ศพที่สอง
9.5
เขียนโดย Nixts
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.53 น.
8 บท
5 วิจารณ์
9,466 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 22.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ลางสังหรณ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอริศราเป็นชื่อของเธอ แต่คนอื่นๆ มักจะเรียกเธอสั้นๆ ว่าอริศ ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระทบหน้าต่างรถ อริศนั่งเอนตัวซบกับประตูรถยนต์ทางด้านขวาข้างๆ อัยลดาพี่สาวของเธอ สายตาที่มองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ไม่ได้จับจ้องอยู่ที่สิ่งใด
เธอและพี่สาวฝาแฝดอายุครบสิบหกปีเมื่อเดือนที่แล้ว ตลอดสิบกว่าปีในช่วงชีวิต อริศมองอัยลดาเสมือนหนึ่งเป็นทั้งพี่ เพื่อน และต้นแบบของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่า ตัวเธอเองไม่มีวันที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างอัยลดาก็ตาม อริศรู้ตัวดีว่าเธอเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เธอไม่กล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเองมากนัก เธอรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งเมื่อต้องตกอยู่ในสายตาของคนจำนวนมาก หรือเมื่อจำเป็นที่จะต้องพบปะกับคนแปลกหน้า อริศมักมีนิสัยชอบที่จะหลีกหนีมาเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว แล้วอ่านหนังสือตามลำพัง เธอมีความสุขกับการที่ไม่ต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย หรือพยายามที่จะทำตัวเพื่อให้คนอื่นชอบ เธอเคยรู้สึกอิจฉาอัยลดา ที่สามารถเข้ากับทุกคนได้ง่าย มีเพื่อนมากมาย ต่างกับเธอ ที่นอกจากพี่สาวของเธอเองแล้ว อริศราแทบจะไม่มีเพื่อนสนิทเลย แต่อีกด้านหนึ่ง อริศก็รู้สึกโชคดี ที่เธอไม่จำเป็นจะต้องหาเพื่อนที่ไหนอีก เพราะว่าเธอมีทั้งพี่สาวผู้เป็นที่รัก เป็นทั้งเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธออยู่แล้ว
แล้วในวันนี้ วันที่เธออาจจะต้องจากพี่สาวของเธอตลอดไป
นับตั้งแต่เด็ก อริศมักจะเห็น หรือรับรู้เรื่องราวบางอย่าง ทั้งๆ ที่เธอไม่น่าจะสามารถรู้ได้ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นราวกับเป็นความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของเธอ ความทรงจำของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่อยู่ๆ เธอก็จำได้อีกครั้ง แม้ว่าเธอจะแน่ใจว่าความทรงจำเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ และไม่มีเหตุผลใดๆ เลย ที่จะเคยเกิดขึ้นกับเธอ และในบางครั้งเธอมั่นใจเสียด้วยซ้ำ ว่ามันไม่ใช่ความทรงจำของเธอเอง
อัยลดาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง
ก่อนหน้าการเดินทางไม่กี่วัน เธอเคยบอกกับอัยลดาว่าเราไม่ควรมาที่รีสอร์ตในตอนนี้ พี่สาวของเธอถามถึงเหตุผล แต่อริศไม่ได้ตอบ เพราะความจริงแล้วมันไม่ได้มีเหตุผลที่อริศสามารถบอกได้ มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่เกิดความทรงจำแปลกปลอมบางอย่างขึ้นกับเธอ ความทรงจำที่เตือนเธอว่าบางสิ่งที่เลวร้าย กำลังจะเกิดขึ้น ถึงกระนั้นก็ตาม จากการที่เธอไม่ตอบ อริศรู้ดีว่าอัยลดาเข้าใจว่าอะไรทำให้เธอพูดออกไปเช่นนั้น มันเป็นเรื่องที่เราสองคนเข้าใจระหว่างกัน แต่การพูดถึงมันอย่างเปิดเผยอาจจะทำให้สิ่งที่เป็นเพียงลางสังหรณ์ กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ อริศจึงไม่เคยพูดออกจากปากถึงเหตุผลและสาเหตุของความกังวลใจของเธอ และอัยลดาก็ไม่เคยที่จะถามต่อ
อริศหันกลับมาจากหน้าต่างรถแล้วก็สบสายตาพอดีกับพี่สาวของเธอที่กำลังหันมองมา อัยลดายิ้มให้เธอ แล้วยื่นขวดน้ำมาให้ อริศส่ายหน้าปฏิเสธไป แล้วหันกลับมาซบศีรษะกับหน้าต่างรถอีกครั้ง แสงสว่างภายนอกเริ่มจางหายไป มันเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจากกลางวันไปเป็นกลางคืน แสงสีทองสลัวจากดวงอาทิตย์ที่ถูกบดบังด้วยแนวเขาและเมฆฝน ทำให้รายละเอียดของสิ่งต่างๆ เริ่มถูกกลืนไปกับความมืด ฝนที่ตกปรอยๆ เมื่อครู่ตอนนี้กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระยะ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงตอนนี้ในบางครั้งก็เซเบาๆ จากแรงลมที่ทวีความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้นไม้ใหญ่ตลอดข้างทางไหวเอียงไปมาจากแรงลม ดูราวกับกำลังโบกมือทักทายเธอ เรียกเธอให้ไปหา
อริศเอื้อมมือมาจับจี้ทองรูปหัวใจที่ห้อยอยู่กับสร้อยคอของตนเองอย่างไม่รู้ตัว สร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่เธอและอัยลดามีเหมือนกัน ทั้งคู่ใส่มันด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เธอมักจะทำอย่างนี้เสมอในเวลาที่กำลังวิตกกังวล ผิวโลหะที่เยือกเย็นมันวาวสัมผัสกับปลายนิ้ว ช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้น นิสัยนี้เป็นอีกอย่างที่ฝาแฝดทั้งสองคนเหมือนกัน เพราะในเวลานั้น อัยลดาก็ทำอย่างเดียวกัน
“เราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวฝนตกหนักแล้วจะขับลำบาก ถนนแถวนี้ไม่มีไฟเสียด้วย ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว” อาพิทักษ์พูดขึ้นลอยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับใคร
อาพิทักษ์เปลี่ยนไฟหน้ารถเป็นไฟสูง แล้วปรับที่ปัดน้ำฝนให้เร็วขึ้น ฝนตกหนักขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะมองทางไม่เห็น อาพิทักษ์ชะลอความเร็วรถลง ข้างนอกต้นไม้ใหญ่ไหวโอนอย่างน่ากลัวจากแรงลม
“ที่รีสอร์ตไฟฟ้าคงไม่ดับนะพิทักษ์” พ่อของเธอพูดขึ้นอย่างวิตกกังวล
“ไม่ดับหรอกพี่อาณัติ แต่ถึงจะดับเราก็มีเครื่องปั่นไฟ ไม่ต้องกังวลหรอก”
ด้านนอกท้องฟ้ามืดลงจนเหมือนกับเป็นกลางคืนไปแล้ว ลมที่เคยพัดแรง ตอนนี้พัดแรงยิ่งกว่าเก่า เสียงฟ้าร้องดังเป็นระยะ อริศเอื้อมมือไปจับมือพี่สาวของเธอโดยไม่รู้ตัว ไม่นานนักถนนที่ลาดชันก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นถนนราบอีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างจากไฟฟ้าของอาคารปรากฏให้เห็นอยู่ไกลๆ
“นั้นมันโรงพยาบาลปากเหมืองนี่ ใช่มั้ยพิทักษ์” เสียงแม่ของเธอถามขึ้น
“ใช่ พอผ่านโรงพยาบาลก็อีกไม่ไกลแล้ว เราขับขึ้นเขาอีกไม่กี่กิโลก็จะถึงที่พัก”
น้าชายของเธอตอบ พอดีกับที่รถขับผ่านอาคารคอนกรีตผสมไม้ขนาดกลางที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว โรงพยาบาลแห่งเดียวที่อยู่ในละแวกนี้ โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดถัดไปห่างไปอีก 40 กว่ากิโลเมตรในตัวเมืองกาญจนบุรี การเดินทางอาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงจากเส้นทางที่ต้องขับขึ้นลงเขา เส้นทางเดียวกันกับที่พวกเธอผ่านมา อริศหันไปมองโรงพยาบาลที่รถยนต์ของพวกเธอกำลังขับผ่านไป ป้ายโรงพยาบาลเป็นอักษรนีออนสีเขียวสว่างเรื่องรองอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่กระหน่ำ แสงไฟสว่างในตัวอาคารและห้องผู้ป่วยบางส่วน ช่วยให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง ว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนอื่นๆ อยู่ในบริเวณนี้ โรงพยาบาลปากเหมืองเป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง มีแยกพื้นที่เป็นอาคารสำหรับตรวจรักษาและบริเวณที่จอดรถ รอบข้างโรงพยาบาลไม่มีชุมชนหรือร้านค้าอยู่เลย ชุมชนใกล้สุดที่มักจะมารักษาที่โรงพยาบาลนี้จะอยู่เลยรีสอร์ตไปอีกสองสามกิโล รอบบริเวณของโรงพยาบาลเป็นบริเวณของภูเขาที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นทึบ ซึ่งนอกจากสายไฟระโยงระยางจากถนนใหญ่เข้าไปยังอาคารหลัก และรถพยายาลหนึ่งคันที่จอดอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลแล้ว อริศไม่เห็นใครอยู่บริเวณนั้น ผู้คนน่าจะหลบฝนเข้าไปในตัวอาคารหมดแล้ว
ถนนหลังจากผ่านโรงพยาบาลมาเริ่มที่จะลาดชันขึ้นอีกครั้ง อริศมองเห็นแสงสว่างจากบ้านพักในรีสอร์ตของอาพิทักษ์ด้านบนยอดเขาอยู่ไกลๆ ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำนั้น รถยนต์เคลื่อนตัวผ่านทางโค้งที่หักศอกลาดชันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่ขอบถนนของโค้งหักศอกหนึ่ง อริศสังเกตุเห็นอีกาสามตัว เกาะขอบคอนกรีตที่ใช้เป็นไหล่ทาง สายตาของพวกมันสะท้อนประกายแสงจากไฟหน้ารถดูราวกับเป็นดวงไฟเล็กๆ ของตนเอง มันเกาะนิ่งอยู่ราวกับเป็นรูปปั้น ก่อนที่รถจะเลี้ยวผ่านไป
อริศหันกลับไปมองทางกระจก อีกาทั้งสามตัวที่เคยอยู่นิ่งอย่างไม่ไหวติง ตอนนี้กำลังหันหัวของพวกมันมองตามมาที่เธอช้าๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน
“อาพิทักษ์ หยุดรถก่อนค่ะ” อริศร้องขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่เสียงของเธอก็ถูกกลบโดยเสียงฟ้าร้อง
“อะไรนะ อริศ”
อย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครทันรู้ตัว สายฟ้าฟาดลงไปที่ต้นไม่ใหญ่ด้านหน้า แสงสว่างจ้าราวกับแสงอาทิตย์ ต้นไม้เก่าต้นนั้นหักลงแล้วฟากลงมาบนถนน เสียงร้องอย่างตกใจของพ่อและแม่ของเธอ และเสียงสบถของอาพิทักษ์ ที่พยายามจะหักรถหลบต้นไม้ใหญ่ที่หักฟาดลงมา เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาไม่กี่วินาที อริศหันไปสบตากับอัยลดาพี่สาวของเธอในจังหวะเดียวกันกับที่รถยนต์ที่เบรกอย่างกระทันหันเสียหลัก พลิกคว่ำหล่นออกจากขอบถนน
จากนั้นทุกอย่างเหลือแค่เพียงความมืด
เธอและพี่สาวฝาแฝดอายุครบสิบหกปีเมื่อเดือนที่แล้ว ตลอดสิบกว่าปีในช่วงชีวิต อริศมองอัยลดาเสมือนหนึ่งเป็นทั้งพี่ เพื่อน และต้นแบบของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่า ตัวเธอเองไม่มีวันที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างอัยลดาก็ตาม อริศรู้ตัวดีว่าเธอเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เธอไม่กล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเองมากนัก เธอรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งเมื่อต้องตกอยู่ในสายตาของคนจำนวนมาก หรือเมื่อจำเป็นที่จะต้องพบปะกับคนแปลกหน้า อริศมักมีนิสัยชอบที่จะหลีกหนีมาเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว แล้วอ่านหนังสือตามลำพัง เธอมีความสุขกับการที่ไม่ต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย หรือพยายามที่จะทำตัวเพื่อให้คนอื่นชอบ เธอเคยรู้สึกอิจฉาอัยลดา ที่สามารถเข้ากับทุกคนได้ง่าย มีเพื่อนมากมาย ต่างกับเธอ ที่นอกจากพี่สาวของเธอเองแล้ว อริศราแทบจะไม่มีเพื่อนสนิทเลย แต่อีกด้านหนึ่ง อริศก็รู้สึกโชคดี ที่เธอไม่จำเป็นจะต้องหาเพื่อนที่ไหนอีก เพราะว่าเธอมีทั้งพี่สาวผู้เป็นที่รัก เป็นทั้งเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธออยู่แล้ว
แล้วในวันนี้ วันที่เธออาจจะต้องจากพี่สาวของเธอตลอดไป
นับตั้งแต่เด็ก อริศมักจะเห็น หรือรับรู้เรื่องราวบางอย่าง ทั้งๆ ที่เธอไม่น่าจะสามารถรู้ได้ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นราวกับเป็นความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของเธอ ความทรงจำของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่อยู่ๆ เธอก็จำได้อีกครั้ง แม้ว่าเธอจะแน่ใจว่าความทรงจำเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ และไม่มีเหตุผลใดๆ เลย ที่จะเคยเกิดขึ้นกับเธอ และในบางครั้งเธอมั่นใจเสียด้วยซ้ำ ว่ามันไม่ใช่ความทรงจำของเธอเอง
อัยลดาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง
ก่อนหน้าการเดินทางไม่กี่วัน เธอเคยบอกกับอัยลดาว่าเราไม่ควรมาที่รีสอร์ตในตอนนี้ พี่สาวของเธอถามถึงเหตุผล แต่อริศไม่ได้ตอบ เพราะความจริงแล้วมันไม่ได้มีเหตุผลที่อริศสามารถบอกได้ มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่เกิดความทรงจำแปลกปลอมบางอย่างขึ้นกับเธอ ความทรงจำที่เตือนเธอว่าบางสิ่งที่เลวร้าย กำลังจะเกิดขึ้น ถึงกระนั้นก็ตาม จากการที่เธอไม่ตอบ อริศรู้ดีว่าอัยลดาเข้าใจว่าอะไรทำให้เธอพูดออกไปเช่นนั้น มันเป็นเรื่องที่เราสองคนเข้าใจระหว่างกัน แต่การพูดถึงมันอย่างเปิดเผยอาจจะทำให้สิ่งที่เป็นเพียงลางสังหรณ์ กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ อริศจึงไม่เคยพูดออกจากปากถึงเหตุผลและสาเหตุของความกังวลใจของเธอ และอัยลดาก็ไม่เคยที่จะถามต่อ
อริศหันกลับมาจากหน้าต่างรถแล้วก็สบสายตาพอดีกับพี่สาวของเธอที่กำลังหันมองมา อัยลดายิ้มให้เธอ แล้วยื่นขวดน้ำมาให้ อริศส่ายหน้าปฏิเสธไป แล้วหันกลับมาซบศีรษะกับหน้าต่างรถอีกครั้ง แสงสว่างภายนอกเริ่มจางหายไป มันเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจากกลางวันไปเป็นกลางคืน แสงสีทองสลัวจากดวงอาทิตย์ที่ถูกบดบังด้วยแนวเขาและเมฆฝน ทำให้รายละเอียดของสิ่งต่างๆ เริ่มถูกกลืนไปกับความมืด ฝนที่ตกปรอยๆ เมื่อครู่ตอนนี้กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระยะ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงตอนนี้ในบางครั้งก็เซเบาๆ จากแรงลมที่ทวีความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้นไม้ใหญ่ตลอดข้างทางไหวเอียงไปมาจากแรงลม ดูราวกับกำลังโบกมือทักทายเธอ เรียกเธอให้ไปหา
อริศเอื้อมมือมาจับจี้ทองรูปหัวใจที่ห้อยอยู่กับสร้อยคอของตนเองอย่างไม่รู้ตัว สร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่เธอและอัยลดามีเหมือนกัน ทั้งคู่ใส่มันด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เธอมักจะทำอย่างนี้เสมอในเวลาที่กำลังวิตกกังวล ผิวโลหะที่เยือกเย็นมันวาวสัมผัสกับปลายนิ้ว ช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้น นิสัยนี้เป็นอีกอย่างที่ฝาแฝดทั้งสองคนเหมือนกัน เพราะในเวลานั้น อัยลดาก็ทำอย่างเดียวกัน
“เราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวฝนตกหนักแล้วจะขับลำบาก ถนนแถวนี้ไม่มีไฟเสียด้วย ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว” อาพิทักษ์พูดขึ้นลอยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับใคร
อาพิทักษ์เปลี่ยนไฟหน้ารถเป็นไฟสูง แล้วปรับที่ปัดน้ำฝนให้เร็วขึ้น ฝนตกหนักขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะมองทางไม่เห็น อาพิทักษ์ชะลอความเร็วรถลง ข้างนอกต้นไม้ใหญ่ไหวโอนอย่างน่ากลัวจากแรงลม
“ที่รีสอร์ตไฟฟ้าคงไม่ดับนะพิทักษ์” พ่อของเธอพูดขึ้นอย่างวิตกกังวล
“ไม่ดับหรอกพี่อาณัติ แต่ถึงจะดับเราก็มีเครื่องปั่นไฟ ไม่ต้องกังวลหรอก”
ด้านนอกท้องฟ้ามืดลงจนเหมือนกับเป็นกลางคืนไปแล้ว ลมที่เคยพัดแรง ตอนนี้พัดแรงยิ่งกว่าเก่า เสียงฟ้าร้องดังเป็นระยะ อริศเอื้อมมือไปจับมือพี่สาวของเธอโดยไม่รู้ตัว ไม่นานนักถนนที่ลาดชันก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นถนนราบอีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างจากไฟฟ้าของอาคารปรากฏให้เห็นอยู่ไกลๆ
“นั้นมันโรงพยาบาลปากเหมืองนี่ ใช่มั้ยพิทักษ์” เสียงแม่ของเธอถามขึ้น
“ใช่ พอผ่านโรงพยาบาลก็อีกไม่ไกลแล้ว เราขับขึ้นเขาอีกไม่กี่กิโลก็จะถึงที่พัก”
น้าชายของเธอตอบ พอดีกับที่รถขับผ่านอาคารคอนกรีตผสมไม้ขนาดกลางที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว โรงพยาบาลแห่งเดียวที่อยู่ในละแวกนี้ โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดถัดไปห่างไปอีก 40 กว่ากิโลเมตรในตัวเมืองกาญจนบุรี การเดินทางอาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงจากเส้นทางที่ต้องขับขึ้นลงเขา เส้นทางเดียวกันกับที่พวกเธอผ่านมา อริศหันไปมองโรงพยาบาลที่รถยนต์ของพวกเธอกำลังขับผ่านไป ป้ายโรงพยาบาลเป็นอักษรนีออนสีเขียวสว่างเรื่องรองอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่กระหน่ำ แสงไฟสว่างในตัวอาคารและห้องผู้ป่วยบางส่วน ช่วยให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง ว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนอื่นๆ อยู่ในบริเวณนี้ โรงพยาบาลปากเหมืองเป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง มีแยกพื้นที่เป็นอาคารสำหรับตรวจรักษาและบริเวณที่จอดรถ รอบข้างโรงพยาบาลไม่มีชุมชนหรือร้านค้าอยู่เลย ชุมชนใกล้สุดที่มักจะมารักษาที่โรงพยาบาลนี้จะอยู่เลยรีสอร์ตไปอีกสองสามกิโล รอบบริเวณของโรงพยาบาลเป็นบริเวณของภูเขาที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นทึบ ซึ่งนอกจากสายไฟระโยงระยางจากถนนใหญ่เข้าไปยังอาคารหลัก และรถพยายาลหนึ่งคันที่จอดอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลแล้ว อริศไม่เห็นใครอยู่บริเวณนั้น ผู้คนน่าจะหลบฝนเข้าไปในตัวอาคารหมดแล้ว
ถนนหลังจากผ่านโรงพยาบาลมาเริ่มที่จะลาดชันขึ้นอีกครั้ง อริศมองเห็นแสงสว่างจากบ้านพักในรีสอร์ตของอาพิทักษ์ด้านบนยอดเขาอยู่ไกลๆ ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำนั้น รถยนต์เคลื่อนตัวผ่านทางโค้งที่หักศอกลาดชันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่ขอบถนนของโค้งหักศอกหนึ่ง อริศสังเกตุเห็นอีกาสามตัว เกาะขอบคอนกรีตที่ใช้เป็นไหล่ทาง สายตาของพวกมันสะท้อนประกายแสงจากไฟหน้ารถดูราวกับเป็นดวงไฟเล็กๆ ของตนเอง มันเกาะนิ่งอยู่ราวกับเป็นรูปปั้น ก่อนที่รถจะเลี้ยวผ่านไป
อริศหันกลับไปมองทางกระจก อีกาทั้งสามตัวที่เคยอยู่นิ่งอย่างไม่ไหวติง ตอนนี้กำลังหันหัวของพวกมันมองตามมาที่เธอช้าๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน
“อาพิทักษ์ หยุดรถก่อนค่ะ” อริศร้องขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่เสียงของเธอก็ถูกกลบโดยเสียงฟ้าร้อง
“อะไรนะ อริศ”
อย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครทันรู้ตัว สายฟ้าฟาดลงไปที่ต้นไม่ใหญ่ด้านหน้า แสงสว่างจ้าราวกับแสงอาทิตย์ ต้นไม้เก่าต้นนั้นหักลงแล้วฟากลงมาบนถนน เสียงร้องอย่างตกใจของพ่อและแม่ของเธอ และเสียงสบถของอาพิทักษ์ ที่พยายามจะหักรถหลบต้นไม้ใหญ่ที่หักฟาดลงมา เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาไม่กี่วินาที อริศหันไปสบตากับอัยลดาพี่สาวของเธอในจังหวะเดียวกันกับที่รถยนต์ที่เบรกอย่างกระทันหันเสียหลัก พลิกคว่ำหล่นออกจากขอบถนน
จากนั้นทุกอย่างเหลือแค่เพียงความมืด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ