MysteryCode.Com

8.7

เขียนโดย KoonHame

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 18.34 น.

  13 ตอน
  7 วิจารณ์
  13.71K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 เมษายน พ.ศ. 2561 12.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) Case1 ; Ep.7

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     20.30 นาฬิกา มินามิจังและสุริยันก็เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้เคยเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่ล้อมรั้วเหล็กตลอดรอบพื้นที่ มีความกว้างขวางแต่ถูกปล่อยรกร้างไว้ ภายในมีตู้คอนเทนเนอร์เก่าๆขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่มากมาย และมีโกดังขนาดใหญ่ ซึ่งใหญ่พอให้สามารถจอดเรือประมงขนาดเล็กได้ถึงสองลำ ถูกทิ้งร้างไว้อยู่ประมาณหกถึงเจ็ดโกดัง ท่าเรือขนส่งสินค้าแห่งนี้ถูกสั่งปิด งดใช้ทั้งขนส่งและจัดเก็บสินค้า เนื่องจากชาวบ้านยื่นฟ้องและร้องเรียนถึงปัญหาเรื่องของมลพิษเป็นจำนวนมาก ทำให้หน่วยงานรัฐต้องมาจัดการและสั่งปิดท่าเรือให้นี้ในที่สุด ท่าเรือแห่งนี้ปล่อยให้รกร้างมาไม่ต่ำกว่าสิบปีแล้ว แต่ก็ไม่มีคนไร้บ้านหรือสุนัขจรจัดมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เลย มินามิจังขับรถมาถึงหน้าทางเข้าท่าเรือขนส่งสินค้า เธอจอดรถรอสักพักก่อนที่จะมีบอดี้การ์ดคนหนึ่งดูเหมือนเขาทำหน้าที่คอยเฝ้าประตูของท่านเรือแห่งนี้ เดินมาเปิดประตูรั้วเหล็กให้ ส่วนบอดี้การ์ดอีกคนก็เดินมาที่รถเพื่อทำหน้าที่ขับรถแทนมินามิจังพาเราทั้งคู่ไปยังโกดังที่พี่มาสและโอเปอร์เรเตอร์ถูกจับตัวไว้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโกดังที่อยู่ลึกที่สุดของท่าเรือแห่งนี้
     ภายในท่าเรือบรรยากาศช่างวังเวงและมืดมิดมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้นที่คอยสาดส่องให้เห็นพื้นที่รอบๆ สิ่งที่เห็นเป็นก็โกดังร้างที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์และต้นไม้เติบโตขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นป่าขนาดย่อมๆ แสงไฟจากหน้ารถสาดส่องไปตามถนน จนต้องใช้วลาสักพักถึงจะเห็นโกดังหลังใหญ่มีแสงไฟสว่างจากภายในอยู่ไกลๆ บอดี้การ์ดของมินามิจังคงจัดการเรื่องไฟฟ้า เดินสายไฟมาที่โกดังแห่งนี้แน่ๆ ทันทีที่ลงจากรถ ความเย็นจากต้นไม้และป่าที่อยู่ใกล้ๆกับท่าเรือก็โชยมาหาเขา และทันใดนั้นสุริยันก็ได้ยินเสียงดังลอดออกมาจากโกดังในทันที เป็นเสียงตะคอกและกดดันใส่ผู้ที่ถูกลักพาตัวทั้งสอง ฟังจากความแตกต่างของเสียงน่าจะมีบอดี้การ์ดรับหน้าที่คอยตะคอกและกดดันอยู่ประมาณสามถึงสี่คน  ประตูเหล็กขนาดใหญ่ของโกดังถูกปิดตายไว้ทำให้โกดังแห่งนี้ดูเหมือนอาคารเหล็กสี่เหลี่ยมที่ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกได้ สุริยันและมินามิจังเดินมาถึงบริเวณทางเข้าของโกดังที่เป็นประตูเหล็กขนาดเล็ก มีบอดี้การ์ดเปิดประตูให้ทั้งสองคนเดินเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือภายในโกดังที่สว่างช่างแตกต่างจากข้างนอก มีบอดี้การ์ดยืนรายล้อมตัวประกันอยู่สี่คน ซึ่งทุกคนตะโกนกันเอะอะโวยวายสร้างบรรยากาศที่น่ากดดันจนอยากฆ่าตัวตายหนีๆไปซะขึ้นมา ทั้งสองคนที่ถูกจับตัวมา นั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กสี่ขาแบบมีพนักพิง ที่รองนั่งทำจากไม้ดูคล้ายกับเก้าอี้นักเรียน ทั้งคู่ถูกมัดมือไพล่หลังอย่างแน่นหนา มัดเท้า ปิดตาและปิดปากเรียบร้อย เมื่อบอดี้การ์ดเห็นว่ามินามิจังกับสุริยันเดินเข้าประตูมา ทุกคนเงียบเสียงลงในทันที จากโกดังที่มีเสียงดังและโวยวายกลับเงียบลงคล้ายกับโกดังร้างในทันที บอดี้การ์ดทุกคนเดินตรงมายืนเรียงแถวหน้ามินามิกับสุริยันเพื่อรายงานผล บอดี้การ์ดในโกดังแห่งนี้มีทั้งสิ้นห้าคน ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดสูทที่ดูเหมือนบอดี้การ์ดที่หลุดมาจากหนังบู๊เลย มีทั้งคนผิวสีผิวขาวหลากหลายเชื้อชาติและพบว่าสองในห้าสามารถพูดไทยได้ชัดเจนอีกด้วย
     สุริยันลองชะเง้อไปดูตัวประกันก็เห็นว่าคนที่ถูกจับตัวมาคือพี่มาสถูกต้อง ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง ซึ่งบอดี้การ์ดรายงานว่าคนคนนั้นคือโอเปอเรเตอร์ เรียกได้ว่าการทำงานของบอดี้การ์ดค่อนข้างมืออาชีพเลยทีเดียว สุริยันคาดเดาในใจว่าบอดี้การ์ดที่พ่อมินามิจ้างมาดูแลเธอนั้นน่าจะเป็นมือดีจากกองทัพในประเทศต่างๆแน่ๆ "ดีแล้วที่เราไม่ใช่ศัตรูของเธอ"สุริยันคิดในใจ พี่มาสกับโอเปอเรเตอร์นั่งห่างกันประมาณห้าเมตร สภาพของพี่มาสแทบจะดูไม่ได้เขาร้องไห้ฟูมฟายตลอดเวลา น้ำตาและน้ำมูกเปรอะเปื้อนผ้าที่มัดไว้ มือของพี่มาสสั่นตลอดเวลาและมีเลือดไหลจากปลายนิ้วชี้หยดลงพื้นตลอดเวลา สุริยันเดาว่าน่าจะถูกบอดี้การ์ดทรมานโดยการถอดเล็บ แต่ไม่รู้ว่าเพื่อเอาข้อมูลหรือเพื่อทำให้มือไม่สามารถใช้แก้มัดได้ แต่สุริยันก็ไม่ได้ถามไป ส่วนโอเปอเรเตอร์ก็ร้องไห้กระซิกๆตลอดเวลา เธอเป็นคนสวย ผิวขาว หน้าตาดี และแต่งตัวด้วยของแบรนด์เนมตลอดทั้งตัว ทำให้รู้ว่าน่าจะได้เงินจากการเป็นโอเปอเรเตอร์ให้กับลัทธิที่นี่อยู่มากโข
     สุริยันเคยเข้าคอร์สอบรมเรื่อง “จิตวิทยาเพื่อการสอบสวนผู้ต้องหา” จากเจ้าพ่อค้ายาเสพตติดรายใหญ่ในแม็กซิโกและจาก CIA มาก่อน แต่เป็นการเรียนแบบออนไลน์ที่ทางนั้นยอมสอนเพื่อขอให้ Nomad ยอมทำงานให้ จากการประเมินสถานการณ์คร่าวๆในตอนนี้สุริยันคิดว่า “ทั้งคู่น่าจะเสียขวัญเป็นอย่างมาก เพราะถูกบอดี้การ์ดกดดันขู่ตะคอกมาตลอดสองชั่วโมง การสอบสวนที่ดีนั้นเราต้องทำลายความหวังเขาให้สิ้นทั้งหมดก่อนแล้วจึงค่อยให้ความหวังเล็กๆ ทั้งคู่คงรู้จุดยืนของตนเองว่าไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้แน่ๆ และอาจจะต้องโดนทรมานเพื่อให้บอกข้อมูลต่างๆตลอดทั้งคืน ความคิดที่ไร้ความหวังของทั้งสองอาจจะส่งผลให้ทั้งคู่คิดหาโอกาสฆ่าตัวตายเพื่อให้เรื่องมันจบๆไป ดังนั้นจังหวะนี้แหละที่เขาจะเข้าไปยื่นความหวังเล็กๆ ที่เปรียบเสมือนแสงสว่างจากปลายเทียนให้ทั้งคู่ได้รีบคว้าโอกาสนั้นไว้ แล้วทีนี้ทั้งคู่ก็จะยอมให้ข้อมูลต่างๆง่ายขึ้น การที่เราให้พาตัวโอเปอร์เรเตอร์มาด้วยก็เพื่อทำให้การสอบสวนนั้นได้คำตอบง่ายขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อแค่ได้ข้อมูลมากขึ้นเพียงเท่านั้น ถ้ามีสองคน อีกคนจะต้องคิดว่าต่อให้ตัวเองไม่บอกอีกคนก็บอกอยู่ดี งั้นเพื่อรักษาชีวิตยอมบอกๆไปก็คงจะดีกว่า” สุริยันจึงหันไปบอกกับมินามิจังและบอดี้การ์ดทุกคนว่า เขาจะทำการสืบสวนต่อเองขอให้ทุกคนทำตามแผนของเขา ซึ่งแปลกมากที่บอดี้การ์ดไม่ทำท่าทีดูถูก หรือมองเหยียดว่าเด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงทำมาเป็นออกคำสั่งกับพวกเขา ให้สุริยันเห็นแม้แต่นิดเดียว นั่นแสดงว่าบอดี้การ์ดเหล่านี้ต้องได้รับการฝึกมาอย่างดีทั้งในเรื่องของความสามารถและเรื่องความซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย ซึ่งต้องเชื่อฟังทุกอย่างในขนาดที่ห้ามแย้งหรือแสดงความเห็นใดๆต่อคำสั่งของเจ้านายทั้งสิ้น บอดี้การ์ดเหล่านี้คงมีความคิดว่าต่อให้เจ้านายจะออกคำสั่งที่เจ้านายเสี่ยงอันตรายขนาดไหนพวกเขาก็จะสามารถมาช่วยให้ปลอดภัยได้ทันท่วงทีอยู่ดี
     โกดังที่เงียบสนิทมีมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นเสียงก้าวเดินของคนหนึ่งคนมายืนหยุดอยู่ข้างหน้าของผู้ถูกจับตัวทั้งสอง สุริยันเดินมายืนข้างหน้าของพี่มาสและสาวโอเปอร์เรเตอร์ ทั้งคู่รู้ว่ามีคนเดินมาหยุดอยู่ตรงนั้น แต่ทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่าใครเพราะผ้าปิดตาที่ปิดไว้ สุริยันจึงเริ่มทำการสอบสวน
     "สวัสดีครับ พวกคุณรู้ใช่มั้ยว่าการที่พวกคุณมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้เพราะพวกคุณมีข้อมูลที่เราอยากรู้มากๆ" ทั้งพี่มาสและพี่สาวโอเปอเรเตอร์ต่างร้องอู้อี้เหมือนขอให้ไว้ชีวิตพวกเขา "เพราะงั้นผมจะให้โอกาสพวกคุณได้เลือกว่าอยากมีชีวิตกลับบ้านหรือตายอยู่ที่นี่ด้วยตัวของพวกคุณเอง" น้ำเสียงสุริยันเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง "ผมจะถามคำถามง่ายๆและคุณก็แค่ตอบคำถามนั้นให้ได้ ถ้าคุณตอบเข้าประเด็น รวบรัด ได้ใจความ ก็รอด แต่ถ้าตอบว่าไม่รู้ ก็ตาย" บอดี้การ์ดยืนดูอยู่นิ่งๆ พวกเขายิ่งฟังที่สุริยันพูดก็ทำให้เข้าใจว่าเด็กคนนี้มีความรู้และเก่งจริงๆ "ไกลๆตรงนู้นมีห้องเก็บเสียง เราจะไปสัมภาษณ์กันทีละคน ถ้าทั้งคู่ให้ความร่วมมือด้วยดีก็รอดหมด แต่ถ้าใครตอบว่าไม่รู้คนนั้นก็ตาย และถ้าคำตอบที่ได้ไม่ตรงกันก็ตายมันทั้งคู่ คิดให้ดีๆว่าจะตอบคำถามกับผมแล้วกลับบ้าน หรือจะอยู่คุยกับคนกลุ่มเมื่อกี้จนถึงเช้าก็เลือกเอา" เมื่อยื่นข้อเสนอเสร็จ บอดี้การด์ก็มาลากเก้าอี้พี่มาสตรงดิ่งไปยังห้องเก็บเสียงที่ไกลออกไปประมาณห้าสิบเมตรในทันที พี่มาสต้องใจจนร้องอู้อี้และดิ้นตลอดทางแต่ก็สู้แรงของบอดี้การ์ดคนที่ลากไม่ได้ เสียงขาเก้าอี้เหล็กที่ขูดกับพื้นมันเสียงดังสะท้านไปทั่วทั้งโกดัง เสียงดังแหลมเสียดแทงทั้งโสตประสาทและจิตใจคนฟังจนโอเปอเรเตอร์สาวถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ม่ได้และร้องไห้เป็นเผาเต่าออกมา บอดี้การ์ดสองคน มินามิจัง และสุริยันเดินไปยังห้องเก็บเสียง ปล่อยให้บอดี้การ์ดที่เหลือคอยดูแลโอเปอร์เรเตอร์สาว
สุริยัน   :   เด็กหนุ่มชาวอินเดียถูกขังไว้ที่ไหน
     ทันทีที่พี่มาสได้ยินคำถามก็ตกใจจนร้องไห้หนักกว่าเดิม เพราะตอนแรกตนคิดว่าที่ถูกจับมาเพราะเอาปืนไปขู่ลูกคนมีอำนาจ
สุริยัน   :   ไม่ต้องร้องไห้ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนของลัทธิบูชาความรู้ และที่คุณต้องการจับเด็กไปก็เพื่อบูชายัญ ผมรู้     มากกว่าที่คุณคิด บอกความจริงมา
     พอเขารู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เขาถูกจับมาคือเรื่องของลัทธิ เขาก็ร้องไห้ตัวสั่นไม่หยุด ในใจพี่มาสอยากจะตอบว่าเราไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝั่งมีข้อมูลมากขนาดไหน ถ้าเกิดเราโกหกไปแล้วเขารู้ เราอาจจะได้ตายทันทีแน่ๆ แต่ในใจก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครรู้เรื่องลัทธินี้นา เพราะแผนของลัทธิคือต้องการดำเนินการให้เงียบและไวที่สุด ปริศนามากมายที่ทางลัทธิทิ้งเอาไว้ ไม่มีใครสามารถสืบสาวราวเรื่องได้ภายในเวลาอันสั้นแน่ๆ และต่อให้แก้ได้จริง ทางลัทธิก็คงไหวตัวทันก่อนและหายเข้ากลีบเมฆไปก่อนแล้ว แต่ตอนนี้ เขามานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะอีกฝ่ายสามารถแก้ปริศนา จนสืบสวนและจับกุมตัวเขาได้ เพียงแค่นึกว่ากำแพงที่เขาคิดแน่นหนามากแล้ว กลับถูกทำลายง่ายๆเหมือนดีดนิ้ว เขาก็เผลอร้องไห้ออกมาในทันที
สุริยัน   :   เลิกโยเยแล้วรีบตอบคำถามมาซะ ก่อนจะให้คนอื่นมาถามแทน
พี่มาส   :   เราขังไว้ที่สำนักงานของเรา ที่อาคารเมเจอร์22 ชั้น34 สำนักงานทนายความรัชนีกร แถวอโศก
สุริยัน   :   นอกจากพวกนายสองคนแล้วยังมีคนอื่นอีกมั้ยที่เป็นคนของลัทธิในไทย
     เขาไม่รู้ว่าคำถามที่สุริยันถามนี่ถามเพราะไม่รู้จริงๆหรือแค่อยากลองทดสอบเขาว่าจะตอบความจริงหรือไม่ เขาจึงทำได้แค่ตอบความจริงไปถ้ายังรักตัวกลัวตาย
พี่มาส   :   มีอีก2คน
สุริยัน   :   แล้วสองคนนั้นทำหน้าที่อะไร
พี่มาส   :   คนนึงคือท่านประธานเป็นหัวหน้าลัทธิประจำสาขาประเทศไทย ส่วนอีกคนเป็นแม่บ้านดูแลออฟฟิศ
สุริยัน   :   ท่านหัวหน้าลัทธินี่คือคนเดียวที่สามารถติดต่อกับเจ้าลัทธิได้สินะ
     พี่มาสอึกอักอยู่พักใหญ่ก่อนที่บอดี้การ์ดคนนึงจะเอาวัตถุเย็นๆเหมือนเหล็กแนบเข้ากับใบหูของพี่มาส สติพี่มาสเตลิดทันทีที่มีวัตถุชิ้นนั้นมาทาบ เพราะนึกว่ามีคนจะเอามีดตัดหูเขา
พี่มาส   :   ใช่จ่ะใช่ คนๆนี้เป็นคนเดียวที่ติดต่อได้ เราเป็นแค่สาวก เค้าเป็นหัวหน้าลัทธิ ปล่อยเราไปเถอะ
สุริยัน   :   งั้นแบบนี้หัวหน้าพวกนายก็รู้แล้วสิว่าพวกนายทำงานพลาด จนถูกจับตัวได้ งั้นให้พวกเราฆ่าพวกนายให้เลยมั้ย โทษฐานทำงานผิดพลาด
พี่มาส   :   ไม่จ่ะไม่ หัวหน้ายังไม่รู้หรอก เพราะเรายังไม่ได้รายงานว่าเราเจอเป้าหมายใหม่และจับได้รึยัง
สุริยัน   :   ดีมาก ตอบได้ดี ชอบจริงๆเลยคนที่ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายแบบนี้
     หลังจากสอบสวนเสร็จสุริยันก็บอกให้บอดี้การ์ดจับพี่มาสปิดปากแล้วลากออกไปที่เดิม ก่อนที่จะลากโอเปอร์เรเตอรสาวอีกคนนึงเข้ามา ก่อนจะสอบสวนก็กดดันเล็กน้อยและถามคำถามเดียวกันกับที่ถามพี่มาส ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ตรงกัน เมื่อสุริยันยืนยันตำแหน่งที่ตั้งที่ขังเด็กชาวอินเดียคนนั้นแน่นอนแล้ว สุริยันจึงบอกให้มินามิจังสั่งบอดี้การ์ดให้ไปช่วยเหลือเด็กคนนั้นพร้อมกับจับอีกสองคนมาที่นี่ด้วย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา