อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร

10.0

เขียนโดย DANTE07

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.51 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) กลายร่าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
หล่อนก้มหน้าพูดเยือกเย็น ร่างน้อยๆนั้นสั่นสะท้าน “แล้วยังไงต่อครับ หลังจากนั้น” พิทักษ์ยังไม่เอะใจต่อเหตุการณ์ได้ถามต่อ “นาย!! ลีอา บอกให้นายถอยออกมาให้ห่างเธอ” มะอีซาพูดเสียงสั่นพลางผงะถอยหลัง ลีอาและเชกีค่อยๆถอยหลังลุกขึ้น ร็อบโค่ พุ่งตัวปราดลงพื้นมาอยู่ข้างๆลีอามันทำอาการหมอบต่ำทำหูลู่ไปข้างหลัง เสียงขู่คำรามสั่นสะท้านออกมาจากลำคอ พิทักษ์งุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะกำลังจะอ้าปากถาม ร่างน้อยๆที่สั่นข้างๆก็ตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว  “ข้าฆ่ามันทุกคนในวันแต่งงาน ไม่มีใครบังคับข้าได้ นางอยู่ในตัวข้า นางรับปากจะทำให้ข้ามีอิสระดังดวงใจปรารถนา” หล่อนกระแทกเสียงแล้วสะบัดตัวตั้งตรงจากท่าที่ซบไหล่อยู่ พิทักษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อมองเห็นหล่อนถนัดก็ถึงกับหัวใจหล่นวูบเลือดในกายแทบจะจับเป็นก้อน เพราะใบหน้าที่เขาเห็นอยู่ในขณะนี้หาใช่อังซูเรย์ไม่ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่สวยคมของหล่อนในยามนี้ มันแปรเปลี่ยนเป็นเป็นสีเหลืองอำพันที่เปล่งประกายอำมหิต ขอบตาคู่นั้นเข้มเป็นสีดำ ดวงตาเป็นสีเหลือง ตาดำที่หดเล็กลงจนเหลือแค่จุดตรงกลางนั้น  มันคือดวงตาของพยัคฆ์ร้ายที่ทอประกายรังสีแห่งการฆ่า พิทักษ์ตกใจแทบสิ้นสติ มือเท้าเขาเย็นอ่อนไปหมด ตอนนี้ริ้วรอยสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าของหล่อนแล้ว หล่อนจ้องหน้ามาที่เขานิ่งมันเป็นแววตาของเสือร้ายที่มองสะกดเหยื่อ “นาย ถอยออกมาก่อนเธอเป็นสมิง !!” เสียงของ มะอีซาตะโกนกรอกหูมา แต่มันสายไปเสียแล้ว เขาแทบไม่สามารถขยับตัวได้เลยตอนนี้ หล่อนก้มตัวมาทางเขา แล้วแสยะปากกว้างฟันเขี้ยวที่เขาเคยเห็นว่าสวยเก๋น่ารักหนักหนานั้นบัดนี้มันค่อยๆงอกยาวขึ้น มันแสนน่าเกลียดน่ากลัวอย่างจับใจ ในชั่ววินาทีดับจิตนั้นเอง ร็อบโค่ อ้าปากส่งเสียงคำรามขู่เพื่อข่มต่อเหตุการณ์นั้น เสียงโฮก สั้นๆดังสนั่นยามดึกตามด้วยเสียงโครกๆในลำคอ อังซูเรย์ หันขวับไปจ้องตอนนี้หล่อนสติของหล่อนกำลังจะหายไป หล่อนคำรามโฮกยาวลั่นป่า มันคือเสียงแห่งอำนาจจ้าวป่าตัวจริง ร็อบโค่ หมอบลู่ตัวติดดินมันไม่อาจทานตบะของหล่อนได้ พิทักษ์ได้สติกลับคืนมาแล้ว เขาถอยกรูดออกมา แม้แต่ไรเฟิลก็ไม่ได้หยิบขึ้นมา  “ทั้งหมดถอยก่อนหาที่สูงอยู่เร็ว” มะอีซา ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงของ อังซูเรย์ ที่บัดนี้หล่อนคลานสี่ขาอยู่ข้างกองไฟ เชกีคว้าแขนของ ลีอาออกจ้ำอ้าวอย่างเร็วหล่อนแทบจะปลิวตามเขา  ร็อบโค่พุ่งทะยานเป็นเงาตามติด มะอีซา ฉุดพิทักษ์ที่พะวักพะวงอยู่ ให้ออกวิ่งอย่างเร็วไปที่โคนไม้ใหญ่ใกล้ๆเสียง ลีอาตะโกนมาจากไหนไม่ทราบตำแหน่งได้ ต้นไม้บริเวณนี้ล้วนแต่ลำต้นสูงใหญ่กิ่งล่างคาคบที่พอจะปีนขึ้นได้ก็ล้วนอยู่สูงเกินเอื้อม ไม่มีเวลาแล้ว มะอีซานั่งลงให้พิทักษ์เหยียบหลังมะอีซาผู้ภักดีต่อเจ้านายยิ่งเขายอมสละชีวิตตัวเองแล้วในยามนี้ เขาดันกายพุ่งขึ้นส่งให้พิทักษ์ปีนขึ้นมาได้ เขารีบส่งมือให้มะอีซา “จับมือฉันไว้” เขาตะโกนลั่น แสงเดือนทำให้มองเห็นอะไรได้ถนัดชัดเจนเพราะบริเวณนั้นค่อนข้างโล่ง มะอีซาพยายามจะคว้ามือพิทักษ์ พลันสายตาก็หันกลับไปมองที่กองไฟ บัดนี้ไม่มีสาวน้อยคนเดิมนั่งอยู่แล้วแต่ปรากฎเป็นเสือลายพาดกลอน ตัวมหึมายืนอยู่ มันจ้องเขม่งมาที่เขา มะอีซารีบปล่อยมือจากพิทักษ์  “นาย ปีนขึ้นไปเถอะไปให้สูงที่สุด แค่นั้นมันโจนทีเดียวถึงแน่ไม่ต้องห่วงผม” “ไม่นะ ขึ้นมาเถอะยังทันอย่าช้าเลยมะอีซา” พิทักษ์พยายามยื้อให้มะอีซากลับขึ้นมา มะอีซาพร้อมแล้วที่จะตาย แต่เขาจะไม่ตายเปล่าเขารีบผละจากต้นไม้ที่พิทักษ์อยู่วิ่งอย่างเร็วในชีวิตที่สุดในชีวิต มุ่งไปที่ช่องหินที่อยู่ห่างไปราว สามสิบเมตร ที่เขาได้หมายกำหนดไว้แล้ว อังซูเรย์ พุ่งพรวดผ่านกองไฟ ร่างมหึมาวิ่งทะยานดังลมกรม เป้าหมายคือมนุษย์ตัวจ้อยที่วิ่งหนี อยู่เบื้องหน้ามันวิ่งเร็วเหมือนลมพัด วูบเดียวมันก็เลยผ่านต้นไม้ที่พิทักษ์อยู่ เขาตะโกนอะไรออกมา แต่ไม่มีใครจับใจความได้เลยโดยเฉพาะ มะอีซาที่ตอนนี้หูอื้ออึงไปหมด เขาได้ยินแม้เสียงกรงเล็บและน้ำหนักตัวที่กวดตามมา ทุกอย่างในตอนนี้เหมือนแช่มช้าไปหมด และในหนึ่งในล้านของวินาทีนั้นเอง มะอีซาหลับตาพุ่งลงไปในซอกหินซอกหนึ่งที่ เกยซ้อนกันมันเป็นซอกที่พอดีตัว ทันทีที่ร่างพุ่งลอดลงไปนั้นที่หัวหัวก็บังเกิดความรู้สึกเสียวแปรบเข้าบริเวณหางคิ้ว น้ำอะไรออุ่นๆไหลกระอาบลงมา ไม่มีเวลาสำรวจตัวเองมะอีซารีบคลานเข้าให้ลึกที่สุด และสิ่งที่เขาเห็นคือร่างใหญ่ทะมึนเหมือนราหูตะครุบลมอยู่ที่หน้าซอกหิน ดังสลั่นพ้นตามนั้นหนักตัว มันส่งเสียงคำรามในลำคออย่างเกรียดกราดแล้วเดินวนเวียนไปมา มะอีซานอนหอบหายใจรวยรินข้างในนั้น เสียงฝีเท้าเงียบไปแล้วเขาตั้งใจลองฟัง ไร้สำเนียงใดๆอยู่เบื้องนอก มะอีซาหันหลังพิงชิดซอกด้านใน หันหน้าจ้องไปที่ปากโพรง ขณะกำลังมองอยู่นั้น มันก็โผล่หน้าพรวดเข้ามา เขาตกใจสุดขีดร้อง เห้ย!! ใบหน้าของสัตว์ร้ายที่ลอดเข้ามานั้นช่างน่ากลัวสยดสยอง มันจ้องเขาเขม็งอย่างกระหายเลือดดวงตาปรากฎประกายแดงก่ำ มะอีซาคล้ายเห็นหน้าขอหญิงแก่ซ้อนทับอยู่ เสียงโฮกฮาก ยังดัง สนั่นมันดึงหัวอันใหญ่โตออกแล้วตะกุยขาเข้ามา ขาหน้าที่เหมือนแขนนั้นมีขนรกรุงรัง นิ้วทั้งห้ากางเหยียดกรงเล็บยาว มันสอดลอดเข้ามาตะปบสะเปะสะปะหมายคว้าเอาตัวมะอีซาให้ได้ เขากัดปากตัวเองจนห้อเลือด มะอีซาหวดกลัวสุดขีดในชีวิต อีกไม่กี่คืบมันจะต้องคว้าเขาได้แน่ สมิงร้ายหดมือกลับแล้วสอดเข้ามาใหม่ในท่าที่ถนัด มันพยายามเบียดตัวมาให้ได้ มะอีซา กลัวถึงขีดสุดเขาสั่นดังลูกนกนั่งกอดเขา ขดตัวให้เล็กที่สุดในซอก ใจก็คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ มะอีซากลัวจนร้องไห้ แผลแตกที่หางคิ้วนั้นเลือดไหลเข้าตาจนแสบไปหมด พิทักษ์มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากที่สูง เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว พิทักษ์กำด้ามปืนสั้นแน่น เขาไม่ต้องการให้หล่อนฆ่าใครพอๆกับการที่ไม่อยากให้หล่อนหนีไปด้วย หากเขายิงหล่อนจะต้องหนีไปแน่ พิทักษ์กำลังจะตัดสินใจครั้งที่โง่ที่สุดในชีวิต  เขาสูดลมเข้าเต็มปอดแล้วตะโกนให้ดังที่สุดในชีวิต  คาล่า!! เสียงของเขาสะท้อนก้องยาวไปทั้งหุบ มันได้ผล อังซูเรย์ หยุดกึกทันที มันละจากการพยายามล้วงมะอีซา แล้วหันกลับมามองหาเขา “ทางนี้” เขาตะโกนอีก มันเห็นเขาได้ถนัดแล้ว บนคาคบของต้นไม้นั้นเอง แสงจันทร์สาดสะท้อน ลำตัวมหึมาที่ย่างกรายมานั้นมันเดินแช่มช้า จะอุปทานรึป่าวไม่แน่ชัด พิทักษ์มองเห็นเจ้าตัวที่เดินมานั้น กลับกลายเป็นสาวน้อยคนเดิมของเขา หล่อนเปลือยกายเดินทอดน่องมาอย่างแช่มช้า พิทักษ์ที่กำลังจะเคลิ้มพลันรวบรวมสติขึ้นอีกครั้งเขาสะบัดหน้าไล่ความมึนงง อย่าเชื่อในสิ่งที่นายเห็น คำพูดของพะตี้ซูยังดังก้องในหู เขากำหลวงพ่อที่ห้อยคอไว้แน่น ข่มใจภาวนาคาถาหัวใจพุทธคุณเพื่อระงับสติที่ฟุ้งซ่าน พิทักษ์เริ่มสวดภาวนาพระคาถาที่มีเก้าตัวดังนี้ อะ สัง วิ สุ โร ปุ สะ พุ พะ เขาหลับตาลงสูดหายใจเข้า พระคุณเจ้าโปรดเมตตาขอบารมีท่านช่วยลูกด้วย พิทักษ์กราบวอนไหวในใจเมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ปรากฎทำให้ขนทั่วร่างลุกชูชันไปหมด สาวน้อยที่เดินมาเมื่อกี้อันตรธาร หายไปแล้วเหลือเพียงแต่เสือลายพาดกลอนตัวเขื่องที่มันนั่งลงตรงโคนไม้เบื้องล่างดวงตาสีแดงเรืองรองจ้องจับมาที่ พิทักษ์พยายามรวบรวมความกล้าและตั้งมั่นในสติ ตอนนี้เขาเอาพระพุทธคุณเข้าช่วยยึดเหนี่ยวอย่างเต็มที่  “คาล่า”  เขาร้องทับลงไป สัตว์ร้ายที่วิญญาณอสูรเข้าครอบงำได้ผลุดตัวลุกขึ้น มันขยับในท่าที่ถนัดเตรียมจะโจนตัวขึ้นมา  “คาล่าตื่นสักทีสิอย่าให้มันครอบงำคุณ มีสติได้แล้ว” พิทักษ์พยายามตะโกนลงไปแต่ไม่เป็นผล และพริบตานั้นเองมันกระโจนพรึบขึ้นมาใส่เขาเต็มแรง ขาคู่หน้านั้นยึดเกาะที่คาคบไม้ พิทักษ์ถอยหลบฉากปากก็ยังพยายามเรียกหล่อนอยู่เรื่อยๆเพื่อปลุกหล่อนคืนสติ เจ้าเสือร้ายพยายามเกาะกิ่งไม้ที่เขายื่นอยู่มันตะกุยตะกายต้นไม้ต้นใหญ่นั้นลั่นเอียดออดสั่นไหว พลันกิ่งนั้นก็ทานน้ำหนักไม่ไหวมันหักสะบั้นลงมาทั้งหมด พิทักษ์โจนตัวเองลงไปกิ่งเบื้องล่างแต่เจ้ากรรม มันกลับหักกระเด็นพิทักษ์ ร่วงลงมานอนจุกคลุกฝุ่นเบื้องล่าง หรือนี่จะเป็นวาระสุดท้ายของเขา เขาคิดในใจพลางสาปแช่งต่อเหตุการณ์ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พิทักษ์กำสมเด็จในคอแน่น หลวงพ่อครับ ขอบารมีท่านคุ้มครองลูกด้วย เขากล่าวพลางจับตาไปที่เสือร้าย มันเดินก้าวย่างสามขุมมาหาเขา เสียคำรามในลำคอดังลั่น พิทักษ์ในตอนนี้ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจตัวเองที่มันกำลังจะออกมาเต้นข้างนอก อะดรีนาลีนพุ่งพร่านทั่วร่างของเขามันวูบวาบไปหมด สมิงร้ายมันอ้าปากกว้างคำรามเสียงดัง อ้าววว ฮึ่ม ยาวสนั่นหวั่นไหวแล้วกระโจนพุ่งตัวเข้ามา อังซูเรย์ !!เขาตะโกนออกมาคำสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะจบสิ้นลง ภาพสุดท้ายที่เข้าจำได้คือมันกระโจนพุ่งเข้ามาใส่เขา.. เนิ่นนานสักเท่าใดไม่ทราบได้เสียงหัวใจของเขายังคงเต้นแรงพิทักษ์ค่อยๆลืมตาขึ้นภาพที่ปรากฏในคลองจักษุของเขายามนี้คือ หัวที่ใหญ่โตกว่ากระบุงของเสือลายพาดกลอนตัวหนึ่งที่มันยืนคร่อมเขาอยู่ ใบหน้านั้นหาจากเขาแค่คืบเดียว ลมหายใจของมันเป่ารดใบหน้าของเขา พิทักษ์ตัวแข็งไปหมด เขายังอยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่เหมือนเดิมจากไม่ได้ขยับตัวเลย พิทักษ์ค่อยๆจ้องมองไปที่ดวงตาคู่นั้น เขาค่อยๆเค้นเสียงออกจากลำคอที่ตีบตัน มันช่างยากเย็นเหลือเกินเวลานี้ “อังซูเรย์” น้ำเสียงเขาฟังแผ่วเบา “ตื่นเถอะครับ มีสติสักทีนี้ผมเองพิทักษ์ ผมจะคอยดูแลและปกป้องคุณเอง ได้โปรดกลับมาเป็นคุณอีกครั้งหนึ่งเถอะ” พิทักษ์กล่าววิงวอนอย่างยากเย็น เขาจ้องตาคู่นั้น ที่กำลังแปรเปลี่ยนไป จากสีเหลืองอำพันที่ดุร้ายมันค่อยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ที่อ่อนโยนและโศกเศร้าน้ำตาใสๆไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้น ร่างใหญ่มหึมาที่ยืนคร่อมเขาไว้ค่อยๆหดลดลงแล้ว กลับกลายเป็นสาวน้อยคนเดิมหล่อนนอนเปลือยกายสลบบน อกของเขา หล่อนนอสิ้นฤทธิ์อยู่ตรงนั้นเอง “จบสักที” พิทักษ์พูดพลางถอนหายใจยาวเขายกมือขึ้นเสยผมพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติที่สุด หัวหน้าคณะผู้รอดตายอย่างหวุดหวิด นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธ์ พ่อแก้วแม่แก้วเจ้าป่าเจ้าเขาและพระสมเด็จที่ขึ้นคออยู่ที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ในครั้งนี้ เสียงโหวกเหวกดังมาไม่ไกลนักมันเป็นเสียงของมะอีซานั้นเอง พิทักษ์หันไปมองหาก็เห็นมะอีซาเอามือกุมหัวที่แตก เดินดุ่มๆมาที่เขา  “นายปลอดภัยดีใช่ไหมครับ” พรานหนุ่มรีบร้องทัก “คิดว่ายังอยู่ดีนะ แต่ปวดหลังนิดหน่อยตอนร่วงลงมา” พิทักษ์ว่าพลางสูดปาก เอามือลูบหลังอยู่ อังซูเรย์ยังสลบทับเขาอยู่หัวของหล่อนทับที่หน้าท้องเขาพอดี ก่อนที่มะอีซาจะเดินมาถึงพิทักษ์รีบแกะกระดุมเสื้อเดินป่าของเขาอย่างรวดเร็วแล้วบรรจงห่อพันร่างน้อยๆนั้น เขาพลิกตัวหล่อนขึ้น “ช่วยหน่อยมะอีซา “เขาพลิกหล่อนในท่าที่ถนัด มะอีซาละมือจากที่กุมหัวอยู่ช้อนร่างของหล่อนขึ้นอย่างทุลักทุเล ภาษาชนเผ่าที่พิทักษ์ฟังไม่รู้เรื่องดังมาจากไหนสักที่หนึ่ง เป็นเสียงของลีอาเมื่อพิทักษ์มองไป ก็เห็น เชกีกับลีอาเดินตรงเข้ามา หล่อนเดินลิ่วนำหน้าส่งเสียงพูดอะไรล้งเล้ง มะอีซาไม่ได้สนใจที่จะแปลให้พิทักษ์ฟังในตอนนั้น เชกีเดินมาหยุดข้างๆเขาเจ้าคนเผ่าร่างยักษ์ส่งมือให้เขาฉุดดึงขึ้น พิทักษ์จับมืออันกำยำแน่นมันฉุดเขาขึ้นแล้วประคองไว้ ความจริงพิทักษ์เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับ เชกี แต่ความบึกบึนต่างกันมากเพราะเชื้อชาติ พิทักษ์พยายามยืนตรงแต่ก็หน้านิ่วเพราะปวดขัดที่หลังเขาบุ้ยปากให้เชกีไปรับอังซูเรย์ไว้ เพราะมะอีซาเลือดที่ไหลอาบหน้าดูอาการสะบักสะบอมอยู่ เชกีค่อยๆปล่อยพิทักษ์ เขาเซนิดหน่อยทำท่าจะทรุดตัวลง แต่เป็นลีอาที่เข้ามาช้อนปีกไว้ แก้มสาวชนกับจมูกของพิทักษ์พอดี หล่อนตกใจค้อนใส่เขาแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่นเสีย พิทักษ์พึมพำขอบคุณ เชกีอุ้มอังซูเรย์ขึ้นเหมือนแมวคาบหนู เพราะขนาดตัวต่างกันมาก หมอนั่นหันมามองพิทักษ์นิดหน่อยแล้วออกนำจ้ำอ้าวกลับแคมป์ไป มะอีซากุมหัวเดินตามไปติดๆเหลือแต่พิทักษ์กับลีอาเท่านั้นที่มองหน้ากันอยู่ ความใกล้ชิดกันขนาดนี้ทำให้หล่อนหน้าแดงเลือดหัวใจเต้นแรง แต่เพราะความมืดพิทักษ์เลยไม่ทันสังเกต “เดินไหวไหม หล่อนถาม” พิทักษ์แปลกใจที่หล่อนถามเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจน “เอะ!! คุณพูดว่าอะไรนะ” เขาเอียงหูอย่างไม่แน่ใจ “ถามว่าเดินไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหวจะให้เชกีกลับมารับ” หล่อนตอบเสียงใสหางตาชำเลืองมามองเขา  “ร้ายกาจ นี้พูดภาษาไทยได้ด้วยหรือ ทำไมไม่เคยเห็นพูดมาก่อน” “พูดได้นิดหน่อย แล้วเรื่องอะไรต้องบอก นี่จะถามอีกเยอะไหม หนักนะนี้ ประเดี๋ยวก็ปล่อยไว้ตรงนี้หรอก”  หล่อนทำท่าจะวางเอาดื้อๆพิทักษ์รีบลำลักตอบ  “ไหวครับไหวแต่ช้าหน่อยนะ โธ่ใจร้ายจังจะทิ้งกันเสียได้ ปะรีบเดินกันเถอะพวกนั้นไปไกลแล้ว” เขาตอบพลางส่ายหัว สาวน้อยคนนี้ช่างซ่อนคมดีเหลือหลาย หล่อนสามารถพูดกับเขาได้โดยตรงแต่ ที่ผ่านมากลับแกล้งพูดภาษาชาวเขาให้มะอีซาคอยแปลตลอด ลีอาค่อยๆพยุงพิทักษ์เดินอย่างทุลักทุเล ความใกล้ชิดชนิดที่ได้กลิ่นตัวของกันและกันพิทักษ์ที่เปลือยท่อนบนอยู่นี้เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นลอนๆ ลีอาพึ่งเคยสัมผัสร่างกายผู้ชายในแบบนี้ครั้งแรก หล่อนรู้สึกแปลกประหลาดปั่นป่วนในหัวใจ กลิ่นสาวที่โชยเข้าจมูกพิทักษ์ทำให้เขาต้องคอยหันหน้าไปทางอื่น  “ไปฝึกพูดภาษาไทยมาจากที่ไหน” เขาชวนคุยระหว่างเดิน ลีอาเอียงคอยักไหล่ตอบเสียงใส “ซา ไม่ได้ให้อำนาจแต่การผูกจิตกับสัตว์ได้เท่านั้นนะ เผ่าของเราเรียนรู้ได้เร็วโดยเฉพาะด้านภาษา ที่เอเดลเวน เราใช้ภาษาหลักถึงห้าภาษา นี้ไม่รวมภาษาอื่นๆอีกเป็นร้อย ภาษาของเจ้าจัดอยู่ในตระกูล ภาษาที่ใช้คำโดด เป็นคำที่มีความหมายในตัวเอง หากเราสามารถจดจำคำได้และรู้จักการนำมาต่อเรียงต่อก็จะใช้งานได้โดยง่าย” พิทักษ์อึ้งในคำตอบของหล่อน เขาไม่คิดมาก่อนว่าหล่อนจะสามารถพูดคุยได้คล่องแคล่วเช่นนี้ มิน่าหละอังซูเรย์ถึงได้เรียนรู้เร็วนัก “เอ ชักอยากจะเกิดมาในชนเผ่าของพวกคุณแล้วหละสิ ความสามารถพิเศษเยอะจัง”  เขาตอบหล่อนยิ้มๆ ลีอาหันหน้ามาตอบหางเสียงสะบัด  “ฝันไปเถอะ” พิทักษ์หัวเราะเบาๆพลันต้องหน้านิ่วสูดปาก เพราะเจ็บแปรบที่หลัง คราวนี้เป็นลีอาบ้างที่หัวเราะลั่น หล่อนพูดสมน้ำหน้าเขาเป็นภาษาชาวเผ่า พิทักษ์ส่ายหน้าบังเอิญขาเจ้ากรรมดันไปสะดุดเอาเถาวัลย์ขนาดข้อมือที่เลื้อย ทอดขวางทางด่านอยู่ เขาเซจะล้ม ลีอา ตกใจฉุดเขาสุดแรงส่งผลให้พิทักษ์ถลา คว้าง เขาคว้าตัวหล่อนไว้ได้ทันแต่มือดันไปจับเอาเข้าตรงหน้าอกของหล่อนพอดี สาวน้อยตกใจร้องอ้าวสะบัดตัวปล่อยมือจากเขา พิทักษ์ร้อง เห้ย!! เพราะลื่นล้มฉุดเอาหล่อนลงมาด้วย ทั้งสองล้มลงบนกอหน้าขนยาวที่หนานุ่มพอดี พิทักษ์ร้องโอดโอยเพราะหล่อนนอนทับร่างเขาอยู่พอดี ทรวงอกหล่อนเบียดทับหน้าเขาจนหายใจไม่ออก หล่อนยันตัวขึ้นในท่าค่อมเขาไว้แล้วก้มลงมา ก็เห็นพิทักษ์แยกเขี้ยวหน้าเหยเกในความมืดเพราะความเจ็บ หล่อนหน้าแดงจัดผลุดลุกขึ้น ความรู้สึกต่างๆวูบวาบในหัวสาวชนเผ่า  “รอตรงนี้” หล่อนพูดแล้วรีบเดินผละผละไป พิทักษ์พึมพำเบาๆ “อ้าวเห้ยทิ้งกันได้ไง” แล้วพยายามจะลุกขึ้น พลันก็พบกันสายตาคู่หนึ่งจ้องมา ร็อบโค่นั้นเอง มันเดินมาใกล้ๆเขาชนิดที่หน้าห่างกันคืบเดียว มันจ้องหน้าเขานิ่งสายตามันสื่อว่า ‘อย่างมายุ่งกับเจ้านายข้านะโว้ย’ แล้วมันก็สะบัดก้นเดินหนีไป  เป็นเชกีที่เดินกลับเข้ามารับ เขาถูกหมอนั้นหิ้วปีกกลับแค้มป์อย่างทุลักทุเล 
............. 21.30 น. ทั้งหมดอยู่นั่งล้อมกองไฟอยู่ที่เดิม แต่ความรู้สึกเปลี่ยนไป  พิทักษ์อยู่ในท่านั่งหันหน้าเข้ากอดก้อนกินกลมข้างๆโดยมีมะอีซา ทายานวดที่หลังให้เขา บนหัวหมอนั้นมีผ้าพันแผลชนิดยืดพันอยู่ พิทักษ์เป็นผู้ทำแผลให้เมื่อสักครู่ อังซูเรย์นอนอยู่บริเวณไม่ห่างออกไปนัก มีลีอานั่งเฝ้าอยู่ เสื้อเดินป่าของพิทักษ์ที่เขาพึ่งถอดให้ปกปิดร่างกายของหล่อนไม่ได้ถนัดนักเผยให้เห็นปลีขาอ่อนวับแวบ ส่วนเสื้อผ้าชุดเดิมที่หล่อนใส่อยู่ขาดกระจุยไม่มีชิ้นดี ตอนหล่อนกลายร่างเป็นเสือ หล่อนนอนหลับไม่ได้สติอยู่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นมาตอนนี้ พวกผู้ชายต้องย้ายหนีมานั่งอีกฝั่งนั่งคุยกันเบาๆ  “ฉันนึกว่ามะอีซาจะจบเสียแล้วเมื่อกี้” พิทักษ์พูดขณะที่มะอีซากำลังทายานวดให้  “ผมก็คิดว่าเจ้านายเสร็จเหมือนกันตอนมันกระโจนเข้าใส่” มะอีซาตอบแต่ท้ายคำนั้นพูดเบาลงและหันไปมองอังซูเรย์  “เห็นด้วยหรือ” เขาว่า  “ครับนายผมออกจากซอกที่หลบออกมาดูเพราะได้ยินเสียงมันพุ่งขึ้นต้นไม้ ตอนนั้นผมพยายามตะโกนอะไรออกไปแต่ลำคอมันตีบเหลือเกิน” “ฉันก็แปลกใจเหมือนกันที่รอดมาได้ แต่ก็อาจเป็นเพราะเธอยังเหลือสติอยู่ก็ได้” พิทักษ์พูดพลางหันไปมองอังซูเรย์ ลีอาที่นั่งอยู่ข้างๆสบตาเขาโดยบังเอิญแล้วก็เมินหน้าที่ไปทางอื่นเสีย “ถ้าตอนนั้นมันขย้ำนายเสีย ผมคงทำอะไรไม่ถูกแน่ไม่มีหน้าจะกลับไปพบนายช่างกับนายชำนาญแน่แถมพวก พะตี้ คงจะเอาผมตายข้อหาปล่อยให้เจ้านายถูกเสือขบ” มะอีซาพูดเบาๆน้ำเสียงแวงแววเศร้า “เอาน่า ฉันไม่เป็นอะไรสักหน่อย ถึงเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครโทษมะอีซาหรอกมันเป็นเรื่องสุดวิสัย” เขาพูดพลาง เอื้อมมือไปตบไหล่ของมะอีซา  “ในตอนนั้นที่มะอีซาผละไป ฉันรู้สึกแย่มากเลยรู้ไหม ความรู้สึกที่จะต้องเสียมะอีซาไป ฉันคิดว่ามะอีซาต้องตายแน่แล้วเชียว มันจะเป็นตราบาปในใจฉันไปตลอดหากมะอีซาต้องเสียชีวิตไปเพราะต้องการช่วยฉัน ฉันเคยเสียลูกน้องทหารในสงครามแต่นั้นจะเทียบไม่ได้เลยกับเพื่อนตายอย่างมะอีซา ” พิทักษ์พูดหนักแน่นความหมายในน้ำเสียงเป็นไปดังที่พูดจริงๆ มะอีซากล่าวขอบคุณในน้ำใจหัวหน้าคณะ สมแล้วที่บุรุษผู้นี้เป็นคนที่เขาสามารถสละชีวิตแทนได้ แล้วทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอีกครู่ใหญ่เพราะต่างใช้ความคิดและรวบรวมสติให้ทันต่อเหตุการณ์อันน่ากลัวสุดสยองที่ผ่านมา มีเพียงเสียงไฟเท่านั้นแตกปะทุอยู่  “อย่างน้อย” พิทักษ์เอ่ยขึ้นในความเงียบ ทุกคนที่ได้ยินต่างหันมา “อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า คำสาปของหล่อนคือ หล่อนสามารถกลายร่างเป็นเสือได้ในยามที่จิตใจอ่อนแอ คำสาปของหล่อนคงจะทำงานในเวลานั้น และหล่อนคงจะไม่มีสติที่จะควบคุมร่างกายของสัตว์ร้ายได้ คุณรู้มาก่อนแล้วใช่ไหม ลีอา” พิทักษ์กล่าวรวมๆแต่ประโยคสุดท้ายหันมาถามหล่อนมะอีซาเป็นแปลข้อความยาวๆนี้ “ถามเชกีเถอะตอนนี้ฉันขอใช้ความคิดก่อน” ลีอาตอบเบาๆแล้วหันหน้างามนั้นไปทางอื่นเสีย ดูหล่อนต้องรับภาระหนักทั้งทางกายและจิตใจ หล่อนเกิดมาเพื่อเหมาะสมเป็นผู้นำที่แท้จริงแม้จะอายุยังน้อยแต่ก็สามารถทำเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เกินตัวได้ พิทักษ์ลอบชื่นชมและเห็นใจหล่อน “ว่าไงเชกี คราวนี้นายต้องเป็นคนเล่าทุกอย่างแล้วสหาย ถึงแม้ว่านายจะพูดไม่เก่งก็ตาม” พิทักษ์กล่าวทักกับหนุ่มชนเผ่าร่างยักษ์ พลางเกร็ดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เชกีพยักหน้าให้เขา และเริ่มพูดผ่านลำคออันอวบใหญ่ มะอีซายังคงเป็นล่ามที่ดี “อย่างที่นายพรานพูดเมื่อกี้ คำสาปที่เกิดจากความผิดพลาดของพิธีกรรม ผ่านวิญญาณ มันทำให้หล่อนกลายเป็นอสูรร้ายเมื่อยามจิตใจอ่อนแอ ไม่มีใครรู้จนเมื่อ แปดเดือนที่ผ่านมา ก่อนพิธีแต่งงาน หล่อนเศร้าโศกอย่างหนักเพราะความรักที่เลือกไม่ได้ ขณะที่หล่อนจะเข้าพิธีหล่อนได้แอบหนีไป หล่อนเข้าไปหลบซ่อนในป่าไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ซึ่งแน่นอนการตามตัวหล่อนไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทางคู่แต่งงานของหล่อนมีกองทัพนักล่าที่ใช้สุนัขป่าเป็นสัตว์สัมพันธ์ พวกเขาตามไปเจอแค่เสื้อผ้าของหล่อนที่แหลกขาดใต้โคนไม้ แต่ไม่มีหล่อนอยู่ที่นั้น ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกนักล่าพวกนั้นเจอกับอะไร” เชกีหยุดถามแต่คำตอบของเรื่องนั้นทุกคนล้วนแต่เดาได้ พิทักษ์พยักหน้าให้เขาเล่าต่อ “พวกนั้นไม่มีใครรอดกลับมาสักคนเดียว สิ่งที่พวกข้าตามไปเจอคือซากศพอันเกลือนกลาดทั้งคนทั้งสัตว์ร่องรอยการต่อสู้ชัดไปหมด พื้นที่แถวนั้นแหลกเละราพนาสูร ข้าพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่ รอยเขี้ยวลึกยาวจมลงบนไหล่เขา หมอนั้นนอนรอวาระสุดท้าย เราได้ข้อมูลจากเขาเพียงว่า เป็นฝีมือของเสือโคร่งใหญ่ เราได้รู้จากเขาเพียงเท่านี้แล้วหมอนั้นก็ขาดใจ พวกเราคิดว่าเป็นฝีมือของสัตว์ป่า แต่เราคิดผิดมันเพราะคือเธอนั้นเอง เซกี หมอเฒ่าของเราบอกว่าสัตว์ร้ายนั้นคือเธอ หล่อนถูกวิญญาณร้ายเข้าครอบงำ เป็นวิญญาณของเซกีแม่หมอเฒ่าคนที่ตายลงในพิธีผ่านวิญญาณ ความแค้นของนางทำให้เมรีจาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หล่อนหายได้ไปในป่าลึกพวกข้าเพียรพยายามค้นหาอย่างเต็มความสามรถแต่ไม่เจอแม้แต่เงาของหล่อน จนเมื่อเดือนกว่าที่ผ่านมานี้เอง หลังจากพิธีบวงสรวงทวยเทพ หนึ่งในเซกีที่อายุน้อยที่สุดได้ให้คำทำนายว่า เมรีจา ถูกวิญญาณร้ายชักนำให้หล่อนหลบหนีออกมายังโลกภายนอก เมื่อพวกเรารู้ข่าวจึงรีบตามออกมาหวังจะช่วยเหลือเธอโดยมี  ลีอา เป็นผู้นำ แต่มันไม่ได้มีเพียงพวกเราที่ออกมาติดตามนางหรอกนะ หลังรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ความแค้นที่สูญเสียลูกชายของ ญีกา หัวหน้าเผ่าแดนใต้ ได้นำกำลังเข้าบุกหมู่บ้านเราแน่นอนว่าไม่มีการปะทะเพราะกำลังของเราไม่พอที่จะต่อต้านเขาได้ ญีกา เข้ายึดวิหารของพวก เซกี เขาสืบค้นข้อมูลจนมั่นใจถึงทางเชื่องระหว่างโลกเบื้องนอกจึงได้ส่งพวกนักล่าและกองกำลังสะกดรอยออกมาตามหา เมรีจา เขาต้องการที่จะสังหารเธอให้ได้ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม เพื่อแก้แค้นละสังเวยแก่ลูกชายที่ตายไป ญีกา จับกุมตัวและสั่งขังพวกหัวหน้าเผ่าและนักล่าที่สำคัญของพวกเราไว้ในถ้ำผาแดงในป่า พวกข้าส่วนหนึ่งรอดการจับกุมมาได้ จึงรวมกำลังกันเพื่อจะออกมาตามหาเธอ เซกีคนที่เป็นคนทำนายถึงที่อยู่นางได้ให้คำทำนายแก่เราว่า นางจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟู เอดเลเวน จิตวิญญาณของนางเป็นจิตของผู้นำทีแข็งแกร่งพวกเราได้ทำการ ลอบสะกดรอยตามกลุ่มนักล่าพวกนั้นออกมายังโลกเบื้องนอก แต่การเสาะหาเธอมันช่างยากเย็น จนวันหนึ่ง ฮัคจา มองเห็นร่างๆหนึ่งอยู่ริมหาดทราย ข้าคิดว่ามันคือหล่อนจึงรีบเดินทางมาให้ทันเพราะว่า ฮัคจายังมองเห็น กลุ่มนักล่าที่อยู่ใกล้เคียงอีกด้วย เรามาถึงช้าเกินไปพวกนักล่าเจอหล่อนแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่ยังปลอดภัยเพราะพวกเจ้าสามารถจะต่อสู้จนเอาตัวรอดได้จนเราได้เจอกัน ” เชกี หยุดเล่าแล้ว สุมไฟให้ลุกขึ้นอีก พิทักษ์จุดบุหรี่ตัวที่สองเขากำลังเรียงลำดับข้อมูลที่มากมาย ตลอดเวลาที่เชกีเล่าเขาไม่ได้ซักถามเลยเพราะต้องการรู้เรื่องราวให้ครบถ้วนที่สุด  “หัวหน้าพราน มีเรื่องราวอะไรสงสัยอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีเชกีจะได้ไปทำอย่างอื่น” เชกีถามอย่างง่ายๆ  “เดี๋ยวก่อน” เขารีบโบกมือห้าม “ ที่ เชกี บอกว่าพวกของเชกีมากันเป็นกลุ่มประมาณกี่คน แล้วพวกนั้นตอนนี้อยู่ไหน” เชกีเงยหน้ามองดาวแล้วให้คำตอบ “เรามากันแปดคน แบ่งกันออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งตอนนี้ อยู่ที่ภูเขาใหญ่ปากทางเข้าดินแดนของเราคอยจับตามองนักล่าที่เฝ้าที่นั้นอยู่ ส่วนอีกสองคนตอนนี้กำลังเดินทางมาหาเรา” “พวกนั้นรู้ด้วยหรือว่าเราอยู่ไหน” พิทักษ์ถามแบบฉงนใจ “ถูกต้องท่านหัวหน้าแห่งพราน นักล่าในกลุ่มของพวกเรานั้นสามคนมาจากตระกูลใหญ่ของเชกี พวกเราล้วนเป็นผู้ถูกเลือกโดย ซา ให้สัมพันธ์กับสัตว์ตระกูลอินทรี หนึ่งในสี่คนที่เฝ้าปากทางมีเหยี่ยวแดงเป็นสัตว์สัมพันธ์ ส่วนที่กำลังเดินทางมาสมทบกับเรานั้น สัมพันธ์กับอินทรีทองเฉกเช่น เชกี เพราะนางเป็นน้องสาวของ เชกีเองและยังเป็นสหายกับลีอา” พิทักษ์หูผึ่งกับข้อมูลใหม่ เขาเริ่มมีความหวังแล้วความคิดอะไรต่างๆพุ่งปราดเข้ามาในสมอง “ถ้าเดาไม่ผิดพวกนั้นเฝ้ามองเราอยู่และรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเราใช่หรือไม่” เชกีพยักหน้าลงทำอาการคาระวะ  “ถูกต้องสมแล้วที่ท่านเป็นหัวหน้า พวกนั้นเฝ้ามองเราอยู่เสมอถ้าหากเราอยู่ในที่โล่ง ในตอนนี้ท่านควรจะรีบทำธุระของท่านให้เสร็จเพราะอีกสักครู่ ฮัคจา จะลงพื้นแล้ว” เชกีพูดพลาง ยื่นห่อหนังให้กับพิทักษ์ เขาแทบจะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทพิทักษ์รับห่อ นั้นมากำลังจะคิดตัดสินใจเขียนว่ายังไง เชกี กล่าวหนักๆขึ้นมาอีก “มีอีกเรื่องที่ท่านควรรู้” “อะไร” เขาเงยหน้าถาม “มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งขึ้นเหนือมา อีกไม่กี่วันจะมาถึงตรงที่ๆสหายของท่านพักอยู่ เชกีไม่แน่ใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรู” พิทักษ์ตาลุกวาวขึ้นทันที เขาดีใจอย่างที่สุดกับรายงานที่ได้รับ  ชำนาญและพะตี้เยกำลังเดินทางมาสมทบแล้ว พิทักษ์ยิ้มกว้างตอบเชกีอย่างหนักแน่น “เชกี เพื่อนยาก สบายใจได้พวกนั้นคือพวกของเราเอง นั้นคือกำลังรบหลักเมื่อเราต้องปะทะกับนักล่าพวกนั้น” เชกีพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเต็มสัดส่วน “เชกีจะไปเติมน้ำขอให้พวกท่านพักผ่อนเสียเถิดคืนนี้ ร็อคโค่ กับฮัคจา จะคอยเฝ้ายามเอง สัตว์จะสามารถรับรู้ภัยอันตรายได้ดีกว่าคน” หมอนั้นบอกโดยไม่ต้องถาม “เดี๋ยวเชกี” พิทักษ์เรียกอีกครั้ง ร่างใหญ่กำยำที่ทาสีฟ้าสดใสอยู่หันกลับมามอง “พวกของเชกีที่กำลังเดินทางมา จะมาถึงที่นี้เมื่อไหร่” มะอีซาทำท่าคำนวนเล็กน้อย  “พรุ่งนี้ตอนสายๆ” หมอนั้นพูดสั้นๆแล้วหันหลังเดินดุ่มๆไป เหลือแต่พิทักษ์กับมะอีซาที่นั่งมองหน้ากันอยู่  “ถ้าพวกนั้นมาสมทบเราได้ เราจะเข้มแข็งขึ้นจนไม่ต้องคอยหลบนักล่าพวกนั้นอีก” พิทักษ์กล่าวปลุกขวัญให้กำลังใจแก่มะอีซา “ผมไม่กลัวพวกนักล่านั้นดอกนาย แต่ถ้าเป็น” พรานหนุ่มหยุดพูดแล้วปรายตามอง อังซูเรย์ที่หลับสนิทอยู่  “มะอีซากลัวหล่อนมากกว่า หล่อนน่ากลัวกว่าอะไรทั้งนั้น” พิทักษ์ยิ้มตอบแล้วตบไหล่เบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง เอาหละมะอีซาไปพักผ่อนได้แล้ว อ่อ อย่างลืม กินกระต่ายที่ย่างไว้หละ ยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือ” มะอีซาพยักหน้าตอบรับสั้นๆแล้วผละจากเขาไปอีกด้านของกองไฟ กระต่ายตัวนั้นยังเสียบไม้ปักอยู่ที่เดิม พิทักษ์ก้มตัวลงพยายามใช้หมึกดำในหลอดโลหะเล็กๆเขียนลงบนแผ่นหนังนั้น เขาใช้เวลาไม่นานสารสำคัญถึงสหายก็เสร็จ เขาม้วนพันแน่นแล้ววางลงบนก้อนหินข้างๆ พลับสายตาเขาก็สบกับดวงตาอ่อนโยนที่จ้องมา พอเขาสบตาด้วยด้วยสายตาคู่นั้นก็เมินหนีไปทางอื่นเสีย หัวหน้าคณะที่บาดเจ็บค่อยๆยันตัวลุกขึ้น อ้อมกองไฟไปทางมะอีซาที่ เคี้ยวกระต่ายตุ้ยๆในปาก มะอีซาเงยหน้ามองเขานิดหน่อยไม่ว่าอะไร พิทักษ์คว้าเก้งย่างที่เสียบไม้ ขึ้นมาไม้หนึ่งแล้วเดินไปอีกด้านของกองไฟ มะอีซามองตามสักครู่ก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป พิทักษ์มายุดตรงหน้าร่างน้อยๆที่นั่งกอดเข่าอยู่ เขานั่งลงยื่นเนื้อย่างให้  “นี่ กินสักหน่อย จะได้มีแรง” เขาพูดเบาๆ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา