ท่อนฟืนขนาดต่างๆที่พิทักษ์หาตัดมาถูกวางกองพะเนินอยู่หน้าถ้ำ บางส่วนถูกก่อเป็นไฟแล้ว มันลุกวอมแวมสาดสะท้อนผนังถ้ำนั้น
เวลาตอนนี้มืดลงสนิทแล้ว เสียงน้ำไหลยังเอื่อยๆเบาๆพอฟังเพลิน พิทักษ์นั่งอยู่หน้ากองไฟนานๆจะเหลียวไปดูร่างปริศนานั้นที เขาลอบสังเกตพิเคราะห์ ใบหน้างดงามนั้น มันเป็นใบรูปไข่สวยงาม แก้มสีชมพู คิ้วเรียวงามเข้ม ขนตายาว จมูกเล็กๆโด่งเชิดขึ้นปากริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ นี้หรือที่เขาว่าปากเล็กจมูกน้อย เอาแอบคิดในใจ สวยยังกับนางฟ้า ไฉนมานอนสลบในป่า เธอเป็นใครกันแน่นะเขาสงสัย
ร่างน้อยๆพลิกตัวกระชับเสื้อแจ๊กเก็ดฟิลแน่นขึ้น เธออยู่ห่างกองไฟคงจะหนาว พิทักษ์ ชั่งใจลองสะกิดเธอเบาๆได้ผลเธอลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาแบบงุนงง จากนั้นพรวดพราดลุกนั่งกอดเข่าติดผนังถ้ำ ร่างน้อยๆสั่นเทาด้วยความสับสนและความกลัว พิทักษ์ส่งเสียงปลอบเบาๆ ทั้งภาษามือที่แกว่งไปมาอยู่ครู่ ดูเธอสงบลง เธอเอียงคอน้อยๆจ้องดูเขา “เธอชื่ออะไร??” เขาถาม ไร้คำตอบจากใบหน้าสวยหวาน และดวงตาคมโตนั้น
“หิวไหม” เขาถามอีกแต่เธอก็ทำหน้าสงสัย ไม่ได้ตอบแต่อย่างใด “หนาวหรอใช่ไหม” เขาซักอีกพร้อมกับเอามือกอด อก ได้ผลเธอกอด อกเหมือนกัน เพราะตอนเธอพรวดพราดออกไปแจ๊คเก็ตกับเสื้อซาฟารีที่เขาคลุมให้ยังกองอยู่ที่เดิม
เขาค่อยๆขยับเข้าใกล้เธอ พิทักษ์หยิบ แจ๊กเก็ตที่หล่นบนพื้นยื่นให้เธอแล้วพูดว่า “หนาว” เธอกระพริบตาแล้วพูดตามเขาว่า “หนาว”
“ใช่หนาวเขา” พูดย้ำ
แล้วบรรจงเอาเสื้อตัวนั้นห่มให้เธอที่นั่งกอดเขาอยู่ “หนาว” เธอพูดอีก พิทักษ์เริ่มจับสังเกตบางอย่างได้ ‘เธอคงจะพูดภาษาไทยกลางไม่ได้แน่’ “ถ้าหนาวอีก มาทางนี้สิ” เขากวักมือเรียก “ไฟ” เขาพูดหล่อนนิ่ง “ไฟ” เขาย้ำอีก ทีนี้หล่อนพูดตาม “ไฟ” เยส พิทักษ์แอบดีใจเบาๆ เขาขยับเข้าใกล้หล่อน แล้วลองยื่นมือไปหาหล่อนไม่หลบ เขาคว้าข้อมือเรียวเล็กข้างนั้นได้ ค่อยออกแรงดึงเบาๆหล่อนยอมขยับตัวตามออกมาโดยดี และไม่ลืมที่จะหอบเสื้อกันหนาวตัวนั้นมาด้วย เขาเอามือหล่อนไปอังไฟ “ไม่หนาว” เขาพูดแล้วยิ้ม “ไม่หนาว” ทีนี้หล่อนพูดตามเสียงชัดเจน “ใช่ไม่หนาวแล้ว” เขาหัวเราะเบาๆ คราวนี้หล่อนยิ้ม ฟันเขี้ยวคู่นั้น ดูขาววับในปากงามนั้น มันดูเก๋สวยเหลือเกินพิทักษ์บอก กับตัวเอง “หิวไหม” เขาถาม แน่นอนว่าหล่อนพูดตาม “หิวไหม” เขาหันหลังกลับไป งัดซุปเนื้อกะป๋องที่มีเตาอุ่นในตัวออกมา สองกระป๋อง เขาจุดแอลกอฮอลอุ่นจนซุปนั้นเดือดส่งกลิ่นหอมหล่อนมองตามตาแป๋วอย่างสนใจ เอามือทั้งสองวางตรงหน้าแล้วชะโงกตัวมาดู ปทุมถันทั้งคู่เบียดอัดเต่งตึง จนพิทักษ์ทำอะไรไม่ถูก เขาส่ายหัวพูดว่าหนาว แล้วจัดการเอาเสื้อซาฟารีใส่กัดกระดุมให้หล่อน หล่อนยอมทำตามอย่างว่าง่ายซุปที่ร้อนๆอุ่นกำลังพอดี เอาหยิบช้อนเล็กๆที่ติดมาด้วยยื่นให้หล่อนถือไว้ เขาพูดว่า “ช้อน” หล่อนไม่พูดแต่เอียงคอยิ้ม “อ้าว คราวนี้ไม่ยักกะพูดตามแฮะ ยังไงกันละนี้” พิทักษ์พูดงงๆ “ดูนี้นะ” เขาบอกหล่อนแล้วเอาช้อน ตักซุปเนื้อ ที่ค่อนข้างเละขึ้นมาเป่าแล้วเอาเข้าปาก หล่อนยังไม่เข้าใจหรือยังไงก็ไม่ทราบก็ยังนั่งนิ่ง พิทักษ์จับมือหล่อนข้างที่ถือช้อนเก้ๆกังๆนั้นตักซุป ขึ้นมาเขาเป่าให้หล่อน อะเมื่อส่งช้อนเขาใกล้หล่อนก็ทานได้ เมื่อทานคำแรกเข้าไปหล่อนทำท่าคิดอะไรครู่แล้วก็ยิ้ม “ไงอร่อยละสิซุปของพวกอังกฤษเชียวนา” พิทักษ์ ถามยิ้มๆ หล่อนไม่ตอบได้แต่ยิ้มกลับมาแล้วกุ้มหน้าก้มตาค่อยๆตักซุปนั้นทาน กริยาท่าทางหล่อนช่างเหมือนเด็กพิทักษ์บอกกับตัวเอง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นดูไร้เดียงสาแต่มีประกายลึกลับซ่อนอยู่ เมื่อซุปหมดแล้วเขาก็ยื่นกระติกน้ำให้ หล่อนรับมากุมไว้แล้วมองลงไปในกระติก “ไม่ใช่” เขาบอกแล้วเอากระติกมาดื่มให้เธอดูก่อน เธอพยักหน้าแล้วดื่มตาม เข็มนาฬิกาพรายน้ำของหัวหน้าคณะ ชี้เวลา 21.45 น. เอาหละได้เวลานอนแล้วเขาบอกเธอ “นอน” หล่อนพูด “ใช่นอนหลับ” จากนั้นเขาลุกไปเติมไฟสามกองหน้าถ้ำขึ้นอีก แล้วเติมไฟปากถ้ำเล็กน้อย เขาจูงมือเธอเข้าไปด้านในถ้ำนิดหน่อยพอได้ไออุ่นจากกองไฟ นอน เขาพูดแล้วล้มตัวลง เธอนั่งลงข้างๆเขาเอามือจับที่แขนเขาเขย่าๆเบาๆ “มีอะไร” เขายานเสียง “หนาว” เสียงเล็กๆนั้นตอบกลับมา ‘เอาแล้วไงพิทักษ์คิดในใจ ก็แม่เจ้าประคุณดันมาแก้ผ้าล้อนจ้อนจะไม่หนาวได้อย่างไร’ เขาจัดการส่งกางเกงเดินป่าให้หล่อนกว่าจะพากันสวมเสร็จได้ก็ทุลักทะเลอยู่เหนื่อยทั้งคนถูกสวมและคนสวมให้ไม่รู้พิทักษ์จะเหนื่อยหรือป่าวแต่หน้าร้อนผ่าวแดงจัดท้องคัดท้องแข็งไปหมด เสร็จแล้วเขาก็ยื่นแจ๊คเก็ตให้หล่อนแล้วนอนกอด อกตะแคงหันหลังให้ หล่อนนอนลงข้างๆเขาคราวนี้สะกิดอีกแล้ว เขาเหลียวไปดูหล่อนจ้องมาตาใสแป๋ว เอานิ้วเล็กๆจิ้มมาที่เขา “หนาว หนาว” “หนาวอีกหรอ เขาถาม”หล่อนสาสยหัวคราวนี้หล่อนจิ้มไปที่ตัวเองแล้วพูดว่า “ไม่หนาว” จิ้มมาที่เขาแล้ว พูด “หนาว” พิทักษ์เข้าใจแล้ว ตอบหล่อนไปว่า “ไม่หนาว” แล้วไม่ลืมที่
จะชี้มาที่ตัวเอง หล่อนยิ้มน่ารักเห็นฟันเขี้ยว “นอนได้แล้ว” เขาพูดสั้นๆแล้วหลับตาลง ไม่ว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้จะมีชีวิตอยู่หรือไม่หรือเราจะกลายเป็นอาหารเสือสมิงก่อนแล้วแต่มัน ขาคิดในใจ จากนั้นภาวะนาอะไรอยู่ในใจจนหลับไป
...........เสียงไก่ป่ายามเช้าส่งเสียงเซ็งแซ่ปลุกพิทักษ์ให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราอันแสนยุ่งเหยิง เขาลืมตาขึ้นรู้สึกหนังที่หน้าอกเขารู้สึกได้ว่าตอนนี้มีวัตถุหยุ่นๆบางอย่างทับร่างกายซีกซ้ายเขาอยู่ พอคล่ำดูก็ตกใจวูบหน้าแดงก่ำแม่สาวน้อยปริศนา นอนซบอกเขาอยู่ขาข้างหนึ่งที่สวมกางเกงเดินป่าหลวมๆเกยทับเขาไว้ หล่อนขึ้นมานอนกอดเขาสบายใจเฉิบตั้งแต่เมื่อไหร่กันเขาคิด นี้ถ้าหล่อนเป็นเสือสมิงแปลงกายอย่างที่เขาคิดป่านนี้คงไม่มี พิทักษ์ อัครเศวตวงค์ อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว แต่นี้เห็นแต่เสือสาวน้ำลายยืดเท่านั้นตอนนี้ที่นอนทับเขาอยู่
หัวหน้าคณะเดินทางยิ้มเล็กๆสะกิดปลุกหล่อนเบาๆ หล่อนลืมงัวเงียลืมตาขึ้น ทำหน้ามุ่ย ตื่นได้แล้วเขาบอก พลางดันร่างที่เกยทับนั้นออกไปแล้วชันกายขึ้นนั่ง เข็มนาฬิกาเดินป่าบอกเวลา 06.45 มันข้อนข้างเช้าทีเดียว เสียงนกป่านาๆชนิดต่างขับขานรับกัน เขาลุกออกไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธาร หล่อนอ้อยอิ่งอยู่ครู่ก็ตามออกมา เช้าวันนี้หล่อนดูแข็งแรงขึ้นมาก หน้าตาสะสวยนั้นมีรอยยิ้มหวานให้เขาแต่เช้า ช่วยทำให้สมองอันยุ่งเหยิงผ่อนคลาย หล่อนล้างหน้าทำธุระอยู่ครู่แล้วเดินลัดเลาะมาหาเขา ชุดเดินป่าของเขาที่สวมให้มันดูหละหลวมกับร่างเล็กนั้น หล่อนต้องคอยพยุงตลอดเวลาไม่ให้หลุดลงหล่อนคงรำคาญเต็มที ไม่นานทั้งคู่ก็กลับเข้าไปยังเชิงผา พิทักษ์สำรวจอาการบาดเจ็บของเธอที่เวลาลุกนั่งเธอมักจะส่อแววถึงความเจ็บปวด ซึ่งหล่อนก็ดูเหมือนเข้าใจยอมให้เขาสำรวจร่างกายแต่โดยดี เขาถอดเสื้อเดินป่านั้นออกแล้วสำรวจดู บนร่างกายอันขาวเนียน ปรากฏมีรอยเขียวช้ำอยู่สองแห่ง มันเขียวจนม่วงแสดงถึงอาการบาดเจ็บที่รุนแรง ตรงบริเวณที่สะบักไหล่ ด้านซ้ายหนึ่งแห่งและเหนือเอวเยื้องมาเบื้องหลัง เขาเปิดชุดปฐมพยาบาลเล็กๆและงัดยาทาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อของนักกีฬาขึ้นมาบรรจงทาให้หล่อน หล่อนแสดงอาหารเจ็บเมื่อถูกเขาสัมผัส “เจ็บหรือเขาถาม”
หล่อนไม่ตอบ แต่พยักหน้า
“เดี๋ยวก็หายเขาว่า”
ไม่นานการทำแผลของพิทักษ์ก็เสร็จ มันทำให้เขามั่นใจขึ้น ร้อยเปอร์เซ็นเต็มว่า สาวน้อยปริศนา ที่นั่งตรงหน้าเขานี้คือเสือสมิง ‘อังซูเรย์’ ที่ทั้งคณะบากบั่นติดตามมาแน่นอน แต่ไฉนจึงมากลับหลายเป็นดรุณีแน่งน้อยแบบนี้เล่า แล้วพรานไพรที่ไหนจะกล้าเหนี่ยวไกลง ทีแรกเขาก็สังหรณ์เช่นนี้ แต่ก็ปล่อยผ่านไป จนมาเจอรอยช้ำของกระสุนปืนยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าเสือใหญ่ได้กลับกลายเป็นสาวน้อยนี้เขากำลังเล่นกับไฟงั้นหรือ แล้วเมื่อไหร่เล่าที่ไฟมันจะผลาญตัวเขาเอง “อังซูเรย์” เขาพึมพำขึ้น หล่อนหันกลับมามองอย่างสงสัย เขาจึงชี้ไปที่หล่อนแล้วเรียกชื่อ “อังซูเรย์” หลอนทวนคำ จากนั้นเขาชี้มาที่ตัวเองแล้วพูดชัดๆ “พิทักษ์” หล่อนพูดตามได้ชัดเจน เขายิ้ม แรกเริ่มเดิมทีเขาตั้งใจจะเก็บสัมภาระแล้วเดินทางกลับแคมป์ โดยการอาศัยเดินล่องน้ำไป แต่เมื่อต้องมีปัญหาเพิ่มเข้ามาแบบนี้เขาจำต้องเปลี่ยนแผน ร่างกายของอังซูเรย์ ยังไม่แข็งแรงที่จะเดินได้ถนัดนัก เขาคิดว่าจะพักอยู่ที่นี้อีกคืนทั้งยังเผื่อว่า มะอีซาจะติดตามมาหาเขา เพราะเขารู้แน่ว่าหมอจะต้องทำทุกอย่างเพื่อติดตามหาเขาให้ได้เมื่อคิดตกอาหารเช้าคือสิ่งสำคัญ เพราะเสบียงส่วนตัวก็หมดไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหลือก็แต่บุหรี่กับกาแฟ ลำพังตัวเขาเองไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อมีบุคคลที่สองเข้ามาเพิ่มเขาต้องค่อยคิดค่อยทำอย่ารัดกุม
เวลาล่วงผ่านไปจนบ่ายกว่า แสงแดดไม่จัดนักส่องแสงรำไร พิทักษ์นั่งสูบบุหรี่ อยู่บนโขดหินริมหาดทรายส่วน อังซูเรย์ ลงไปอาบน้ำในลำห้วย ร่างขาวโพลน ตัดกับหมู่หินนาๆสี ดูเธอไม่ค่อยจะสนใจกับเรือนร่างงามนั้นเลย แม้ว่าพิทักษ์จะนั่งอยู่ไม่ไกลก็ตาม หลายครั้งหล่อนพยายามเรียกเขาลงไปเล่นเป็นเพื่อน แต่สุภาพบุรุษเช่นเขาได้แต่โบกมือห้าม ดูเธอสดใสร่างเริงขึ้น ความคิดและสติของเธอหลายๆอย่างกลับคือมา เธอเริ่มคุยกับเขาด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจ พิทักษ์พยายามสอนภาษาไทยให้กับเธอซึ่งเธอเรียนรู้มันได้ไวมาก เรียกว่าระดับอัจฉริยะหากเทียบกับบุคคลทั่วไป เธอสามารถเข้าใจจดจำและเรียนรู้คำพื้นฐานได้เป็นอย่างดี พลันเสียงโหยหวนของหมาป่าดังขึ้น ปลุกให้พิทักษ์ ตื่นจากภวังค์ เขาคว้ากระชับ.44 แม๊กนั่มที่ข้างเอว เสียงมันอยู่ใกล้เพียงแค่อีกฟากของลำห้วยนั้นเอง มันผิดวิสัยของ หมาป่าที่จะมาหอนเอาเวลานี้ เขาลุกขึ้นถอดปืนออกจากซองเดินลิ่วไปหา อังซูเรย์ ที่บัดนี้วิ่งหอบเสื้อผ้าหน้าตาตื่นมา
“เข้าไปหลบอยู่ถ้ำก่อน”
เขาว่าพร้อมกับผลักส่งเบาๆหล่อนพยักหน้าแล้ววิ่งเข้าเวิ้งน้อยใต้ชะง่อนผา พิทักษ์ ยืนจังก้าอยู่ที่หาดทราย ลมยามบ่ายตีควันบุหรี่เขาฟุ้ง แล้วเสียงสะเทือนใจก็โหยขึ้นอีกคราวนี้มันดังยิ่งกว่าลำโพง18หลอด เสียงโหยหวนยาวยะเยือก เสียงนั้นดังจากไม้พุ่มฝั่งตรงข้ามนั้นเอง ระยะห่างไม่เกิน 80 เมตร พิทักษ์ขมวดคิ้ว ดวงตาสีกาแฟจ้องเขม็ง ไปยังพุ่มอ้อที่ไหวน้อยๆ แล้วสิ่งที่เขาไม่คาดหวังให้เกิดขึ้นก็ปรากฏร่างสีเทาดำร่างหนึ่งเยื้องกายออกมาจาก พงหญ้าสูงนั้น พิทักษ์แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันเป็นหมาป่าสีเทาตัวหนึ่ง สัณฐานคล้าย
อัลเซเชี่ยน แต่ขนสั้นกว่า ลำตัวกำยำสูงใหญ่ขนาด ลูกม้า พิทักษ์คาดคะเนจากสายตาความสูงมันจะต้องเกินลิ้นปี่ ผู้ชายตัวสูงๆแน่ วินาทีดับจิตนั้นเขาตวัด.44 ขึ้นเล็งทันทีที่เห็นเป้าถนัด มันเสี่ยงเกินไปที่จะให้มันเข้ามาใกล้กว่านี้ แล้วดินขับแรงสูงก็คำรามขึ้นดังสนั่นป่าอันเป็นเวลาเดียวกับที่ ร่างสีเทานั้นพุ่งพรวด ทะยานเข้าพงรกกระสุนนั้นพลาดเป้าไป เฉี่ยวแต่ขนหลังที่ลูกปืนถากร่วงเป็นกระจุก ชิบ!! เขา สบถ อุบเพราะมองไม่เห็นเป้าแล้ว ธรรมชาติของหมาพวกนี้มักจะอยู่เป็นฝูง เขาไม่อยากจะตอแยกับมันโดยไม่จำเป็น หัวหน้าคณะหันหลังกลับ พลันตาก็สบกันกับดวงตาคมโตที่จ้องมาก่อนเช่นกัน หล่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ในชุดเดินป่าของเขาที่ดูหละหลวม
“หมา หนะ” เขาบอก แต่มันตัวใหญ่เลยต้องยิง กลัวเหมือนกันว่าจะย้อนกลับมาอีก หล่อนพยักหน้าตอบ พลันดวงตาคู่น้อย ก็ละจากเขาแล้วชี้มือไปทาง ด้านหลังเขา พอพิทักษ์หันหลังดู ก็แทบจะอดดีใจไม่ได้ ร่างสูงผอม ของใครคนหนึ่งในชุดกระเหรี่ยงดำที่คาดผ้าบนหัวสีขมุขมอม เดินตรงลิ่วมา
มะอีซานั้นเอง มือข้างหนึ่งถือลูกซองเดี่ยว บนไหล่สะพาย .375 แม๊คนั่มของ ณรงค์ที่เขาติดมือมา “นาย นาย ปลอดภัยดีรึไม่ครับ” พรานหนุ่มรีบร้องทักเมื่อเห็นเขาถนัด สีหน้าดีลิงโลดอย่างเห็นได้ชัดมะอีซากึ่งวิ่งกึ่งเดินหาเขา “ทางนี้” พิทักษ์โบกมือตอบ
“ผมเป็นห่วงนายแทบแย่ นึกไม่ออกว่าจะอยู่ยังไง”
มะอีซาแทบหยุดความดีใจไม่ไหว
“ฉันก็ห่วงมะอีซาเหมือนกัน ฉันนั้นไม่เป็นไรมากหรอก เจอเรื่องวุ่นๆนิดหน่อย รู้แน่ว่า มะอีซาต้องตามหาฉัน” เขาแตะไหล่พรานคู่มือพูดยิ้มๆ
“มะอีซาถูกน้ำพัดไปไกลอยู่นานสลบไปสักชั่วโมงได้ ฟื้นมาก็รีบย้อนรอยขึ้นมาหานายเลย ไม่คิดว่านายจะอยู่ไม่ไกล จากจุดที่เราแยกกัน” มะอีซาตอบเขาแต่สายตาอันคมกริบลอบสังเกตไปยังด้านหลังของพิทักษ์
“แล้วนายอยู่กับใครละครับนี้”
พิทักษ์ อึกอักในใจไม่รู้จะตอบยังไง เพราะร่างน้อยที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเขานั้น ตอนนี้แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ที่ไปที่มานักพิทักษ์ใช้ท่อนแขนปาด ตัวหล่อนให้ขยับมาข้างๆเขา หล่อนเกาะแขนเขาไว้แน่น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เธอเป็นใครมาจากไหนเรื่องมันซับซ้อน ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง”
เขาตัดบท บ่ายคล้อยจนค่ำ พิทักษ์ใช้เวลาสนทนากับมะอีซา อยู่ริมกองไฟหน้า ผาพัก ส่วนอังซูเรย์ เกาะติดเขาแจชนิดไม่ยอมอยู่ห่างเลย หล่อนดูหวาดกลัวต่อมะอีซา อาจเพราะเป็นบุคคลแปลกหน้า
ถามข่าวกันอยู่ครู่ก็รู้ถึงที่ไปที่มากันพิทักษ์เล่าถึงเหตุการณ์ฝ่ายเขาก่อน โดยเว้นบางเรื่องของอังซูเรย์ไว้ จากนั้นมะอีซาก็เล่าเหตุการณ์ฝ่ายตน มะอีซาถูกน้ำพัดลอยน้ำไปติดกอไผ่พอฟื้นมาก็รีบออกตามรอยขึ้นมาโดยหวังว่าจะเจอพิทักษ์ ในตำแหน่งไม่ห่างไปนัก ค่ำนั้นก็ผูกเปลนอนบนต้นไม้ เช้ามืดก็รีบดั้นทางมา มะอีซา ติดไก่มามาได้สองสามตัวระหว่างทางด้วยลูกซองเบอร์ร้อย
“ผมย้อนมาถึงเนินนี้เอง กำลังจะคลำรอยนาย ก็ได้ยินเสียงปืนขึ้น รู้เลยว่าเป็นนายแน่จึงรีบเข้ามาดู ว่าแต่นายยิงอะไรรึครับ”
“หมานะ หมาป่าตัวใหญ่เอาการ” เขาหน้าเคร่งเว้นจังหวะถาม
“มะอีซา เห็นมันบ้างรึไม่”
กระเหรี่ยงหนุ่มสายหัว
“ไม่ครับ มันอาจไม่ได้สวนผมลงไป”
“อืมห์ นี้ก็เป็นปัญหาหนักสมอง ของฉันอยู่ ตอนแรกที่ฉันเหมือนอยู่ตัวคนเดียวกับปืนสั้นฉันแทบไม่มีกำลังใจเลยแม้จะคืนเดียวก็ตามที แต่เมื่อมาเจอมะอีซากับ ไรเฟิลแล้วพออุ่นใจขึ้นมาบ้างสำหรับการต้องผจญกับสัตว์ร้ายพวกนี้” พิทักษ์พูดพลาง กระแทกลูกเลื่อนลงไปดังกรวบ แม้จะใช้งานสมบุกสมบันแต่กลไกต่างๆของไรเฟิลล่าสัตว์ยังใช้งานได้สมบูรณ์
“นายครับ..”
แล้ว มะอีซาถาม พลางเหลือบตามองไป ยังหญิงสาวในชุดเดินป่าที่นั่งเกาะแขนพิทักษ์อยู่ เขาเหลือมองแล้วลอบถอนหายใจลึก พิทักษ์นิ่งอยู่ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนนา
“มะอีซา รู้จักเสือสมิงในแบบไหนบ้าง”
เขายิงคำถามในแบบที่คนฟังถึงกับฉงนใจ
มะอีซา เอาไม้เขี่ยไฟแล้วตอบเรียบๆว่า
“มันก็คือเสือที่กินคนมากๆแล้วผีลง ผีในเสือมักจะสำแดงเดชต่างๆได้ เช่นแปลงเป็นคน เพื่อหลอกล่อเหยื่อ”
“แต่ตัวจริงก็ยังคงเป็นเสือใช่หรือไม่ ฉันหมายถึงร่างกายนะ”
หัวหน้าคณะถาม
“ครับนาย พรานเฒ่าว่า ภาพของคนคือภาพมายาที่มันสร้างขึ้น แต่ร่างจริงๆนั้นก็ยังเป็นเสือ คนเฒ่าคนแก่ชอบพิสูจน์โดยให้จุดไฟ เพราะถึงมันแปลงกายมา ร่างจริงมันก็ไม่มีนิ้วที่จะจุดไฟได้อยู่ดี”
“ฮืมห์ เข้าเค้าแหะ พิทักษ์ยกมือขึ้นลูบคางที่สากเคราแล้วถามต่อ แล้วสมิงที่ร่างจริงเป็นคนหละ”
มะอีซา วางไม้เล็กๆที่เขี่ยไฟอยู่เงยหน้ามองอังซูเรย์และพิทักษ์ สีหน้าดูจริงจัง
“พรานว่า มันเป็นพวกเล่นของ ถึงเวลาของขึ้นก็แปลงเป็นเสือออก อาละวาดฆ่ากินคนได้ พวกนี้เรียกสมิงอาคม ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย เป็นพระที่เรียนมาทางนี้ พวกนี้จะสักยันต์เต็มตัว อาบน้ำว่านและบริกรรมคาถามกำกับ เพื่อปลุกของ สมิงจำพวกนี้แหละฆ่าลำบากนักเพราะต้องใช้กระสุนอาคม เฉพาะทาง นายถามทำไมครับ”
พิทักษ์ นั่งนิ่งไป แล้วจู่ๆเขาก็ถามออกมาชนิดที่ว่ามะอีซาถึงกับคอแข็ง
“ฉันคิดว่า อะไรก็ตามที่เราตามล่ามาตลอดสามอาทิตย์ ตอนนี้อยู่ข้างๆฉันนี้เอง”
มะอีซาขนลุกเกรียว
“นาย” เขาสำลักออกมา “นายคิดว่า ...”
“ใช่อะไรหลายๆอย่างมันชวนให้คิดแบบนั้น แต่ฉันยังไม่ปลงใจเชื่อทีเดียวหรอกนะ มันเป็นปัญหาที่เราจะต้องขบคิด แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าเราควรจะกลับแคมป์กับก่อน เพื่อความสะดวกในหลายๆอย่าง”
“ครับนาย” มะอีซารับคำหนักแน่น พรานหนุ่มไม่ใช่คนที่ใส่ใจอะไรมากมายกับชีวิต เขารับคำสั่งแล้วทำให้ดีที่สุดเท่านั้น ตราบใดก็ตามที่เจ้านายยังอยู่ข้างๆ แม้จะต้องเจออะไรคนอย่างเขาก็ไม่ได้หวั่นไหว
อากาศ มืดลงขมุกขมัวเต็มที พิทักษ์ นั่งแกะปลาย่างให้อังซูเรย์ เป็นปลาที่เขาตกได้ในตอนเช้านี้เอง ทั้งคู่พึมพำคุยกันเบาๆ ส่วนมะอีซา พึ่งกลับจากการที่พิทักษ์ให้ไปสำรวจรอย หมาป่า มะอีซาย่อตัวลงข้างๆเขา สีหน้าหมอดูเปลี่ยนไป
“นาย มันมีอะไม่ชอบมาพากลอย่างไรแปลกๆ”
พิทักษ์หยุดมือแล้วหันมามองหน้าที่ดูตื่นๆของพรานหนุ่ม
“ว่ามามะอีซา”
“ไอ้ตัวนั้น มันเป็นหมาที่มะอีซาไม่เคยเจอมาก่อน รอยมันบอกขนาดที่ใหญ่จนน่ากลัว”
“ใช่ฉันเห็นกับตาใหญ่กว่าเสือขนาดปรกติอีกความจริงสัตว์ประเภทหมานี้มันจะอยู่เป็นฝูงไม่ใช่หรือ”
“ครับนาย แต่ไอ้ตัวนี้มันอยู่ตัวเดียว มันอาจะหลงถิ่นมา” พรานหนุ่มเว้นจังหวะ.ผมคิดว่ามันยังวนเวียนอยู่แถวนี้”
พิทักษ์ พยักหน้ารับทราบ “ต้องระมัดระวังตัวกันหน่อยแล้วกันเราคืนนี้” เขาตอบเข้มขรึม
“แล้วยังมีอีกเรื่องครับ”
“อะไร” เขาขมวดคิ้วถาม
“เสียงนกที่ร้องรอบๆเรานี้ มันเหมือนไม่ใช่เสียงนกจริงๆครับ มันเหมือนเสียงที่คนทำขึ้น” พิทักษ์ ฉงนใจกับรายงานใหม่ที่เขาแทบไม่ทันสังเกตเลย
“มะอีซาเห็นว่าไง” เขาหยังเชิงถาม
มะอีซาคิดอยู่ครู่จึงตอบมาเบาๆ “ผมคิดว่า มีชาวป่าบางเผ่ากำลังซุ่มสังเกตเราอยู่ครับ”
ความรู้สึกบางอย่างวูบขึ้นมาในหัวของ หัวหน้าคณะความอึดอัดและตึงเครียดต่อสถานการเริ่มมีมากขึ้น
“แถวนี้มีคนป่าด้วยหรือ เขาถาม”
“มันอาจเป็นเผ่าอะไรก็ได้ครับนาย ที่อาจผ่านทางมาหรือไม่ก็เพื่อจุดประสงค์อะไรสักอย่าง มะอีซาตอบพลางเหลือบตามองอังซูเรย์”
พิทักษ์ขมวดคิ้วแน่น เขาต้องใช้ความคิดอย่างหนักต่อเหตุการณ์นี้
“เก็บของก่อน”
เขาตัดสินใจอย่างแรก ไม่เกิน 5 นาทีข้าวของในกระเป๋าเดินป่าที่นำออกมาใช้ก็ถูกบรรจุกลับเข้าที่ ชนิดที่พร้อมเดินทางได้ มะอีซา ยืนคอนปืนจังก้าอยู่ด้านหน้าของกองไฟด้านนอกสุด พิทักษ์ ประคองอังซูเรย์ เดินออกมา
“เราต้องเดินทางกันแล้ว” เขาพูดกับหล่อนเบาๆ “ค่ะ” หล่อนพยักหน้า ตอบด้วยภาษาไทยกลางที่ชัดเจน
“เดินไหวนะ”
“ไหว”
หล่อนยิ้มตอบ ทันทีที่อังซูเรย์ ก้าวออกมาจากเพิงถ้ำถูกแสงไฟสว่างจากกอง ทำให้เห็นใบหน้างามนั้นชัดเจน มะอีซาก็เรียกพิทักษ์เบาๆด้วยเสียง ตื่นๆ
“นาย”
“อะไร”
พอพิทักษ์เงยหน้ามองก็หัวใจวูบวาบกับภาพที่ปรากฎขึ้นแก่สายตาเวลานี้ ร่างใหญ่ สามถึงสี่ร่างขนาด ลูกม้าเทศ ก้าวออกมาจากพงหญ้าฝั่งตรงข้าม มันเป็นหมาป่าฝูงย่อมๆฝูงหนึ่ง ดูสลัวในความมืด เห็นแต่เขี้ยวขาววาววับที่แยกออกมา เสียงคำรามฮื่อๆในลำคอ เฉยไว้ก่อนเขาว่า อังซูเรย์ ตกใจมากเกาะแขนเขาแน่น จนพิทักษ์ต้องปาดให้ไปอยู่เบื้องหลัง ไอ้เขี้ยวขาว สามสี่ตัว ก้าวเข้ามาจนเห็นตัวได้ถนัดแต่มีบางอย่าง เป็นเงาตะคุ่มๆบนหลังมัน พิทักษ์ หยี่ตามอง จู่ๆคบไฟก็ลุกพรึบ บนหลังของหมาป่าพวกนั้น มะอีซา ร้องอย่างตกใจ เห้ย บนร่างหมาป่านั้น ปรากฏ เป็นวันรุ่นผู้ชาย นั่งอยู่บนหลังหมาตัวละคน พวกนี้ขี่หมามา คนแรกที่จุดไฟขึ้น ส่งคบไฟ ไปจุดให้เพื่อนๆต่อจนสว่างไปหมด ตอนนี้ฝ่ายพิทักษ์มองเห็นทุกอย่างได้ถนัดเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เด็กหนุ่มพวกนั้น ดูกำยำไม่สวมเสื้อ แต่ทาสีฟ้าคาดครึ่งอกเฉียง ผมยาวที่เปียไว้จนแน่นหัว ที่ใบหน้าก็ละเลงสีฟ้าขาวไว้ กระดูกสัตว์ชนิดต่างๆแขวนที่คอ ที่ไหล่สะพายธนูเล็กๆ ส่วนในมือถือหอกสั้นอยู่
“มะอีซาพวกนี้เป็นเผ่าไหน รู้จักรึไม่” พิทักษ์ กระซิบ
มะอีซา ส่ายหัวแทนคำตอบ สถานการตึงเครียดจนเหงื่ออกมือ ทำให้ต้องเอาเช็ดกับขากาเกง
ชนเผ่านิรนาม ผู้ขี่หมาป่า แปรขบวนเป็นหน้ากระดาน ห่างออกไปจากเชิงพักไม่ไกลนัก ต่างฝ่ายต่างจ้องกันอยู่ แล้วคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็ขยับขึ้นมาก้าวหนึ่งตะโกน ออกมา เป็นภาษา เผ่าที่ไม่มีใครเข้าใจ
“คุณเป็นใครต้องการอะไร”
พิทักษ์ ตะโกนออกไปบ้างหลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ พวกนั้นพูดตอบกับมาด้วยภาษาเดิมแล้วชี้มือ มาทางอังซูเรย์ เสียงหมาสีเทาเห่ากรรโชกทับ ดูน่ากลัว คนพวกนั้น เริ่มส่งเสียงเล็กแหลมส่อแววดุร้าย หมาหลายตัวแสดงอาการงุ่นง่าน จนผู้ขี่ต้องรั้งไว้
“ดูท่า มันต้องการผู้หญิงนะมะอีซา” พิทักษ์สรุปจากเหตุการณ์
“เอาไงดีนาย ไอ้พวกนั้นท่าทางเอาเรื่อง” มะอีซาเริ่มหมดความอดทนต่อสถานการแล้ว เขาตวัดอีเดี่ยวขึ้นพาดบ่า เพราะว่าฝั่งนั้น เริ่มกวัดแกว่งหอกสั้นในมือแล้ว “รอสัญญาณจากฉัน ถ้ามันบุกมาละฟาดกับมันสักตั้ง” พิทักษ์ สรุป เพราะยังไงก็ตาม เขาไม่ยอมส่ง อังซูเรย์ให้กับพวกนั้นแน่ เสียงเห่ากรรโชกของหมายักษ์ ดังขรรมปนกับเสียง ภาษา เผ่าที่ฟังไม่ออกของผู้ขี่ แต่รู้จาก ท่าทางว่าเป็นการคุกคามอยากสุด เสียงมันป้องปากโห่ร้องอย่างย่ามใจเหมือนพวกซูลู
แล้วสิ่งที่พิทักษ์ รอก็เกิดขึ้น ไอ้ตัวสีเทาซ้ายสุด พุ่งพรวดเข้ามาทันที เขาตั้งท่ารออยู่ก่อนแล้วเอฟเอ็น .375 ในมือก็ระเบิดกึกก้องกลบทุกพรรพสำเนียง กระสุนตีคว้าง ดั้งจมูกทะลุออกก้น หมาป่าตัวนั้น กระเด็นเหมือนช้างถีบ ไอ้ตัวที่ขี่มาด้วย กระเด็นลงไปอีกทาง ร้องโอดโอย พิทักษ์ กระชากลูกเลื่อนเอามัน เขาตะโกน เพราะอีกสามตัวที่เหลือพุ่งเข้ามาแล้ว มะอีซา กดไปด้วยลูกซองเบอร์ 9 กระสุนกวาดเอา ทั้งคนทั้งหมาร้อง ครางเอ๋งไอ้คนที่ถูกปืน ของมะอีซา ลงไปชักดิ้นชักงอ ทั้งคนทั้งหมา ไอ้ตัวใหญ่ที่คนมีปกขนนกปักหัว พุ่งทะยานผ่านแถวไฟเข้ามาแล้ว พิทักษ์ผลักอังซูเรย์ให้วิ่งเข้าไปหลบในถ้ำ หมาสีเทาดำ หล่นตุ๊บมาตรงเข้าเขาพอดี มันงับสุดแรง แต่ช้าไป 1 ส่วน 10 วินาที พิทักษ์พุ่งตัวลงหาดทรายเบื้องหน้า ส่วนมะอีซา กระโดดหลบหลังหิน หอกสั้นในมือไอ้คนขี่ พุ่งอย่างแรงถูกหินที่ มะอีซาหลบอยู่จนเป็นสะเก็ดไฟลุก พิทักษ์ไม่มีจังหวะที่จะ ใช้ไรเฟิลที่หลุดมือ .44 ข้างเอวถูกชักขึ้นมาเขาตบนกในท่านอนแบบหนังคาวบอย จุดหมายคือ ขนนักสีฟ้าแดงบนหัวไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแทนที่เขาจะยิงหมายักษ์ก่อน แต่เขากลับเลือกคนขี่บังคับแทน ตูมเดียวด้วยปืนสั้นแรงขับสูง หัวที่ปกขนนักนั้นก็ระเบิดออกเป็นลูกแตงโม มันกระเด็นตกพื้น ไอ้หมานรกนั้น อยู่ๆก็ร้องเอ๊งอย่างดังตามด้วยเสียง งี๊ด ยาว ลงไปดิ้นปัดๆกับพื้น ชั่วครู่ก็ขาดใจเสียงลูกซอง ดังลั่นขึ้นอีกครั้ง แก้วหูเขาลั่นกริ่ง มะอีซาพุ่งตัวออกจากก้อนหิน ยิงไอ้คนที่โดนลูกปรายตอนแรก ไอ้คนนั้น กำลังตะกายเตรียมจะพุ่งหอกมาปักหลัง พิทักษ์ที่นอนพังพาบอยู่ เหมือนช้างถีบ ร่างนั้นกระเด็นไปขาดใจอยู่พื้น ข้างๆหมาของมันที่นอนสิ้นฤทธิ์อยู่ พิทักษ์พุ่งตัวขึ้นหยิบ ไรเฟิลที่ตกอยู่ หันหลังชนกับมะอีซา ทั้งคู่กวาดตามอง รอบๆทางโน้นนาย มะอีซา ชี้ ไอ้เจ้าคนที่หมาตายจากนัดแรกของพิทักษ์ตะกายตัวพุ่ง จะข้ามลำห้วยไป พิทักษ์ เล็งตามแล้วก็ลั่นไก ไรเฟิลบราวนิ่งในมือ ร่างนั้นกระเด็นตามแรงปืน ล้มพับลงขาดใจตายตั้งแต่ถูกปืน
“หายไปอีกตัว เขาพูด”
“นายเรารีบไปเถอะมันคงกลับไปตามพวก”
“ก็ดีเหมือนกัน รีบหนีเถอะ”
“ อังซูเรย์” เขาเรียก แต่หล่อนไม่ตอบ
“คอยอยู่นี้เขาสั่ง”
พิทักษ์ พุ่งตัวกลับเข้าไปในเวิ้งพักก็เห็นอังซูเรย์นั่งกอดเข่าสั่นเทาเป็นลูกนกอยู่ เขาเข้าไปปลอบหล่อนเบาๆ
“เราต้องไปแล้ว”
เขาจูงแขนหล่อนครึ่งวิ่งครึ่งเดินออกมา พอพ้นปากเวิ้งพัก อะไรชนิดหนึ่งพุ่งกระแทกพิทักษ์อย่างแรงจนล้มลงไรเฟิลกระเด็น มือเขาหลุดจากแขนอังซูเรย์ เสียงคำรามโฮกปานฟ้าจะถล่ม เสือดาวตัวหนึ่งขึ้นมายืนคร่อมตัวพิทักษ์ไว้ ฟันขาวแยกอยู่ตรงหน้า อังซูเรย์ ที่เซอยู่เมื่อครู่พอตัวตัวได้ หล่อนคำรามโฮกเช่นกัน มันเป็นเสียงคำรามของ ลายพาดกลอนดีๆนั้นเอง ไอ้ดาวที่ไม่รู้มาจากไหน หมอบหูล่งลงด้วยอำนาจที่เหนือกว่า เสียงใสๆของผู้หญิง ที่พูดเป็นภาษาเผ่าพูดอะไรมาบางอย่างเร็วปรือ ทำให้อังซูเรย์ชะงักหล่อนเอียงคอ จ้องไปยังสาวน้อยในชุดชนเผ่าโบราณนั้น พิทักษ์พยายามเหลือบมองไปยังข้างหลังเสือดาว ที่ต้นเสียงใสๆนั้น ก็เห็นชายกำยำคนหนึ่ง ล็อค แขนมะอีซาไว้ ในท่าคุกเข่า เอามีดหินสีแดงจ่อคอไว้ ส่วนสาวน้อยข้างๆ ที่เดินเข้ามาหล่อนกำลังคุยกับอังซูเรย์ด้วยภาษา ที่เขาฟังไม่เข้าใจ พิทักษ์จนมุมแล้ว เขานอนนิ่งๆรับชะตากรรมเพราะ ไอ้ดาวที่นอนกดทับเขาไว้แทบขยับตัวไม่ได้ ลมหายใจของมันถ่ายรดเขาจนเหม็นสาบ หญิงสาวในชุดชนเผ่าทีรัดกุมเดินเข้าไปหาอังซูเรย์ แล้วโอบกอดไว้ พิทักษ์แม้งุนงงต่อเหตุการณ์ แต่ก็ดูออกว่าพวกนี้น่าจะเป็นมิตรกว่าพวกเมื่อกี้ อังซูเรย์ เธอทำหน้าเหมือนทวนความจำ แล้วหล่อนก็สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดนั้น หล่อน ผลักเสือดาวที่ยืนคร่อมเขาอยู่ ไอ้ดาวกระเด็นไปยืนขู่ฟ้อๆอยู่ แต่ไม่กล้าทำอะไร เสียงใสๆ ของสาวน้อยชนเผ่าดุมันจนต้องเดินเลี่ยงไปคุมเชิงอยู่ห่างๆ พิทักษ์ยันกายขึ้นอังซูเรย์สำรวจร่างกายเขาว่าไม่มีอะไรชำรุด หล่อนดูเป็นห่วงเขามาก
“นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เขาพูด”
พลางกว่าสายตาไปรอบๆ
“เฮ้ๆปล่อยคนของผมก่อน”
พิทักษ์ชี้มือไปยัง มะอีซาที่ถูกชายร่างกำยำ ล็อคจน อกแอ่นอยู่ หญิงสาวชนเผ่าที่ดูเอาแต่ใจนั้น โบกมือให้คู่ของเธอปล่อย มะอีซา พอแขนกำยำคลายมะอีซาก็ลุกออกมา สดัดหลังสูดปากปากข้างๆ พิทักษ์
“มันอะไรกัน” เขาถามเบาๆ
“ ผมก็ไม่รู้ครับ มาไวเหมือนผี พอนายลับตาผมก็ถูกจับล็อคทันที”
มะอีซาตอบด้วยเสียงเบา สาวน้อยชนเผ่า ยืนจังก้าเอามือเท้าสะเอว พูดภาษา ชนเผาแขนงหนึ่งขึ้นมา ซึ่งพอดีว่ามะอีซาฟังออก “หล่อนพูดว่าไง” พิทักษ์ถาม “หล่อนบอกว่า ให้เรารีบหนีก่อน พี่พวกนั้นจะมาครับ”
“สรุปว่า เป็นคนละพวกกันใช่ไหม ถามซิ”
“ใช่ พวกนั้นจะมาตามฆ่าผู้หญิงแต่ เราตามมาเพื่อช่วย”
หญิงชนเผ่าตอบพิทักษ์ โดยมีมะอีซาเป็นล่ามแปล
“ทำไม?” เขาถามต่อ
“จะรอให้พวกนักล่ามาก่อนใช่หรือไม่ เวลานี้ควรจะหนีไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม”
หล่อน ตอบพลาง ย่นจมูกที่ดูโด่งเชิดขึ้น
“ไม่มีอะไรต้องเสียแล้วนิ รีบไปกันเถอะเดี๋ยวก็รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
พิทักษ์สรุปง่ายๆ สาวน้อยนั้น ประคองอังซูเรย์ เดินนำหน้าโดย ถอดรองเท้าแบบชนเผ่าของหล่อนให้ พิทักษ์ลอบสังเกตการณ์กระทำเงียบๆ เสือดาวที่น่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของหล่อน ทำหน้าที่เบิกทางคือนำลิ่วไปไกล พิทักษ์ อยู่กลาง ถัดมาคือ มะอีซา ปิดท้ายด้วยไอ้หนุ่มชาวเผ่ารูปร่างกำยำ ทั้งหมด ตัดทางลัดเลาะขึ้นหลังภูเขา ที่พิทักษ์พักอยู่ ทั้งหมดเดินดุ่มๆในความมืด ไม่ฉายแม้แต่ไฟ อังซูเรย์ ลื่นจะล้มหลายครั้ง แต่ก็ได้พิทักษ์ประคองอยู่ตลอดทาง
“เธอพึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ เดินอีกไม่ไหวแน่”
เขาพูดกับหญิงชาวเผ่าปริศนาผ่านมะอีซา
“เราหยุดไม่ได้ถ้าหยุดนักล่าจะตามเราทันแน่นอน”
“แต่เธอไม่ไหวแล้วนะ”
หล่อนดูท่าขัดใจแต่ก็เป็นห่วงอาการของอังซูเรย์เช่นกัน
“ เชกี ” หล่อนเรียกเบาๆ ร่างกำยำของ ไอ้หนุ่มผมยาวก็ก้าวฉับเข้ามา มันตรงเข้ามาช้อนอังซูเรย์