ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  17.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่10 เรื่องราวในคืนวันเพ็ญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท10  เรื่องราวในคืนวันเพ็ญ

 

 

 

 

              “ผมรู้ความจริงแล้วว่าปอบมีจริง”

              ชินกรมาหาสัปเหร่อขามที่วัดนาดุมแต่เช้า  ท่าทางอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนพักผ่อนเลย   สัปเหร่อขามมองดูชายหนุ่มพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก

              “เชื่อว่าปอบมีจริง  แล้วเรื่องแม่เอ็งล่ะเอ็งเชื่อหรือยังว่าแม่เอ็งมันเป็นปอบ!”

              “ยัง  ผมมีคำถามจะถามกับสัปเหร่อขามอยู่สองสามข้อก่อน”

              “บร๊ะ  ไอ้นี่กล้ามากนะที่มาต่อรองกับคนอย่างข้า”

              “สัปเหร่อขามเข้าใจผิด  นี่ไม่ใช่การต่อรองแต่เป็นคำถามที่ผมสงสัยแล้วอยากให้เคลียร์ก่อนที่เราจะพูดกันต่อ”

              ชินกรบอกด้วยแววตามุ่งมั่นจนสัปเหร่อขามส่ายหน้ารำคาญ

              “อ่ะ  เอ็งจะถามอะไรก็ถามมาข้าจะได้ตอบให้จบๆ”

              “ข้อแรก  ถ้าแม่ของผมเป็นปอบทำไมแม่ผมถึงยังทานอาหารได้เหมือนคนปกติ   ผมเคยได้ยินว่าคนที่เป็นปอบต้องทานแต่ของดิบๆเท่านั้น”

              “มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแม่เอ็งสืบเชื้อสายมาจากปอบประเภทไหน?  ปอบมันมีหลายประเภทแล้วเท่าที่ข้าฟังมาในกรณีย์ของแม่เอ็งน่าจะเป็นปอบเจ้า”

              “อะไรคือปอบเจ้า?”

              “ปอบเจ้า  คือปอบที่สืบเชื้อสายมาจากยักษ์แต่ครั้งบรรพกาล  เป็นอสุรกายที่ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่โบราณกาล  ตามชื่อของมันคือเจ้าแห่งปอบทั้งมวล  เป็นลักษณะที่หายากมากเพราะคนที่สืบเชื้อสายปอบเจ้านี้มีลักษณะเป็นคนทุกอย่าง  กินแบบปกติ  นอนแบบปกติแค่สิ่งที่ต่างคือมีอสุรกายเป็นผีประจำตระกูลแค่นั้นเอง  หรืออธิบายง่ายๆก็คือแม่เอ็งไม่ได้เป็นปอบแต่เลี้ยงปอบเจ้าเป็นผีประจำตระกูล”

              “ครอบครัวของผมจะเลี้ยงปอบเจ้าไว้เพื่ออะไรกัน?”

              “ถ้าให้ข้าเดาก็เพราะว่าตระกูลเอ็งเป็นหมอธรรมมีชื่อมาหลายชั่วอายุคนนั่นแหละ  เลี้ยงปอบเจ้าไว้เพื่อใช้งานและเสริมบารมีโดยยกให้เป็นผีบรรพบุรุษไป  แต่พอถึงรุ่นเอ็งเสือกไม่อยากรับมันก็เลยเป็นเรื่องที่ซวยกับคนอื่นแบบที่เห็น”

              สัปเหร่อขามพูดแขวะไปยังชินกรชัดเจน  แต่เขาไม่สนใจนอกจากสิ่งที่ต้องการรู้เท่านั้น

              “ถ้าเป็นอย่างที่สัปเหร่อขามว่ามาแม่ของผมก็เป็นเพียงคนเลี้ยงไม่ใช่ปอบนี่ครับ  ผมพูดถูกไหม?”

              “ผิดถนัดเลยไอ้หนุ่ม  เอ็งคิดว่าอสุรกายอย่างปอบเจ้ามันจะมีตัวตนได้ยังไงถ้าตัวมันไม่มีร่างกายให้แฝงอยู่  ร่างกายคนก็ไม่ต่างอะไรจากประตูของอีกโลกหนึ่งที่มันจะผลุบโผล่ออกมาเมื่อไรก็ได้  เพราะฉะนั้นแม่เอ็งนี่แหละที่เป็นต้นเหตุแห่งความวิบัติของบ้านวังสาอย่างแท้จริง!”

              “ผมเห็นที่ท้ายสวนมีศาลไม้เก่า  นั่นไม่ใช่ที่อยู่ของปอบเจ้าที่ตระกูลผมเลี้ยงเหรอ?”

              “ศาลเป็นเพียงที่อยู่  แต่ไม่ได้ทำให้ปอบมีตัวตนจริงพร้อมกับมีพลังอำนาจมากเท่าร่างกายคนเป็นๆหรอกนะไอ้หนุ่ม”

              ชินกรรู้สึกสับสนอับจนหนทาง  เขานั่งลงก้มหน้าอยู่ข้างสัปเหร่อขามสีหน้าอมทุกข์

              “สัปเหร่อขามพอจะมีหนทางที่จะช่วยแม่ผมกับชาวบ้านบ้างไหม?”

              “มีน่ะมี  แต่มีปัญหาอยู่ที่ทำให้ไม่มีหมอธรรมหมอผีคนไหนที่จะจัคการแม่เอ็งได้”

              “ปัญหาอะไร?”

              “ปัญหาอย่างแรกพื้นที่ของหมู่บ้านเอ็งมันอยู่ในวงล้อมของภูเขาทางเข้าก็เป็นทางเปลี่ยวทางเดียวหนำซ้ำยังลึก   ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละถ้าจะจัคการกับปอบหมอธรรมต้องเข้าให้ถึงตัวเท่านั้นที่จะทำได้    แต่หมู่บ้านเอ็งดันเป็นอย่างที่ข้าว่าถ้ามีใครแปลกปลอมหรือผู้มีวิชาเข้าไปในหมู่บ้านยังไงแม่เอ็งก็ต้องรู้ตัวก่อนเพราะปอบที่แม่เอ็งปล่อยไว้ทั่วหมู่บ้านบอกคนเลี้ยงมันแน่ๆ    ทีนี้กว่าจะเข้าถึงหมู่บ้านจริงๆผีปอบทั้งฝูงได้ยกโขยงมารุมทึ้งคนที่บุกรุกเข้าไปจนได้ฉิบหายกันไปข้างหนึ่ง”

              ชินกรนึกภาพตามที่สัปเหร่อขามบอกเล่าเขาก็นึกได้ว่าภูมิศาสตร์หมู่บ้านบ้านวังสาเหมาะแก่การซ่อนหรือเลี้ยงปอบอย่างถึงที่สุด  แถมบ้านของแม่เขาเป็นบ้านหลังสุดท้ายซึ่งไม่มีทางไหนเลยที่นางภาจะไม่รู้ตัว

              “ปัญหาที่สองแม่เอ็งไม่เคยออกจากหมู่บ้านตั้งแต่เกิดเรื่อง  ไม่ไว้วางใจใครทั้งนั้น  ตั้งแต่เอ็งมาอยู่ข้าเดานะว่าแม่เอ็งจะอยู่แต่บ้านอย่างเดียว   ไม่เคยเดินไปสุงสิงกับใครคนไหนเลยนั่นก็เพราะแม่เอ็งระวังตัวแจตลอดเวลา   สอดคล้องกับคำพูดของไอ้หนุ่มที่ชื่อสรเมื่อวานนี้ที่มันเล่าว่า    ถ้าแม่เอ็งต้องการอะไรก็จะใช้มันออกไปซื้อของเป็นประจำเพราะแม่เอ็งรู้ดีว่าครอบครัวมันจำเป็นต้องพึ่งยาต้มของแม่เอ็งอยู่เสมอ    ส่วนปัญหาที่สามซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือจำนวนปอบที่อยู่ในหมู่บ้านมันเยอะจนน่าแปลกใจ     ขอบอกไว้เผื่อเอ็งจะสับสนว่าปอบเจ้าที่แม่เอ็งเลี้ยงมีแค่ตัวเดียวแต่ปอบบริวารที่สิงพวกชาวบ้านต่างหากที่เป็นปัญหา     เราไม่รู้เลยว่าแม่เอ็งใช้วิธีไหนที่เลี้ยงปอบบริวารได้เยอะขนาดนั้นปอบพวกนี้มันเหมือนกับฝูงหมาล่าเนื้อที่ถ้าจะมาก็มาเป็นกลุ่มแม้แต่อาจารย์ของข้ายังถูกพวกมันเล่นงานจนอ่อนแรงมาแล้ว  ถ้าต้องเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่กลางเขา  ท่ามกลางปอบบริวารที่เยอะเหมือนกับฝูงหมาล่าเนื้อเอ็งคิดดูว่ามันเป็นฝันร้ายของหมอธรรมกันแค่ไหน?”

              แม้น้ำเสียงกับสีหน้าของสัปเหร่อขามจะนิ่งแต่แววตาที่ชินกรเห็นบอกถึงความหนักใจ  ก่อนที่แกจะหันมามองชินกร

              “แต่ปัญหาที่ข้าพูดมาทั้งหมดมันแก้ไขได้ด้วยเอ็งเพียงคนเดียวไอ้หนุ่ม  ถ้าเอ็งอยากให้ข้าช่วยแม่เอ็งกับชาวบ้านเอ็งก็ต้องช่วยข้า  เอ็งจะตกลงหรือเปล่าล่ะ?”

              สัปเหร่อขามพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังรวมไปถึงแววตาที่มองดั่งเขาคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มืดมิด  ชินกรแทบไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจเพราะเขาอยากจะช่วยแม่ของตนรวมไปถึงชาวบ้านให้พ้นจากสภาพนรกทั้งเป็นอันมีเขาเป็นต้นเหตุทั้งหมด

              “ตกลงครับ  ผมจะช่วย!”

 

 

              หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จเที่ยงวันนั้นชินกรแวะไปทำธุระในเมืองเพื่อซื้อของใช้พวกแล็ปท็อปตามที่เขาได้อ้างกับแม่ของตน(เพื่อมาหาสัปเหร่อขาม)  ก่อนจะออกจากวัดนาดุมมาชินกรได้ถามเรื่องที่สัปเหร่อขามได้คุยกับสรว่าคุยเรื่องใดกันบ้าง?      ซึ่งสัปเหร่อขามได้บอกกับเขาคือถามเรื่องทั่วไปในหมู่บ้านรวมไปถึงยาต้มที่นางภาแจกให้กับชาวบ้าน  สรบอกว่ายาต้มนี้เป็นหนึ่งในตัวประกันของชาวบ้านที่ยอมศิโรราบและตัดสินใจอยู่หมู่บ้านนี้ต่อ  โดยตัวยาต้มนั้นมีสรรพคุณที่ทำให้ปอบที่สิงในร่างไม่กินเครื่องในของคนที่มันสิง  ส่วนคนที่ย้ายออกไปจะไม่ได้รับยาต้มนี้ก็จะพบจุดจบคือต้องกินแต่ของสดคาวและสุดท้ายปอบที่สิงก็กินเครื่องในจนตัวตาย! 

              “แม่เอ็งเป็นคนที่ร้ายกาจและฉลาดมาก  ดังนั้นถ้าไม่ใช่เอ็งข้าก็ไม่เห็นหนทางว่าใครจะเข้าใกล้แม่เอ็งได้”

              สัปเหร่อขามพูดสำทับมาตอนเล่าเรื่องนี้   ชินกรขับรถไปพร้อมกับครุ่นคิดเรื่องของนางภาอยู่ในหัวตลอดเวลาระหว่างนั้นเองเสียงดังเบาๆด้านท้ายรถเก๋งที่เช่ามาพร้อมกับแรงสะเทือน   ชินกรเอามือกุมขมับส่ายหน้าเพราะรู้ทันทีว่าตนเองโดนชนท้ายรถ!  ชินกรรีบลงมาดูท้ายรถเก๋งที่เช่าพบว่าคู่กรณีเป็นเด็กวัยรุ่นแต่งตัวจัดจ้านท่าทางกร่างพอสมควรเมื่อชายหนุ่มก้มดูรอยแผลจากมอเตอร์ไซค์ที่ชนเสียงวัยรุ่นคนนั้นก็ดังขึ้น

              “นี่มึงขับรถยังไงนี่หา?  ช้าอืดเป็นเต่าเลยซื้อใบขับขี่มาเปล่า?”

              “คุณเป็นคนชนผมเองนะ  ผมขับมาทางตรงแต่คุณก็ยังชนท้ายได้คุณนั่นแหละมีใบขับขี่หรือเปล่า?”

              ชินกรหันมาพูดอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน  ขณะที่อีกฝ่ายมองหน้าอย่างไม่พอใจพร้อมกับลงจากรถมอเตอร์ไซค์เหมือนจะเอาเรื่อง

              “พูดแบบนี้แสดงว่ามึงจะไม่รับผิดชอบใช่ป่ะ?”

              “ผมต้องรับผิดชอบคุณเรื่องอะไร?  ในเมื่อคุณเป็นคนผิดหนำซ้ำดูท่าทางจะไม่มีใบขับขี่ด้วย  คงต้องเรียกตำรวจมาคุยแล้ว” 

              ชินกรหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อจะกดเรียกตำรวจแต่คู่กรณีกับใช้มือปัดโทรศัพท์มือถือร่วงตกไปแตกกระจายที่ถนน  ก่อนที่มันจะทันได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นหมัดของชินกรก็สาวไปที่ใบหน้าวัยรุ่นใจร้อนคนนั้นเข้าอย่างจังจนเจ้าตัวร่วงลงไปกองกับพื้น  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเครียดที่สะสมตัวชายหนุ่มหรืออย่างไรที่ทำให้เขารู้สึกเดือดดาลกว่าทุกวันชินกรขึ้นคร่อมคู่กรณีแล้วรัวหมัดใส่ใบหน้าไม่ยั้งจนชาวบ้านบริเวณนั้นต้องกรูเข้ามาห้าม!

 

 

              ผลจากการที่เขาใจร้อนคือตลอดบ่ายชินกรต้องใช้เวลาอยู่บนโรงพักเพื่อเคลียร์กับคู่กรณี  ด้วยความที่เป็นทนายความบวกกับเจ้าวัยรุ่นที่หาเรื่องไม่มีทั้งใบขับขี่  พรบ. รถมอเตอร์ไซค์ก็ขาดทำให้เขาได้เปรียบคู่กรณีทุกอย่างจนเคลียร์ได้ไม่ยากหนำซ้ำยังผลักภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมรอยแผลจากการโดนชนให้พ่อแม่วัยรุ่นอีกต่างหาก  พอออกมาก็เกือบจะเย็นแล้วเขาจึงตัดสินใจขับรถกลับบ้านทันที   ชินกรต้องยอมรับว่าวันนี้เขาดูแปลกไปจริงๆทั้งดูใจร้อนขึ้นมากกว่าทุกวันรวมไปถึงเหตุการณ์บนโรงพักช่วงบ่ายวันนี้ที่ตัวเขากดดันพ่อแม่ของวัยรุ่นคู่กรณีให้รับภาระทั้งหมดไป   ซึ่งถ้าเป็นเขาปกติก็น่าจะช่วยออกเงินบ้างเพราะตัวเองก็ทำร้ายร่างกายวัยรุ่นคนนั้นไม่ใช่น้อย   แต่ยังไงก็ตามเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วอีกอย่างชินกรยังมีภารกิจที่สำคัญกว่ารออยู่โดยมีแม่กับความอยู่รอดของชาวบ้านเป็นเดิมพัน

              ชินกรขับรถมาถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้านติดถนนใหญ่เขาเห็นสรจอดรถกระบะที่ศาลาข้างทาง  โดยเมื่อเห็นเขาสรก็รีบกวักมือเรียกทันที

              “ฉันมารอดักแกตั้งแต่เที่ยงแล้ว  ทำไมแกเพิ่งมาวะไอ้กร?”

              สรยิงคำถามเมื่อชินกรจอดรถพร้อมกับเดินมาหาเขาที่ศาลาริมทาง  ชินกรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดบ่ายให้สรฟังซึ่งเขาปล่อยหัวเราะออกมาเมื่อฟังจบ

              “มีอะไรน่าขำวะไอ้สร?”

              “เปล่าๆ  แค่ฉันคิดว่าแกกลับมาคราวนี้แกน่าจะเปลี่ยนไปบ้าง  แต่ที่ไหนได้แกกลับใจร้อนเหมือนเดิม”

              “หมายความว่ายังไงฉันไม่เข้าใจ?”

              “ก็แกกลับมาที่หมู่บ้านครั้งนี้แกเป็นคนป่วยที่ความจำเสื่อม  แกดูเยือกเย็นขึ้นดูเป็นมิตรและถนอมน้ำใจคน  ไม่เหมือนแกคนเก่าที่ใจร้อนต้องการเป็นที่หนึ่งตลอดเวลา  ที่สำคัญแกไม่เคยเห็นใครในสายตาเลย”

              “นี่ฉันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

              “ตอนนี้เราอยู่ข้างนอกหมู่บ้าน  อีกอย่างแกก็รู้ความจริงแล้วฉันขอพูดในฐานะเพื่อนของแกนะว่า ใช่!  แกกลับมาคราวนี้มันต่างจากแกคนเก่ามาก  มากราวกับเป็นคนละคนเลย”

              สรพูดในแววตาไม่มีความโกหกซ่อนอยู่แม้แต่น้อย  ซึ่งตรงจุดนี้ชินกรก็พอจะเดาออกมาได้บ้างว่าตัวตนที่เขาเคยอยู่ที่หมู่บ้านบ้านวังสาเขาเป็นเช่นไร

              “แต่เอาเถอะอย่างที่ฉันบอกว่าเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว  เมื่อคืนนี้แกเห็นทุกอย่างหมดแล้วใช่ไหม?”

               ชินกรพยักหน้าแววตาหนักใจ

              “ใช่  ภาพที่เห็นเมื่อคืนมันเป็นภาพที่เหมือนกับฝันร้ายสำหรับฉัน  มันทั้งน่ากลัวและก็ชวนหดหู่ในเวลาเดียวกัน  ความจริงฉันมีเรื่องจะคุยกับแกอยู่พอดี  ดีที่แกออกมาดักรอฉันตรงนี้”

              “ไม่ดักรอตรงนี้ก็ไม่ได้คุยหรอก  ในหมู่บ้านทั่วทุกพื้นที่ถ้าเข้าไปใครทำอะไรน้าภาแกรู้หมด  ถึงไม่มีใครที่กล้าบอกอะไรแกเลยสักคนรวมถึงฉันด้วย   แต่นึกไม่ถึงว่าตาแสงแกจะรู้จักเป็นการส่วนตัวกับสัปเหร่อขามจนทำให้แกรู้ความจริงได้”

              “ฉันต้องขอบคุณทั้งตาแสงและรวมถึงแกด้วยโดยเฉพาะเรื่องเมื่อคืนที่แกเห็นฉันแล้วช่วยเบนความสนใจให้  ฉันจึงกลับบ้านโดยที่พวกชาวบ้านไม่เห็น  ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรฉันบ้าง?”

              “ต่อให้มีคนเห็นก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรแกหรอก  ชาวบ้านกลัวน้าภาแม่ของแกจะตายดูตัวอย่างไอ้ชมนั่นสิกล้าบ้าบิ่นแล้วสุดท้ายจุดจบก็ไม่ต่างจากพวกที่คิดลองดีกับน้าภา  แถมคนที่มันคิดจะทำร้ายดันเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างแกอีก  ใครต่อใครก็ไม่อยากจะพบจุดจบอย่างนั้นหรอก”

              ชินกรสังเกตเห็นแววตาที่หวาดกลัวของสรฉายอยู่ชั่วครู่ที่พูดถึงไอ้ชม  ก่อนที่สรจะหันมาถามเขาถึงเรื่องหนึ่งที่สำคัญ

              “ฉันเห็นแกออกไปตั้งแต่เช้า  ถ้าดูจากเหตุการณ์เมื่อวานและก็เมื่อคืนนี้ฉันเดาว่าแกต้องออกไปหาสัปเหร่อขามแน่ๆ  เมื่อวานฉันก็คุยกับสัปเหร่อไปพอควรเหมือนกันโดยลุงแกรับปากจะช่วยฉันกับชาวบ้านหากว่าแกร่วมมือ  ฉันอยากรู้ว่าคำตอบของแกคืออะไร?”

              ไม่เหนือกว่าที่ชินกรคาดการณ์ไว้เท่าไรกับคำถามของสร  ชินกรถอนใจเล็กๆ

              “ฉันรับปากว่าจะช่วยสัปเหร่อขาม”

              เป็นคำตอบที่ทำให้สรยิ้มอย่างพอใจ  นี่ถือเป็นรอยยิ้มแรกที่มาจากเพื่อนคนนี้ของชินกรโดยสรเดินเข้าไปตบไหล่แล้วบีบไหล่แน่น

              “แกรับปากจะช่วยฉันกับชาวบ้านจริงๆใช่ไหมเพื่อน?”

              “ใช่  ฉันรับปากจะช่วยแกเพื่อไถ่บาปที่ฉันเคยทำผิดไปและฉันอยากจะช่วยแม่ฉันด้วย  แต่ฉันมีข้อแม้อย่างหนึ่ง”

              “ข้อแม้อะไร?”

              “ฉันอยากรู้เรื่องคืนที่ฉันหนีออกจากบ้านว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?  รวมไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแกละชาวบ้านว่ามันเป็นยังไงทั้งหมด?”

              น้ำเสียงที่พูดของชินกรเด็ดขาด  แม้สรจะมีท่าทางลังเลแต่เขาก็พยักหน้า

              “ตกลงฉันจะเล่าทุกอย่างที่ฉันรู้ให้แกฟัง  ว่าแต่แกอยากรู้อะไรล่ะ?”

 

 

              ที่กระท่อมปลายนาตาแสงได้ก่อกองไฟบรรเทาอากาศหนาวช่วงเย็น  ก่อนที่แกจะหยิบเหล้าขาวดีกรีแรงกับปลาสดที่ยังเป็นๆมากัดกินอย่างหิวโหย   ระหว่างนั้นแกสัมผัสได้ถึงฝีเท้าที่เดินเข้ามาด้านหลังเมื่อหันไปมองก็เห็นลุงคำยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับเชือกเส้นหนึ่ง

              “อ้าว  ไอ้คำมาเสียเงียบๆเชียว  มีอะไรล่ะ?”

              “ตัวฉันไม่มีอะไรหรอกตาแสง  แต่มีคนบางคนเขามีคำถามถึงตา”

              “ใครมีคำถามอะไรล่ะ?”

              ตาแสงถามไปกัดปลาสดๆกินไปอย่างไม่สนใจนัก  ลุงคำเดินเข้ามาใกล้จนประชิดแล้วกระซิบเอ่ยชื่อหนึ่งที่ทำให้ตาแสงเบิกตาโพงด้วยความตกใจ

              “แม่ภา!”

              พูดจบลุงคำเอาเชือกที่เตรียมมารัดคอตาแสง  ชายชราพยายามดิ้นแต่สู้แรงผู้ที่อายุน้อยกว่าอย่างลุงคำไม่ได้แม้แต่น้อย

              “แม่ภาฝากมาบอกว่าเสียแรงที่ไว้ใจตาแสงมานาน!  อโหสิกรรมให้กันด้วยนะตา”

              ลุงคำใช้แรงที่มือและแขนรัดคอตาแสงแน่นตาแสงได้แต่เอามือกับขาดิ้นไปไขว่คว้าในอากาศเหมือนคนพยายามจะมีชีวิตอยู่เฮือกสุดท้าย  ก่อนที่ร่างกายแกจะกระตุกอยู่ทีสองทีแล้วตาแสงก็กลายเป็นศพไร้วิญญาณไปที่หน้ากระท่อมปลายนาของแก!

 

 

              ระหว่างที่เกิดเรื่องร้ายกับตาแสงอยู่นั้นชินกรกับสรก็นั่งอยู่ที่ศาลาริมทางก่อนเข้าหมู่บ้านบ้านวังสา  พูดคุยในสิ่งที่ชินกรต้องการอยากจะรู้

              “เริ่มต้นจากคืนที่ฉันหนีออกจากบ้านก่อน  ฉันอยากจะรู้รายละเอียด”

              “ฉันจะเล่าเท่าที่ฉันจำได้ละกันนะ  เพราะมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว  แต่ก่อนเล่าฉันขอถามก่อนได้ไหม?  ในเมื่อสัปเหร่อขามเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านอันมีต้นเหตุมาจากแกแล้ว  แกยังอยากฟังอะไรจากฉันอีกวะไอ้กร?”

              “สัปเหร่อขามอาจจะเล่าความจริงให้ฉันฟัง  แต่เขาก็เป็นคนที่อยู่ด้านนอกหมู่บ้านซึ่งการรับรู้จะต้องมาจากปากคำของคนอื่นมาอีกทีหนึ่ง  ซึ่งเท่าที่ฉันฟังดูน่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านคนก่อนที่เป็นพ่อของไอ้ชม  ฉันไม่รู้ว่าเรื่องราวจะถูกใส่สีตีไข่ไปมากแค่ไหน?  ฉันถึงอยากจะคุยกับแกในฐานะที่บ้านแกอยู่ใกล้บ้านแม่ของฉันที่สุด   แกน่าจะให้รายละเอียดที่ชัดเจนได้มากกว่าสัปเหร่อขาม”

              “ถึงจะมาจากปากของพ่อไอ้ชมแต่มันก็เป็นความจริงที่แกต้องรับอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?  แล้วแกต้องการจะรู้รายละเอียดไปเพื่ออะไร?”

              “แกอย่าดูถูกรายละเอียดนะสร   ไอ้รายละเอียดนี่แหละที่เป็นส่วนสำคัญที่สุด   ฉันเป็นทนายหลายต่อหลายคดีพลิกไปมาเพราะรายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้  ฉันอยากจะมั่นใจในสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่ให้ได้มากที่สุด  ถ้าแกอยากให้ฉันช่วยแกได้อย่างไม่มีอะไรผิดพลาดก็เล่าเรื่องคืนนั้นให้ฉันฟังเถอะ”

              สรรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหตุผลของชินกรต้อนเขาให้เล่าเรื่องมากกว่าเป็นการขอร้องอย่างที่แล้วมาจนตัวเองรู้สึกไม่มีทางเลือกมากกว่าต้องทำตามที่บอก

              “ได้  แม้จะผ่านมาหลายปีแต่เหตุการณ์คืนที่แกหนีออกจากบ้านฉันยังจำได้แม่น  คืนนั้นเป็นคืนวันเพ็ญเป็นคืนก่อนวันพระใหญ่ที่แม่ของฉันต้องเตรียมข้าวของเพื่อจะใส่บาตรตอนเช้า    ตั้งแต่หวานตายฉันเห็นแกมีท่าทางหงุดหงิดเคร่งเครียดกับอะไรสักอย่าง  จนกระทั่งตอนสองทุ่มฉันได้ยินเสียงแกทะเลาะกับน้าภาขึ้นมา...”

              “หยุดก่อน  ฉันสนใจตรงที่แกบอกฉันว่าฉันมีท่าทางหงุดหงิด  พอรู้ไหมว่าฉันหงุดหงิดกับอะไร?”

              “ไม่รู้หรอก” สรส่ายหน้า “ฉันลองถามแกแล้วแต่แกก็ไม่ได้บอกฉัน  แถมแกในตอนนั้นเป็นประเภทที่ไม่ชอบให้ใครเซ้าซี้มากด้วย”

              “แล้วที่แกบอกว่าแกได้ยินเสียงฉันทะเลาะกับแม่  พอจะจับใจความได้ไหมว่าเรื่องอะไร?”

              “นั่นก็จับใจความไม่ได้เหมือนกัน  รู้แค่ว่าน้าภาพยายามจะกล่อมอะไรแกสักอย่างแต่แกก็ไม่ฟัง   แกกับน้าภาโต้เถียงกันค่อนข้างรุนแรงอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง  แล้วฉันก็ได้ยินเสียงแกสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ที่แกใช้อยู่ตอนนั้นขี่ออกไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”

              “แกบอกว่าแกได้ยินเสียงฉันสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ใช่ไหมสร?  งั้นแสดงว่าแกไม่เห็นว่าฉันมีกระเป๋าเสื้อผ้าหรืออะไรติดตัวไปแล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันหนีออกจากบ้านไปในคืนนั้น?”

              “เพราะแกออกไปคืนนั้นแล้วแกไม่เคยย้อนกลับมาไง  แกรู้ไหมว่าวันต่อมาฉันไปหาแกที่บ้านเมื่อไปถึงฉันเห็นน้าภาแกร้องไห้จนตาบวม  แล้วก็บอกว่าแกไม่อยู่แล้วคงจะไม่กลับมาแล้ว   ตอนนั้นฉันก็เริ่มเอะใจบางอย่างแค่ว่าไม่มีใครสักคนเลยในหมู่บ้านจะคาดคิดถึงหายนะที่เกิดหลังจากนั้น”

              “เรื่องที่ปอบลงหมู่บ้านใช่ไหม?”

              สรพยักหน้า “ใช่  มันเป็นหายนะที่ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ  ครอบครัวของแกเป็นครอบครัวของหมอธรรมประจำหมู่บ้าน  ที่ได้รับการนับหน้าถือตามีแต่คนเกรงใจแล้วน้าภาก็เป็นหมอธรรมต่อจากพ่อของแกที่เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก  แต่ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะรู้เบื้องหลังว่าตระกูลแกซ่อนความน่ากลัวบางอย่างไว้”

              “ตรงนี้ฉันอยากให้แกเล่าให้ละเอียดหน่อยว่าแกกับชาวบ้านรู้ตัวตอนไหน? แล้วปฏิกิริยาหลังจากที่รู้ตัวแล้วเป็นยังไง?”

              สรมีแววตาที่เหม่อลอยมองไปยังวิวที่เป็นป่าไม้ข้างทางเหมือนกำลังทบทวนความจำในช่วงเวลานั้น

              “หลังจากผ่านไปสองวันเริ่มต้นที่ครอบครัวฉันรู้สึกเบื่ออาหาร   เราเริ่มที่จะหิวมากขึ้นแต่น่าแปลกตรงที่ไม่ว่าจะกินไปเท่าไรก็ไม่รู้สึกอิ่มเลยแม้แต่น้อย  รสชาติอาหารเริ่มจืดชืดลงเรื่อยๆในขณะที่พวกของคาวมีกลิ่นเลือดกลับเย้ายวนใจให้กินจนน้ำลายไหล  ตอนแรกฉันคิดว่าบ้านของฉันป่วยเป็นอะไรสักอย่างแต่พอคุยกับคนอื่นๆในหมู่บ้านทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด  หลังจากนั้นในเวลาตอนกลางคืนพวกเรามองเห็นชัดมากกว่าปกติรวมไปถึงตาของฉันกับคนอื่นๆในหมู่บ้านเรืองสะท้อนเป็นสีแดงเลือดในความมืด  เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้ฉันกับชาวบ้านจึงไปหาน้าภาที่เก็บตัวเงียบมาหลายวันเพื่อหวังจะขอความช่วยเหลือ     แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามเมื่อเราไปถึงน้าภาก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับบอกกับฉันและชาวบ้านว่าพวกเราโดนปอบสิง  ซ้ำยังบอกว่าเป็นปอบที่มาจากบ้านของน้าภาเองแน่นอนพอทุกคนได้ยินแบบนี้ต่างโกรธแค้นและสาปแช่งกับน้าภา  แต่ก็ทำได้แค่นั้นเพราะไม่มีใครที่จะล่วงล้ำเข้าไปในบริเวณบ้านของน้าภาได้เลย  ทุกคนที่พยายามจะเข้าไปจะต้องปวดท้องอย่างรุนแรงเหมือนมีบางอย่างกำลังกัดกินเครื่องในของเราอยู่ข้างใน  จนในที่สุดพวกชาวบ้านก็ล่าถอยไปแล้วหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่สัปเหร่อขามเล่าทุกอย่างนั่นแหละ”

              “แล้วชาวบ้านรู้ได้ยังไงว่าสาเหตุที่แม่ฉันปล่อยปอบลงหมู่บ้านเป็นเพราะความผิดหวังในตัวฉัน?”

              “ก็เป็นเพราะน้าภานั่นแหละเป็นคนบอก  น้าภาบอกว่าสาเหตุที่ทำให้ปอบหลุดออกไปเพราะเสียใจที่แกทิ้งน้าภาไปจึงทำให้อำนาจในตัวน้าภาเสื่อมตามกำลังความเข้มแข้งของจิตใจ  ซึ่งน้าภามาระบายกับแม่ฉันหลังจากนั้น”

              ชินกรนิ่งเงียบไปชั่วคราวราวกับครุ่นคิดบางอย่าง

              “แล้วรถบรรทุกที่ฉันเห็นเมื่อคืนนี้ล่ะคืออะไร?”

              รถบรรทุกที่แกเห็นเมื่อคืนนี้คือรถบรรทุกไก่ที่น้าหำเขาไปเช่ามาแล้วติดต่อกับฟาร์มอีกที่ของอีกจังหวัดหนึ่ง  เดิมทีพวกชาวบ้านที่เป็นปอบกันแรกๆ  ก็กินพวกสัตว์เลี้ยงตัวเองไม่เว้นกระทั่งหมาที่เลี้ยงไว้พอหมดหมู่บ้านก็ไปซื้อไก่เป็นๆจากตลาด    แต่แกนึกภาพออกไหมว่าคนจากหมู่บ้านเดียวมาซื้อไก่สดทุกวันมันน่าสงสัยขนาดไหน?  สุดท้ายลุงคำก็ออกความเห็นคือให้น้าหำเช่ารถบรรทุกอยู่ไปเหมาไก่จากฟาร์มโดยรวมเงินจากชาวบ้านไป  ส่ วนที่ว่าทำไมต้องเป็นกลางคืนก็เป็นเพราะแกอีกนั่นแหละ   น้าภากลัวว่าแกที่ความจำเสื่อมจะเห็นภาพที่ไม่น่าดูหรือรับไม่ได้แกจึงสั่งผ่านลุงคำมาว่าให้มากำชับกับชาวบ้านให้มากินกันแค่ตอนกลางคืนเอา”

              เป็นคำตอบที่ไขความชัดเจนของกฎที่แม่ของเขาร้องขอมาและเป็นจิ๊กซอว์ที่ทำให้เรื่องราวที่ประติดประต่อสมบูรณ์ขึ้น

              “แล้วดวงไฟสีเขียวที่ฉันมักเห็นลอยตอนกลางคืนอยู่เสมอนั่นคืออะไร? เห็นสัปเหร่อขามบอกว่าดวงไฟที่เกิดจากปอบ”

              “ดวงไฟ....แกพูดถึงดวงไฟอะไร?”

              “ก็ดวงไฟสีเขียวหลายสิบดวงที่ฉันมองเห็นลอยตามหมู่บ้านไง  แกไม่เห็นเหรอ?”

              “ดวงไฟสีเขียวไม่มีนะ  ฉันไม่เคยเห็นเลย”

              สรตอบอย่างหน้าซื่อๆจนชินกรต้องขมวดคิ้วถามเพื่อความแน่ใจ

              “แกไม่เคยเห็นดวงไฟสีเขียวจริงๆเหรอ?”

              “ไม่มีนะ  ฉันไม่เคยเห็นเลยจริงๆ  ฉันเพิ่งได้ยินจากแกครั้งแรกนี่แหละ”

              “.....งั้นก็ช่างเถอะ  คำตอบนี้คงมีแค่แม่ฉันรู้แค่คนเดียว”

              ดูท่าจิ๊กซอว์เรื่องราวที่ขาดหายไปจะยังไม่ครบอย่างที่ชินกรหวัง  เขาเพิ่งสังเกตเห็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสัญญาณที่บอกว่าใกล้จะสู่ช่วงเวลาพลบค่ำแล้ว

              “จริงสิ  นี่เป็นคำถามสุดท้ายที่ฉันจะถามแก”

              “ถามมาสิ  ฉันยินดีตอบ”

              “สรแกเคยเกลียดฉันไหม?”

              เป็นคำถามที่ทำให้สรถึงกับชะงักไป  ชินกรจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา

              “ทำไมแกถามอย่างนั้นล่ะ? เราเป็นเพื่อนกันนะ”

              “ฉันก็แค่ถามเผื่อไว้  ฉันจะบอกแกว่าตั้งแต่กลับมาจากที่ป่าอาการของฉันมันก็เริ่มดีขึ้น  ความทรงจำหลายอย่างกลับมาแล้วฉันก็รู้ตัวว่าฉันเองนิสัยแย่กับแกขนาดไหน?    รวมไปถึงเรื่องหวานด้วยฉันเลยอยากถามแกดูว่าเคยไหมที่จะเกลียดเพื่อนอย่างฉัน”

              “แกจำเรื่องหวานได้แล้วเหรอ?”

              “ได้  แต่ไม่ทั้งหมดฉันจำความสัมพันธ์ได้  จำหน้าตาหวานได้แต่ก็นั่นแหละอาการฉันเริ่มดีขึ้นแต่ยังไม่หายดี  ว่ายังไงล่ะแกเคยเกลียดฉันไหม?”

              “ฉันไม่เคยเกลียดแกในฐานะเพื่อนเลยกร  แกเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน”

              สรตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น  ชินกรยิ้มน้อยๆเดินไปตบไหล่

              “ถ้าอย่างนั้นก็ดี  ฉันจะได้สบายใจเอาล่ะ  เรากลับบ้านกันเถอะ”

              สรพยักหน้าแล้วทั้งคู่ก็เดินไปขึ้นรถคนละคันก่อนจะพากันขับเข้าหมู่บ้าน  ท่ามกลางท้องฟ้าที่ฉายเป็นสีแดงที่ขอบฟ้าเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะลับแสงเต็มที

 

 

              ชินกรกลับมาถึงที่บ้านเขาเห็นบ้านของนางภาเงียบสนิท  เมื่อขึ้นไปดูบนบ้านก็ไม่เจอใครโดยในครัวก็มีอาหารเย็นปรุงรอไปอยู่แล้ว  ชายหนุ่มจึงส่งเสียงเรียกก็ได้ยินเสียงนางภามาจากทางด้านสวนหลังบ้าน

              “แม่อยู่ที่สวนหลังบ้านกร  กรว่างไหม? มาหาแม่ที่นี่หน่อย”

              ชินกรไม่อยากไปที่บริเวณสวนหลังบ้านเลยเพราะเขารู้สึกไม่ดีกับที่บริเวณนั้นมากโดยเฉพาะที่ศาลไม้บรรพบุรุษที่เคยไปไหว้อยู่หนหนึ่ง  แต่ในเมื่อนางภาแม่ของเขาเรียกรวมกับที่ตนเองพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับมารดาให้มากที่สุดจึงเลี่ยงไม่ได้เลยกับการต้องไปที่นั่น

              “ได้ครับแม่  ผมจะลงไปหาแม่เดี๋ยวนี้”

              ชินกรเดินลงบันไดบ้านตรงไปที่ด้านหลังบ้านที่เป็นสวนผ่านต้นมะม่วงและต้นส้มโอที่ปลูกอยู่จนเขาเห็นนางภายืนอยู่ในดงพืชล้มลุกที่มีลักษณะคล้ายว่านพร้อมกับหิ้วถังเหล็กกวักมือเรียกเขา  ความรู้สึกชวนอึดอัดระคนขนหัวลุกยังคงเป็นเช่นเดิมกับเมื่อเข้ามาครั้งแรก  ชินกรฝืนใจเดินไปหาแม่ของเขาด้วยความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย

              “แม่เรียกผมมีอะไรหรือครับ?”

              นางภายิ้มให้ลูกชายอย่างเอ็นดูขณะเดียวกันก็เอามือที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปที่คอเสื้อหยิบสร้อยพระออกมาดู

              “ดีมากที่ฟังแม่  ที่ห้อยสร้อยพระนี่ไว้ตลอดเวลาโดยไม่ถอดเลย”

              “ครับ  แม่สั่งไว้ขนาดนั้นผมคงไม่กล้าขัดแม่หรอก”

              “แม่ถามหน่อยสิกร  ลูกจำทุกอย่างได้หมดหรือยัง?”

              เป็นคำถามที่ไม่รู้ว่านางภาถามขึ้นด้วยความหวังดีหรืออยากจะหยั่งเชิง  แต่มันคือโอกาสสำคัญที่นางภาเปิดให้กับเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนชินกรเผลอยิ้มที่มุมปาก  เขาส่ายหน้าแสร้งทำสีหน้าอย่างคนไม่รู้เลยใด

              “จำได้ส่วนใหญ่ครับแต่เรื่องที่คาใจส่วนใหญ่ยังจำไม่ได้  โดยเฉพาะเรื่องคืนที่ผมหนีออกจากบ้านไปนึกยังไงผมก็นึกไม่ออก”

              “แน่ใจเหรอว่าลูกยังไม่รู้?  แม่คิดว่ามีคนบอกลูกแล้วเสียอีก”

              เป็นคำตอบที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ชินกรคาดไว้อย่างสิ้นเชิง  เขาเห็นนางภายิ้มที่มุมปากราวกับรู้ทันตัวเขาหมดทุกฝีก้าว  แต่ชินกรก็ยังไม่ละความพยายามเพราะไม่รู้ว่าโอกาสอย่างนี้จะมีอีกหรือเปล่า?

              “แม่ครับ  คืนที่ผมหนีออกจากบ้านมันเกิดอะไรขึ้นแน่แม่บอกผมได้ไหม?”

              นางภามองเขาด้วยแววตาที่แม้แต่ตัวชินกรก็ยากที่จะบอกว่าแม่ของเขาคิดอะไรอยู่?  สายตาของนางภาจับจ้องมาที่พระเครื่องที่ห้อยคอลูกชาย  ทันใดนั้นนางภาก็ดึงสร้อยพระเครื่องที่ห้อยคอของชินกรอย่างแรงจนขาดติดมือของนางภา  ชินกรรู้สึกเจ็บที่ต้นคอเพราะแรงดึงของแม่จนต้องเอามือลูบดูว่ามีแผลไหม?

              “แม่ทำอะไรครับ?  ดึงสร้อยพระออกทำไม?”

              “แม่แค่คิดว่าลูกคงไม่ต้องห้อยสร้อยพระอีกแล้ว”

              “แล้วเรื่อง....”

              “แม่คิดว่ากรใกล้จะหายเต็มทีที่จะจำได้ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?  หรือบางทีกรน่าจะรู้จากปากคนอื่นไปแล้วกระมัง”

              “ถึงจะเป็นจากใครก็ไม่สำคัญเท่ากับที่ผมอยากรู้จากปากของแม่ครับ!”

              ชินกรพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนหนักแน่นสีหน้าที่มองนางภาเชิงอ้อนวอนต่อแม่ของเขาเต็มที่  นางภาถอนหายใจน้อยๆแล้วบอกกับลูกชาย

              “กรจะรู้ในเร็วๆนี้  แม่รู้นะว่ากรจำได้เกือบหมดทุกอย่างแล้วแม่ก็เชื่อว่ากรจะจำในสิ่งที่กรอยากรู้ในไม่ช้า  กรขึ้นบ้านไปรอกินข้าวเพื่อจะกินยาเถอะ  แม่รดน้ำสวนนี้เดี๋ยวตามขึ้นไป”

              ชินกรพยักหน้ารับคำอย่างไม่เต็มใจก่อนที่เขาจะหันหลังเดินออกมาจากสวนหลังบ้าน  นางภามองดูลูกชายด้วยสายตาที่เป็นห่วง  เมื่อเห็นชินกรลับสายตาไปนางภาก็หิ้วถังเหล็กที่ถืออยู่เดินมาตรงดงว่านที่ขึ้นเต็มทั่วบริเวณไปหมดพร้อมกับใช้มือล้วงหยิบเอากระบวยที่อยู่ในถังตักเลือดไก่ออกมาสาดใส่ต้นว่านเหล่านั้นไปจนชุ่มเลือดทั่วถึงกัน  ต้นว่านแต่ละต้นเมื่อโดนเลือดพวกมันต่างโยกไปมาราวกับสิ่งมีชีวิตที่ดีใจที่ได้อาหารโปรดมาลิ้มลอง!  นางภามองดูภาพตรงหน้าอย่างชินตา

              “อีกไม่นานหรอกกร  ลูกพร้อมแล้วที่จะได้รู้เรื่องทุกอย่างที่ลูกอยากจะรู้”

             

       

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา