ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  17.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่9 ความจริงกลางดวงตาสีเลือด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท9  ความจริงกลางดวงตาสีเลือด

 

 

 

 

              ไอ้ฉัตรโยนผู้ที่ต้องสงสัยลงบนพื้นดินตรงหน้าสัปเหร่อขามกับชินกร  สรกลิ้งไปตามแรงจนตัวเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมดชินกรเข้าไปประคองสรให้ลุกขึ้น  ขณะที่ไอ้ฉัตรบอกกับสัปเหร่อขามอย่างเอาหน้า

              “หลังจากที่ฉันพาพี่ชายคนนี้มาหาอาจารย์ไม่นานก็เห็นไอ้เจ้านี่มันขับรถตามขึ้นมาบนวัด  แล้วทำท่าทางลับๆล่อๆไม่น่าไว้ใจ  ฉันจึงเดินเข้าไปถามมันก็ทำเป็นอ้ำอึ้งบอกตามพี่ชายคนนี้มา  ฉันก็เลยคุมตัวมาให้อาจารย์นี่แหละจ๊ะ”

              “เอ็งมาจากบ้านวังสาเหรอวะ?”

              สัปเหร่อขามถามไปยังสรที่ปัดเนื้อปัดตัว  สรหลบสายตาแล้วพยักหน้า

              “นี่เจ้าสรเพื่อนของผมที่บ้านวังสาเอง”

              ชินกรแนะนำให้สัปเหร่อขามรู้จักพร้อมกันนั้นสัปเหร่อขามก็เดินเข้ามาใกล้แล้วมองดูสรอย่างพินิจ

              “เอ็งตามไอ้หนุ่มนี่มาใช่ไหม?”

              สรส่ายหน้าและยังคงหลบตาเช่นเดิม  สัปเหร่อขามจับไหล่สองข้างของสรพร้อมกับพยายามมองเข้าไปในแววตา

              “เอ็งเป็นปอบใช่ไหมไอ้หนุ่ม?”

              ชินกรตกใจในคำพูดของสัปเหร่อขามส่วนไอ้ฉัตรกับลูกสมุนยิ่งแล้ว พวกมันรีบถอยห่างจากสรทันที

              “สัปเหร่อขามนี่มันเพื่อนของผม...”

              “หุบปาก!  เอ็งอยากได้หลักฐานใช่ไหมล่ะ?  ข้าก็กำลังจะพิสูจน์ให้เอ็งดูเดี๋ยวนี้ไง”

              สัปเหร่อขามตะคอกใส่ชินกรอย่างเดือดดาล  พรางเอามือล้วงเข้าไปในย่ามจนหยิบสายสิญจน์สีขาวเส้นบางๆออกมาเส้นหนึ่ง  แกเอาสายสิญจน์จ่อเข้าไปที่ใบหน้าของสรเขาตัวสั่นกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว

              “พอแล้วๆ  ใช่ฉันยอมรับ  อย่าเอามาใกล้ฉัน!”

              สัปเหร่อขามยิ้มมุมปากราวกับผู้ชนะขณะที่ชินกรยังคงตกตะลึงกับท่าทางและคำที่หลุดออกมาจากสร 

 

 

              หลังจากนั้นสัปเหร่อขามก็สั่งให้ไอ้ฉัตรกับสมุนถอยกลับไปรอที่ลานวัดอีกครั้ง  เหลือเพียงทั้งสามคนในบริเวณป่าโปร่งหลังวัดสรนั่งตัวสั่นอยู่บนม้านั่งโดยมีชินกรและสัปเหร่อขามยืนมองอยู่

              “นี่แกพูดจริงๆเหรอสร?  เรื่องที่ว่าแกเป็นปอบ”

              สรเงยหน้ามองที่ชินกรและหันไปมองสัปเหร่อขามที่มองกลับมาด้วยแววตาที่ดุ  เขารีบหลบสายตา

              “ใช่  ฉันเป็นปอบไม่ใช่แค่ฉันแต่รวมไปถึงแม่กับพ่อฉันด้วย”

              ชินกรหน้าถอดสีเพราะสรคงไม่โกหกเขาเรื่องเดียวกับที่สัปเหร่อขามเล่าให้ฟังแน่ 

              “มันเกิดขึ้นได้ยังไง?  เพราะแม่ฉันหรือเปล่า?”

              สรเงยหน้ามองชินกรอย่างแปลกใจที่เขาถามได้ตรงจุด  สรพยักหน้า

              “ใช่  แต่แกรู้ได้ยังไง?”

              “ข้าเป็นคนบอกมันเอง” สัปเหร่อขามแทรกขึ้น “ไอ้หนุ่มนี่มันมาหาข้าเพราะอยากจะรู้ความจริงเรื่องของมัน  ข้าเล่าให้ฟังไปหมดแล้วว่าแม่ของมันทำอะไรกับหมู่บ้านเอ็งไว้บ้าง  แต่มันดันไม่เชื่อข้าจนเอ็งโผล่มานี่แหละ”

              ประโยคหลังน้ำเสียงแขวะมาทางชินกรเข้าอย่างจัง  ชินกรไม่สนใจเพราะตอนนี้เขามีเรื่องจะถามสรมากกว่า

              “แกสะกดรอยตามฉันมาเพราะอะไร?  ฉันบอกแกไปแล้วนี่ว่าให้แกกลับไปดูแลพ่อ”

              “ฉันต้องสะกดรอยตามแกเพราะมันเป็นหน้าที่ที่น้าภาให้กับฉัน  ขืนฉันไม่ทำบ้านฉันตายทั้งครอบครัวแน่!”

              “แกหมายความว่ายังไงไอ้สร?”

              “ก็หมายความว่าตั้งแต่วันแรกที่แกมา  ที่ฉันไปรับแกและอยู่กับแกตลอดเวลาเพราะน้าภาสั่งฉันไว้ไงล่ะ”

              สรตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สั่น  ชินกรรู้สึกเหมือนโดนสรตบหน้าที่ตลอดเวลาเขาคิดว่าสรคือเพื่อนแท้ที่คอยห่วงใย

              “นี่แกบอกฉันว่าที่แกอยู่กับฉันเพราะแม่ฉันสั่งสินะ”

              สรไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา  สัปเหร่อขามถามขึ้นบ้างเพราะอยากรู้บางอย่าง

              “เอ็งบอกว่านังภาสั่งเอ็งให้อยู่กับไอ้หนุ่มนี่ตลอดเวลา  เพื่ออะไร?”

              “น้าภาบอกให้คอยดูแลลูกชายแกให้ดี  เพราะไอ้กรความจำเสื่อมให้พาไปในที่ๆน่าจะฟื้นความทรงจำหรืออาการดีขึ้นได้  แล้วช่วยกันจากคนที่หวังร้ายอย่างพวกไอ้ชม  แกย้ำมาแบบนี้”

              “ประหลาด!”

              สัปเหร่อขามอุทานอย่างแปลกใจหันมามองชินกร  แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเพิ่มเติมชินกรก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังและเด็ดขาด

              “พอก่อนครับ!  ก่อนที่เราจะไปเรื่องอื่นๆผมต้องการความชัดเจนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่”

              “ความชัดเจนก็เหตุการณ์แปลกๆที่เอ็งเจอ  เอ็งเห็นอสุรกายกับดวงไฟประหลาดและตอนนี้เพื่อนเอ็งก็ยืนยันต่อหน้า  มันยังต้องชัดเจนอะไรอีกหรือวะไอ้หนุ่ม?”

              “ตอนนี้สิ่งที่สัปเหร่อขามพูดมามันสอดคล้องกับสิ่งที่ผมเจอก็จริง  แถมยังได้เจ้าสรมาช่วยยืนยันทั้งที่ทั้งคู่ไม่รู้จักกันมาก่อน    แต่ที่ผมกำลังจะพูดคือผมอยากแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าแม่ของผมเป็นปอบแล้วได้ปล่อยปอบลงหมู่บ้าน รวมไปถึงเรื่องปอบว่ามันเป็นเรื่องจริง  สัปเหร่อพอจะมีอะไรที่พิสูจน์ได้มากกว่าคำพูดของคนสองคนได้ไหม?”

              ถ้าเป็นในขั้นตอนการทำคดีทนายอย่างชินกรกำลังเรียกหาหลักฐานที่เป็นพยานวัตถุที่น่าเชื่อถือกับฝ่ายโจทย์อย่างสัปเหร่อขาม  ชายวัยกลางคนทำสีหน้าหนักใจเพราะตนไม่รู้จะเอาอะไรยืนยันเหมือนกันเนื่องจากเรื่องที่เล่าให้ฟังมันผ่านมาหลายปีและปอบก็เป็นมนต์ดำที่ไม่สามารถจับต้องได้  จนกว่าจะถูกสิงหรือกินเครื่องในแต่ก็เป็นเพียงเหยื่อของมันเท่านั้นที่จะรู้สึก   ระหว่างที่สมองกำลังตีบตันสรที่นั่งเงียบมาตลอดก็พูดขึ้น

              “แกสังเกตหรือเปล่าไอ้กรว่าตั้งแต่แกมาที่บ้านวังสาแกเคยเห็นบ้านไหนกินข้าวกินปลากันไหม?”

              เป็นคำถามที่ทำให้ชินกรรู้สึกเอะใจไม่น้อย  เพราะพอสรพูดขึ้นเท่าที่เขานึกดูเขาก็ไม่เคยเห็นบ้านไหนออกมาทานข้าวตรงชานบ้านหรือแคร่ตามแบบชนบททั่วไปเลย

              “แกกำลังจะบอกอะไรกับฉันสร?”

              “น้าภาห้ามแกออกมานอกบ้านตอนกลางคืนใช่ไหม?  แกรู้ไหมว่าเพราะอะไรถึงห้ามออก?”

              ชินกรไม่สามารถบอกได้เพราะตอนที่นางภาขอเขาในเรื่องนี้ก็ไม่ได้อธิบายอะไรไว้เหมือนกัน 

              “ที่น้าภาไม่ให้แกออกมาตอนกลางคืน  เหตุผลหลักๆเลยเขาไม่อยากให้แกเห็นบางอย่าง”

              “ไม่อยากให้เห็นอะไร?”

              “ฉันบอกไปแกก็ไม่เชื่อเพราะแกเชื่อน้าภาที่เป็นแม่แก  ฉะนั้นถ้าอยากหาความจริง  คืนนี้แกต้องออกมาดูกับตาของตัวแกเอง”

              สรเงยหน้าพูดสบตากับชินกรในแววตาไม่มีอะไรซ้อนเร้น  สัปเหร่อขามพอจะเดาได้ว่าสรหมายถึงอะไรก็พูดสำทับ

              “เอ็งอยากพิสูจน์ก็ลองทำแบบไอ้สรคนนี้มันแนะนำดูละกัน  ถ้าเกิดว่าเอ็งเห็นตรงกันกับข้าก็ค่อยกลับมา”

 

 

              สุดท้ายเย็นวันนั้นชินกรก็ขับรถกลับด้วยความไม่สบายใจ     เขาไม่เคยคิดว่าความจริงกับสิ่งที่ได้พบเจอที่เขาพยายามตามหาจะเกี่ยวข้องกับปอบ  มนต์ดำ  รวมถึงแม่ของเขา     ชายหนุ่มขับรถกลับมาตามลำพังโดยสรไม่ได้ขับตามมาด้วยเพราะสัปเหร่อขามต้องการจะคุยกับเขาเพิ่มเติม    สิ่งที่รบกวนจิตใจของชินกรตลอดทางที่ขับกลับหมู่บ้านคือคำพูดของสรว่าอะไรกันแน่ที่แม่ของเขาไม่อยากให้เห็นในตอนกลางคืน?   สรขับรถเก๋งที่เช่าเข้ามาในหมู่บ้านบ้านวังสา     ทว่าความรู้สึกในครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาอย่างสิ้นเชิง     ตอนนี้ชินกรรู้สึกไม่ไว้วางใจบรรยากาศในหมู่บ้านตั้งแต่ป่าสองข้างทางที่ขับรถเข้ามา  ตลอดจนทุ่งนาของชาวบ้านและบ้านเรือนหลังต่างๆ      ชินกรรู้สึกว่ามันช่างอึมครึมมากกว่าทุกวัน           ชาวบ้านที่เขาขับรถผ่านชินกรสังเกตว่าแต่ละคนนั้นมีลักษณะผอมหน้าตาอมทุกข์กันทุกคน   มันทำให้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้อีกอย่างว่าตั้งแต่เขาเข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้  ชินกรไม่เคยเห็นชาวบ้านในหมู่บ้านยิ้มหัวเราะสักครั้งเดียว!

              ในที่สุดเขาก็ขับรถมาถึงที่บ้านของนางภาแม่ของเขา  ชินกรลงจากรถเก๋งมองเข้าไปในบ้านไม้ยกสูงไม่รู้ว่าเขาถูกสัปเหร่อขามกับสรล้างสมองมาหรืออย่างไร  เขารู้สึกว่าบ้านที่เขาอาศัยหลับนอนมาหลายวันบัดนี้ชินกรกลับรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกจนตัวเองต้องใช้ฝ่าตบหน้าเรียกสติ

              “เป็นอะไรเหรอกรตบหน้าตัวเองทำไม?”

              เสียงของนางภาดังขึ้นที่ข้างหลังของชายหนุ่ม  ชินกรตกใจพร้อมหันไปมองเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแม่ของเขามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร?

              “แม่....มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรครับ?  ผมลงจากรถมาไม่เห็นเลย”

              “แม่ไปหาหน่อไม้มาจากป่าไผ่ไม่ห่างจากบ้านเรา พอออกมาก็เห็นกรยืนตบหน้าตัวเองอยู่  กรเป็นอะไรหรือเปล่า?”

              “อ๋อคือ  เปล่าครับพอดีผมเบลอๆนิดหน่อย”

              ชินกรพยายามจะแก้ตัวแม้ว่าตอนนี้เหงื่อจะผุดขึ้นเต็มใบหน้าก็ตาม  ซึ่งสายตาของนางภาก็จ้องอย่างไม่กระพริบพร้อมกับกวาดสายตามองไปด้านหลังเขาเหมือนหาอะไรสักอย่าง

              “แม่มองหาอะไรอยู่เหรอครับ?”

              “เปล่าหรอกกร  แม่มองไปเรื่อยน่ะ เออนี่แม่กำลังจะต้มหน่อไม้กับทำน้ำพริกให้กรเลยนะ  เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นกัน”

              นางภาพูดพร้อมกับจับมือลูกชายของตนเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน  ชินกรสังเกตเห็นสายตาของนางภาเหลือบมองไปที่รถเก๋งที่เช่ามาอย่างมีนัยยะก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ

 

 

              มื้อเย็นวันนั้นนางภาต้มหน่อไม้กับน้ำพริกตามที่บอกไว้พร้อมกับข้าวอีกสองสามอย่างทานกับข้าวเหนียว    ชินกรทานอาหารเย็นไปด้วยสังเกตนางภาไปด้วยซึ่งเขาก็เห็นแม่ของตนทานอาหารเป็นปกติ  ไม่เหมือนกับเรื่องเล่าที่เคยได้ยินว่าคนที่เป็นปอบจะทานแต่ของคาวสดดิบเท่านั้น

              “กินไปแล้วก็มองแม่ไป  มีอะไรหรือเปล่ากร?”

              นางภาจู่ๆก็ถามขึ้นทั้งที่แทบไม่ได้มองเขาเลยระหว่างทานอาหารเย็น  ชินกรรีบพูดกลบเกลื่อน

              “ไม่มีอะไรครับแม่  แค่ผมสังเกตว่าแม่ดูไม่แก่เท่าไรทั้งที่แม่ก็อายุห้าสิบกว่าแล้ว”

              “นี่กรจำอายุแม่ได้ด้วยเหรอ?”

              นางภาถามขึ้นอย่างตื่นเต้น  ชินกรเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าเขาจำอายุนางภาได้

              “หรือว่าผมจะใกล้หายแล้วจริงๆ”

              “ดีสิกร  ถ้ากรหายแม่จะได้ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญกับลูก”

               “พิธีบายศรีอะไรนะครับ?”

              “พิธีบายศรีสู่ขวัญเป็นพิธีเรียกขวัญให้กลับมาหาเจ้าของ  ความจริงแม่อยากจะทำให้กรตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านแล้วแต่ลูกป่วยอยู่  แม่เลยมองว่าไม่เหมาะเลยจะรอให้กรหายดีก่อน”

              นางภาพูดพร้อมเอามือลูบศีรษะอย่างเอ็นดูเช่นเคย 

              “เออจริงสิ  วันนี้แม่เห็นกรไปกับเจ้าสรมันแต่ลูกขับรถกลับมาเอง  แล้วเจ้าสรไปไหนล่ะ?”

              “ไม่รู้สิครับ  ผมแยกกับสรมันตั้งแต่โรงพยาบาลแล้ว”

              พยายามจะตอบให้แนบเนียนที่สุดสำหรับชินกร  แม้ว่าแววตาของมารดาที่มองมาจะไม่เชื่อก็ตาม

              “แม่ครับ  คือตอนที่ผมออกไปในเมืองสัญญาณมือถือผมใช้ได้เลยเห็นอีเมล์ที่เจ้านายส่งมาว่าให้ดูคดีที่ค้างไว้ให้หน่อย  คืนนี้ผมเลยจะนอนดึกเพื่อดูข้อกฎหมายที่จะใช้ให้การในศาลแม่เข้านอนก่อนผมเลยนะครับ”

              “กรยังไม่หายดีนี่  จะทำไหวเหรอ?”

              “แค่ดูข้อกฎหมายเองครับแม่  คืนนี้ดึกหน่อยก็น่าจะเสร็จ”

              “....ตามใจ  อย่าหักโหมละกัน”

              นางภาพูดอย่างห่วงใยส่วนชินกรรู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องโกหกแม่ของตนเพื่อจุดประสงค์ที่จะพิสูจน์บางอย่างเพื่อให้แน่ชัดในคืนนี้ไปเลย

 

 

              เป็นเวลาสองทุ่มนางภาได้กางมุ้งในห้องนอน  ส่วนชินกรก็เตรียมหนังสือกฎหมายขึ้นมาพร้อมสมุดโน้ตเพื่อความแนบเนียนแลตบตาแม่ของตน     นางภาเดินเข้ามาหาเพื่อดูชินกรอยู่ครู่หนึ่งเห็นลูกชายกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น

              “แม่เห็นภาพนี้แล้วคิดถึงกรตอนที่ตั้งใจจะสอบเข้ามหาลัย  คมอื่นมักจะพูดว่ากรหัวดีเลยสอบเข้าได้ไม่ยากทั้งที่ไม่รู้เลยว่าลูกแม่ต้องพยายามอ่านหนังสือขนาดไหน”

              นางภาพูดแววตาระลึกถึงความหลัง  ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ห้องนอน

              “อย่าหักโหมนะลูก  ถ้าง่วงก็เข้ามานอนเลยนะอย่าฝืน”

              นั่นเป็นประโยคสุดท้ายแล้วนางภาก็หายเข้าไปในห้องนอนพร้อมปิดไฟ  ชินกรหันหลังไปมอง

              “ขอโทษนะครับแม่ที่ต้องโกหก  แต่ผมอยากจะรู้ความจริงเพื่อพิสูจน์คำพูดของคนอื่นไปเลยว่าแม่ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นว่ามาจริงๆ”

              ชินกรพูดอย่างสำนึกผิด  เขายังคงนั่งรอเวลาอยู่ด้านนอกห้องนอนเพื่อรอให้นางภาหลับให้สนิทก่อน

 

 

              เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง  ชินกรเดินด้วยเสียงฝีเท้าที่เบาที่สุดเพื่อไปดูนางภาที่อยู่ในห้องนอนเพื่อดูว่าหลับสนิทแล้วหรือยัง?  เมื่อมองไปในห้องนอนที่ปิดไฟภายในมุ้งเขาก็แน่ใจว่าแม่ของตนหลับสนิทแล้ว    จึงค่อยๆย่องไปที่ประตูบ้านเปิดกลอนที่ล็อคอยู่ให้เบามือเมื่อกลอนเปิดออก    ชินกรจึงย่องลงบันไดบ้านทันที    เมื่อมาถึงด้านล่างเขาใส่รองเท้าแตะแล้วเดินออกไปนอกประตูรั้ว   ด้านนอกบ้านมืดสนิทไม่มีแสงไฟแม้แต่ทางถนนหมู่บ้านก็ยังมองไม่เห็น    ชินกรลังเลไม่รู้จะเริ่มเดินออกไปทางไหนดี  จู่ๆเขาก็นึกถึงคำพูดของสรขึ้นมา

               “ที่น้าภาไม่ให้แกออกมาตอนกลางคืน  เหตุผลหลักๆเลยเขาไม่อยากให้แกเห็นบางอย่าง”

              ไม่อยากให้เห็นบางอย่าง  แล้วมันคืออะไรล่ะ?  ชินกรถามกับตัวเองพร้อมกับครุ่นคิด  เมื่อคิดไปก็ไม่ได้คำตอบอะไรขึ้นมา  ชินกรจึงตัดสินในที่จะเดินเท้าเข้าไปในหมู่บ้านดูเขาเดินฝ่าเข้าไปในความมืดสองข้างทาง  มืดจนชายหนุ่มมองไม่เห็นอะไรด้านหน้าเกินหนึ่งเมตรต้องใช้มือเกาะรั้วไม้เพื่อคลำทางเดินไปแทน      สายลมที่แฝงไอเย็นประหลาดพัดผ่านร่างกายของชินกรจนรู้สึกขนหัวลุก       ชินกรเดินฝ่าความมืดเข้าไปในหมู่บ้านอย่างไม่รู้จุดหมายว่าเขาต้องไปที่ไหนหรือต้องการเห็นอะไรด้วยซ้ำ        ไม่นานชายหนุ่มรู้สึกว่าสายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้บ้าง     เขาเริ่มมองเห็นถนนของหมู่บ้านในระยะใกล้ๆจนไม่ต้องเกาะรั้วบ้านเหมือนตอนแรก  เขาเดินไปในความมืดพร้อมกับความคิดถึงสิ่งที่กำลังทำว่า”.”มันช่างงี่เง่าสิ้นดี!

              หลังจากเดินฝ่าความมืดมาสักระยะชินกรเริ่มคิดได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง     คือเขาไม่เห็นบ้านไหนในบ้านวังสาเปิดไฟเลยสักบ้าน   ทั้งที่โดยปกติที่เขาเคยเจอตามชนบทต่างๆชาวบ้านมักจะเปิดไฟสว่างตรงหน้าบ้านเพื่อจะได้เห็นคนเดินไปมาหรือคนที่มาหายามค่ำคืนบ้าง   แต่นี่กลับไม่มีเลยสักหลังที่ทำแบบนั้น    ชินกรเดินมาจนถึงบ้านของสรเขาเห็นรถกระบะสีขาวของสรจอดอยู่ทั้งบ้านก็ปิดไฟเงียบเหมือนบ้านหลังอื่น   เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสรกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเพราะมัวแต่อยู่ในบ้านกับแม่   แต่เขามีเรื่องจะคุยกับสรหลายเรื่องทีเดียว     ชินกรเดินเลยมาจากบ้านสรเข้ามาภายในหมู่บ้านเรื่อยๆ  เขาไม่เห็นจะมีอะไรที่ผิดสังเกตนอกจากความมืดและความเงียบสงัด    ทันใดนั้นเองโสตประสาทหูก็ได้ยินเสียงบางอย่างลอยลมมา  ทีแรกนึกว่าหูฝาดด้วยซ้ำเพราะเสียงเบามากจนกระทั่งเสียงเหล่านั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆดังมาจากรอบตัวจนได้ยินชัดเจน

            “ช่วยด้วย!     ทรมาน!     ช่วยด้วย!     ฮือๆๆๆๆๆ”

              ชินกรพยายามมองหาต้นเสียงชวนหลอนเหล่านั้นแต่ก็ไม่เป็นผล  ราวกับเสียงที่ได้ยินมันล่องลอยอยู่รอบตัว   ไม่ได้มาจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่งด้วยซ้ำ  น้ำเสียงที่ได้ยินมาจากชายและหญิงที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส!  ระหว่างที่หันซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียงชวนหลอนชินกรได้ยินเสียงล้อรถหนักวิ่งเข้ามาในถนนของหมู่บ้าน  เขามองไปตามทางเห็นไฟหน้ารถส่องมาแต่ไกลชินกรรีบหลบเข้าไปที่ริมรั้วของบ้านที่อยู่ใกล้ตัวแอบดูอย่างเงียบๆ      ไฟหน้าที่สูงกับล้อรถที่วิ่งจนรู้สึกสั่นสะเทือนเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นรถบรรทุก    แต่รถบรรทุกมาทำอะไรที่หมู่บ้านบ้านวังสาในเวลานี้กันล่ะ?  ชินกรเหลือบมองดูจนเห็นรถบรรทุกปริศนาดับไฟหน้าพร้อมกับเครื่องยนต์ลง  เ ขาพอจะนึกออกว่าก่อนหน้านี้ที่สลบไปบนเขานั้นเขาได้เห็นรถหกล้อบรรทุกอะไรสักอย่างวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน    ชินกรแอบดูอย่างสงสัยเขาเริ่มเห็นดวงไฟปริศนาสีเขียวลอยละลิ่วมาบริเวณที่รถบรรทุกจอดพร้อมกับกลิ่นสาบเหม็นบางอย่างที่ลอยมาตามสายลม    เงาของใครสักคนหนึ่งจะลงมาจากบนรถด้านคนขับแววตาสีแดงเลือดเรืองในความมืดอย่างเด่นชัดพร้อมกับเสียงตะโกนขึ้น

              “เอ้า  อาหารมาแล้ว  มาเอาเอาในส่วนของตัวเองไปได้เลย!”

              ถ้าเขาจำเสียงที่ได้ยินไม่ผิดไปเสียงนั้นเป็นของน้าหำที่ชินกรมีโอกาสได้พบเจอสองครั้งตอนที่สรแนะนำเขากับชาวบ้านและตอนที่แกมาแจ้งเรื่องมีคนตายที่ใต้ต้นมะขามเทศบริเวณป่าหน้าหมู่บ้าน    โดยเงาที่เห็นตอนนี้เดินเข้าไปที่ด้านหลังรถบรรทุก    ทันใดนั้นชินกรได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านโดยพร้อมเพรียงทั้งใกล้ไกลไม่นานก็เห็นเงาคนจากบ้านหลังต่างๆโผล่ออกมาจากบ้านแต่ละหลังอย่างเงียบเชียบ    ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้ากำลังพากันเดินลงมาที่รถบรรทุกคันนั้น  ชินกรต้องเปลี่ยนที่แอบจากข้างรั้วบ้านมาหมอบอยู่ตรงพุ่มไม้หนึ่งที่พอจะหมอบปิดร่างเขาได้มิดชิด      เนื่องจากกลัวชาวบ้านที่เริ่มเดินออกมาที่รถบรรทุกเรื่อยๆมองเห็นเข้า   เขามองผ่านพุ่มไม้ที่แอบเห็นเงาดำที่แววตาเรืองแสงสีแดงเลือดผ่านเขาไปคนแล้วคนเล่าไปรวมตัวกันที่ท้ายรถบรรทุก

              “กำลังทำอะไรกันอยู่?”

              ชินกรถามกับตัวเองเบาๆในมุมและระยะที่เขาอยู่ตอนนี้ไม่สามารถที่จะเห็นอะไรได้ถนัดตาเลย    สิ่งที่เห็นชัดเจนคือชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน(ยกเว้นบ้านแม่ภา)มารวมตัวกันที่ด้านหลังรถบรรทุก        ที่น่าแปลกคือไม่มีใครคนไหนคิดจะใช้ไฟฉายในการนำทาง   ทุกคนเดินฝ่าความมืดอย่างช่ำชองเงียบกริบราวกับมองเห็นในความมืดได้    ชินกรอดทนแอบอยู่หลังพุ่มไม้มองดูเหตุการณ์ต่อไป     ลมยามค่ำคืนพัดมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นสาบจากรถบรรทุกดวงไฟปริศนาสีเขียวก็เริ่มมารวมกลุ่มกับพวกชาวบ้าน    น่าแปลกใจที่เขาแอบดูอยู่ที่ตรงนี้สักพักแต่ทุกคนที่ไปรวมตัวกันก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน  ชินกรมองสำรวจดูเขามองเห็นตรงบริเวณด้านหน้าที่รถบรรทุกจอดมีต้นไม้ใหญ่กับพุ่มไม้เตี้ยที่พอจะแอบมองได้    เขาค่อยๆย่องไปที่ต้นไม้ใหญ่หน้ารถบรรทุกนั้นด้วยใจที่ลุ้นระทึก      ระยะห่างจากพุ่มไม้ใหญ่ที่แอบกับตรงต้นไม้นั้นไม่มีอะไรที่จะพรางตัวชินกรได้เลย     เรียกว่าถ้าในระหว่างที่ย่องเปลี่ยนที่แอบดูอยู่มีใครสักคนเหลือบมามองเข้าต้องเห็นตัวเขาแน่นอน!  หลังจากชายหนุ่มย่องเท้าอย่างลุ้นระทึกไม่ถึงนาทีเขาก็ไปสู่ตรงต้นไม้ใหญ่กับพุ่มไม้เตี้ยที่หมายปองได้อย่างปลอดภัยไม่มีใครเห็น    กลิ่นสาบเหม็นแรงขึ้นจนชินกรแทบอาเจียน    ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบผิดสังเกตเช่นเดิม     เขาหมอบคลานในต่ำเท่าระดับกับพุ่มไม้ที่มาแอบใหม่   พร้อมกับใช้นิ้วมือแหวกใบไม้ที่ขวางมองออกไปที่ท้ายรถบรรทุกที่บัดนี้ชาวบ้านมารวมกลุ่มกันอย่างพร้อมเพรียง    ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏกับสายตาของชินกรมันราวกับฝันร้ายที่ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอในชีวิต!

              ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือบริเวณท้ายรถบรรทุก    เงาดำที่เป็นชาวบ้านบ้างกำลังนั่ง   บ้างกำลังยืนกินอะไรสักอย่างตรงลานท้ายรถบรรทุก    สภาพของแต่ละคนเหมือนอดอยากมาแรมเดือนดูช่างตะกละตะกลามกับสิ่งที่กินอยู่อย่างหิวโหย   ดวงไฟสีเขียวหลายสิบดวงลอยฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบนเหมือนพวกมันกำลังเริงร่า    ชินกรมองเห็นจากสายตาว่าสิ่งที่ชาวบ้านกำลังกินอย่างหิวกระหายนั้นมันกำลังดิ้นอย่างทรมาน     เมื่อเขาเพ่งดูโดยมีแสงจากพระจันทร์ช่วยส่องสิ่งที่เขาเห็นก็คือ  ชาวบ้านกำลังกินไก่สดที่ยังเป็นๆกันอย่างเอร็ดอร่อย!    ชินกรเผลออาเจียนจนต้องเอามือปิดปาดไว้พร้อมมองดูภาพตรงหน้าอีกครั้งเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้หลอนไปเอง    ภาพที่เห็นก็ยังชวนสยดสยองอยู่เช่นเดิมเมื่อเห็นเงาดำของชาวบ้านกำลังจับคอแล้วก็กัดกิน  เหยื่อที่เป็นไก่หลายตัวยังตีปีกดิ้นอยู่บางตัวโดนหักคอดังกร็อบแล้วใช้ฟันกัดกระชากเอาเครื่องในออกมา   ชายหนุ่มมองไปที่ท้ายรถบรรทุกเห็นกรงที่ใส่ไก่ที่ยังมีชีวิตมาเต็มท้ายรถบรรทุก  ตัวที่ยังไม่ได้เอาออกมาจากกรงก็พยายามดิ้นรนเอาชีวิต   กลิ่นสาบจากความกลัวของสัตว์ใกล้ตายนั้นคละคลุ้งเจือไปด้วยกลิ่นเลือดแลเครื่องในสดๆส่งกลิ่นไปทั่วบริเวณนั้น  เสียงน้าหำดังขึ้นเบาๆที่บนท้ายรถบรรทุกราวกับกลัวใครได้ยิน

              “แล้วนี่ลุงคำแกไม่ได้มาเอาส่วนของแกเหรอ?”

              “ไม่มาหรอก  เห็นล่าสัตว์ป่ามาได้แกก็กินของป่าที่แกชอบนั่นแหละ”

              ใครสักคนตอบกลับมาแล้วก็หันไปกินเครื่องในไก่เช่นเดิม  ชินกรรู้สึกว่าตนเองช๊อคไปชั่วขณะ  ภาพที่เห็นในเงามืดของชาวบ้านบ้านวังสาที่แต่ละคนมีแววตาสีเลือดสะท้อนแสงในความมืดจนดูเหมือนปิศาจร้ายโดยมีดวงไฟสีเขียวที่ลอยอยู่เหนือศีรษะที่เห็นตรงหน้านั้นมันเปรียบเสมือนรูปภาพที่ชวนสยองและน่าสะพรึงดั่งฝันร้ายที่เขาอยากจะตื่นเสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ!

              ชินกรไม่รู้ว่ามหกรรมมบุฟเฟ่ต์ชวนสยองตรงหน้าจะหมดลงไปเมื่อใด   ที่รู้คือเขาอยากจะไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด  เขารีบกลับตัวเพื่อจะหนีออกไปจากพุ่มไม้เตี้ยที่แอบอยู่    ซึ่งจะต้องเดินย่องไปที่พุ่มไม้ใหญ่ที่ตนเองแอบดูตอนแรก  ชินกรรีบเดินย่องฝีเท้าเช่นเดิม    แต่ไม่รู้ว่าขาสั่นหรือเขาลนลานเกินไปเพราะขวัญเสียเมื่อตอนที่เกือบจะถึงพุ่มไม้ใหญ่เขาเผลอเดินเหยียบเข้ากับกิ่งไม้แห้งจนดังพอที่จะทำให้ใครสักคนหนึ่งที่อยู่ท้ายรถบรรทุกได้ยิน

              “เสียงใครวะ?”

              เสียงใครบางคนร้องทักมาเมื่อชินกรหันไปมองเขาเห็นเงาดำหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ด้วยแววตาสีแดงเลือด  เขาคิดในใจว่าจบเห่!  แต่แล้วเงาดำที่มองเขาก็พูดขึ้นมาซึ่งเป็นเสียงของคนที่คุ้นเคย

              “ไม่มีอะไร  แค่หนูนาน่ะอย่าสนใจเลย”

              เป็นเสียงของสรนั่นเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น  โดยชินกรเห็นท่าทางสรทำมือให้เขาไล่ให้ไปซะ!  เขาพยักหน้าขอบใจแล้วเร่งฝีเท้าออกไปจากที่ตรงนั้นทันที

 

 

              ชินกรกึ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยอาการหวาดกลัว  เขาไม่คิดมาก่อนว่าภาพที่แม่ของเขาไม่อยากให้เห็นถึงขนาดต้องสร้างกฎขอร้องเขาขึ้นมานี้จะช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด  ชินกรเดินกลับมาถึงบ้านเขามองดูบ้านนางภาอย่างหวาดระแวงไปทุกสิ่ง  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกยังไงคืนนี้เขาก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติเช่นเดิม  ชินกรถอดรองเท้าแตะเดินขึ้นบันไดบ้าน  เมื่อเปิดประตูมาความรู้สึกเหมือนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเขาเห็นนางภานั่งมองเขาอยู่ตรงโต๊ะทำงาน!

              “แม่!  แม่ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไรครับ?”

              ชินกรพยายามทำเสียงให้เป็นปกติแต่รู้ตัวดีว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง  น้ำเสียงที่ออกไปมันลนลานจนฟังยังไงก็ผิดสังเกต

              “แม่ตื่นมาก็ตอนที่กรเดินออกไปจากบ้านนั่นแหละ  กรไปไหนมา?”

              น้ำเสียงของนางภาช่างราบเรียบแลไม่ไว้ใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนชัดเจน 

              “ผมไป....ห้องน้ำมาครับ”

              “ไปห้องน้ำเหรอ?  ท้องเสียหรือเปล่า?  กรหายไปนานเลยนะ  นานจนแม่คิดว่ากรขัดคำสั่งแม่ออกจากบ้านไปตอนกลางคืน!”

              ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อเพราะรู้แล้วว่านางภารู้ดีว่าเขาไปไหนมา  แต่ด้วยทักษะของทนายที่มีถ้าเมื่อโกหกแล้วก็ต้องโกหกต่อไปให้แนบเนียนที่สุด

              “ครับ ผมท้องเสีย ท่าทางจะกินอะไรผิดสำแดงมาจากในเมืองเลยลงไปนานหน่อย”

              แววตาของนางภาที่จ้องมองยังคงราบเรียบจนน่าอึดอัด  ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินมาหาเขา

              “แล้วหายหรือยังล่ะ?”

              “หะ หายแล้วครับ”

              “ดี  แล้วงานลูกเสร็จหรือยัง?  จะได้ไปนอนกับแม่”

              “เหลืออีกนิดเดียวครับ  เสร็จแล้วผมจะรีบเข้าไปนอนกับแม่เลย”

              นางภาเอื้อมมือมาลูบศีรษะชินกรคราวนี้เขารู้สึกว่าแม่ของเขาจะลงน้ำหนักเหมือนตักเตือนเสียมากกว่าเอ็นดูเช่นเคย  แล้วนางภาก็หันหลังเดินเข้าไปที่ห้องนอนแต่ก่อนจะเข้าไปก็หยอดคำถามหนึ่งที่ทำให้ชินกรรู้สึกหน่วงในใจ

              “แม่ไว้ใจกรได้ใช่ไหม?  กรจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังอีกใช่ไหม?”

              “ครับแม่  ผมจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังอีก”

              “แม่เชื่อกรนะ”

              นางภาเดินหายเข้าไปในห้องนอน  ทิ้งให้ชินกรยืนนิ่งอย่างไร้จุดหมายเพราะตัวเขาเมื่อเจอกับความจริงที่เสาะแสวงมาตลอด  ทว่าความจริงนั้นก็ทำให้เขารู้สึกจุกจนไปไม่เป็นเช่นกัน!

 

             

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา