ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!
-
เขียนโดย GCodename
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.
16 บท
5 วิจารณ์
17.36K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่2 อริที่ไม่ชอบหน้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบท2 อริเก่าที่ไม่ชอบหน้า
คืนแรกผ่านไปอย่างสุขสงบ เนื่องจากบนบ้านของนางภาเป็นบ้านไม้ยกสูงมีหนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องนอนเท่านั้น ชินกรใช้เวลาคืนแรกนอนห้องเดียวกับแม่ของเขาในมุ้งทุกอย่างอบอุ่นเสมือนชายหนุ่มกลับมาบ้านที่แท้จริง พอเช้าตรู่มาเยือน สร ก็มาหาเขาแต่เช้า
“วันนี้ผมขอพาเจ้าเพื่อนเก่าคนนี้ไปเดินดูรอบๆหมู่บ้านนะครับ แล้วจะพาไปที่โรงเรียนเก่าด้วยเผื่อจะจำอะไรได้บ้าง”
“โรงเรียนเก่า....แถวนี้มีโรงเรียนด้วยเหรอ?”
“มีสิกร ลูกยังเรียนอยู่ตอนประถมกับเจ้าสรอยู่เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นโรงเรียนร้างไปแล้ว”
“ไปไม่ไกลหรอก อยู่ในบริเวณหมู่บ้านนี้เอง”
สรรีบบอกอย่างกระตือรือร้น ความจริงจุดหมายของชินกรนอกจากจะกลับมาหาแม่แล้วเขาก็อยากจะรู้ว่าตัวตนของตนเองในช่วงที่ความทรงจำหายไปเป็นอย่างไรเช่นกัน ซึ่งการชวนของสรก็ตอบสนองความต้องการตรงนี้พอดีเว้นเพียงแต่เขามองเห็นสีหน้าของนางภาแม่ของเขาที่ดูจะไม่เต็มใจ
“น่านะน้าภา ผมรับรองว่าจะดูแลลูกน้าภาอย่างดี”
นางภามองดูลูกชายสลับกับสรก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกสรไปซุบซิบได้ยินกันเพียงสองคน
“ตกลง แม่จะให้กรไปกับเจ้าสรแต่แม่ขออย่างหนึ่ง อย่าได้ห่างจากเจ้าสรเด็ดขาดเพราะบ้านวังสาเราอยู่ท่ามกลางป่าเขา ถ้าไม่ชำนาญพื้นที่เกิดหลงป่าไปจะเป็นเรื่องใหญ่”
ชินกรพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการกระทำเช่นนั้นของแม่ตน
“เมื่อกี้แม่ผมคุยอะไรกับคุณ?”
ชินกรยิงคำถามใส่สรทันทีเมื่อออกมานอกตัวบ้าน ขณะที่ทั้งสองตัดสินใจเดินเพื่อไปยังจุดหมายซึ่งเป็นโรงเรียนประถมเก่าที่อยู่ไกลไปอีกฟากของหมู่บ้าน สรหันมายิ้มให้แต่ถึงกระนั้นชินกรก็ดูออกมาเขาเสแสร้ง
“แม่แกแค่เป็นห่วงเท่านั้นล่ะเลยมาย้ำฉันให้ดูแลแกให้ดีๆ เออนี่ ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม?”
“ขออะไรกับผมเหรอ?”
“ก็ไอ้คำพูดห่างเหินประเภทคุณๆผมๆที่พูดอยู่นี่แหละ ฉันไม่คุ้นอ่ะ ยังไงถ้าไม่ลำบากเรียกฉันไอ้สรเหมือนเดิมก็ได้ หรือไม่เรียกฉันกับแกอย่างนี้ก็ยังโอเคกว่าคำในเมืองแบบนั้น”
ชินกรคิดใคร่ครวญแล้วพยักหน้ารับคำ
“ตกลง งั้นผม เอ่อ เป็นฉันกับแกละกัน”
สรตบไหล่ชินกรอย่างอารมณ์ดี สำหรับสรคนนี้ตัวเขารู้สึกคุ้นเคยและด้วยจากการพูดคุยเรื่องราวระหว่างเขากับสรเมื่อวานสายตา น้ำเสียงรวมไปถึงปฏิกิริยาทางร่างกายก็ดูไม่มีตรงไหนที่สรจะโกหก ทว่าสิ่งเดียวที่ชินกรรู้สึกไม่วางใจเพื่อน(ที่อ้างว่า)สนิทคนนี้นักคือสรมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนไว้ภายใต้หน้าตาที่เป็นมิตร อะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้ในตอนนี้
สรพาชินกรเดินมาตามทางลูกรังที่รถกระบะได้พาเข้ามาทั้งสองคนผ่านไปตามบ้านแล้วบ้านเล่า ชินกรสังเกตว่าบ้านส่วนใหญ่ร้างไร้ผู้คนปิดประตูเงียบ แต่ก็มีหลายๆหลังที่ยังทำกิจวัตรประจำวันเช่นการทำสวนหรือเตรียมตัวออกไปที่นาระหว่างทางสรทักทายผู้คนที่พบเจออย่างคนคุ้นเคย เมื่อเขาแนะนำชินกรพร้อมกับสำทับว่า “ไอ้กรลูกน้าภามันกลับมาแล้ว”ชินกรก็พบความผิดปกติกับชาวบ้านเหล่านั้น บ้างยิ้มให้แต่ก็ดูเป็นรอยยิ้มแบบฝืนๆ บ้างก็มีท่าทีหวาดกลัวพร้อมกับขอตัวแยกไปทันที และไม่น้อยที่ไม่รับไหว้ชินกรพร้อมส่งสายตาไม่เป็นมิตรมายังเขา
“แกจากไปหลายปี อีกอย่างฉันขอพูดในฐานะที่เป็นเพื่อนแกนะว่าเมื่อก่อนแกนิสัย....แบบค่อนข้างแย่ฉะนั้นจะมีใครไม่ชอบแกบ้างก็ไม่แปลกหรอกนะ”
“ใครเหล่านั้นมีแกด้วยหรือเปล่าล่ะสร?”
เหมือนจี้ใจดำสรชะงักไปช่วงเสี้ยววินาทีแต่ก็ยากที่จำพ้นสายตาทนายความอย่างเขาไปได้
“ฉันน่ะเหรอไม่ชอบแก เราสนิทกันจะตายไม่อย่างนั้นน้าภาไม่วางใจให้แกไปไหนมาไหนกับฉันหรอก”
ก็จริง แม่ของเขาที่ห่วงเขาขนาดนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายตัวเองไปไหนมาไหนกับคนที่เกลียดหรอก แต่ถึงยังไงด้วยนิสัยที่ไม่ไว้วางใจอะไรง่ายๆอย่างเขา ย่อมไม่คิดจะประมาทโดยเฉพาะสรที่ดูมีลับลมคมนัยบางอย่างที่ชินกรต้องรู้ให้ได้เพียงแค่ตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาเพื่อนที่น่าเคลือบแคลงคนนี้ไปก่อนเท่านั้นเอง
สรพาเดินมายังทางแยกของหมู่บ้านที่เลี้ยวไปด้านขวาที่เขาเห็นเมื่อวานนี้พร้อมกับพาเดินเข้าไปก็จะเห็นเป็นทางลูกรังมีบ้านปลูกไว้สองข้างทางแต่ว่าบ้านแต่ละหลังกลับกว้างและอยู่ห่างกัน มีหลายพื้นที่ที่ไม่มีบ้านปลูกก็จะเป็นแอ่งน้ำขังหรือไม่ก็ดงกล้วยไข่ขึ้นอยู่ ชินกรเดินมาหลายสิบนาทีเขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่พอจะนึกขึ้นได้
“ที่หมู่บ้านไม่มีใครเลี้ยงหมาเลยเหรอ?”
“ไม่มีหรอก มันเห่าน่ารำคาญเลยไม่มีใครเลี้ยง”
“เหรอ แปลกดีเพราะที่ฉันลองสังเกตดู ฉันก็ไม่เห็นชาวบ้านเลี้ยงสัตว์พวกไก่เป็ดอะไรพวกนี้เลย”
“นี่ไอ้คุณกร คุณกรไปอยู่ในเมืองมาหลายปีจนคิดว่าบ้านตามชนบทต้องเป็นแบบในละครใช่ไหม? ถึงต้องติดว่าบ้านนอกต้องเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ แกลองสังเกตดูว่าบ้านแต่ละหลังมีคนอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้วฉันบอกเลยนะว่าที่นี่เขาทำแต่นากับไร่สวน เลี้ยงสัตว์มันใช้ทุนเยอะไม่มีใครเขาทำหรอก”
ชินกรพยักหน้าบางทีเขาอาจจะยึดติดบ้านตามชนบทเกินไปอย่างที่สรบอกก็ได้ ทั้งสองคนเดินตรงไปตามทางลูกรังสองข้างทางเริ่มเป็นป่าหญ้าคาที่สูงเกือบเท่าคน จู่ๆสรยื่นมือออกมากันตรงหน้าชินกรเป็นสัญญาณที่บอกให้เขาหยุดพร้อมกับจ้องตาเขม็งไปข้างหน้า เมื่อชินกรมองตามเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนกำลังเดินมา
“โอ๊ะโอ ดูซิว่าใครกลับมาที่บ้านของเรา”
คนที่ตัวเล็กที่สุดที่อยู่ซ้ายสุดในกลุ่มส่งเสียงถากถางพร้อมจ้องสายตามาที่ชินกร ขณะที่คนที่รูปร่างไม่ต่างกันที่ยืนอยู่ด้านขวาก็ส่งเสียงรับเหมือนฝูงสุนัขที่เห่าหอนต่อกัน
“จะใครเสียอีกก็ตัวซวยไงล่ะวะ!”
“มึงว่าใครพูดให้มันดีๆไอ้ดำ”
สรออกตัวมากั้นกลางระหว่างชินกรกับชายฉกรรจ์ทั้งสามคน ลำพังคนขนาบซ้ายขวาคงคว่ำสรยากเพราะขนาดตัวของสรที่สูงล่ำตามแบบคนสู้ชีวิต แต่ตรงข้ามกับคนที่อยู่ตรงกลางที่ดูเป็นลูกพี่ใหญ่ในกลุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าสรเสียอีกที่สำคัญตั้งแต่ตอนที่ชินกรเห็นชายคนนี้ก็จ้องมองเขม็งมายังเขาด้วยสาตาที่อาฆาต!
“มึงนี่มันหมาผู้ซื่อสัตย์ดีนะไอ้สร” เจ้าตัวใหญ่ตรงกลางเดินมาประจันหน้าแต่แววตาที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อชินกรอยู่ “มึงลืมไปแล้วหรือไงว่ามันทำระยำกับมึงบ้าง?”
“นั่นมันเรื่องในอดีต ตอนนี้ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแลเจ้ากรมันฉะนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนอย่าได้คิดทำร้ายเจ้ากรเด็ดขาด”
เจ้าลูกน้องสองคนดูกล้าๆกลัวสรที่จ้องมองราวกับจะเอาเรื่องยกเว้นลูกพี่ใหญ่ตรงกลางที่ยังคงมองชินกรอย่างเคียดแค้น แต่ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามไปใหญ่โตเสียงดังของใครบางคนที่โผล่เข้ามาก็หยุดการกระทำทั้งหมดของทุกคนโดยเฉพาะชายฉกรรจ์สามคนนั่น
“หยุดนะพวกมึงโดยเฉพาะมึงไอ้ชม! แหม เก่งจังกับคนไม่มีทางสู้นี่”
ชินกรหันไปมองตามทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นชายแก่รูปร่างล่ำสูงพอๆกับเจ้าตัวใหญ่ที่มาหาเรื่อง โดยใบหน้าชายผู้นั้นไว้หนวดรุงรังคาบยาเส้นไว้ที่มุมปากผิวสีดำแดงเดินถือปืนลูกกรดสะพายบ่าตรงมายังที่ทั้งหมดยืนอยู่
“ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงก็ตัวต่อตัวกันสิวะ”
“ได้เลยลุงคำ งั้นฉันขอตัวต่อตัวกับไอ้กรนี่แหละ!”
เจ้าคนตัวใหญ่พูดพร้อมกับเดินปรี่เข้าหาชินกรแต่ก้าวได้เพียงสองก้าวปืนลูกกรดของชายแก่ก็ขวางไว้จนมันชะงัก
“มึงกล้ากับมันแล้วมึงกล้ามีเรื่องกับนังภาแม่มันหรือเปล่าล่ะไอ้ชม? หืม ถ้าไม่อยากให้นังภามันเอาเรื่องก็ไสหัวไปทั้งหมดนี่แหละ!”
คนชื่อชมหยุดในทันทีที่ได้ยินชื่อนางภา ก่อนที่ตัวมันกับลูกสมุนทั้งสองจะยอมถอยหลังแล้วเดินผ่านสรกับชินกรไปโดยชินกรยังเห็นสาตาอาฆาตมาจากชายร่างใหญ่ที่ชื่อชม เมื่ออันธพาลทั้งสามคนผ่านไปแล้วทั้งสรและชินกรก็ยกมือไหว้ชายแก่ที่เข้ามาช่วยได้ทันท่วงทีก่อนที่จะมีเรื่องกันจนเลือดตกยางออก ชายแก่เดินมาหยุดตรงหน้าชินกรพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีหลานชาย เป็นยังไงมายังไงล่ะถึงได้กลับมาที่นี่”
ชินกรพยายามจะเรียบเรียงที่มาให้กระชับที่สุดแต่สรก็แย่งเขาอธิบายเรื่องราวทั้งประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อมบางส่วนทั้งเหตุผลที่ต้องกลับมาที่บ้าน ชายแก่ฟังอย่างตั้งใจเมื่อฟังจบเขาก็มองชินกรด้วยสายตาที่ห่วง
“โถ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆเลยเจ้ากร แม่เอ็งคงเป็นห่วงแย่ เอ็งคงจำลุงไม่ได้สินะ ลุงชื่อคำ ลุงเป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่ถ้าเอ็งมีเรื่องอะไรก็ไปหาลุงได้นะ บ้านลุงอยู่หลังสุดท้ายของทางนี้”
ชินกรพยักหน้าพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้งเพื่อขอบคุณ ลุงคำคุยกับชินกรและสรอีกสักพักก็ขอแยกตัวออกมา ทั้งคู่จึงเริ่มเดินไปตามทางเพื่อจะไปโรงเรียนประถมเก่าจุดหมายเดิมที่ตั้งใจแต่แรก เมื่อเดินมาสักพักชินกรไม่ปล่อยโอกาสที่จะถามสรถึงเรื่องราวที่เจ้าชมนักเลงโตมันพูดไว้ สรมีท่าทีอึดอัดอย่างชัดเจน
“ถ้าฉันเล่าแกอย่าบอกน้าภานะว่ารู้จากฉัน”
ชินกรพยักหน้ารับปาก สรสูดลมหายใจแล้วก็เล่าให้ชินกรฟัง
“นั่นมันชื่อไอ้ชมส่วนอีกสองตัวก็ไอ้ดำและไอ้เขียว ไอ้สามคนนี้มันเป็นนักเลงโตอยู่แถบนี้มานานแล้ว ที่สำคัญมันไม่ถูกกับแกมาตั้งแต่เด็กเพราะแกเรียนเก่งกว่า ฉลาดกว่ามันที่สำคัญก่อนแกจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ แก.....ทำคนที่มันรักท้อง”
“ฉันทำผู้หญิงท้อง ใคร?”
“ชื่อหวาน พอแกทำหวานมันท้องแกก็หนีไปเรียนที่กรุงเทพหวานมันก็เลยเคว้งเพราะคิดว่าถูกแกฟันแล้วทิ้งหวานก็เลย....ผูกคอตาย”
ชินกรสีหน้าถอดสีจนซีด เขาเริ่มคลับคล้ายเรื่องที่สรเล่าขณะเดียวกันก็รู้สึกรังเกียจตัวเองที่ทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นได้
“มิน่าคนชื่อชมถึงได้ดูแค้นฉันขนาดนั้น แต่เมื่อกี้เขาก็พูดถึงแกเหมือนกันนี่ ว่าฉันก็ทำอะไรแย่ๆกับแกเหมือนกัน”
สรถอนหายใจดังเฮือกสีหน้าอึดอัด พรางมองมาที่ชินกร
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันหลายปีมาแล้ว”
“ช่างไม่ได้สิ เพราะฉันก็อยากจะรู้ตัวตนของฉันเหมือนกันที่สำคัญฉันอยากจะรู้จากปากของแกสร ถ้าแกยืนยันว่าแกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่จริงๆแกต้องบอกฉันมา ไม่อย่างนั้นฉันจะเดินกลับบ้านของฉันทันที”
สรมีท่าทีอึดอัดใจแต่แล้วในที่สุดก็ยอมพูดตามที่ชินกรต้องการ
“ฉันก็รักหวานเหมือนกัน พอใจไหม?”
“แกรักหวาน คนที่ท้องกับฉัน”
“ใช่ ฉันแอบรักแล้วแกก็....ช่างเถอะ เพราะฉันรู้ว่าแกก็เสียใจแล้วไม่คิดว่าหวานจะคิดสั้น”
“แกรู้ได้ยังไงว่าฉันในตอนนั้นเสียใจ?”
“ก็แกยังกลับมาที่บ้านร่วมงานศพของหวาน มาร้องห่มร้องไห้ขนาดพ่อของหวานเอาไม้ไล่ฟาดแกไอ้ชมทำร้ายแก แกก็ยังยืนยันจะอยู่สวดศพจนคนต้องลากแกออกไป”
“นี่ฉันทำขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่ ฉันถึงได้รู้ว่าแกไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหวาน แล้วฉันก็ไม่อยากให้แกคิดมากเรื่องนี้เพราะมันผ่านมาหลายปีแล้ว”
“แล้วหวานผูกคอที่ไหน? ที่บ้านของหวานเหรอ?”
สรส่ายหน้า “หวานผูกคอตายที่โรงเรียนประถมร้างที่เรากำลังจะไปนี่แหละ”
ชินกรเริ่มรู้สึกลังเลที่จะไปโรงเรียนร้างชั่วขณะ เขาเริ่มที่จะกลัวอดีตตัวเองมาเสียเฉยๆ แต่ความคิดนั้นมันก็ชั่วขณะจริงๆเพราะชายหนุ่มได้ตัดสินใจโดยหันไปบอกกับสร
“เอาสิ ไปโรงเรียนร้างแล้วช่วยพาไปยังจุดที่หวานแขวนคอตัวเองด้วย ฉันอยากไปขอขมาเธอ”
สรพาชินกรเดินมาตามทางลูกรังบ้านคนเริ่มหายไปแทนที่ด้วยสวนกล้วยและสวนผักสวนครัวของพวกชาวบ้าน เมื่อเดินมาผ่านบ้านไม้ยกสูงหลังหนึ่งสรชี้ไปที่บ้านหลังนั้นพร้อมกับบอกว่า “นี่ไงบ้านลุงคำ แกทำนาและก็ล่าสัตว์ไปด้วย”
ชินกรมองเข้าไปภายในบ้านเห็นตรงใต้ถุนที่ยกสูงมีซากของสัตว์จำพวกแย้ห้อยแขวนอยู่ มิน่าตอนที่พบเจอเมื่อสักครู่เขาถึงได้เห็นลุงคำถือปืนแก๊ปไว้ ระหว่างทางสรได้เล่าเรื่องในวัยเด็กระหว่างเขากับชินกรให้ฟังเพื่อรำลึกอดีตให้กับชายหนุ่มพร้อมกันนั้นก็พามาจุดที่สองฝั่งเต็มไปด้วยกอไผ่ก่อนที่มัคคุเทศก์สรจะชี้ไปที่เนินดินที่จะขึ้นไปยังลานกว้าง
“นั่นไง ขึ้นเนินนั่นก็ถึงโรงเรียนเก่าเราแล้ว”
สรเดินนำหน้าขึ้นเนินดินขณะที่ชินกรก็เดินตาม เมื่อขึ้นไปภาพที่คุ้นเคยสายตาและโสตสมองในความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมา
บนลานกว้างนั้นชินกรมองเห็นอาคารไม้สองชั้นเก่าซอมซ่อตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของลานกว้าง ด้านหน้ามีเสาธงชาติยืนสูงเด่นทว่าผืนธงชาติที่เก่าแลซีดได้ขาดยุ่ยหมด ไม่ไกลจากอาคารไม้สองชั้นเป็นที่โล่งที่มีเศษซากของเครื่องเล่นอย่างชิงช้าและไม้กระดานลื่นที่ยังพอเห็นทรงแม้ว่าส่วนใหญ่จะผุพังกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้วก็ตาม ชายหนุ่มกวาดตามองไปอีกด้านของอดีตสนามเด็กเล่นเห็นโครงสร้างของศาลาไม้ที่สร้างเป็นแนวยาว แม้ปัจจุบันนี้หลังคาที่มุงจะหลุดไปกึ่งหนึ่งแล้วแต่ชินกรก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คือส่วนของโรงอาหารที่ใช้รับประทานอาหารในช่วงกลางวัน สรปล่อยให้ชินกรมองสำรวจโรงเรียนประถมร้างอยู่อย่างเงียบๆ จนชินกรเอ่ยถามขึ้นมาซึ่งทำให้เขาเริ่มมีความหวัง
“ห้องน้ำอยู่ด้านหลังอาคารไม้ใช่ไหม?”
“นี่แกจำโรงเรียนได้เหรอวะกร? อย่างนี้น้าภาต้องดีใจแน่ที่แกเริ่มจำอะไรได้”
ใช่ ชินกรจำได้ตอนนี้เหตุการณ์วัยเด็กเริ่มชัดเจน เขาเริ่มจำความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสร รวมไปถึงหวานแล้วก็พวกของชมด้วย แต่แล้วแทนที่ความทรงจำที่จู่ๆไหลกลับเข้ามาจะปรากฏชัดเจนทั้งหมดแต่ชินกรก็ถูกขัดจังหวะด้วยอาการปวดหัวอย่างฉับพลันจนต้องเอามือกุมศีรษะ สรที่อยู่ไม่ห่างเห็นเพื่อนอาการไม่สู้ดีจึงเข้ามาประคอง
“แกเป็นอะไรวะไอ้กร?”
“ฉันปวดหัว จู่ๆก็เป็น”
“แกไหวไหม? กลับบ้านเลยหรือเปล่าเดี๋ยวฉันพากลับ?”
“ไม่ต้อง” ชินกรส่ายหน้า “พาฉันไปนั่งที่ใต้ต้นไทรตรงนั้นครู่หนึ่ง อาการคงจะดีขึ้น”
ชินกรชี้ไปที่ต้นไทรต้นใหญ่ที่ขึ้นอยู่อีกด้านของอาคารไม้ซึ่งสรก็รีบประคองไปทันที สรประคองชินกรมานั่งตรงม้านั่งเก่าที่อยู่ใต้ต้นไทรโดยชายหนุ่มนั่งพักอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกดีขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้างวะไอ้กร?”
“ดีขึ้น ตอนนี้ รู้สึกเหมือนกับมีคนมานวดที่ขมับฉันเลย”
ชินกรเห็นสรลุกขึ้นแทบจะทันทีพร้อมกับมองเขาด้วยแววตาประหลาด ทันใดนั้นลมที่ไม่รู้มาจากไหนพัดโบกสะพัดรุนแรงจนฝุ่นรอบด้านฟุ้งกระจายก่อนที่ไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็สงบลงเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชินกรมองไปรอบด้านอย่างงุนงงที่จู่ๆบรรยากาศรอบด้านก็แปรปรวนแบบผิดวิสัยขณะที่กรที่ยืนอยู่ข้างๆก็มองไปรอบๆอย่างหวั่นๆ
“แกรู้สึกว่ามีใครมานวดที่ขมับแกเหรอ?”
สรถามขึ้นซึ่งชินกรก็พยักหน้า
“ใช่ ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆจากเมื่อกี้ฉันปวดหัวอยู่ แต่ก็รู้สึกคลายไปเพราะรู้สึกเหมือนมีคนมานวดที่ขมับสองข้าง”
“แกถามฉันก่อนที่จะมาถึงใช่ไหมว่าหวานแขวนคอตายที่ไหน?”
ชินกรมีไหวพริบพอที่จะเดาได้ว่าสรกำลังจะพูดอะไร เขานิ่งเงียบไปแล้วเงยหน้าไปมองที่กิ่งต้นไทรที่แผ่ขยายกิ่งก้านจนดูน่าเกรงขามเหมือนสรรู้ทันเขาจึงชี้ไปที่กิ่งด้านหน้าที่อยู่บนศีรษะของชินกร
“กิ่งนั้น ที่บนหัวของแก!”
ชินกรแหงนหน้าขึ้นไปจนสุด ทันใดนั้นใบหน้าสีเขียวช้ำเลือดช้ำหนองของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏจ่อตรงหน้าเสมือนเธอก้มมองชินกรอยู่ก่อนแล้วชายหนุ่มแหงนขึ้นไปเจอทันที! ชินกรสะบัดมือพร้อมกับหงายหลังร้องโวยวายเสียงดังสรรีบเข้าไปหาเพื่อนพร้อมกับเขย่าตัว
“ช่วยด้วย ฉันเห็นๆๆ”
“ใจเย็นไอ้กร แกเห็นอะไร? ไม่มีอะไรเลยนะ”
ชินกรกำลังจะชี้ไปที่จุดที่เขาเห็นหน้าตาที่น่าสะพรึงของใครสักคน แต่แล้วที่ม้านั่งก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่าเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยมีสรคอยประคองเขาเริ่มปะติปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฉันเข้าใจแล้ว เมื่อกี้ว่าฉันเห็นหวานว่ะ”
“แกเห็นหวานอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันคิดว่าอย่างนั้น”
พูดจบ ชินกรก็พนมมือไหว้พร้อมกับตั้งจิตขอขมาแด่หวานหญิงสาวที่เขานั้นเคยทำร้ายความรู้สึกจนต้องผูกคอตายตรงต้นไทรนี้ เมื่อตั้งจิตอธิษฐานเสร็จชินกรมองไปรอบๆโรงเรียนประถมที่เขาเคยเรียนเมื่อสมัยเด็กเผื่อจะมีความทรงจำอื่นๆเข้ามาอีกบ้าง แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะเขายังนึกอะไรเพิ่มไม่ได้เลยสุดท้ายเขาก็ชวนสรเดินกลับบ้านซึ่งสรก็ตกลงระหว่างกำลังจะเดินออกพ้นเงาต้นไทรสรได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง
ตุ๊บ!
เมื่อสรหันไปมองเห็นร่างที่เปล่าเปลือยของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขียวอืดไปทั่วทั้งตัวโดยที่คอของเธอมีเชือกมัดอยู่รอบคอยาวลงมาจรดพื้น! ชินกรหันมาถามเมื่อเห็นสรมองอะไรบางอย่างแต่สรก็รีบบ่ายเบี่ยง
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ดูว่าเราลืมอะไรหรือเปล่า เรากลับบ้านกันเถอะ”
ชินกรพยักหน้าเดินออกไปจากโรงเรียนร้างโดยมีสรเดินอยู่ข้างๆ แต่สิ่งที่ชินกรไม่รู้เลยคือบัดนี้มีผู้หญิงที่ราวกับศพขึ้นอืดเขียวช้ำน่ากลัวกำลังเดินตามเขากลับไปด้วย.....
คืนแรกผ่านไปอย่างสุขสงบ เนื่องจากบนบ้านของนางภาเป็นบ้านไม้ยกสูงมีหนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องนอนเท่านั้น ชินกรใช้เวลาคืนแรกนอนห้องเดียวกับแม่ของเขาในมุ้งทุกอย่างอบอุ่นเสมือนชายหนุ่มกลับมาบ้านที่แท้จริง พอเช้าตรู่มาเยือน สร ก็มาหาเขาแต่เช้า
“วันนี้ผมขอพาเจ้าเพื่อนเก่าคนนี้ไปเดินดูรอบๆหมู่บ้านนะครับ แล้วจะพาไปที่โรงเรียนเก่าด้วยเผื่อจะจำอะไรได้บ้าง”
“โรงเรียนเก่า....แถวนี้มีโรงเรียนด้วยเหรอ?”
“มีสิกร ลูกยังเรียนอยู่ตอนประถมกับเจ้าสรอยู่เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นโรงเรียนร้างไปแล้ว”
“ไปไม่ไกลหรอก อยู่ในบริเวณหมู่บ้านนี้เอง”
สรรีบบอกอย่างกระตือรือร้น ความจริงจุดหมายของชินกรนอกจากจะกลับมาหาแม่แล้วเขาก็อยากจะรู้ว่าตัวตนของตนเองในช่วงที่ความทรงจำหายไปเป็นอย่างไรเช่นกัน ซึ่งการชวนของสรก็ตอบสนองความต้องการตรงนี้พอดีเว้นเพียงแต่เขามองเห็นสีหน้าของนางภาแม่ของเขาที่ดูจะไม่เต็มใจ
“น่านะน้าภา ผมรับรองว่าจะดูแลลูกน้าภาอย่างดี”
นางภามองดูลูกชายสลับกับสรก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกสรไปซุบซิบได้ยินกันเพียงสองคน
“ตกลง แม่จะให้กรไปกับเจ้าสรแต่แม่ขออย่างหนึ่ง อย่าได้ห่างจากเจ้าสรเด็ดขาดเพราะบ้านวังสาเราอยู่ท่ามกลางป่าเขา ถ้าไม่ชำนาญพื้นที่เกิดหลงป่าไปจะเป็นเรื่องใหญ่”
ชินกรพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการกระทำเช่นนั้นของแม่ตน
“เมื่อกี้แม่ผมคุยอะไรกับคุณ?”
ชินกรยิงคำถามใส่สรทันทีเมื่อออกมานอกตัวบ้าน ขณะที่ทั้งสองตัดสินใจเดินเพื่อไปยังจุดหมายซึ่งเป็นโรงเรียนประถมเก่าที่อยู่ไกลไปอีกฟากของหมู่บ้าน สรหันมายิ้มให้แต่ถึงกระนั้นชินกรก็ดูออกมาเขาเสแสร้ง
“แม่แกแค่เป็นห่วงเท่านั้นล่ะเลยมาย้ำฉันให้ดูแลแกให้ดีๆ เออนี่ ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม?”
“ขออะไรกับผมเหรอ?”
“ก็ไอ้คำพูดห่างเหินประเภทคุณๆผมๆที่พูดอยู่นี่แหละ ฉันไม่คุ้นอ่ะ ยังไงถ้าไม่ลำบากเรียกฉันไอ้สรเหมือนเดิมก็ได้ หรือไม่เรียกฉันกับแกอย่างนี้ก็ยังโอเคกว่าคำในเมืองแบบนั้น”
ชินกรคิดใคร่ครวญแล้วพยักหน้ารับคำ
“ตกลง งั้นผม เอ่อ เป็นฉันกับแกละกัน”
สรตบไหล่ชินกรอย่างอารมณ์ดี สำหรับสรคนนี้ตัวเขารู้สึกคุ้นเคยและด้วยจากการพูดคุยเรื่องราวระหว่างเขากับสรเมื่อวานสายตา น้ำเสียงรวมไปถึงปฏิกิริยาทางร่างกายก็ดูไม่มีตรงไหนที่สรจะโกหก ทว่าสิ่งเดียวที่ชินกรรู้สึกไม่วางใจเพื่อน(ที่อ้างว่า)สนิทคนนี้นักคือสรมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนไว้ภายใต้หน้าตาที่เป็นมิตร อะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้ในตอนนี้
สรพาชินกรเดินมาตามทางลูกรังที่รถกระบะได้พาเข้ามาทั้งสองคนผ่านไปตามบ้านแล้วบ้านเล่า ชินกรสังเกตว่าบ้านส่วนใหญ่ร้างไร้ผู้คนปิดประตูเงียบ แต่ก็มีหลายๆหลังที่ยังทำกิจวัตรประจำวันเช่นการทำสวนหรือเตรียมตัวออกไปที่นาระหว่างทางสรทักทายผู้คนที่พบเจออย่างคนคุ้นเคย เมื่อเขาแนะนำชินกรพร้อมกับสำทับว่า “ไอ้กรลูกน้าภามันกลับมาแล้ว”ชินกรก็พบความผิดปกติกับชาวบ้านเหล่านั้น บ้างยิ้มให้แต่ก็ดูเป็นรอยยิ้มแบบฝืนๆ บ้างก็มีท่าทีหวาดกลัวพร้อมกับขอตัวแยกไปทันที และไม่น้อยที่ไม่รับไหว้ชินกรพร้อมส่งสายตาไม่เป็นมิตรมายังเขา
“แกจากไปหลายปี อีกอย่างฉันขอพูดในฐานะที่เป็นเพื่อนแกนะว่าเมื่อก่อนแกนิสัย....แบบค่อนข้างแย่ฉะนั้นจะมีใครไม่ชอบแกบ้างก็ไม่แปลกหรอกนะ”
“ใครเหล่านั้นมีแกด้วยหรือเปล่าล่ะสร?”
เหมือนจี้ใจดำสรชะงักไปช่วงเสี้ยววินาทีแต่ก็ยากที่จำพ้นสายตาทนายความอย่างเขาไปได้
“ฉันน่ะเหรอไม่ชอบแก เราสนิทกันจะตายไม่อย่างนั้นน้าภาไม่วางใจให้แกไปไหนมาไหนกับฉันหรอก”
ก็จริง แม่ของเขาที่ห่วงเขาขนาดนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายตัวเองไปไหนมาไหนกับคนที่เกลียดหรอก แต่ถึงยังไงด้วยนิสัยที่ไม่ไว้วางใจอะไรง่ายๆอย่างเขา ย่อมไม่คิดจะประมาทโดยเฉพาะสรที่ดูมีลับลมคมนัยบางอย่างที่ชินกรต้องรู้ให้ได้เพียงแค่ตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาเพื่อนที่น่าเคลือบแคลงคนนี้ไปก่อนเท่านั้นเอง
สรพาเดินมายังทางแยกของหมู่บ้านที่เลี้ยวไปด้านขวาที่เขาเห็นเมื่อวานนี้พร้อมกับพาเดินเข้าไปก็จะเห็นเป็นทางลูกรังมีบ้านปลูกไว้สองข้างทางแต่ว่าบ้านแต่ละหลังกลับกว้างและอยู่ห่างกัน มีหลายพื้นที่ที่ไม่มีบ้านปลูกก็จะเป็นแอ่งน้ำขังหรือไม่ก็ดงกล้วยไข่ขึ้นอยู่ ชินกรเดินมาหลายสิบนาทีเขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่พอจะนึกขึ้นได้
“ที่หมู่บ้านไม่มีใครเลี้ยงหมาเลยเหรอ?”
“ไม่มีหรอก มันเห่าน่ารำคาญเลยไม่มีใครเลี้ยง”
“เหรอ แปลกดีเพราะที่ฉันลองสังเกตดู ฉันก็ไม่เห็นชาวบ้านเลี้ยงสัตว์พวกไก่เป็ดอะไรพวกนี้เลย”
“นี่ไอ้คุณกร คุณกรไปอยู่ในเมืองมาหลายปีจนคิดว่าบ้านตามชนบทต้องเป็นแบบในละครใช่ไหม? ถึงต้องติดว่าบ้านนอกต้องเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ แกลองสังเกตดูว่าบ้านแต่ละหลังมีคนอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้วฉันบอกเลยนะว่าที่นี่เขาทำแต่นากับไร่สวน เลี้ยงสัตว์มันใช้ทุนเยอะไม่มีใครเขาทำหรอก”
ชินกรพยักหน้าบางทีเขาอาจจะยึดติดบ้านตามชนบทเกินไปอย่างที่สรบอกก็ได้ ทั้งสองคนเดินตรงไปตามทางลูกรังสองข้างทางเริ่มเป็นป่าหญ้าคาที่สูงเกือบเท่าคน จู่ๆสรยื่นมือออกมากันตรงหน้าชินกรเป็นสัญญาณที่บอกให้เขาหยุดพร้อมกับจ้องตาเขม็งไปข้างหน้า เมื่อชินกรมองตามเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนกำลังเดินมา
“โอ๊ะโอ ดูซิว่าใครกลับมาที่บ้านของเรา”
คนที่ตัวเล็กที่สุดที่อยู่ซ้ายสุดในกลุ่มส่งเสียงถากถางพร้อมจ้องสายตามาที่ชินกร ขณะที่คนที่รูปร่างไม่ต่างกันที่ยืนอยู่ด้านขวาก็ส่งเสียงรับเหมือนฝูงสุนัขที่เห่าหอนต่อกัน
“จะใครเสียอีกก็ตัวซวยไงล่ะวะ!”
“มึงว่าใครพูดให้มันดีๆไอ้ดำ”
สรออกตัวมากั้นกลางระหว่างชินกรกับชายฉกรรจ์ทั้งสามคน ลำพังคนขนาบซ้ายขวาคงคว่ำสรยากเพราะขนาดตัวของสรที่สูงล่ำตามแบบคนสู้ชีวิต แต่ตรงข้ามกับคนที่อยู่ตรงกลางที่ดูเป็นลูกพี่ใหญ่ในกลุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าสรเสียอีกที่สำคัญตั้งแต่ตอนที่ชินกรเห็นชายคนนี้ก็จ้องมองเขม็งมายังเขาด้วยสาตาที่อาฆาต!
“มึงนี่มันหมาผู้ซื่อสัตย์ดีนะไอ้สร” เจ้าตัวใหญ่ตรงกลางเดินมาประจันหน้าแต่แววตาที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อชินกรอยู่ “มึงลืมไปแล้วหรือไงว่ามันทำระยำกับมึงบ้าง?”
“นั่นมันเรื่องในอดีต ตอนนี้ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแลเจ้ากรมันฉะนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนอย่าได้คิดทำร้ายเจ้ากรเด็ดขาด”
เจ้าลูกน้องสองคนดูกล้าๆกลัวสรที่จ้องมองราวกับจะเอาเรื่องยกเว้นลูกพี่ใหญ่ตรงกลางที่ยังคงมองชินกรอย่างเคียดแค้น แต่ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามไปใหญ่โตเสียงดังของใครบางคนที่โผล่เข้ามาก็หยุดการกระทำทั้งหมดของทุกคนโดยเฉพาะชายฉกรรจ์สามคนนั่น
“หยุดนะพวกมึงโดยเฉพาะมึงไอ้ชม! แหม เก่งจังกับคนไม่มีทางสู้นี่”
ชินกรหันไปมองตามทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นชายแก่รูปร่างล่ำสูงพอๆกับเจ้าตัวใหญ่ที่มาหาเรื่อง โดยใบหน้าชายผู้นั้นไว้หนวดรุงรังคาบยาเส้นไว้ที่มุมปากผิวสีดำแดงเดินถือปืนลูกกรดสะพายบ่าตรงมายังที่ทั้งหมดยืนอยู่
“ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงก็ตัวต่อตัวกันสิวะ”
“ได้เลยลุงคำ งั้นฉันขอตัวต่อตัวกับไอ้กรนี่แหละ!”
เจ้าคนตัวใหญ่พูดพร้อมกับเดินปรี่เข้าหาชินกรแต่ก้าวได้เพียงสองก้าวปืนลูกกรดของชายแก่ก็ขวางไว้จนมันชะงัก
“มึงกล้ากับมันแล้วมึงกล้ามีเรื่องกับนังภาแม่มันหรือเปล่าล่ะไอ้ชม? หืม ถ้าไม่อยากให้นังภามันเอาเรื่องก็ไสหัวไปทั้งหมดนี่แหละ!”
คนชื่อชมหยุดในทันทีที่ได้ยินชื่อนางภา ก่อนที่ตัวมันกับลูกสมุนทั้งสองจะยอมถอยหลังแล้วเดินผ่านสรกับชินกรไปโดยชินกรยังเห็นสาตาอาฆาตมาจากชายร่างใหญ่ที่ชื่อชม เมื่ออันธพาลทั้งสามคนผ่านไปแล้วทั้งสรและชินกรก็ยกมือไหว้ชายแก่ที่เข้ามาช่วยได้ทันท่วงทีก่อนที่จะมีเรื่องกันจนเลือดตกยางออก ชายแก่เดินมาหยุดตรงหน้าชินกรพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีหลานชาย เป็นยังไงมายังไงล่ะถึงได้กลับมาที่นี่”
ชินกรพยายามจะเรียบเรียงที่มาให้กระชับที่สุดแต่สรก็แย่งเขาอธิบายเรื่องราวทั้งประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อมบางส่วนทั้งเหตุผลที่ต้องกลับมาที่บ้าน ชายแก่ฟังอย่างตั้งใจเมื่อฟังจบเขาก็มองชินกรด้วยสายตาที่ห่วง
“โถ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆเลยเจ้ากร แม่เอ็งคงเป็นห่วงแย่ เอ็งคงจำลุงไม่ได้สินะ ลุงชื่อคำ ลุงเป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่ถ้าเอ็งมีเรื่องอะไรก็ไปหาลุงได้นะ บ้านลุงอยู่หลังสุดท้ายของทางนี้”
ชินกรพยักหน้าพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้งเพื่อขอบคุณ ลุงคำคุยกับชินกรและสรอีกสักพักก็ขอแยกตัวออกมา ทั้งคู่จึงเริ่มเดินไปตามทางเพื่อจะไปโรงเรียนประถมเก่าจุดหมายเดิมที่ตั้งใจแต่แรก เมื่อเดินมาสักพักชินกรไม่ปล่อยโอกาสที่จะถามสรถึงเรื่องราวที่เจ้าชมนักเลงโตมันพูดไว้ สรมีท่าทีอึดอัดอย่างชัดเจน
“ถ้าฉันเล่าแกอย่าบอกน้าภานะว่ารู้จากฉัน”
ชินกรพยักหน้ารับปาก สรสูดลมหายใจแล้วก็เล่าให้ชินกรฟัง
“นั่นมันชื่อไอ้ชมส่วนอีกสองตัวก็ไอ้ดำและไอ้เขียว ไอ้สามคนนี้มันเป็นนักเลงโตอยู่แถบนี้มานานแล้ว ที่สำคัญมันไม่ถูกกับแกมาตั้งแต่เด็กเพราะแกเรียนเก่งกว่า ฉลาดกว่ามันที่สำคัญก่อนแกจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ แก.....ทำคนที่มันรักท้อง”
“ฉันทำผู้หญิงท้อง ใคร?”
“ชื่อหวาน พอแกทำหวานมันท้องแกก็หนีไปเรียนที่กรุงเทพหวานมันก็เลยเคว้งเพราะคิดว่าถูกแกฟันแล้วทิ้งหวานก็เลย....ผูกคอตาย”
ชินกรสีหน้าถอดสีจนซีด เขาเริ่มคลับคล้ายเรื่องที่สรเล่าขณะเดียวกันก็รู้สึกรังเกียจตัวเองที่ทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นได้
“มิน่าคนชื่อชมถึงได้ดูแค้นฉันขนาดนั้น แต่เมื่อกี้เขาก็พูดถึงแกเหมือนกันนี่ ว่าฉันก็ทำอะไรแย่ๆกับแกเหมือนกัน”
สรถอนหายใจดังเฮือกสีหน้าอึดอัด พรางมองมาที่ชินกร
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันหลายปีมาแล้ว”
“ช่างไม่ได้สิ เพราะฉันก็อยากจะรู้ตัวตนของฉันเหมือนกันที่สำคัญฉันอยากจะรู้จากปากของแกสร ถ้าแกยืนยันว่าแกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่จริงๆแกต้องบอกฉันมา ไม่อย่างนั้นฉันจะเดินกลับบ้านของฉันทันที”
สรมีท่าทีอึดอัดใจแต่แล้วในที่สุดก็ยอมพูดตามที่ชินกรต้องการ
“ฉันก็รักหวานเหมือนกัน พอใจไหม?”
“แกรักหวาน คนที่ท้องกับฉัน”
“ใช่ ฉันแอบรักแล้วแกก็....ช่างเถอะ เพราะฉันรู้ว่าแกก็เสียใจแล้วไม่คิดว่าหวานจะคิดสั้น”
“แกรู้ได้ยังไงว่าฉันในตอนนั้นเสียใจ?”
“ก็แกยังกลับมาที่บ้านร่วมงานศพของหวาน มาร้องห่มร้องไห้ขนาดพ่อของหวานเอาไม้ไล่ฟาดแกไอ้ชมทำร้ายแก แกก็ยังยืนยันจะอยู่สวดศพจนคนต้องลากแกออกไป”
“นี่ฉันทำขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่ ฉันถึงได้รู้ว่าแกไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหวาน แล้วฉันก็ไม่อยากให้แกคิดมากเรื่องนี้เพราะมันผ่านมาหลายปีแล้ว”
“แล้วหวานผูกคอที่ไหน? ที่บ้านของหวานเหรอ?”
สรส่ายหน้า “หวานผูกคอตายที่โรงเรียนประถมร้างที่เรากำลังจะไปนี่แหละ”
ชินกรเริ่มรู้สึกลังเลที่จะไปโรงเรียนร้างชั่วขณะ เขาเริ่มที่จะกลัวอดีตตัวเองมาเสียเฉยๆ แต่ความคิดนั้นมันก็ชั่วขณะจริงๆเพราะชายหนุ่มได้ตัดสินใจโดยหันไปบอกกับสร
“เอาสิ ไปโรงเรียนร้างแล้วช่วยพาไปยังจุดที่หวานแขวนคอตัวเองด้วย ฉันอยากไปขอขมาเธอ”
สรพาชินกรเดินมาตามทางลูกรังบ้านคนเริ่มหายไปแทนที่ด้วยสวนกล้วยและสวนผักสวนครัวของพวกชาวบ้าน เมื่อเดินมาผ่านบ้านไม้ยกสูงหลังหนึ่งสรชี้ไปที่บ้านหลังนั้นพร้อมกับบอกว่า “นี่ไงบ้านลุงคำ แกทำนาและก็ล่าสัตว์ไปด้วย”
ชินกรมองเข้าไปภายในบ้านเห็นตรงใต้ถุนที่ยกสูงมีซากของสัตว์จำพวกแย้ห้อยแขวนอยู่ มิน่าตอนที่พบเจอเมื่อสักครู่เขาถึงได้เห็นลุงคำถือปืนแก๊ปไว้ ระหว่างทางสรได้เล่าเรื่องในวัยเด็กระหว่างเขากับชินกรให้ฟังเพื่อรำลึกอดีตให้กับชายหนุ่มพร้อมกันนั้นก็พามาจุดที่สองฝั่งเต็มไปด้วยกอไผ่ก่อนที่มัคคุเทศก์สรจะชี้ไปที่เนินดินที่จะขึ้นไปยังลานกว้าง
“นั่นไง ขึ้นเนินนั่นก็ถึงโรงเรียนเก่าเราแล้ว”
สรเดินนำหน้าขึ้นเนินดินขณะที่ชินกรก็เดินตาม เมื่อขึ้นไปภาพที่คุ้นเคยสายตาและโสตสมองในความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมา
บนลานกว้างนั้นชินกรมองเห็นอาคารไม้สองชั้นเก่าซอมซ่อตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของลานกว้าง ด้านหน้ามีเสาธงชาติยืนสูงเด่นทว่าผืนธงชาติที่เก่าแลซีดได้ขาดยุ่ยหมด ไม่ไกลจากอาคารไม้สองชั้นเป็นที่โล่งที่มีเศษซากของเครื่องเล่นอย่างชิงช้าและไม้กระดานลื่นที่ยังพอเห็นทรงแม้ว่าส่วนใหญ่จะผุพังกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้วก็ตาม ชายหนุ่มกวาดตามองไปอีกด้านของอดีตสนามเด็กเล่นเห็นโครงสร้างของศาลาไม้ที่สร้างเป็นแนวยาว แม้ปัจจุบันนี้หลังคาที่มุงจะหลุดไปกึ่งหนึ่งแล้วแต่ชินกรก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คือส่วนของโรงอาหารที่ใช้รับประทานอาหารในช่วงกลางวัน สรปล่อยให้ชินกรมองสำรวจโรงเรียนประถมร้างอยู่อย่างเงียบๆ จนชินกรเอ่ยถามขึ้นมาซึ่งทำให้เขาเริ่มมีความหวัง
“ห้องน้ำอยู่ด้านหลังอาคารไม้ใช่ไหม?”
“นี่แกจำโรงเรียนได้เหรอวะกร? อย่างนี้น้าภาต้องดีใจแน่ที่แกเริ่มจำอะไรได้”
ใช่ ชินกรจำได้ตอนนี้เหตุการณ์วัยเด็กเริ่มชัดเจน เขาเริ่มจำความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสร รวมไปถึงหวานแล้วก็พวกของชมด้วย แต่แล้วแทนที่ความทรงจำที่จู่ๆไหลกลับเข้ามาจะปรากฏชัดเจนทั้งหมดแต่ชินกรก็ถูกขัดจังหวะด้วยอาการปวดหัวอย่างฉับพลันจนต้องเอามือกุมศีรษะ สรที่อยู่ไม่ห่างเห็นเพื่อนอาการไม่สู้ดีจึงเข้ามาประคอง
“แกเป็นอะไรวะไอ้กร?”
“ฉันปวดหัว จู่ๆก็เป็น”
“แกไหวไหม? กลับบ้านเลยหรือเปล่าเดี๋ยวฉันพากลับ?”
“ไม่ต้อง” ชินกรส่ายหน้า “พาฉันไปนั่งที่ใต้ต้นไทรตรงนั้นครู่หนึ่ง อาการคงจะดีขึ้น”
ชินกรชี้ไปที่ต้นไทรต้นใหญ่ที่ขึ้นอยู่อีกด้านของอาคารไม้ซึ่งสรก็รีบประคองไปทันที สรประคองชินกรมานั่งตรงม้านั่งเก่าที่อยู่ใต้ต้นไทรโดยชายหนุ่มนั่งพักอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกดีขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้างวะไอ้กร?”
“ดีขึ้น ตอนนี้ รู้สึกเหมือนกับมีคนมานวดที่ขมับฉันเลย”
ชินกรเห็นสรลุกขึ้นแทบจะทันทีพร้อมกับมองเขาด้วยแววตาประหลาด ทันใดนั้นลมที่ไม่รู้มาจากไหนพัดโบกสะพัดรุนแรงจนฝุ่นรอบด้านฟุ้งกระจายก่อนที่ไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็สงบลงเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชินกรมองไปรอบด้านอย่างงุนงงที่จู่ๆบรรยากาศรอบด้านก็แปรปรวนแบบผิดวิสัยขณะที่กรที่ยืนอยู่ข้างๆก็มองไปรอบๆอย่างหวั่นๆ
“แกรู้สึกว่ามีใครมานวดที่ขมับแกเหรอ?”
สรถามขึ้นซึ่งชินกรก็พยักหน้า
“ใช่ ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆจากเมื่อกี้ฉันปวดหัวอยู่ แต่ก็รู้สึกคลายไปเพราะรู้สึกเหมือนมีคนมานวดที่ขมับสองข้าง”
“แกถามฉันก่อนที่จะมาถึงใช่ไหมว่าหวานแขวนคอตายที่ไหน?”
ชินกรมีไหวพริบพอที่จะเดาได้ว่าสรกำลังจะพูดอะไร เขานิ่งเงียบไปแล้วเงยหน้าไปมองที่กิ่งต้นไทรที่แผ่ขยายกิ่งก้านจนดูน่าเกรงขามเหมือนสรรู้ทันเขาจึงชี้ไปที่กิ่งด้านหน้าที่อยู่บนศีรษะของชินกร
“กิ่งนั้น ที่บนหัวของแก!”
ชินกรแหงนหน้าขึ้นไปจนสุด ทันใดนั้นใบหน้าสีเขียวช้ำเลือดช้ำหนองของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏจ่อตรงหน้าเสมือนเธอก้มมองชินกรอยู่ก่อนแล้วชายหนุ่มแหงนขึ้นไปเจอทันที! ชินกรสะบัดมือพร้อมกับหงายหลังร้องโวยวายเสียงดังสรรีบเข้าไปหาเพื่อนพร้อมกับเขย่าตัว
“ช่วยด้วย ฉันเห็นๆๆ”
“ใจเย็นไอ้กร แกเห็นอะไร? ไม่มีอะไรเลยนะ”
ชินกรกำลังจะชี้ไปที่จุดที่เขาเห็นหน้าตาที่น่าสะพรึงของใครสักคน แต่แล้วที่ม้านั่งก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่าเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยมีสรคอยประคองเขาเริ่มปะติปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฉันเข้าใจแล้ว เมื่อกี้ว่าฉันเห็นหวานว่ะ”
“แกเห็นหวานอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันคิดว่าอย่างนั้น”
พูดจบ ชินกรก็พนมมือไหว้พร้อมกับตั้งจิตขอขมาแด่หวานหญิงสาวที่เขานั้นเคยทำร้ายความรู้สึกจนต้องผูกคอตายตรงต้นไทรนี้ เมื่อตั้งจิตอธิษฐานเสร็จชินกรมองไปรอบๆโรงเรียนประถมที่เขาเคยเรียนเมื่อสมัยเด็กเผื่อจะมีความทรงจำอื่นๆเข้ามาอีกบ้าง แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะเขายังนึกอะไรเพิ่มไม่ได้เลยสุดท้ายเขาก็ชวนสรเดินกลับบ้านซึ่งสรก็ตกลงระหว่างกำลังจะเดินออกพ้นเงาต้นไทรสรได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง
ตุ๊บ!
เมื่อสรหันไปมองเห็นร่างที่เปล่าเปลือยของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขียวอืดไปทั่วทั้งตัวโดยที่คอของเธอมีเชือกมัดอยู่รอบคอยาวลงมาจรดพื้น! ชินกรหันมาถามเมื่อเห็นสรมองอะไรบางอย่างแต่สรก็รีบบ่ายเบี่ยง
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ดูว่าเราลืมอะไรหรือเปล่า เรากลับบ้านกันเถอะ”
ชินกรพยักหน้าเดินออกไปจากโรงเรียนร้างโดยมีสรเดินอยู่ข้างๆ แต่สิ่งที่ชินกรไม่รู้เลยคือบัดนี้มีผู้หญิงที่ราวกับศพขึ้นอืดเขียวช้ำน่ากลัวกำลังเดินตามเขากลับไปด้วย.....
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ