อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร
เขียนโดย DANTE07
วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.51 น.
แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ความจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ.........พันโทพิทักษ์ อัครเศวตวงค์ นายอดีตนายทหารชั้นเสนาธิการ ผู้เคยผ่านยุธภูมิมิดเวย์ เขตน่านน้ำแปซิฟิคในการรบที่หนักหน่วงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก ทั้งชีวิตเขาผ่านเหตุการสำคัญต่างๆมามากมายเขาเดินทางมาแล้วครึ่งโลก แต่บัดนี้เขาพบตัวเองอยู่ในป่าที่ห่างไกลหลงสำรวจและต้องมาพัวพันกับเหตุการที่อันตรายถึงชีวิตอีก เขานั่งสูบบุหรี่ ปล่อยความคิดอันยุ่งเหยิง อยู่ที่โขดหินใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับขอบสระกว้าง มันเป็นบุหรี่ม้วนสุดท้ายของซองนั้น พิทักษ์ขยำซองบุหรี่ยี่ห้อ ลักกี้สไตรค์ โยนลงไปในซอกหินข้างๆ แล้วหางตาของเขาเหลือบไปเห็นสายตาคู่หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องเขม็งมาที่เขา
ร็อบโค่ นั้นเอง มันอยู่ เยื้องเขาไปทางด้านขวาประมาณสี่นาฬิกา ห่างออกไปประมาณสามถึงสี่เมตร พิทักษ์ ปล่อยควันฟุ้งเอี้ยวตัวไปมองมัน มันเป็นเสือดาวขนาดตัวเต็มวัย ตัวเขื่อง ลายเหลืองดำแต้มตลอดลำตัวที่เรียกว่าลายขยุ้มตีนหมานั้นดูพร่างพราว มันนอน เอกเขนกอยู่กับหินตัดสีดำอันราบเรียบเอาคางเกยขาดวงตาจ้องมาที่เขา “ร็อบโค่” เขาลองเรียกตีสนิท มันกระดิกหูเบาๆแล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น
พิทักษ์ส่ายหัวในกริยาของมัน เขากวาดตามองไปรอบๆดูทุกคนที่กำลัง พักผ่อนอยู่ มันเป็นเวลาบ่ายกว่าๆ อังซูเรย์นั่งคุยกับมะอีซาส่วนลีอากับเชกี ไม่ได้อยู่ด้วย พิทักษ์มองหาแต่ไม่เจอ เห็นก็แต่เจ้า ร็อบโค่ ที่ปกติไม่เคยทิ้งห่างกายเจ้านายมันเลย เขาดับบุหรี่ลงแล้วลุกขึ้นสะพายไรเฟิล .375 แม๊กนั่มกับไหล่ สาวเท้าตรงมาที่มะอีซากับอังซูเรย์ ทั้งคู่หยุดคุยกันแล้วยิ้มทักเมื่อเห็นเขาเดินมา
“สองคนนั้นไปไหน” เขาถาม
“ไม่ทราบครับนาย เห็นชวนกันลงไปทางเนินด้านโน้น”
มะอีซาชี้มือตอบ
อังซูเรย์ ผลุดลุกขึ้นคว้าแขนพิทักษ์ไว้
“พิทักษ์คะ” หล่อนพูดชัดเจน
“คุณจะช่วยไปส่งฉัน ที่สระตรงโน้นได้รึเปล่าคะ”
พิทักษ์หันมองตามที่เธอชี้
“ได้สิครับ ว่าแต่จะไปทำไม.
หล่อนหันไปมองมะอีซา แล้วหันมาพูดกับเขาเบาๆใบหน้าสวยนั้นแปรเป็นสีชมพู
“ ฉัน ง่า.. ฉันจะอยากอาบน้ำ”
เขารู้สึกระดากนิดๆเพราะมะอีซานั่งอยู่ใกล้ๆ พิทักษ์หันไปดูแต่หมอนั้นทำท่าเฉยเสีย เอาไม้มาเหลาเล่น ความจริงเขาอยากให้ ลีอาเป็นคนไปส่งหล่อนมากกว่า แต่สถานะการณ์นี้คงต้องเป็นเขาแล้วหละ
พิทักษ์พยักหน้ารับแล้วมองไปที่ชุดเดินป่าของเขาที่หล่อนสวมอยู่อย่างหละหลวม
“ไปสิอาบแต่ตอนนี้ก็ดีเหมือนกันเย็นกว่านี้ดูท่าจะอากาศหนาว”
หล่อนดีใจรีบคว้าแขนเขา แล้วออกเดินนำหน้าจูงมือไปที่บริเวณสระน้ำ พิทักษ์เลือกเอาขอบสระด้านหนึ่งที่มีโขดหินขึ้นสูงปะปรายปนกับกอเฟิร์นทึบเป็นกำบัง
“ตรงนี้แหละน่าจะโอเค”
เขาบอกแล้วทรุดตัวลงกับโขดหินหันหลังให้สระน้ำ
อังซูเรย์ ถอดชุดเดินป่าของเขาออก เปลือยร่างอันขาวโพลนเดินลงไปในสระน้ำบริเวณนั้นลึกประมาณ เอว ถึงอกเท่านั้นเอง หล่อนเลือกเอา ก้อนกินทรงสูงที่ขึ้นอยู่บริเวณกลางน้ำนั้นเป็นผนังกันหากมองจากสระบริเวณอื่นไม่มีทางที่จะเห็นหล่อนได้ แต่ด้านนั้นมันเปิดโล่งตรงที่พิทักษ์นั่งอยู่พอดี
“พิทักษ์คะ”
หล่อนเรียก
เขาเอี้ยวคอดูนิดหน่อยแล้วรีบหันหน้ากลับ
“มีอะไรครับ”
“มาอาบน้ำด้วยกันไหม” หล่อนถามยิ้มๆ
“ไม่หละตามสบายครับ”
“คุณช่วยหันหน้ามาทางนี้ได้รึเปล่าคะ” หล่อนส่งเสียงหวานพลางใช้มือวักน้ำขึ้นลูบไล้ตัวดังจ๋อมแจ๋ม
“ไม่ดีกว่าครับเห็นทีจะไม่เหมาะ เพราะคุณไม่ได้ใส่อะไรสักชิ้น”
เขาตอบเลี่ยงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะฉันอยู่ในน้ำนี่ อีกอย่างฉันไม่ได้ว่าอะไรนะถ้าคุณจะหันมา ฉันอยากจะเห็นหน้าคุณ”
หล่อนพูดพลางแกล้งวักน้ำให้กระเด็นมาใส่เขา
“รีบอาบเถอะครับ ลมบนเขาแรงเดี๋ยวจะไม่สบาย” พิทักษ์รีบตัดบท
เสียงหล่อนเล่นน้ำจ๋อมแจ๋ม พลันหล่อนก็เงียบไป
“อังซูเรย์”
เขาเรียกไร้เสียงขานตอบรับ อีกทั้งเสียงกระฉอกของน้ำก็เงียบกริบ
“คุณครับ ทำไมเงียบไป” พิทักษ์เริ่มใจคอไม่ดีกับเสียงของหล่อนที่หายไป
“อังซูเรย์”
เขาเรียกอีก คราวนี้ก็เหมือนเดิมคือไร้วี่แววเสียงตอบกลับ
มีเพียงเสียงนกนาชนิดเท่านั้นที่ขับขานรับกันเสียงดังไพเราะ
พิทักษ์กระชับปืนแน่นตัดสินใจเฉียบขาดกลับตัวไปดูอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้หัวใจของสุภาพบุรุษชาวูบ เพราะหล่อนอยู่เบื้องหน้าเขาห่างออกไปไม่เกินก้าวนั้นเองร่างขาวโพลนแช่อยู่ในน้ำครึ่งตัว ปทุมถันเบียดกันเพราะหล่อนกอดอกอยู่หมิ่นเหม่
หล่อนชะโงกตัวเข้ามาใบหน้าสวยนั้นห่างเขาไม่ถึงฟุต เผยรอยยิ้มกว้างเห็นฟันเขี้ยวคู่ยาว ร่างสวยนั้นเปียกปอนหยดน้ำเกาะทั่วร่างแสงแดดสาดส่องมองเห็นเป็นประกาย พิทักษ์หน้าแดงก่ำเขาอึ้งกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
“หันมาแล้วสินะ”
หล่อนพูดพลางกอดอกให้แน่นเข้าแต่แขนเล็กๆนั้นไม่ช่วยปกปิดอะไรได้เลย พิทักษ์ก้มหน้าลงหลบสายตาหล่อน
“ผมตกใจหมดนึกว่าคุณเป็นอะไร เรียกแล้วทำไมไม่ขานตอบ”
เขาพูดขรึมๆพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด
“ไม่เห็นได้ยินคุณเรียกใครคะ” หล่อนยวนเขา
“ก็เรียกเมื่อกี้ไง”
พิทักษ์ตอบ แต่ตาเจ้ากรรมบังเอิญเหลือบไปมองร่างน้อยนั้น หล่อนอยู่ในน้ำก็จริง แต่น้ำนั้นใสราวกับกระจก ทำให้เขามองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น พิทักษ์รีบเบนหน้าหนีไปทางอื่นเสีย
“ไม่เห็นได้ยินเลย เรียกว่ายังไงคะ”
หล่อนพูดคล่องแคล่วจนพิทักษ์สงสัย เขาแอบสาปแช่ง มะอีซานิดๆไม่รู้ว่าหมอสอนหล่อนพูดอะไรบ้าง
“ง่า..ก็เรียกว่าอังซูเรย์ไง" เขาตอบอ้อมแอ้ม
“นั้นไม่ใช่ชื่อฉันซะหน่อย” หล่อนว่า
“ความจริงฉันจะบอกคุณหลายครั้งแล้วแต่ไม่ได้บอก เรื่องชื่อของฉันหนะ”
คราวนี้พิทักษ์ หันกลับมามองหน้าหล่อนเต็มสายตา หล่อนเลยนั่งลงแช่น้ำหลบ
“มะอีซาเป็นพรานและเป็นครูสอนภาษาที่เก่งเหมือนกันนะ สอนคุณแปบเดียว คุณพูดภาษาไทยได้คล่องปร๋อเลย”
เขาตั้งข้อสังเกต
“ความจริงฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงเรียนรู้ได้เร็วนัก จู่ๆมันก็พูดออกมาได้ บางคำที่ไม่เคยพูดหรือได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ”
หล่อนว่าพลางเอียงคอเอาลิ้นดุนแก้มทำท่าครุ่นคิด
“แล้วสรุปคุณชื่ออะไรครับ”
พิทักษ์ย้อนกลับมาเรื่องเดิม
“ไม่บอก”
หล่อนยิ้มแล้วหันหลังให้ ก่อนจะเดินลุยน้ำไปที่ก้อนหินก้อนเดิม
หล่อนฮัมเพลงเบาๆเล่นน้ำอยู่ตรงนั้น พิทักษ์เสยหมวกปีกขึ้นสูงเผลอมองตามเรือนร่างงดงามนั้น
“พิทักษ์คะ” หล่อนเหลียวหันมา เขารีบเบนหน้าไปทางอื่น
“ครับ ว่าอย่างไร”
"ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่าง" หล่อนพูดแช่มช้าแต่ลึกซึ้งในความหมาย
“ยินดีครับ เขาตอบหนักแน่น”
“ชื่อของฉันคือ....” หล่อนลากเสียงยาว ให้เขาลุ้น
“คาลาเดียร์” หล่อนพูดแช่มชัด พิทักษ์พึมพำตาม
“แต่ให้คุณเรียกฉันว่า คาล่า นะ ฉันอยากให้คุณเรียกแบบนี้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับผม”
พิทักษ์ทำเสียงเข้มแข็งแบบทหาร หล่อนหัวเราะกับท่าทางของเขา
“ชื่อของคุณมีความหมายว่าอย่างไร”
เขาชวนคุยพลางเด็ดดอกไม้ข้างๆมาพันกัน
หล่อนวักน้ำลูบไล้แขนพลาง ตอบคำถาม
“ชื่อ คาลาเดียร์ เป็นชื่อของผู้นำชนเผ่าในยุคสมัย ก่อนมันแปลว่า อำนาจแห่งผู้นำ ท่านพ่อเป็นผู้ตั้งชื่อนี้ให้ฉัน” หล่อนเว้นนิดนึง
“แต่ปกติไม่เคยมีใคร เรียกชื่อนี้”
“ทำไม?”
“ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกฉันว่า เมรีจา แม้แต่ลีอาเองก็เรียกฉันแบบนั้น”
พิทักษ์พยักหน้ารับ
“แล้วทำไมเขาถึงเรียกแบบนั้นแหละ” พิทักษ์ถามพลางหันหลังให้เพราะหล่อนเดินลุยน้ำกลับมาที่เขา
“ไว้ค่อยบอกนะ หนาวแล้วคุณช่วยใส่เจ้านี้หน่อยได้ไหมคะ”
หล่อนพูดเขินๆเบื้องหลังเขา เมื่อพิทักษ์ หันไปดูก็พบว่าหล่อนหอบชุดเดินป่าของเขามายื่นให้ อีกแล้วหรือนี้เมื่อไหร่จะใส่เองเป็นหรือเธอแกล้งเขากันแน่พิทักษ์คิดในใจพลางลูบท้ายทอยตัวเอง
..........................................................................
ทั้งสองหลังจากขึ้นจากน้ำก็พากันเดินลัดเลาะริมสระพากันชี้นกดูไม้ อยู่บริเวณนั้นร่วมชั่วโมง ถึงเดินกลับมาบริเวณที่ตั้งแคมป์ ระยะเวลาที่ทั้งสองใช้ร่วมกันมันช่างมีความสุข ทำให้ลืมถึงสถานการณ์ที่ล่อแหลมอยู่ในขณะนี้ วิวทิวทัศน์บนที่ราบสูงนี้ช่างงดงาม ตะวันยามบ่ายแก่ๆทอแสงสีส้ม พิทักษ์และคาล่าเดินจูงแขนกันกลับมาที่แคมป์พัก ในมือหล่อนถือดอกไม้ป่าช่อใหญ่มาด้วย เมื่อทั้งสองเข้ามาถึง ก็เห็น มะอีซา เชกีและลีอานั่งล้อมวงหน้ากองไฟ สีหน้าแววตาของทั้งสามดูเคร่งเครียด
“เกิดเรื่องแล้วนาย” มะอีซาที่นั่งย่างกระต่ายอยู่รีบร้องทัก
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามพลางชวนคาล่านั่งลง
“เชกีบอกว่า พวกนั้นกระจายกำลังออกค้นหาเรา บางส่วนลงใต้ไปมีหวังปะทะกับพวกของนายช่างณรงค์แน่ครับ”
พิทักษ์ รู้สึกร้อนผ่าวเขาเป็นห่วงทางนั้นเหลือเกินเพราะอยู่กันแค่สามคน อีกทั้ง ลามู ก็ยังอยู่ในอาการบาดเจ็บ
“เราควรจะเตือนพวกนั้นพิทักษ์พูดพลางขบคิดหาวิธี หน้าเข้มคมนั้นดูเคร่งเครียด กรามบดเป็นสันนูนพิทักษ์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก อังซูเรย์ หรือ คาล่าหล่อนสัมผัสถึงความเครียดต่อเหตุการณ์ในใจเขาได้ดี หล่อนเอื้อมมือเล็กๆนั้นมาจับแขนเข้าไว้
“พิทักษ์คะ เรายังมีกันหลายคนนะ ลองถามลีอากับเชกีดูก่อนเผื่อเขามีความคิดอะไรในตอนนี้”
พิทักษ์บีบมือหล่อนตอบ พลางหันมองไปที่เชกีกับลีอา ทั้งคู่สบตาเขาตรง จากนั้น คาล่า ก็พูดคุยภาษาเผ่ากับเชกีและลีอาอยู่ครู่ มะอีซาทำหน้าที่เป็นล่ามแปลให้พิทักษ์ฟังว่า จากการมองเห็นของเชกีผ่าน ฮัคจา พบว่าพวกนักล่ามีประมาณ 50 กว่าคนกระจายกันออกค้นหาไปทั่ว โดยมีบางกลุ่มลงใต้ไปและไม่น่าจะเกินอีกครึ่งวันน่าจะพบกับคณะของณรงค์แน่ระยะห่างจาก บริเวณแคมป์พักของณรงค์กับผาน้ำตก ที่พิทักษ์หลบซ่อนอยู่นี้ห่างกันไม่มากหากเดินเท้าก็ประมาณสองวัน พิทักษ์ต้องการเตือนภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับณรงค์และหากเป็นไปได้เขาอยาก ให้ทั้งสองคณะมารวมกันเพื่อกำลังพลที่เข้มแข็งเมื่อต้องปะทะกับพวกนักล่า เชกีบอกว่า หากเป็นพ่อของเขาจะสามารถแก้ไขปัญหานี้โดยง่าย โดยจะให้คนของเราขี่อินทรีไปเพื่อแจ้งข่าวแต่ติดที่ว่า ฮัคจา ตัวเล็กเกินไปที่จะรับน้ำหนักคนขี่ได้หากเป็นเด็กก็พอจะไหว แต่คนที่ตัวเล็กสุดในคณะคือ ลีอา ผู้พูดคุยภาษาไทยไม่ได้ จึงต้องตัดไป
“พ่อของเชกี ก็มีอินทรียักษ์ด้วยหรือ”
พิทักษ์อดสงสัยไม่ได้
“ตระกูลของ เชกี เป็นผู้ผูกจิตสัมพันธ์สัตว์ตระกูลอินทรีมาหลายชั่วคน ตระกูลเขาเป็นนักล่าที่สำคัญของเผ่า” ลีอา เป็นคนตอบ
พิทักษ์พยักหน้ารับ พลางยกมืออีกข้างขึ้นลูบคาง ตอนนี้บรรยากาศในวงดูตึงเครียดทุกคนต่างใช้ความคิดอย่างหนัก แสงอาทิตย์ยามเย็นทอประกายแสงสีส้มสด แต่ในร่มไม้ใหญ่ที่ทุกคนนั่งล้อมวงอยู่ตอนนี้ดูมืดครึ้มมีแต่กองไฟเท่านั้นที่แตกปะทุในกอง มันสาดแสงวอมแวมเลียใบหน้าที่เข้มขรึมของแต่ละคน
“นายครับ” เสียงมะอีซาปลุกพิทักษ์ที่กำลังใช้ความคิดอยู่
“ว่าไงมะอีซา” เขายิ้มให้พรานหนุ่มคู่ใจ
“ ลีอา เธอมีเรื่องจะถามครับ”
“ให้เธอถามมาเลย”
เขาพูดพลางสบตาใบหน้างามนั้น
“เจ้ารู้ถึงสถานการณ์ตอนนี้หรือไม่ ว่าเรากำลังเผชิญอะไรอยู่”
หลอนเริ่มพูดผ่านมะอีซา พิทักษ์ส่ายหัว
“ผมเคยถามแล้ว คุณว่าจะเล่าให้ฟัง วันนี้ทั้งวันไม่มีอะไรคืบหน้าเลย เอาหละตอนนี้ถึงเวลาแล้ว คุณควรจะบอกสิ่งที่ผมควรรู้มา แล้วเรามาช่วยกันหาวิธีแก้ไข ด้วยกัน”
“ได้ ข้าจะเล่าทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้ แต่ข้าขอถามก่อนหนึ่งข้อ”
“ว่ามาได้เลย”
“เพื่อนของเจ้า จะให้การช่วยเหลือเราหรือไม่หากเราต้องปะทะกับนักล่าที่โหดเหี้ยมพวกนั้น”
พิทักษ์สามารถตอบ ลีอา แบบไม่ต้องคิดเลย
“แน่นอน เพื่อนของผมจะให้ความช่วยเหลือพวกคุณอย่างเต็มที่ ขอคุณอย่าได้กังวลในเรื่องนี้” เขาพูดหนักแน่น
“ชายผู้นี้คือนายใหญ่แห่งคณะเดินทางเขาเป็นผู้นำและหัวหน้าเขาเคยเป็นนักรบ หากเขามีคำสั่งออกมา พวกกลุ่มพรานพร้อมอาวุธที่ทันสมัยจะทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่างนั้นหมายความว่าเรามีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้าน พวกนักล่าได้”
มะอีซา เป็นผู้กล่าวสำทับความเพื่อให้เชื่อมั่นแก่หล่อน ลีอา พยักหน้ารับ และก้มศรีษะน้อยๆไปทาง พิทักษ ์หล่อนมองไปที่ไรเฟิลของเขาที่พาดตักอยู่ แล้วชี้พลางกล่าวว่า
“อาวุธของพวกท่านทรงพลังมากเราได้เห็นแล้วเมื่อค่ำวาน แต่มันเสียงดังเกินไปซึ่งจะเปิดเผยตำแหน่งแก่ศัตรูได้ง่ายโปรดใช้อย่างระวังด้วย”
“ได้ เราจะใช้อย่างระวัง มันเสียงดังก็จริง แต่ก็ทรงอานุภาพและสามารถข่มขวัญศัตรูได้เช่นกัน มันสามารถฆ่าศัตรูได้จากระยะไกลและแม่นยำ”
พิทักษ์ พูดพลางยกไรเฟิล เอฟเอ็นหรือบราวนิ่ง ขนาด .375 ฮอลแลนด์แอนฮอลแลนด์แม๊กนั่มของนายช่างณรงค์ ให้หล่อนดู มันเป็นปืนที่ผลิตอย่างดีจากโรงงานที่เบลเยี่ยมตราสัญลักษ์ของเอฟเอ็นติดหราอยู่ที่โครงปืน
ลีอา จ้องดูอยู่ครู่ประกายอะไรชนิดหนึ่งผ่านแวบเข้ามาในดวงตาคู่นั้นแล้วจางไป
“เอาหละ ขอเพียงเพื่อนของเจ้าพร้อมช่วยเหลือ ข้าก็มีวิธีติดต่อเขาแล้ว”
หล่อนพูดพลางยิ้ม
“ยังไงว่ามาสิครับ”
พิทักษ์ แทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่รีบซักทันที
“ฮัคจา มันอาจไม่ใหญ่พอที่จะให้พวกเจ้าขึ้นขี่ แต่มันแข็งแรงที่จะล่ากวางตัวโตๆได้ไม่ใช่หรือ” หล่อนเว้นจังหวะทุกคนล้วนตั้งตาฟัง
“เพียงแค่เจ้าเขียนข้อความลงในอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วให้ฮัคจาเอาไปโยนให้เพื่อนเจ้าแค่นี้ เขาก็จะสามารถรู้เรื่องราวทั้งหมดได้และเรายังสามารถนัดให้พวกนั้นเดินทางมาสมทบกับเราได้อีกด้วย”
“ใส ได้การละแบบนี้” พิทักษ์ ดีดนิ้วดังเปาะประกายความดีใจส่อออกทางแววตาและใบหน้านั้น
“ความจริงพิราบส่งสารแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีคนใช้อยู่แต่ตอนนี้เรามีถึงอินทรียักษ์ที่สามารถฟังคำสั่งได้อย่างแม่นยำ ทำไมเราถึงคิดไม่ออกนะ” พิทักษ์กล่าวเร็วปรื๋อ ทุกคนยิ้มที่สามารถยุติปัญหาในข้อนี้ลงไปได้
“แล้วเราจะใช้อะไรเขียนจดหมายหละ เพราะเราไม่มีกระดาษกับปากกา”
มะอีซาถามซื่อๆ ลีอาส่ายหัว ผมสั้นนั้นสั่นไหวสะท้อนไฟ หล่อนกล่าวตอบอย่างมั่นใจ
“เชกีมีม้วนหนังอยู่และหมึกดำ เจ้าสามารถเขียนข้อความได้เลย แล้วในกลางดึกคืนนี้ฮัคจาจะเข้ามารับเอา มันจะนำสารนี้ไปให้สหายของเจ้าในยามรุ่งส่าง”
“เยี่ยมยอดกับแผนนี้” พิทักษ์พูดพลางหันมาอังซูเรย์ หรือคาล่าคนสวยที่นั่งชิดเขา
“แล้วทีนี้เราจะวางแผนยังไง ให้พวกนั้นขึ้นมาสมทบกับเราหรือใช่หรือไม่”
ลีอาเหลียวมองหน้าเชกีและคาล่าแล้วมาหยุดสายตาตรงหน้าเขา
“เจ้าควรรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดก่อน จากนั้นเราค่อยมาวางแผนกันตกลงไหม”
หล่อนพูดสีหน้าจริงจัง
“เริ่มเลยผมพร้อมแล้ว” พิทักษ์พูดพลางผายมือ จากนั้นเขางัดบุหรี่ซองสุดท้ายขึ้นมา จัดการส่งม้วนหนึ่งใส่ปากแล้วสะบัดไลเตอร์ลนจุด เขาโยนทั้งซองนั้นให้มะอีซา ปกติมะอีซาสูบยาเส้นใบตองแต่มันหมดไปแล้ว มะอีซาแกะออกตัวหนึ่งแล้วยื่นซองกลับมาให้เขา
ลมยามเย็นพัดพลิ้ว เป่าควันบุหรี่ของอดีตนายทหารผ่านศึกให้ลอยอ้อยอิ่ง บนที่ราบสูงนี้เช่นนี้มันเงียบกริบ ไม่มีเสียงจิ้งหรีดเรไร ไม่มีเสียงตุ๊กแกป่า หรือลิงค่างบ่างชะนี ตอนนี้มีแต่เสียงของลีอาที่เริ่ม เล่าเรื่องราว ของชนเผ่าลับแลให้พิทักษ์ฟัง โดยมีมะอีซาเป็นล่ามแปลอย่างละเอียดชนิดคำต่อคำประโยคต่อประโยค คาล่า นั่งเอาหัวพิงไหล่ของพิทักษ์ ปล่อยความคิดล่องลอย หล่อนเหนื่อยล้าที่หัวใจเพราะเรื่องราวที่ ลีอาเล่ามันช่างตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับตัวหล่อนเอง บางครั้งน้ำตาหล่อนแอบไหลหยดลงบนไหล่ของพิทักษ์ เขาไม่ทันสังเกตเพราะว่ามันบางเบาจนแห้งเหือด
เอเดลเวน เป็นชื่อของกลุ่มชนเผ่า ที่อยู่ในโลกลึกลับมันเป็นดินแดนที่ล้าหลังของวิวัฒน์นาการมนุษย์ แต่มันกลับเต็มไปด้วยสิ่งลี่ลับและเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึกมากมาย สถานที่นี้มันซ่อนเร้นอยู่ในหุบเขาลึก เส้นทางเชื่อมต่อกับโลกภายนอกถูกปกปิดไว้หมดสิ้น แม้แต่คนในเผ่าเองก็ไม่รับรู้ถึงเส้นทางนั้น จะมีก็แต่บางคนเท่านั้นที่ได้รับสิทธ์ล่วงรู้
ทุกชนเผ่าที่ อยู่ในดินแดนของเอเดลเวน เชื่อว่าตัวเองได้รับพรจาก ซา เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่า ทำให้ชนเผ่าสามารถเข้าถึงและใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติที่อย่างกลมกลืนสุด คนในเอเดลเวล บางคนจะได้รับเป็นผู้ถูกเลือกจาก ซา ให้เขาเกิดมาพร้อมจิตพิเศษ ที่สามารถผูกพันกับสัตว์บางชนิดได้ ผู้ที่สามารถผูกจิตกับสัตว์ได้ จะต้องเข้าร่วมและผ่านพิธีกรรม ที่เรียกว่าพิธี ‘ผ่านวิญญาณ’ เพื่อทำให้จิตใจของเขาเชื่อมกัน พิธีกรรมจะต้องทำ หลังจากที่เด็กน้อยมีอายุครบเจ็ดวัน ในป่าศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่าเป็นสวนที่สถิตของ ซา หากเด็กคนใดได้เป็นผู้ถูกเลือก ในบ่อน้ำเบื้องล่างของต้นไม้ใจกลางสวน จะปรากฏทารกของสัตว์ อายุเท่ากันกับทารกของมนุษย์อยู่ในนั้น เซกี หรือ แม่หมอเฒ่าจะสั่งให้คนนำ ทารกทั้งสองมาไว้ที่โคนไม้ นางจะใช้เข็มยาว แทงที่ทารกน้อยและ สัตว์นั้น แล้วนำเข็มนั้นมาผสมกับเลือดตัวเองที่กรีดไว้ แล้วนำเลือดไปป้ายทาที่ดวงตา ปาก และเท้าของทารกทั้งสอง หลังจากนั้นจะเป็นการสวดสรรเสริญต่อ ซา พิธีกรรมนี้ต้องใช้เวลาและขั้นตอนที่ละเอียด โดยคนที่จะได้รับ สิทธ์เข้าร่วมจะต้องเป็น เซกี ทั้งห้าผู้ได้อำนาจให้ติดต่อ ซา นอกนั้นก็คือพ่อและแม่ของเด็ก ผู้นำเผ่าและเหล่านักล่าทั้งหลาย ทารกที่สำเร็จการทำพิธีผ่านวิญญาณ จะสามารถ ผูกจิตตัวเองกับสัตว์ตัวนั้นได้ เรียกว่าสัตว์สัมพันธ์สัตว์กับเจ้าของจะสามารถเข้าใจ และเชื่อมต่อจิตกันได้อย่างอิสระ แต่จะต้องผ่านการฝึกฝนถึงจะสามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม สัตว์สัมพันธ์เชื่อว่าเป็นลูกหลานของซา มันจะพิเศษกว่าสัตว์อื่นทั่วไปทั้งขนาด รูปร่าง และความฉลาดแต่ก็ไม่ทุกตัวสัตว์สัมพันธ์จะสามารถมีอายุยืนยาวเท่าที่เจ้าของมันมีชีวิตอยู่ เมื่อผู้บังคับตาย สัตว์สัมพันธ์จะขาดใจตายทันทีนี้คือวิญญาณที่ผูกกัน แต่หากสัตว์สัมพันธ์ตายลง เจ้าของหรือผู้บังคับจะยังมีชีวิตอยู่ แต่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความเศร้าโศกและเสียใจ หากว่าสัตว์ตัวนั้นตายขณะที่เชื่อมจิตกันอยู่ความรู้สึกเจ็บปวดของบาดแผลจะถูกส่งผ่านมายังผู้บังคับด้วยมันจะเจ็บปวดจนชีวิตนี้ไม่สามารถลืมได้เลย เพราะแบบนั้นผู้บังคับหากเชื่อมจิตอยู่จะต้องรีบตัดการเชื่อมต่อหากว่าสัตว์ตัวนั้นนั้นกำลังจะเกิดอันตราย แต่โดยทั่วไป นักล่าที่เสียสัตว์สัมพันธ์มักจะอายุไม่ยืนนัก เมื่อลีอาหยุดเว้นจังหวะการเล่าพิทักษ์เลยขอพูดถามข้อสงสัย
“มิน่าหละเมื่อคืนวานที่ผมยิงเจ้าคนขี่หมา เมื่อหมอนั้นตายหมายักษ์ตัวนั้นก็ล้มลงขาดใจตายด้วย ฟังดูแย่จังเหมือนเอาเปรียบกันนะ คนตายสัตว์ตายด้วย แต่พอสัตว์ตายคนยังอยู่ แล้วทำไมคนถึงไม่ตายหละ”
ลีอา ทำหน้าเศร้าแล้วเริ่มเล่าต่อ “ที่คนไม่ตายนั้นก็เพราะว่าเขาต้องแบกรับการลงโทษจาก ซา การสูญเสียสัตว์สัมพันธ์คือ การต้องสูญเสียทุกสิ่งอย่าง เขาจะเจ็บปวดทางกายอย่างหนักเฉกเช่นสัตว์ตัวนั้น ในกรณีที่มันตายขณะผูกจิตและเขาจะเจ็บปวดทางใจอย่างมากเมื่อสูญเสียมัน การที่ต้องฝั่งร่างของมันกลับลง
ที่ต้นไม้แห่งซาเป็นอะไรที่อดีตนักล่าเจ็บปวดที่สุด มันอยู่กับเขามาตั้งแต่เกิด ความสัมพันธ์นั้นมันเกินกว่าจะมีอะไรมาเปรียบได้ ที่เขายังอยู่คือการรับบาป มันคือการลงโทษจากซา”
เมื่อเธอหยุดพูดแววตาของชนชาวเผ่าทั้งสามดูเศร้าลง พิทักษ์รีบเอ่ยขอโทษ
“ผมขอโทษที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง การสูญเสียเพื่อนที่สำคัญไปมันเศร้าและแย่ที่สุดแล้วฟังดูแล้วสัตว์สัมพันธ์ของพวกคุณมันคืออวัยวะชิ้นที่สามสิบสามนั้นเอง ขาดไปคงทำใจลำบากมาก มันคงเป็นเรื่องเศร้าที่สุดแล้ว
ลีอา พยักหน้าส่งยิ้มแห้งๆให้เขา
“ขอบคุณ หัวหน้าพรานที่เข้าใจสัตว์สัมพันธ์มันคือวิญญาณและร่างกายที่มีอยู่อีกร่าง หากการเชื่อมต่อกันสมบูรณ์ ท่านจะสัมผัสได้ถึงปีกอันกร้าวแกร่ง
ขาอันทรงพลัง จมูกและสายตาที่ยาวไกล มันคืออำนาจมันคือสิ่งพิเศษที่ ซามอบให้เรา การสูญเสียสัตว์สัมพันธ์คือสิ่งเลวร้ายที่สุดแล้ว”
หล่อนเว้นจังหวะดื่มน้ำแล้วเล่าต่อ
“แรกเริ่มเดิมที ชาวเอเดลเวน เป็นชนเผ่าที่อ่อนแอแต่ หลังจาก ซา ได้มอบอำนาจการ ผูกสัมพันธ์กับสัตว์ได้ เราก็แข็งแกร่งขึ้น ซา ทำให้เรากลายเป็นนักล่าที่เก่งกาจและอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เราไม่เกรงกลัวสิ่งใดในป่า เมื่อเรามีสัตว์สัมพันธ์เราใช้พลังธรรมชาติต่อสู้กับธรรมชาติ ให้เขี้ยวเล็บเขางาสู้กันเองโดยมีเราถือหอกและธนูคอยช่วยเหลือเผ่าของเราจึงแข็งแกร่งขึ้น
ทารกที่ได้รับสัตว์สัมพันธ์ จะได้รับยกย่องและกลายเป็นนักล่าของเผ่าในทันที
โดยนักล่ามีหน้าที่ปกป้องเผ่าในยามต่างๆคอยดูแลความสงบ หาอาหาร สอดแนม ต่อสู้กับข้าศึกในยามหมู่บ้านมีภัยและใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิในฐานะ ที่เป็นนักล่า มันเป็นตำแหน่งที่คนทั่วไปต่างใฝ่ฝัน ผู้ที่เป็นนักล่าจะถูกลดฐานะทันทีเมื่อสัตว์สัมพันธ์ของเขาตายลง สิทธิพิเศษต่างๆที่เคยมีก็จะไม่มีอีกแล้ว หากเป็นไปได้เขาจะต้องนำพาร่างของสัตว์นั้นกลับไปฝังที่คืนที่ต้นไม้แห่ง ซา เพื่อคืนลูกหลานกลับให้พระองค์”
“ฟังดูเหมือน นักรบและทหารหรืออะไรทำนองนั้นนะพวกนักล่า”
พิทักษ์ ให้ความเห็นเขาพยายามเปิดรับและเรียงลำดับข้อมูลใหม่ที่ดูเว่อวังฟังดูพิลึกกึกกือ เหมือนกับนวนิยายแนวผจญภัยของพวกนักเขียนแว่นหนาเตอะ
“ใช่นักล่าคือเกียรติสูงสุดรองลงมาจากผู้นำเผ่าและเซกีแม่หมอศักสิทธิ์
เขาคือทุกอย่างคือความภูมิใจของหมู่บ้าน” หล่อนตอบอย่างหนักแน่น
“ผมขอขัดนิดหนึ่งนะ ฟังดูรวมๆแล้วก็ดีนะพวกนักล่าของคุณ ผมขอเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน แล้วทำไมตอนนี้พวกนักล่าผู้สูงส่งถึงได้ตามไล่ฆ่าหล่อน ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวหละฟังดูขัดแย้งกันนะ”
พิทักษ์พูดเเล้วหันมองดู อังซูเรย์ที่ซบไหล่เขาอยู่ หล่อนเข้าใจคำพูดของเขาจึงไม่ยอมสบตาด้วย
“ข้ากำลังจะเล่าอยู่แล้ว มันมีเหตุผลที่ข้าต้องเล่าเบื้องหลังก่อน ไม่อย่างเจ้าจะไม่เข้าใจ ลีอา พูดพลางย่นจมูกแล้วเริ่มเล่าต่อ
“ซา มักจะให้สัตว์สัมพันธ์ที่เหมาะ สมกับบุคคลและตระกูลนั้นๆแต่ก็ไม่เสมอไปสัตว์สัมพันธ์มีอยู่หลายชนิดหลายตระกูล แบ่งแยกย่อยออกไปอันนี้ข้าไม่ขอเล่าก็แล้วกันมันยืดยาว ในสมัยเริ่มต้นของเผ่า ซาได้ให้สัตว์ที่มีพลังอำนาจมาก แต่พอเผ่าเริ่มอยู่กันได้เนิ่นนานผ่านมา สัตว์สัมพันธ์ก็แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ในตอนนี้ สัตว์สัมพันธ์ที่ มีโอกาสได้รับมาที่มีน้อยที่สุดคือ สัตว์ตระกูล พยัคฆ์ มันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและผู้นำ มีเพียงตระกูลของข้าสายเลือดแห่ง คากีเร เท่านั้นที่เคยมีพยัคฆ์ในสายสัมพันธ์ มันเป็นสัตว์ที่มีอำนาจมากที่สุด มันคือเจ้าป่าที่แท้จริง ผู้ใดครอบครองอำนาจแห่งพยัคฆ์เขามีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้นำเผ่าคนต่อไปได้ทันที” ลีอา พูดพลางหันหน้าไปมอง คาล่า แต่เธอไม่ยอมสบตาด้วยได้แตกซุกหน้าลงกับไหล่หนาของพิทักษ์เขาจับสังเกตได้จึงถามขึ้น
“แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ คุณควรที่จะสืบทอดผู้นำเผ่าต่อไม่ใช่หรือ”
ลีอาส่ายหน้า แล้วเริ่มเล่าต่อ
“ตระกูล ของข้าเป็นผู้นำมาหลายชั่วอายุคน แม้แต่ละรุ่นก่อนๆจะไม่ได้ครอบครอง สัตว์ตระกูลพยัคฆ์เลย พ่อของนาง” ลีอาหันไปมองอังซูเรย์
“พ่อของนางเป็นลุงของข้า เขาเป็นผู้นำเผ่าคนปัจจุบันเขามีกระทิงใหญ่เป็นสัตว์สัมพันธ์ แต่เมื่อนางถือกำเนิดมา เซกี บอกกับพ่อนางว่านางคือผู้ถูกเลือกโดยซา เมื่อครบเจ็ดวันนางจึงถูกส่งไปทำพิธีผ่านวิญญาณที่ป่าศักดิ์สิทธิ์
และสิ่งที่เกิดขึ้นใครหละจะคาดคิด ว่าซาจะเมตตานางถึงเพียงนี้ ที่ใต้หลุมของต้นไม้แห่งซานั้นเอง ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ร่างของสัตว์ชนิดหนึ่งสีเหลืองสลับดำคลานเตาะแตะอยู่ที่พื้นนั้น มันคือลูกของเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ ขนของมันปุกปุยน่ารัก ซา ได้ให้สัตว์ตระกูลพยัคฆ์แก่นาง มันเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของอำนาจ ตั้งแต่ยุคก่อตั้งเผ่า ซา ได้ให้เสือลายพาดกลอนเพียงแค่สองตัวเท่านั้น นี้คือตัวที่สามระยะเวลาที่ มีเสือลายพาดกลอนตัวล่าสุดยาวไกลถึง สามร้อยปีมาแล้ว มันนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับชาวเผ่าทุกคน หล่อนจะเป็นผู้นำคนต่อไปและจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกชนเผ่าในเขตแดนของเอเดลเวล แต่ความปิติก็มิอาจอยู่ได้นาน ในวันนั้นขณะที่เซกีอุ้มลูกพยัคฆ์น้อยขึ้นเพื่อที่จะทำการแทงด้วยเข็มยาว หอกปริศนาเล่มหนึ่งก็ลอยละลิ่วเสียบเข้าที่ อกของนาง”
หล่อนหยุดพูดแล้วหันมามองทุกคน พิทักษ์ถึงกับคอแข็งพูดอะไรไม่ออก คาล่าก้มหน้าหลับตานิ่ง ลีอาเริ่มเล่าต่อ
“หอกที่ลอยมาอย่างปริศนานั้น เสียบทะลุทรวงอกของ เซกี มันและมันยังแทงเข้าไปในร่างของลูกพยัคฆ์น้อยนั้นด้วย ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายของ พวกนักล่าที่ระดมกำลังหาตัวคนร้าย เมื่อพ่อของนางวิ่งเข้ามาดูก็ปรากฏว่าเซกีและเจ้าเสือน้อยตัวนั้น ทั้งคู่หมดลมหายใจเสียแล้วเลือดของทั้งสองไหลอาบทั่วร่างของทารกหญิงที่นอนร้องไห้อยู่ตรงโคนไม้ พิธีกรรมถูกปนเปื้อนด้วยความเลวร้าย ทำให้มันบิดเบือนทุกสิ่งอย่าง จากคำอวยพรกลายกลับมาเป็นคำสาป ไม่มีใครรู้นอกจากตัวหล่อนเอง มันเป็นเรื่องเล่าที่พ่อแม่และตระกูลของข้ารู้ดีที่สุด ข้าเกิดหลังจากนางสามปี ซา ได้ให้ ร็อบ แก่ข้าเพื่อเป็นการปลอบใจกับการสูญเสียไปของจ้าวแห่งพยัคฆ์ตัวก่อน ร็อบโค่ มันถือเป็นอำนาจแห่งผู้นำที่ยิ่งใหญ่เช่นกันมันหยิ่งทะนงและห้าวหาญ แต่ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าคนต่อไปก็ยังคงเป็นพี่สาวของข้าคนนี้ เซกี บอกว่ามันเป็นพระประสงค์ของ ซา ที่จะให้เธอเป็นผู้นำของพวกเรา เราทุกเรียกเธอว่า เมรีจา ซึ่งแปลว่า พระประสงค์ของซา เธอใช้ชีวิตเฉกเช่น เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์เธอได้รับการเอาใจและความเคารพ จากผู้คนทั้งหมด ยิ่งโตขึ้นพี่สาวของข้าก็ยิ่งงดงามจนเป็นที่หมายปองของชาวหนุ่มในทุกเผ่า แต่เมื่อประมาณปีก่อน ผู้นำเผ่าใกล้เคียงได้ส่งงาช้างคู่ยาวมาให้พ่อของเธอมันเป็นสัญญาณแห่งการทาบทามสู่ขอแม้จะไม่พอใจแต่ลุงของข้าก็ไม่อาจปฏิเศษได้ อันเนื่องมาจากนักล่าของเผ่าเราลดน้อยลงเป็นอย่างมากผิดกับชนเผ่าอื่นข้างเคียงที่กำลังรบเข้มแข็ง ชายที่จะแต่งงานกับเมรีจาที่สูงศักดิ์เป็นเด็กหนุ่มหยิ่งยะโสเอาแต่ใจ ทั้งๆที่ตัวเองมีเพียงแค่สุนัขในหางดำเป็นสัตว์สัมพันธ์ พี่สาวของข้าต้องแบกความเสียความโศกเศร้าและความแค้นปนความสับสนเมื่อจิตใจของนางอ่อนแอ คำสาปก็ใด้ทำงาน คำสาปที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน เพราะความผิดพลาดของพิธีผ่านวิญญาณเมื่อครั้งนั้น” ลีอา เล่ามาถึงตรงนี้ก็หยุดเพราะเห็นอาการของ คาล่า เปลี่ยนไป
“คำสาปคืออะไร แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”
พิทักษ์ถามต่อ เขาไม่ทันสังเกตว่าบุคคลข้างๆนั้นเปลี่ยนไปเช่นไร ลีอาไม่ทันจะตอบ อังซูเรย์ก็พูดขึ้นก่อน
“คำสาปคือวิญญาณของสัตว์สัมพันธ์ตัวนั้นมันยังอยู่ในตัวข้า เราถูกผูกติดกันด้วยพิธีผ่านวิญญาณ มันยังอยู่ในร่างกายข้า พร้อมทั้งความแค้นของ เซกีที่ถูกฆ่าตายในวันนั้น”
หล่อนก้มหน้าพูดเยือกเย็น ร่างน้อยๆนั้นสั่นสะท้าน
“แล้วยังไงต่อครับ หลังจากนั้น” พิทักษ์ผู้ยังไม่เอะใจต่อเหตุการณ์ได้ถามต่อ
“นาย!! ลีอา บอกให้นายถอยออกมาให้ห่างเธอ” มะอีซาพูดเสียงสั่นพลางผงะถอยหลัง ลีอาและเชกีค่อยๆถอยหลังลุกขึ้น ร็อบโค่ พุ่งตัวปราดลงพื้นมาอยู่ข้างๆลีอามันทำอาการหมอบต่ำทำหูลู่ไปข้างหลัง เสียงขู่คำรามสั่นสะท้านออกมาจากลำคอ พิทักษ์งุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะกำลังจะอ้าปากถาม ร่างน้อยๆที่สั่นข้างๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ