อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร
10.0
เขียนโดย DANTE07
วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.51 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
10.14K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) หญิงสาวนิรนาม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ แดดยามสายส่องแสงอบอุ่นในป่าที่เขียวทมึนเสียงนกระวังไพรร้องรับกันเบาๆ คณะเดินทาง นั่งล้อมวงทานข้าวด้วยสีหน้าที่ไม่เคยเสบยกันนัก แม้แต่ชำนาญ ผู้ที่มักมีรอยยิ้มใต้เรียวหนวดงามเสมอ แต่ตอนนี้เขากลับไม่ปรากฏรอยยิ้มนั้นเลย คงก้มหน้าก้มตาเคี้ยวข้าวสวยกับเนื้อย่างในปากตุ้ยๆ ไม่ต่างกันกับสองบุรุษข้างๆสักเท่าไหร่ ทุกคนกินข้าวสวยที่เหลือน้อยนิดกับเนื้อย่างเกลืออันฝืดคอ “ถ้าเราไม่ได้เนื้อสดเพิ่มในวันนี้ เห็นทีต้องแย่แน่” ณรงค์ กล่าวขึ้นเบาๆ เสียงของเขานั้นช่วยเรียกความสนใจและปลุกให้คนที่กำลังใช้ความคิดให้หันกลับมา “ผมเห็นด้วยยังไงเราก็ควรจะได้เสบียงจำพวกเนื้อสดมาตุนไว้ก่อน วันนี้ใครเห็นอะไรก็จัดการได้เลยไม่ต้องรอถามฉัน” พิทักษ์ กล่าวตอบแต่ประโยคหลัง เน้นพูดกับพรานพื้นเมืองที่นั่งจ๋องกันตาแป๋ว “เราจะทำอย่างไรกันต่อดีนาย” พะตี้เย ถามมาน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ทุกคนที่นั่งอยู่พลันหันมามองที่พิทักษ์เป็นจุดเดียว เขากลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ คว้ากระติกน้ำมาเปิดดื่มอักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจ มือข้างหนึ่งลูบคลำที่คางอันสากเคราเพราะไม่ได้ต้องมีดโกนมาพักใหญ่แล้วดวงตาสีกาแฟคู่นั้นมองเพ่งไปในแนวไม้ ที่ขึ้นหนาทึบแล้วมาหยุดที่ พรานนำทางผู้ตั้งคำถาม“พะตี้เย” เขาเรียก“ครับนาย”“ตอนนี้เราอยู่ไกลจาก ทับกวางเท่าไหร่??”คนถูกถามทำหน้าฉงนใจ คิดอยู่ครู่จึงตอบ“ไม่มากขอรับนาย หากเดินตัดอย่างเร็วแล้ว ก็ไม่น่าจะเกิน อาทิตย์ แต่ตอนที่เรามามันช้าเพราะเราต้องแกะรอยเดิน วก วน ทำให้เสียเวลามาก นายถามทำไมรึครับ”“พะตี้คิดว่า เสบียงและข้าวของเครื่องใช้จำเป็นตอนนี้มันจะอยู่ได้นานเพียงใดหาก เราต้องตาม อังซูเรย์ เข้าไปใจกลางดงลึก” “นายหมายความว่าอย่างไรครับ นายจะล้มเลิกการตามมันก่อนแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่หรือครับ” พะตี้เย ทำหน้าสงสัย ทุกคนยามนี้ ก็สงสัยต่อแผนการของหัวหน้าคณะเช่นกันแต่ไม่มีใครเอ่ยปากอันใดคงปล่อยให้ หัวหน้าคณะและพรานนำทางสนทนากันเอง“ไม่ใช่อย่างนั้นพะตี้” พิทักษ์โบกมือห้าม “หากเราต้องกลับไปเริ่มใหม่ นั้นย่อมหมายความว่าเราล้มเหลวในภารกิจ อีกทั้งยังปล่อยให้อังซูเรย์ที่อยู่ในอาการบาดเจ็บหนีไปได้อย่างสบายอีกด้วย”“แล้วนายจะทำอย่างไรครับ” เขานิ่งอยู่นิดหนึ่งขมวดคิ้วกัดริมฝีปาก ตอบมาอย่างไตร่ตรอง “ฉันต้องการให้เราแบ่งเป็นสองทีม ให้ทีมหนึ่งจะขึ้นไปตั้งแคมป์ชั่วคราวเป็นสถานีหลัก พร้อมกับออกตามรอย อังซูเรย์ไปต่อเท่าที่ทุกอย่างจะอำนวย ส่วนอีกทีม ก็ให้รีบเดินทางกลับหมู่บ้าน กลับไปเอาของๆเราที่ทิ้งไว้ในตอนแรก มาสมทบกันนะจุดที่ตั้งแคมป์ ทุกคนคิดเห็นว่าอย่างไรนี้คือแผนการของผม เขากราดตามอง ไปยัง คณะเดินทางที่บัดนี้ นั่งรายล้อมเขาอยู่“ถึงจะเสี่ยงไปหน่อยที่ต้องแยกกันแต่ผมเห็นด้วย กับแผนการของคุณพิทักษ์เพราะไม่มีหนทางใดจะเข้ากับสถานะการของเราในตอนนี้ได้ดีกว่าแผนนี้อีกแล้ว” ชำนาญ เอ่ยขึ้นด้วยท่าขึงขัง “ณรงค์หละว่าไง” พิทักษ์ซัก ช่างเทคนิคพิเศษลูกครึ่งไทยอเมริกัน“กูด ไอเดีย ผมเห็นด้วย ผมเข้าใจว่าคุณคงจะคิดแล้วว่าจะแบ่งหน้าที่กันยังไงว่าใครจะอยู่ใครจะไป"พิทักษ์พยักหน้า “ครับผมคิดไว้แล้ว ถ้าไม่มีใครค้านต่อแผนการนี้ ผมจะแบ่งกำลังพลดังนี้” เขาขยับตัวในท่าขยับหันหน้าไปทางพรานพื้นเมือง กล่าวเสียงหนักแน่น “เริ่มจากพรานนำทาง คนที่จะสามารถตัดทางกลับถึงหมู่บ้านได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย คนๆนั้นจะต้องเป็นที่วางใจฉันได้ทุกสถานการณ์ คนๆคือ พะตี้เย ” คนถูกเอ่ยชื่อถึงกับสดุ้งและฉงนใจเป็นอย่างสุดเพราะ เขาไม่คาดคิดว่าพิทักษ์จะให้เขาไปทำภารกิจนี้ อันเนื่องจากเขาเป็นพรานนำทางอาวุโสสุดในคณะที่รับนำทางมา ไม่เพียงแต่ พะตี้เย แต่ทุกคนล้วนแต่สงสัย เพราะต่างคิดว่า พิทักษ์ จะมอบหมายภารกิจนี้ให้มะอีซา หรือ โอบาจิ แทน “ทำไมถึงเป็นพะตี้ละนาย” พะตี้เยถามไม่เต็มเสียงนักเขายิ้มเพราะรู้ความคิดในใจพรานเฒ่า ก่อนกล่าวหนักแน่น “ทุกคนฟังฉันก่อน เหตุผลที่ฉันให้พะตี้รับหน้าที่ กลับไปเอายุทโธปกรณ์และเสบียงกรังในครั้งนี้ ไม่ใช่พะตี้จะไปผู้เดียว แต่หากจะต้องมีนายจ้างไปด้วยที่อาจเป็น คุณชำนาญ หรือนายช่างณรงค์” พอเขาพูดถึงท่อนนี้ ชำนาญกับณรงค์ถึงกับเหลียวหน้ามองกันตากลมโตของชำนาญดูกลมใหญ่เข้าไปอีกเพราะเจ้าตัวเลิกคิ้วขึ้นสูง “ฉันต้องการพรานที่เก่งทุกด้านและไว้ใจได้ไปกับเขา เพื่อนำทางและช่วยดูแลคุ้มครองไปจนถึงหมู่บ้าน “ทำไมพวกนายจ้างอย่างเราต้องไปด้วยครับ” ณรงค์ สะกิดถาม พิทักษ์ ตบไหล่กำยำนั้นแล้วตอบคำถาม “หนึ่งคือผมต้องการให้มีคนที่ไว้ใจได้ไปกับเขา เพราะสัมภาระยุทโธปกรณ์ที่จะลำเลียงเข้ามา มันมีขั้นตอนหลายอย่าง เราจำต้องมีคนที่รู้เรื่องไปควบคุมดูแลขอให้คุณทั้งสองเข้าใจในด้านนี้นะครับ” เขาเว้นจังหวะแล้วหันมาทางพะตี้เย “ส่วน พะตี้เย ฉันอยากให้พะตี้เอาเรื่องราวที่คุณชำนาญยิงอังซูเรย์จนบาดเจ็บ ไปแจ้งแก่ชาวบ้าน บอกพวกเขาว่าพวกเรากำลังตามล่าอย่างกระชั้นชิด แต่เผอิญว่าเสบียงกรังและลูกปืนของเราร่อยหรอจำต้องกลับมาแล้วให้พะตี้ กะเกณฑ์ พรานที่เหลืออยู่ มาช่วยเป็นลูกหาบเอาสัมภาระของเราเข้ามา อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับอาวุธปืนกระสุน และอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ซึ่งแล้วแต่วิจรณะญาณของ นายจ้างคนที่จะไปเหมือนกันว่าจะเอาอะไรมาบ้าง ซึ่งคนที่ฉันเห็นว่า เหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุดคือ ชำนาญ” เขาหยุดพูดแล้วหันกลับมาดู ก็เห็นรอยยิ้มแห้งๆของชำนาญยิงกลับมา“ว่ายังไงครับ คุณชำนาญ พอจะไหวรึไม่.”“ได้เสมอครับ ผมยังไงก็ได้ ได้ออกไปเจอผู้คนบ้างก็ดี เจอแต่มนุษย์หนวดเคราพวกเดียวกันเบื่อจะแย่ละ” เขายืดอกบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ“แล้วอย่าไปนานนักหละ ดีไม่ดีไปหลงสาวชาวป่า ไม่กลับเอาลูกปืนมาให้เราละยุ่งเลย” ณรงค์เย้าเล่นหน้าคมแบบลูกครึ่งของเขา ยิ้มจนเห็นฟันสองแถว“ปูดโธ่ ถ้าจะหลงก็หลงแม่เสือสาวอังซูเรย์นี้แหละ แล้วจะรีบกลับมาคิดบัญชีพวกที่อยู่ก็ อย่าหักโหมหละ ระมัดวังตัวกันให้ดี” เขากล่าวยิ้มๆดวงตาเป็นประกาย เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของ สหายศึก “เอาหละเมื่อทุกคนเข้าใจต่อสถานการณ์ก็ดีแล้ว ฉันต้องการคนที่เป็นที่นับถือของชาวบ้าน เพื่อที่จะเป็นกำลังใจให้เขาและยังสามารถชักชวนผู้คนให้มาเป็นลูกหาบช่วยงานได้ ส่วนอีกคนก็มีหน้าที่ดูแลจัดการกับอุปการณ์สิ่งสำคัญ และไปเพื่อบกบอกว่าเราทำภารกิจหน้าที่ของเราได้อย่างดีที่สุด” เขากล่าวรวมๆ ทุกคนล้วนเห็นด้วยและพยักหน้าตาม“มีใครจะถามอะไรรึไม่” เขาถามพลางกวาดสายตา“นายแล้วงาช้างพวกนี้หละ” โอบาจิเป็นคนถามขึ้น ทำเอาทุกคนที่เกือบจะลืมว่าเมื่อคืนพึ่งผ่านศึกช้างบุกป่าแตกหันกลับไปดูกองซากช้างที่ตายเป็น กองทะเนินอยู่ห่างออกไป “ก็แล้วแต่พวกเราก็แล้วกัน แต่หากจะอาศัยกำลังพวกเราในตอนนี้เห็นทีจะไม่ไหว ให้พะตี้เย ไปบอกความกับชาวบ้านก็แล้วกัน ใครที่มาเป็นลูกหาบเรานอกจากจะได้ค่าจ้างแล้ว อะไรก็ตามที่มีค่าที่ได้มาในการเดินทางครั้งนี้เราจะปันให้รวมถึงงาพวกนั้นด้วย.พิทักษ์สรุปง่ายๆ พะตี้เยพยักหน้ารับคำ“เอาหละทุกคนแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนพะตี้เยและชำนาญให้ไปเตรียมสัมภาระในการเดินทางกลับ พร้อมแล้วค่อยมาหาผม”.......................................................................................ไม่นานคณะเดินทางก็พร้อม แสงแดดตอนสายจัดส่องทะลุร่มไม้ใหญ่ที่กางใบเป็นฉัตรสูงสง่า คณะเดินทางพร้อมหน้ากัน ทุกคนพร้อมที่จะเดินทางต่อ แม้แต่ลามูที่มีผ้าพันอยู่ครึ่งตัว เพราะไม่ได้สวมเสื้อเขามีความอดทนชนิดลูกป่าอย่างแท้จริง ลามู มักจะยิ้มแห้งๆเสมอเมื่อถูกถามถึงอาการ เวลาแค่คืนเดียวที่เหตุการณ์ต่างๆพากันประดังประเดเข้ามาให้คณะเดินทางต้องผจญภัยจนต้องเกือบแลกด้วยชีวิต ตั้งแต่โขลงช้างบุกยามดึก ต่อด้วยเสือสมิงร้ายที่คอยหมายจะเอาชีวิตคณะเดินทาง และสุดท้ายที่น่าหวาดใจที่สุดคือมันยิงไม่ตาย จนคณะเดินป่าต้องเปลี่ยนแผนการอย่างกะทันหันพิทักษ์ ยืนคอนไรเฟิล สูบบุหรี่อยู่ ส่วนชำนาญกับณรงค์ก็ยืนปรึกษากันไม่ห่างออกไป เมื่อพรานเฒ่าพะตี้เย สูบบุหรี่ใบตองแห้งหมดมวนแกก็แหงนหน้าดูพระอาทิตย์ “ได้เวลาแล้วนาย ประเดี๋ยวจะช้าไม่ได้การ” พรานเฒ่าเอ่ยหนักแน่น“อืม เอาละขอให้พะตี้โชคดี ดูแลชำนาญด้วย ขอให้พะตี้กะเกณฑ์พรานที่ไว้ใจได้มาด้วยนะจะกี่คนก็แล้วแต่ที่เขาสมัครใจ หรือแล้วแต่ชำนาญจะคิดคำนวณ”“คะรับนาย ขอให้นายดูแลตัวเองดีๆนะครับ แล้วพะตี้จะรีบกลับมา ส่วนแคมป์พักนั้น พะตี้ได้คุยกับมะอีซาแล้ว มันจะนำไปทางเหนือ ที่นั้น ร่มรื่นและปลอดภัย เหมาะที่จะเป็นแคมป์ระยะยาวได้ ส่วนเรื่องอังซูเรย์ ง่า..” พรานเฒ่าใช้ความคิดหนักแต่กลับไม่ว่าอะไรตัดบทเพียงแต่ว่า “ขอให้นายโชคดีครับ”ชำนาญกระชับเข็มขัดปืนสั้น .44 ที่คาดเอวให้แน่น แล้วรับปืนเมาเซอร์ 10.75จาก โอบาจิมายื่นให้พิทักษ์ “ถ้าคุณจะตามมัน คุณต้องใช้ไอ้โตนี่ ปืนกระบอกเล็กของคุณเอามันไม่อยู่ดอกแลกกันเถอะ” พิทักษ์ยิ้มสะพาย 30-06 กับไหล่แล้วรับ เมาเซอร์10.75 มาดู พลิกไปมาอยู่ชั่วครู่แล้วยื่นส่งกลับให้เจ้าของ ชำนาญทำหน้างงๆ “ผมรับไม่ได้หรอกครับคุณชำนาญ ทางนี้มีปืนอยู่หลายกระบอก คุณสองคนมีแค่ อีแฝดกับไอ้โตๆที่คุณตั้งชื่อให้นี้ ถ้าผมรับเจ้าโตของคุณเห็นทีจะเอาเปรียบเกินไป คุณเก็บไว้เถอะ” “ไม่เอาแน่นะ” เขารับปืนมาแล้วถามย้ำ“แน่ครับ” พิทักษ์ยิ้ม“ชำนาญยิ้มพยักหน้า แล้วผมจะเอายอดรักของคุณมาฝาก คอยก่อนแล้วกันเอาหละขอให้โชคดีทุกคน”“โชคดีครับ เอาของมาแต่เท่าที่จำเป็นเท่านั้นนะชำนาญ เราไม่ได้จะไปรบกะใคร” เขาไม่ตอบ แต่ยกมือแตะปีกหมวกสักหลาดเหมือนวันทยาหัตมาให้ เขาตบไหล่พยักพร้อมกับหน้าให้พะตี้เย แล้วทั้งสองก็โบกมือให้ทุกคนที่ยืนอยู่ ก่อนจะหันหลังเดินดุ่มๆผ่านซากช้างตัดเข้าข้างลำห้วย ลับตาไป ทิ้งคณะเดินทางให้บังเกิดความรู้สึกแปลกๆที่บุคคลทั้งสองที่แยกจากไป แม้รู้ว่ามันจะไม่นานก็ตาม “มะอีซา” เขาเรียก “ครับนาย” ร่างพรานกะเกรี่ยงหนุ่ม ก้าวฉับออกมาเบื้องหน้าเขา “เริ่มเดินทางแกะรอยตามจากที่ๆมันล้ม” คณะเดินทาง เริ่มออกเดินทางจากจุดที่อังซูเรย์ล้มแล้วลุกหนีไป รอยมันเดินลากหางไปเห็นได้ชัด เพราะขนาดตัวและน้ำหนัก มันเดินผ่านขึ้นเนินต่ำๆและ ตัดลงห้วย มะอีซาแกะรอยตามและอธิบายให้คณะนายจ้าง อย่างละเอียด มันบ่ายหน้าขึ้นเหนืออย่างเห็นได้ชัดเพราะตลอดเวลามันไม่มีทีท่าว่าจะเบนหัวไปทางไหนเลยแล้ว แต่แล้วรอยของมันมาขาดหายไปในช่วงโค้งของลำห้วยแห่งหนึ่งหลังออกเดินมาได้กว่าสองชั่วโมง “รอยมันลงห้วยไปนาย น่าจะขึ้นทางฝากโน้น” มะอีซะพูดขณะคุกเข่าเอาน้ำลูบหน้า “จะหลงรอยหรือไม่”เขาเผลอถามออกมาโดยที่ไม่ทันได้คิด มะอีซาเหลียวหน้ามองอย่างสงสัย เพราะตลอดเวลานายจ้างผู้นี้ไม่เคยแสดงความอ่อนหัดหรืออะไรที่ไม่เป็นสาระให้ลูกจ้างเห็นเลย แต่อาจเป็นเพราะเขาต้องใช้สมองและร่างกายอย่างหนักก็ได้ในช่วงนี้ทำให้เขาดูแปลกๆไป “ไม่หลงดอกนาย เพราะมันต้องขึ้นฟากโน้นแน่หากจะหลงก็ ไม่นานคงตามได้” เขาตอบโดยซ่อนและปล่อยความรู้สึกนั้นไปเสีย “งั้นดีรีบตามต่อเลย”เขาตอบ ขณะที่เขาจะก้าวต่อนั้นมือ กำยำของใครบางคนก็เหนี่ยวแขนเขาไว้ เขาชะงักพลันหันกลับไปมอง โอบาจินั้นเอง ขณะกำลังจะอ้าปากถาม โอบาจิก็หันกลับไปดูเบื้องหลัง เป็นสัญญาณให้พิทักษ์ มองตาม ลามูนั้นเอง พิทักษ์เห็นมันนั่งหน้านิ่ว มือกุมแผลที่หน้าอก โดยมี ณรงค์กำลังฉีดยาแก้ปวดให้“อาการเป็นอย่างไรบ้างลามู” เขาเดินไปถามลามูไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มแห้งๆหน้านั้นซีดเซียว แต่ก็มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มวง“เขาควรจะนอนพักรับน้ำเกลืออีกสักหน่อย มันเร็วเกินไปสำหรับร่างกายของมนุษย์ที่จะออกเดิน” ณรงค์ตอบมาหน้าเครียด “พอจะไปต่ออีกหน่อยไหวรึไม่”“ได้อยู่แต่ไม่น่าจะไกลนัก” พิทักษ์ ลุกขึ้นเดินกลับไปยืนซุบซิบกับมะอีซาครู่ก็กลับมา คุกเข่าลงจับแขนลามู พูดขึ้น “แข็งใจอีกหน่อยลามู มะอีซาบอกว่า ที่พักที่หมายตาไว้ของ พะตี้เยอยู่ห่างออกไปจากนิดเดียวมันอยู่เยื้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างนี้ไปแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงเอง ทนอีกนิดไหวรึไม่”“ไหวครับนาย พอได้ยาแก้ปวดก็ดีขึ้นหน่อย แต่มันตึงๆระบมไปหมด”“มันกำลังอักเสบนะสิ ดีไม่ดีอาจติดเชื้อ” ณรงค์กล่าวทับมา“เอาเถอะเรารีบเดินทางกันก่อน นี้ก็บ่ายกว่าละถึงโน้นจะได้พัก วันนี้คงไปใหนได้ไม่ไกล” เขาฉุดแขนประคองลามูขึ้น มะอีซาออกนำทางอีกครั้งตัดทางขึ้นทาง ขวาของลำห้วย โดยเลือกเอาทางด่านช้างเก่าที่ทำให้เดินอย่างสะดวกกว่าการบุกพงตามรอยสัตว์ คณะเดินทางทำเวลาได้ช้าลงกว่าเดิมมากเพราะต้องคอยดูอาการของลามู ที่บัดนี้มีร่างใหญ่ของณรงค์ประคองอยู่ โอบาจิก็เข้าไปช่วยอีกแรง คงปล่อยให้หน้าที่นำทางและคุ้มกันเป็นของ มะอีซากับ พิทักษ์สองนายบ่าว ขณะจะตัดผ่านทางเลี้ยวของโค้ง มะอีซาที่เดินอยู่ด้านหน้าห่างออกไปประมาณ 20 เมตรก็พลันยอบตัวลง ทุกคนหยุดชะงักและย่อตัวลงมองไปที่มะอีซะเป็นจุดเดียว มะอีซา เอานิ้วโป้งแตะข้อนิ้วชี้ตรงกลาง งอนิ้วเป็นเขาเล็กๆสวมบนหัวหันหน้ามาทางพิทักษ์ พลัลมีเสียง เอิ๊บๆดังในพงรกไม่ห่างไปนักข้างหน้า แม้จะตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ พิทักษ์ก็ อดที่จะขำไม่ได้เพราะมะอีซานั่งยองๆแล้วทำเขาเล็กๆบนหัวมันช่างดูน่าตลกเสียกระไร พิทักษ์ มือเป็นสัญญาณตอบว่าเข้าใจแล้วเขาทำสัญญาณให้มะอีซาโอบไปทางซ้าย ณรงค์วางลามูลงแล้วขยับขึ้นมาสมทบเขา “อะไรเขากระซิบ” “เก้งครับอยู่ข้างหน้านี้เอง มะอีซากำลังโอบเข้าไป” พิทักษ์กระซิบตอบผ่านไรฟัน ณรงค์พยักหน้ารับ แล้วค่อยๆย่องไปทางขวา พิทักษ์ค่อยๆย่องไปเช่นกันแต่ก็ต้องหยุดเมื่อมะอีซาทำสัญญาณมือชี้โบ้เบ้ส่งมา พลันเขาก็เห็นมะอีซาประทับปืน ในพงหญ้า และเหนี่ยวไกตูม!!เสียงลูกซองดั่งสั่นป่า ฝูงไก่ป่าและนกบินกระจาย เก้งรุ่นๆฝูงหนึ่งวิ่งพรวดออกมากลางด่าน พิทักษ์หมายตาอยู่ก่อนแล้วเขาเล็งตามแล้ว เค้นไกปืน ลูกกระสุนของ 30-06 ประทับตรงเป้าหมายอย่างถนัดถี่ เก้งขนาดย่อมๆตัวหนึ่งกระเด็นตามแรงปืน มันล้มคว่ำลง ณรงค์ลดปืนลงเขาไม่ได้ยิงออกไป สักนัดเขาใส่ห้ามไก่และยิ้มๆให้กับพิทักษ์ “เย็นนี้ได้เนื้อสดสมใจแล้วนะ” “ก็ว่าอยู่นึกว่าจะได้สอยลิงกินค่างสะแล้วเขาตอบ” ทั้งคู่เดินไปที่ ซากเก้งเคราะห์ร้ายตัวนั้น กระสุนเข้าตรงซอกขาหน้าพอดีรอยตีคว้านทะลุออก เป็นแผลเหวะหมดสิทธิ์แม้แต่จะวิ่งมะอีซาเดินยิ้มออกจากพงมาสมทบ บนบ่าแบกลูกเก้งมาอีกตัวขนาดไม่ใหญ่นัก “ทีแรกว่าจะรอให้นายไปยิง แต่กลัวมันตื่นเลยเลือกยิงไอ้ตัวเล็กนี้แหละ ไม่คิดว่าจะพากันหนีมาเข้าทางนาย ได้อีกตัว อิ่มกันได้หลายวันอยู่” มะอีซายิ้มแก้มปริพูดมา “เอาเถอะช่วยกันแบกไปละกัน”ณรงค์ว่า โอบาจิผละจากลามูมา โยนไอ้ตัวใหญ่ขึ้นหลังสบายๆ แม้พิทักษ์จะขอช่วยก็ตาม ส่วนมาอีซาสะพายเก้งน้อยขึ้นหลังเดินตัวปลิว ออกนำทางต่อไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนก็มาถึงจุดหมาย เป็นเชิงผา ที่มีเวิ้ง ถ้ำตื้นๆอยู่พอที่จะหลบเป็นที่กำบังลมฝนได้อย่างดี รอบด้านเป็นป่าไม้ใหญ่ขึ้นเบียดเสียดดูคล้ายกำแพงธรรมชาติ ไม่ห่างด้านหน้าสักเท่าไหร่เป็นแก่งห้วยตื้นๆน้ำใสแจ๋ว มันเป็นที่ๆสดใสดูมั่นคงปลอดภัยเหมาะเป็นที่พักอย่างยิ่ง สมกับเป็นที่ๆพะตี้เยหมายตาไว้ เพราะถ้าจะมีอะไรเข้ามามันต้องผ่านลำห้วยมาและชาวคณะจะต้องรู้ตัวก่อนแน่ พื้นถ้ำที่อยู่ด้านในสุด มันลึกไม่เกิน 7-8 เมตร ด้านตันเป็นขดกลมเรียบดูคล้ายเป็นวังวนน้ำธรรมชาติกัดเซาะสรรสร้างขึ้นผ้าใบปูพื้นถูกกางปูคลุม ณรงค์ให้ลามูนอนพักทันที พร้อมกับการที่ตนต้องจัดการกับแผลที่เริ่มจะอักเสบนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสามกว่าๆ พิทักษ์สั่งให้ก่อไฟ จัดการหุงหาอาหารทันทีเพราะพวกเขาพลาดมื้อเที่ยงมาแล้ว ความหิวโหยของกระเพาะมันช่างรุนแรงเมื่อร่างกายต้องใช้แรงหนักอยู่ตลอดเวลากองไฟหลายกอง ถูกก่อขึ้น เก้งทั้งสองตัวถูกชำแหละ ด้วยความชำนาญ ตัวเล็กนั้นถูกมะอีซาเสียบไม้ย่างทั้งตัว ส่วนตัวใหญ่ถูกโอบาจิ เฉาะเลาะย่างสำรองและปิ้งแบบเสียบไม้ ไม่นานนัก เก้งน้อยทาเกลือตัวนั้นก็ได้ที่ มันส่งกลิ่นหอม กรุ่น น้ำมันหยดลงฉ่าๆ ชวนน้ำลายไหล ท้องที่ร้องอยู่แล้วยิ่งร้องหนักเข้าไปอีก ขณะนี้ทุกคนยกเว้นลามูที่นอนสลบเพราะฤทธิ์ยาล้วนมานั่งจ๋องล้อมวงเก้งย่าง ที่เสียงน้ำมันตกฉ่าๆสีเหลืองอ๋อย ณรงค์รอไม่ไหวยัดเนื้อปิ้งที่สุกบ้างไม่สุกบ้างเคี้ยวหยับๆ ทุกคนก็เริ่มจัดการตามข้าวสวยจากหม้อสนามที่พอแบ่งใส่กันแล้ว ได้แค่คนละไม่ถึงทัพพี แต่ไม่มีใครสนใจนักถึงข้าวจะหมดแต่ก็ยังพอมีเนื้อกิน พิทักษ์ส่งมีดโบวี่ให้มะอีซาเชือดขาเก้งย่างลงทั้งขาใส่ใบตองม้วนไว้ เอาไว้ให้ ลามู เขาว่า ทุกคนยิ้มไม่มีใครพูดแต่สายตาที่แสดงออกนั้นเคารพต่อหัวหน้าคณะสุดใจ แม้แต่ณรงค์เองก็ตามเอ้า!!ทุกคนเริ่มกันเลย เขาว่าไม่นานเก้งย่างตัวนั้นก็เหลือแค่กระดูก ทุกคนนั่งคุยนั่งแทะกัน วางแผนการเดินทางการตามรอย จนเวลามืดลง กาแฟที่ยังพอมี ถูกงัดจากกระเป๋าออกมาตั้งไว้ สำหรับพวกอยู่ยาม พิทักษ์ ขออยู่ยามแรก ต่อด้วยณรงค์ โอบาจิ และมะอีซาจนถึงเช้า ทุกคนต่างผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย เพราะความอ่อนเพลีย แม้แต่พิทักษ์ก็ยังมีสัปหงก จนต้องลุกไปเติมไฟรอบๆอยู่บ่อยครั้ง พระจันทร์ข้างขึ้น ส่องแสงนวลๆ เสียงนกยามวิกาลส่งเสียงร้องรับกัน สรรสัตว์ทั้งหลายทั้งจตุบทวิบาทต่างขับขานเสียงกันในราตรี เขาสุดหายใจหวนคิดถึงตนเองคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ คิดถึงโลก ศิวิไล ในยุโรปคิดถึงสงครามคิดถึงอนาคตของตัวเอง แต่พลันต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อ มีเสียงเสือคำรามขึ้นห่างออกไป มันดังอ้าววว หึ่ม และเสียก อ๊อคๆ ในลำคอ ทันทีที่เสียงกัมปนาทของเจ้าป่าแผดขึ้นเสียงทุกอย่างก็พลันเงียบลง จากนั้นไม่นานมันก็เริ่มเซ็งแซ่ขึ้นอีก เขายิ้มมันคงเรียกหาคู่มัน ป่าก็เป็นเช่นนั้นเอง แล้วในราตรีนั้นทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปอย่าดุษฎี พิทักษ์ตื่นขึ้นในเช้าของวันนี้ด้วยการปลุกของ มะอีซา เขาได้รับรายงานว่า ทุกยามเรียบร้อยดี ลามู ลุกขึ้นมากินอาหารตอนเวรของโอบาจิและหลับต่อ ดูท่าเช้านี้อาการค่อนข้างจะดีขึ้นแต่ณรงค์ยังให้ความเห็นว่าไม่ควรจะเดินทาง พิทักษ์ให้ความเห็นว่าเขาและมะอีซาจะตามรอยอังซูเรย์ต่อจากเมื่อวานโดยจะตัดทางไปให้เร็วที่สุด เขาอยากให้ณรค์อยู่ดูอาการลามู กอนโดยมีโอบาจิเป็นเพื่อนอีกคน “คุณจะตามมันไปไกลแค่ไหน” ณรงค์ถามสีหน้าเคร่ง“ไม่แน่ใจแล้วแต่เหตุปัจจัยอื่นๆ ถ้ามันหนีไปไกลลิบก็คงต้องย้อนกลับมารอพวกเรา แน่ผมแน่ใจว่ามันคงไปไม่ไกล” “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น” ดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นส่อแววฉงนพิทักษ์ ไม่สบตาตรง เหลือบมองไปยังขุนเขาไกลลิบสีฟ้าทะมึน “ผมมีลางสังหรณ์แบบนั้น.“ลางสังหรณ์ ณรงค์ขมวดคิ้วทวนคำ”“ใช่ เมื่อคืนผมฝันแปลกๆ ในฝันผมเห็นมันเจ็บจนทนไม่ไหว มันนอนทรุดและรอความตายจากเรา”“ผมไม่แทบไม่เชื่อเลยว่าคุณเชื่อเรื่องโชคลางอะไรแบบนี้ด้วย” ณรงค์ถามทำหน้าฉงนเขายิ้มจนเห็นไรฟัน ตอบมาเบาๆ“ตั้งแต่เข้าป่านี้มาอะไรที่เราไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละ ขนาดเสือใหญ่โดนกระสุนขนาด 10.75 เต็มๆสองเม็ดมันยังลุกหนีไปได้ ลูกปืนขนาดนั้น แม้แต่ช้างโดนเข้าไปคงมีหงายหลัง อย่านับประสาอะไรกับเสือเลย”ณรงค์พยักหน้าลงกับเหตุผล………………………………………………………………ไม่สายนักหลังจากเตรียมตัวกันเสร็จ พิทักษ์กับมะอีซาก็ออกเดินทาง ทั้งคู่ก้าวฉับๆอย่างแข็งแรงลัดเลาะมาตามทางด่าน พิทักษ์ กระชับ ไรเฟิล เอฟเอ็น .375 แม๊กนั่ม ของณรงค์ที่เขาคะยั้นคะยอให้เปลี่ยนมา พิทักษ์มี .44 แม๊กนั่มติดที่ซองปืนข้างเอวด้านขวา ส่วนด้านซ้ายมีโบวี่ขนาด 9 นิ้วแขวนอยู่เยื้องมาด้านหลังเล็กน้อยแม้จะเกะกะบ้างแต่มันก็ทำให้อุ่นใจเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันต่างๆเพราะเขาหาใช่คนประมาทต่อเหตุการณ์ บุคคลทั้งคู่ ใช้เวลาไม่เกินชั่วโมงก็กลับมาถึงบริเวณที่มะอีซาต้องค้นหารอยของสมิงร้าย แม้จะล่วงเวลาไปนิดแต่ก็ไม่เกินความสามารถในการแกะรอยของพรานหนุ่ม อังซูเรย์ ขึ้นฝั่งบ่ายหน้าขึ้นเหนือ รอยมันบุกลัดพงประเดี๋ยวขึ้นมอบลงมาบ หนทางล้วนทะรุกันดานแต่ก็เต็มไปด้วยความทรหด ไม่นานสภาพอากาศก็ดูจะเลวร้ายลง มืดฝนเคลื่อนตัวเป็นพยับปกคลุมมืดครึม เสียงฟ้าคำรามร้องเปรี้ยงปร้าง ลมพายุปั่นตัวอย่างรวดเร็วกรรโชกเอายอดไม้ใหญ่ให้ลู่เอนต่ออำนาจพระพาย เสียงลั่นของไม้ยูงยางสูงลั่นเอียดอาด และฝนที่พึ่งตั้งเค้าก็เทสาดกระหน่ำลงมาอย่างหนัก พิทักษ์และมะอีซาพากัน วิ่งตะลุยฝนเม็ดเท่านิ้วโป้ง เข้าหาที่กำบัง เสียงฟ้าฟาดเปรี้ยง ไม้ใหญ่ก็หักโคนลงมาอย่างแรง หวิดร่างมนุษย์ตัวกระจ้อยร้อยทั้งสอง “หาที่สูงก่อนเร็ว” พิทักษ์ตะโกนกรอกหู มะอีซา เพราะที่ผ่านมา ทั้งคู่เดินเลาะริมห้วยมาโดยตลอด น้ำสูงเท่าหน้าแข้งถ่วงให้การวิ่งช้าลง เมื่อเลาะขึ้นมาถึงริมตลิ่งหนึ่งเหนือระดับน้ำที่ลึกและเชียวกราก มันสูงเกินระดับที่จะปีนขึ้นได้ มะอีซาทำมือประสานให้พิทักษ์เหยียบโจนขึ้นไป เขาขึ้นโหนตัวไปยืนบนโคนไม้ใหญ่ที่แห้งตายนั้น คัดลูก.375 ออกแล้วส่งด้ามปืนที่มีสายสะพายให้มะอีซะโหนตัวตามขึ้นมา ขณะเหวี่ยงตัวนั้น พายุที่พัดมาอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น หอบกระชากกระแทกเอาไม้ที่สูงชะลูดแต่กรอบแห้งนั้น โค่นสะบั้นเสียงดังลั่น พูรากขนาดใหญ่ที่พิทักษ์ยืนคร่อมอยู่นั้น เหวี่ยงกระชากอย่างแรงตาม การล้มนั้นผลคือ ร่างของพรานหนุ่มชาวกรุง ลอยกระเด็นตามแรงเหวี่ยง ร่างเขาลอยละลิ้วลงบนไม้พุ่มเตี้ยชนิดหนึ่งเมื่อถึงพื้นสติดับวูบไปทันที ส่วนมะอีซาเมื่อพิทักษ์หลุดมือจากไรเฟิลที่ดึงกันอยู่ก็หงายหลังตูมลงในลำห้วยนั้นร่างสูงโปรงปลิวไปกับกระแสน้ำที่พาพัดออกสู่ลำห้วยใหญ่ สติก็ขาดดับไปเช่นกันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเท่าไหร่ไม่ทราบ พันโทพิทักษ์ อัครเศวตวงค์ รำรึก สติรวบรวมความรู้สึกขึ้น เสียงอื้ออึงในหูเบาบางลง ความรู้สึกปวดที่ต้นคอและท้ายทอย รวมถึงแขนขาที่ร้าวไปหมด เขาจำได้ว่าล่าสุดยืนอยู่บนรากไม้ที่ต้นมันล้มลง และมันเหวี่ยงเขาลงมาตกที่ไม้พุ่มเตี้ยหนา ทำให้ร่างกายไม่แหลกเละไปแต่ก็ทำให้เจ็บขัดไม่น้อย “มะอีซา” เขาเอ่ยออกมาเป็นประโยคแรกผ่านลำคออันแหบแห้ง เมื่อหวนคิดถึงพรานหนุ่มที่หล่นลงไปในลำห้วยเชี่ยวแรง เขาไม่อยากคิดภาพต่อได้แต่หยีตาหลบแสงจ้า เสื้อผ้ายังหมาดอยู่แสดงว่าเขาสลบไปยังไม่นานเท่าไหร่นัก หัวหน้าคณะยันกายลุกขึ้นสูดปากซี๊ดเพราะความเคล็ดขัดยอก เมื่อสำรวจร่างกายว่าทุกอย่างยังอยู่ครบ ก็พอให้ใจชื้น กระเป๋าเป้ก็ยังอยู่ติดหลัง มีด ปืนสั้น ขาดก็แต่ไรเฟิลที่หลุดติดไปกับมะอีซา แววตาสีน้ำตาลเข้มนั้นสลดลงแต่ก็เกิดประกายแห่งความมุมานะเด็ดเดี่ยว เขาเดินเลี่ยงแม่น้ำใหญ่ที่โค่นล้มไปทางเหนือ เพราะแม่น้ำสายใหญ่ที่เชี้ยวกรากนั้นเป็นคนละแม่น้ำกับที่เขาเดินตามมา แม่น้ำที่เขาทวนขึ้นมาเป็นแม่น้ำสายเล็กที่ไหลจากเหนือลงใต้ แต่แม่น้ำสายใหญ่จะไหลจากเหนือไปตะวันตะตก พิทักษ์ ถอด.44 แม๊กนั่มจากซองมากุมไว้ อย่างน้อยก็ไม่เดินตัวเปล่า เขาขึ้นมาทางเหนือพ้นกอหนามที่ขึ้นอยู่ประปราย เมื่อพ้นดงหญ้าริมน้ำเขาก็ทะลุออกมาถึงแก่งทรายสีขาว น้ำใสตื่นๆไหลเอื่อยๆเหมือนว่าที่ผ่านมาไม่เคยเกิดพายุขึ้นฉะนั้น เขาล้วงกระติดออกมาเติมน้ำดึ่มเสียอึกใหญ่แล้วเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม ขณะจะหันตัวกลับนั้นสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้ทำใจของเขาแทบหยุดเต้น ห่างออกไปไม่เกิน 50 เมตร ร่างขาวโพลนร่างหนึ่ง เหยียดยาวอยู่กับพื้นทราย กลางหมู่หิน สีขาวผ่องของลำตัว ตัดกับหินสีสันสดใสรอบตัว มันเป็นร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาว เขาขยี้ตาแรงๆตั้งสติแล้วสืบท้าวก้าวเดินไปเบื้องหน้าในระยะไม่เกิน10เมตร ร่างงดงามนั้นนอนคว่ำหน้าตะแคงกับพื้น สะพวกกลมกลึงรับกับปลีขาขาวราวกับหยวก ขณะจะก้าวเข้าไปดู เสียงของพะตี้ซู ก็แว่วเข้ามาในหัว ‘อย่าเชื่อในสิงที่นายเห็น’ เขาชักงัก .44 แม๊กนั่มในมือง้างนกลั่นกริ๊ก ศูนย์เล็งนิ่งตรงไปยังร่างที่นอนอยู่นั้น เขาค้างเติ่งอยู่เช่นนั้น เป็นเวลานาน ก่อนจะลดปืนลงเห็นเป็นคนแท้ๆยิงได้อย่างไร เขาเป็นสุภาพบุรุษเกินกว่าจะทำเช่นนั้นก้อนหินขนาดกำปั้นถูกเขาโยนไปใกล้ๆร่างนั้นมันคงไม่ไหวติงเขาค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ มือขวากำปืนแต่มือซ้ายกำสมเด็จวัดระฆังที่ห้อยคออยู่ ‘เอาวะตายเป็นตาย’ เขาตัดสินใจเข้าใกล้ที่สุดจนถึงตัว ร่างขาวโพลนนั้นนอนคว่ำหน้าหายใจรวยริน เขาลดนกสอดปืนเข้าข้างเอวจึงค่อยๆพลิกร่างนั้นเข้ามาในอ้อมแขน ทันที่ร่างงามถูกพลิกขึ้น เสียงคำรามโฮกก็ลั่นขึ้น มันเป็นเสียงเสือดีๆนั้นเองเพียงแต่มันเปล่งจากคำคอเล็กๆนั้น พิทักษ์ตกใจแทบสิ้นสติ ร่างน้อยๆนั้นผลักอกเขาจนถลาจากท่านั่ง หล่อน ถอยหลังกรูดไป ยันกายกับพื้นส่งเสียงขู่ฟ้อมา เมื่อกี้มันเป็นเสียงเสืออยู่แต่ตอนนี้มันไม่ต่างจากเสียงแมว หล่อนพยายามจะยันกายขึ้นแต่ดูเหมือนร่างนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ล้มเผละลงมาอีก มือของพิทักษ์ที่กำด้ามปืนนั้นยกมือขึ้นปลอบเธอเบาๆ ซู่...เขาทำเสียง จากปาก เขาส่งสายตาไปหาเธอพร้อมกับขยับมือว่าเป็นมิตรไม่ได้จะทำร้าย หล่อนเอียงคอจ้องเขานิ่งแล้วฟุบลงกับพื้นเคราะห์ดีที่พิทักษ์โดดไปรับทัน ก่อนที่หัวน้อยๆนั้นจะฟาดกับแง่งหินคม เขาถอนหายใจเฮือก ‘นี้กูกำลังทำอะไรอยู่กันแน่เขาถามใจตัวเอง’ แน่หละไม่มีใครตอบ พิทักษ์ ช้อนร่างบอบบางขึ้นอุ้ม แม้ตัวเขาจะยังเจ็บอยู่แต่สถานการนี้มันต้องเป็นเขาแล้วหละ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาต้องช่วยเธอเหมือนกันเขาอุ้มหล่อนเข้าหาโคนไม้ใหญ่ที่หมายตาไว้ พอทำท่าจะวางลงตาก็เหลือบไปเห็นหาดทรายด้านมุมโน้น มีชะง่อนผาอยู่ เขาชั่งใจเอาวะอีกนิดเดียวอย่างน้อยก็ดีกว่าตรงนี้ พิทักษ์อุ้มสาวน้อยนิรนามลุยน้ำลึกครึ่งแข้ง ตัดข้ามมายังหาดทรายสีขาวใต้ชะง่อนผาโชคดีที่เป็นเวิ้งถ้ำถึงขนาดไม่ใหญ่นักดูเล็กกว่าที่เขาเคยพักกับคณะเดินทาง แต่ก็มั่นคงอบอุ่นและปลอดภัย เขาบรรจงวางร่างงดงามนั้นลงกับพื้นถ้ำนั้น แล้วรื้อค้นกระเป๋าเป้เดินป่าแบบกันน้ำราคาแพง ในนั้นมีชุดเดินป่าชุดใหม่ของเขา และอุปการณ์ต่างๆรวมถึงบุหรี่ที่ยังอยู่ดีแบบไม่เปียกฝนจากพายุเพราะเป้นั้นสามารถกันน้ำฝนได้อย่างสบายแต่หากต้องแช่น้ำละก็มีแต่กันน้ำออกสถานเดียว เขาเหลือบมองร่างงามที่นอนหงายอยู่ แววเดียวก็รีบหันกลับมา ทรวงอกเต่งตระหง่านทำเอาสุภาพบุรุษชาตินักรบ หน้าแดง เขาบรรจงเอาเสื้อซาฟารีเดินป่าปิดคลุมท่อนล่างอันเปลือยเปล่าแล้วเอาแจ๊กเก็ตฟิล แบบบางที่มักสวมนอนปิดห่มทรวงอกงามนั้น เขาถอนหายใจฟู่ แอบมองหล่อนอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกมาตากเสื้อผ้าตนที่เปียก แล้วชัดมีดแกว่งไปมาหน้าถ้ำ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ