสว่างอย่างเดียวที่เหลืออยู่ในบริเวณนี้ ถ้าไม่นับแสงจันทร์ที่ถูกบดบังจากกลุ่มเมฆหนาทึบบนท้องฟ้า ที่มืดดำจนแทบมองอะไรไม่เห็น ไฟนีออนสีเขียวกะพริบถี่ๆ บ้างเป็นบางครั้ง เหมือนกับว่าอีกไม่นาน มันก็คงจะดับลงเช่นกัน ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังอยู่ในโรงพยาบาลร้าง มันช่างเงียบสงัดราวกับว่าไม่มีใครเหลืออยู่เลย

อารมณ์ที่ผสมผสานกันระหว่างความประหลาดใจและความหวาดกลัว ปะปนอยู่ในใจของเธอ อัยลดาเดินกลับมานั่งลงที่เตียงนอน สายตาของเธอจ้องดูนาฬิกาทรงกลมพื้นๆ ที่แขวนอยู่ที่ฝาห้องทางปลายตีนเตียง เธอจำไม่ได้ว่านาฬิกาเรือนนี้เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน ตอนนี้มันบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว นาฬิกาเรือนนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ มันเหมือนกับเป็นการนับถอยหลังของอะไรบางอย่าง

ในความมืดที่รายล้อมอยู่รอบตัว มีอารมณ์มากมายผสมผสานอยู่ในใจของเธอ จะนั่งรออยู่อย่างนี้จนเช้างั้นหรือ? คนเดียวท่ามกลางความมืด? เธอรู้ดีว่าในตอนนี้เธอคงกลับไปนอนหลับไม่ลงอีกต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าไฟฟ้าจะกลับมา ตัดสินใจอย่างฉับพลัน อัยลดาลุกขึ้นจากเตียง “มันต้องมีใครอยู่บ้างซิ” เธอพึมพำกับตนเอง เธอจำเป็นจะต้องคุยกับใครสักคน ใครก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่คนเดียว

เธอนึกถึงเมื่อครั้งที่เธอเคยมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ในวันที่มาเยี่ยมอาแพรเมื่อราวสามปีก่อน ในตอนนั้น ถ้าเดินผ่านอาคารเข้ามา จะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ที่บริเวณประชาสัมพันธ์ด้านล่าง เธอนึกสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นยังคงทำงานอยู่ที่นี่หรือไม่ โรงพยาบาลมีแผนกฉุกเฉิน น่าจะต้องมีใครอยู่บ้าง อัยลดานึกถึงทางเดินหน้าห้องของเธอ ก่อนที่จะไปถึงบันไดที่จะลงไปชั้นล่าง ทางเดินนั้นจะต้องผ่านห้องผู้ป่วยห้องอื่นๆ อีกหลายห้อง แล้วถ้าข้างนอกไฟดับหมด... ตัวเธอสั่นสะท้านในขณะที่นึกถึงเหตุการณ์ที่เธอเคยเจอหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากห้อง แล้วหายตัวไป เหตุการณ์นั้นยังคงติดตาเธออยู่จนถึงบัดนี้ เธอไม่เคยเชื่อเรื่องการเห็นผี ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่ามีอะไรอีกหลายสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ยังไงเสีย วันนี้เธออาจจะต้องปรับความเชื่อของตัวเองเสียใหม่ อัยลดาคิด ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ยังไงก็ตาม เธอไม่ยอมนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดอย่างนี้ไปตลอดคืนแน่ เธอเดินไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออก

สิ่งแรกที่เธอเห็นหลังจากที่เดินออกไป ถึงแม้ว่าไม่เป็นไปตามที่เธอหวัง แต่ก็เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์ไว้ นั้นคือมีแต่ความมืดมิดตลอดทางเดินที่ทอดตรงผ่านห้องคนไข้ห้องอื่นๆ จนกระทั่งไปจบที่เคาน์เตอร์เล็กๆ ติดกับห้องพยาบาลและบันไดขึ้นลง หน้าต่างเพียงบานเดียวที่อยู่ปลายสุดของทางเดินทำให้บริเวณนี้ยิ่งมืดสนิทกว่าภายในห้องของเธอเสียอีก

“มีใครอยู่บ้างคะ” เธอตะโกนถาม พยายามไม่ให้เสียงดังมากนักอย่างไม่รู้ตัว กลัวว่าจะเป็นการรบกวนผู้ป่วยคนอื่น? แต่ว่าจะมีผู้ป่วยคนอื่นอยู่อีกงั้นหรือ? ห้องผู้ป่วยที่เหลืออยู่ในแถบเดียวกันกับเธอ ไม่มีชื่อของใครติดอยู่เลย ทางเดินที่มืดสนิทเบื้องหน้าท้าทายเธอว่าจะกล้าก้าวเดินออกไปหรือไม่ อัยลดาหันกลับมามองในห้องของเธอเองที่ยังพอมีแสงสลัวอยู่บ้างจากไฟนีออนของป้ายโรงพยาบาลที่ส่องเข้ามา จากนั้นหันมาดูทางเดินเบื้องหน้าที่มืดมิดยิ่งกว่า เธอพยายามทำจิตใจให้หนักแน่น แล้วปิดประตูห้อง อัยลดาค่อยๆ เดินออกมาอย่างระมัดระวัง มือข้างหนึ่งจับฝาผนังด้านขวาของทางเดิน ค่อยๆ คลำทางไปยังปลายทางที่มีแสงรำไรจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ไกลๆ

ทำไมถึงได้เงียบอย่างนี้นะ เธอคิดในใจ

ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงผู้เดียวที่อยู่ในโรงพยาบาล วนกลับมารบกวนใจของเธออีกครั้ง

...มันเป็นโรงพยาบาลร้าง และฉันถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียว…

ความคิดเหล่านี้วนเวียนไปมา อัยลดาพยายามที่จะไม่สนใจมัน เธอเดินต่อมาจนกระทั่งถึงเคาน์เตอร์ที่ปลายทางเดิน บริเวณนั้นมีหน้าต่างที่เปิดออกไปสู่ด้านหน้าโรงพยาบาล ด้านนอกยังคงมืดสนิท ฝนเริ่มตกหนักขึ้น แสงจากฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องดังถี่กว่าทุกวัน มีเพียงแสงไฟสีเขียวของป้ายโรงพยาบาลที่กะพริบเป็นระยะๆ เธอพยายามที่จะมองหาพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ ในบริเวณนี้ แต่ก็ไม่พบใคร ห้องพยาบาลยังคงรกร้าง ไม่มีสิ่งใดที่บอกว่าเคยมีผู้คนอยู่แถวนั้น ข้างๆ ห้องพยาบาลเป็นบริเวณบันไดทางเดินขึ้นและลง เธอมองลงไปยังความมืดมิดที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่าง ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเลือกเดินลงไปยังชั้นล่าง

เธอเดินไปจับราวบันไดแล้วอาศัยเท้าสัมผัสขั้นบันไดแต่ละขั้นเพื่อจะเดินลงมา นึกถึงตอนที่เธอมาโรงพยาบาลนี้เมื่อสามปีที่แล้ว ถัดจากบันไดที่ชั้นล่าง จะมีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ซึ่งมักจะมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่เป็นประจำ พื้นที่ของชั้นจะเป็นบริเวณที่โล่งกว้าง และมีเก้าอี้สำหรับให้คนไข้หรือญาตินั่งรอเรียกตรวจ ทางด้านปีกซ้ายจะเป็นบริเวณห้องจ่ายยา และทางด้านปีกขวาเป็นห้องธุรการสำหรับจ่ายเงินค่ารักษา ในเวลานี้ห้องจ่ายเงินกับห้องยาอาจจะปิดไปแล้ว แต่ถัดมาจากห้องจ่ายยาจะเป็นส่วนห้องฉุกเฉินที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างน้อยในบริเวณนั้นก็น่าจะมีเจ้าหน้าที่และหมอเวรประจำอยู่ เธอเดินลงบันไดมาจนกระทั่งถึงด้านล่าง ที่ทางด้านขวามือของเธอเป็นโต้ะและเคาน์เตอร์สำหรับติดต่อ ด้านหน้าเป็นประตูกระจกบานใหญ่ที่เปิดกว้างออกไปสู่ภายนอกอาคาร มองออกไปเป็นลานกว้างที่ถัดไป จะเป็นลานจอดรถ และป้ายโรงพยาบาลที่ส่องแสงกะพริบอยู่ไกลๆ

เธอเดินไปยังโต้ะประชาสัมพันธ์ มองหาเจ้าหน้าที่แต่ก็ไม่พบกับผู้ใด รอบตัวของเธอมีแต่ความมืด เธอชะโงกหน้ามองไปทั้งสองฟากของตัวอาคาร แผนกธุรการต่างๆและส่วนจ่ายเงิน ต่างปิดไฟเงียบ แม้กระทั่งในบริเวณที่อัยลดาจำได้ว่าเป็นแผนกฉุกเฉินที่อยู่ถัดออกไปก็มีแต่ความมืด ไม่มีเสียงของผู้คนหรือสิ่งใดๆ เธอเริ่มรู้สึกสับสนอีกครั้ง ทำไมถึงไม่มีใครเลย พวกเขาหายไปไหนกันหมด ความคิดว่าโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลร้าง และเธอถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ที่นี่ตามลำพังหวนคืนกลับมารบกวนเธออีก อัยลดาเดินไปที่เก้าอี้เจ้าหน้าที่บริเวณจุดต้อนรับที่เธอเคยจำได้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่นั่งประจำอยู่เสมอ เธอมองหาโทรศัพท์ เธอต้องการติดต่อใครสักคน อัยลดายกหูโทรศัพท์ขึ้นเพียงเพื่อที่จะพบว่าไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ เธอพยายามตั้งสติ มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับโรงพยาบาลแห่งนี้ และเธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง

มีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหว

หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาดำที่อยู่ในความมืด ถัดเลยไปจากช่องจ่ายยาและเก้าอี้ว่างในบริเวณที่เป็นห้องฉุกเฉิน ในความเป็นจริงแล้วเธอน่าจะดีใจ แต่ด้วยสัญชาตญาณ อัยลดารีบก้มมุดลงไปไต้โต๊ะ ทำไมเธอจะต้องหลบ? เธอเดินลงมาเพื่อจะหาใครสักคนเป็นเพื่อนไม่ใช่รึ?

แต่เงานั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอกำลังตามหา

ถึงแม้ว่าในแว็บหนึ่ง สิ่งนั้นจะเหมือนเป็นเงาของใครบางคน แต่แม้ว่าโรงพยาบาลจะอยู่ในความมืดมากแค่ไหนก็ตาม แสงจากป้ายของโรงพยาบาลและแล้วจากฟ้าแลบด้านนอกก็ให้ความสว่างได้บ้างในบางขณะ เธอก้มตัวแนบไปกับผนังด้านในบริเวณใต้โต๊ะ บังคับตัวเองให้อยู่นิ่งมากที่สุด เงาดำนั้นไม่ใช้เงาของคนที่อยู่ในโรงพยาบาล เงาดำนั้น ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีแสงมาตกกระทบมัน เงาก็ยังคงมืดสนิทอยู่ตลอดเวลา มันดูราวกับเป็นเหมือนจุดมืดบอดที่ไม่ว่าจะฉายไฟเข้าไปอย่างไร ก็ยังคงมีแต่ความมืดมิด เธอพยายามหายใจให้เบาลง ควบคุมตัวเองให้ไม่ตื่นตระหนก เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาให้เธอได้ยินนอกจากเสียงของสายฝนและเสียงฟ้าร้องเป็นระยะๆ ด้านนอก

เธอรวบรวมความกล้าแล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมาจนพ้นขอบโต้ะ สายตาพยายามปรับให้เข้ากับความมืดรอบตัว เงาดำนั้นหายไปแล้ว เธอยังคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม ไม่กล้าที่จะออกไปจากที่หลบซ่อนของเธอ เธอพยายามที่จะมองหาสิ่งแปลกปลอมที่อยู่รอบตัว บางอย่างที่อาจจะรอคอยการปรากฏตัวของเธอก่อนที่มันจะเปิดเผยตัวตนออกมา

ชั่วเวลาหนึ่งผ่านไป เธอเริ่มรู้สึกปลอดภัยขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นจากที่ซ่อน เงาดำนั้นก็ปรากฏขึ้น อัยลดากลั้นหายใจด้วยความตกใจ เธอรีบมุดตัวลงกลับไปอยู่ใต้โต้ะที่เธอเคยหลบอย่างรวดเร็ว ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เธอก็ไม่คิดอยากที่จะเสนอหน้าออกไปให้เห็น

เงาดังกล่าวผ่านมายังหน้าโต้ะที่เธอซ่อนตัวอยู่ อัยลดารู้สึกได้ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มองเห็นก็ตาม มันเป็นความรู้สึกของความเคลื่อนไหวช้าๆ ที่ค่อยๆ ผ่านเธอไป เธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า คล้ายกับว่าร่างกายของมันไม่มีน้ำหนัก เธอพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ส่งเสียงใดๆ แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็น แต่ร่างกายของเธอก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

ในที่สุดเงาดำก็ผ่านเธอไป

อัยลดาลุกขึ้นจากที่ซ่อนของเธอ แสงไฟจากป้ายของโรงพยาบาลกลายเป็นเสมือนกับที่พึ่งสุดท้าย ในความมืดมิดที่ห้อมล้อมตัวเธอ แสงไฟนั้นราวกับจะฉายออกมาถึงความรู้สึกปลอดภัยที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ดึงดูดให้เธอเดินออกไปหา อัยลดาวิ่งตรงไปยังประตูของตัวอาคารแล้วเปิดออกไป

คล้ายกับเสียงของนกกระพือปีกดังขึ้นจากที่ใดสักแห่ง ในใจของเธอเหลืออยู่แค่เพียงแสงสว่างเบื้องหน้า เธอต้องการแสงสว่าง เธออยากจะออกไปให้พ้นจากความมืดนี้ ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอเดินออกมานอกอาคาร พื้นคอนกรีตด้านหน้าประตูทางเข้าของตัวอาคารยกสูงขึ้นสามขั้นบันไดจากลานดินด้านล่าง ที่เป็นพื้นที่กว้างประมาณครึ่งสนามฟุตบอล บริเวณถัดไปเป็นลานจอดรถที่ตอนนี้ว่างเปล่า และป้ายของโรงพยาบาลที่ส่องแสงสีเขียวสว่างอยู่ในขณะนี้

แม้ว่าฝนจะกำลังตก แต่อัยลดาก็ไม่สนใจ เธอจะต้องไปที่แสงสว่างนั้น

ด้านข้างของเธอ ในเงามืดที่สูงขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อมรอบโรงพยาบาล มีอีกาสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งสูง พวกมันทั้งสามตัวเกาะอยู่บนนั้นอย่างเงียบเชียบท่ามกลางสายฝน ดวงตาที่เป็นประกายวาววับราวกับมีแสงสว่างในตัวเอง จับจ้องลงมาที่อัยลดาเป็นสายตาเดียวกัน

เหมือนกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ เธอเดินก้าวออกไปราวกับไม่ได้ด้วยความตั้งใจของตนเอง

และทันใดนั้น มือหนึ่งก็เอื้อมมาฉุดมือเธอไว้

 

***

 

ย้อนไปเพียงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง ที่อัยลดาเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางของเธออยู่ในห้องที่เธอและอริศใช้ร่วมกันในบ้าน บ้านขนาดปานกลางที่อยู่เลยจากร้านอาหารของครอบครัวของเธอไม่ไกล ห้องของเธอและน้องสาวอยู่ที่ชั้นบน ที่ชั้นเดียวกันนี้ยังมีห้องน้ำอยู่อีกหนึ่งห้อง และห้องนอนใหญ่ที่เป็นของพ่อและแม่ ชั้นล่างของตัวบ้านเป็นบริเวณของห้องนั่งเล่น ห้องนอนสำหรับแขกที่มาพัก ห้องครัว และห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง

พัทธพลหรือพลน้องชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพวกเธอนั่งอยู่ด้วยในห้อง เขาและอาพิทักษ์เดินทางจากกาญจนบุรีมารับครอบครัวของเธอไปพักผ่อนที่รีสอร์ทของเขา

“ตอนที่พี่เอาหนังสือแต่ละเล่มไปให้ยืมอ่าน ก็เลือกไปให้แต่เรื่องดีๆ เปิดหนังให้ดู ก็มีแต่เรื่องที่ดีๆ แต่ทำไมเวลามีเรื่องอะไรมาคุยกับพี่แต่ละที่ เอาแต่เรื่องสู้ๆ กัน ยิงกันไปยิงกันมา บ้าๆ บอๆ น่าเกลียดทั้งนั้น” อัยลดาหันไปบอกพลน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเธอ ในระหว่างที่เขากำลังเล่าเรื่องจากหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ที่เขาพึ่งจะอ่านจบ

“ก็หนังสือพวกนั้นมันไม่สนุกนะพี่อัย ไม่เห็นจะน่าอ่านเลย” เขาตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจจากการถูกขัดจังหวะ

“พี่อัย เอาอย่างนี้ พลมีเรื่องอยากจะถามต่อ”

“เหมือนกับเค้กในตู้เย็นนะ พี่อัยอยากกินมั้ย วันนี้พลเห็นป้ามาศซื้อมาหลายชิ้นเลย น่ากินทั้งนั้น”

“ห่ะ?” อัยลดาตอบ เธองงกับการเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันของพล

“เค้กไงพี่อัย เค้กน่ากินทั้งนั้นเลย วันนี้ตอนนั่งรถกลับมาจากตลาด ป้ามาศแวะซื้อเค้กมาจากร้านที่หน้าหมู่บ้าน บอกว่าจะเอาไว้ให้กินกัน ซื้อมาเป็นสิบชิ้นเลย พี่อัยไม่อยากกินมั่งเหรอ?”

“ไม่อยาก” เธอตอบห้วนๆ

“พี่อริศละ ไม่อยากกินเหรอ” พลถามต่อไปที่อริศที่ตอนนี้ยังคงขะมักเขม้นกับการจัดกระเป๋าของตนเอง

อริศหันมายิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้า

“ไม่มีใครเขาอยากกินกันแล้วตอนนี้ เขาแปรงฟันกันหมดแล้วพล” อัยลดาตอบแทนน้องสาวของเธอ

“แต่พี่ก็ต้องอยากกินนั้นแหละ ทำไมจะไม่อยากกิน”

“ไม่หละ ไม่อยาก”

“ก็แล้วแต่นะ เอาเป็นว่าสมมติว่าถ้าพี่อยากจะกินเค้กในตู้เย็น สมมติว่าพี่อยากกินมากๆ อยากกินแบบจะต้องกินให้ได้ พี่จะทำยังไง”

“พี่ก็ลงไปกินไง?”

“นั้นไง เห็นมั้ย” พลทำหน้าตาราวกับว่าเขาสามารถแก้โจทย์ปัญหาระดับโลกได้

“เห็นอะไร” อัยลดาถามกลับ

“ก็ถ้ามีใครอยากจะกินเค้ก ก็น่าจะต้องได้กินเค้กซิ”

อัยลดาวางเสื้อผ้าของเธอที่กำลังพับลงแล้วหันมาหาพล “รู้หละ อาพิทักษ์ไม่ให้กินละซิ”

“นั้นหละ ทั้งๆ ที่ผมบอกว่าอยากกินมากๆ อยากกินแบบจะต้องกินให้ได้ พ่อก็ไม่ยอมให้กิน พ่อบอกว่ารอพรุ่งนี้ก่อน” พลร่ายยาว

“แล้ว?”

“ก็ทีพี่ยังบอกว่าพี่จะกินเค้กถ้าพี่อยากจะกิน ทุกๆ คนก็กินเค้กได้ ถ้าอยากจะกิน แต่ทำไมมีผมคนเดียวที่กินไม่ได้ทั้งๆ ที่อยากจะกิน มันไม่ยุติธรรมเลย” เขาพูดต่อ

อัยลดาหันไปสบตากับอริศราน้องสาวของเธอที่ตอนนี้กลั้นยิ้มอยู่ด้วยความยากลำบาก เธอหันไปถามน้องชายของเธอต่อ “แล้วทีนี้พลจะทำยังไงดีละ”

“ผมก็จะไปแปรงฟันนะซิ แล้วก็รอค่อยเก็บไว้กินวันพรุ่งนี้ เพราะยังไงโลกนี้ก็ไม่มีความยุติธรรมหลงเหลือสำหรับผมอยู่แล้ว”

พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป อัยลดาหันไปหาอริศน้องสาวของเธอก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

พลกับอาพิทักษ์มานอนค้างอยู่ที่บ้านของพวกเธอได้สองสามวันแล้ว อาพิทักษ์เข้ามาทำธุระในกรุงเทพแล้วก็จะมารับพวกเธอไปเที่ยวที่รีสอร์ตของเขาด้วยเลย พวกเธอจะไปอยู่ที่นั่นสองอาทิตย์ ก่อนที่อาพิทักษ์จะกลับมาส่ง

สองพี่น้องจัดกระเป๋าเดินทางของพวกเธอต่อไปอีกครู่หนึ่ง

“แน่ใจใช่มั้ยอริศ เรื่องที่เราจะไปเที่ยวกันที่รีสอร์ตของอาพิทักษ์” อัยลดาถามขึ้นมาทำลายความเงียบ

“ค่ะ … ยังไงเราก็ต้องกลับไปที่นั่นอยู่ดี” อริศตอบ เธอหยุดนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“ไม่มีใครกำหนดหรือรู้อนาคตล่วงหน้าได้หรอกค่ะ พี่อัย อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน”

อัยลดายิ้มให้กับน้องสาวฝาแฝดของเธอก่อนที่จะตอบกลับมาสั้นๆ

“แต่บางที การที่อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้นะ อริศ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา