Don't forget me จะได้ไม่ลืมกัน

-

เขียนโดย ด้วยรัก

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 16.10 น.

  3 chapter
  1 วิจารณ์
  5,314 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 16.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 3 ที่รัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 3 ที่รัก
 
"กรี๊ดดดดดด ไม่………!!!"
 
เสียงกรี๊ดดังขึ้นในห้อง ER ของ รพ.เอกชนชื่อดัง แน่นอนมันคือเสียงของฉันเอง มันเกิดขึ้นจากการที่พยาบาลดึงปมไหมขึ้นเพื่อนจะตัดไหม...
“ร้องได้นะคะ แต่อย่าดิ้น” เสียงหนักแน่นดังออกมาจากปากพยาบาลที่ดูเป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ฉันได้แต่แม้มปากแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ฉันบีบมือคนที่ยืนให้กำลังใจอยู่ข้างเตียงแน่น เธอคือคนที่ทำฉันต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์หัวแตกที่ร้านกาแฟยัยเด็กแว่นก็มารับฉันไปล้างแผลทุกวันด้วยความไม่เต็มใจเลยสักนิด และหลังจากล้างแผลเสร็จเธอก็จะพาฉันไปหาที่สงบ ๆ อ่านหนังสือ
 
เสียงร้องระงมสิ้นสุดลงหลังจากไหมปมสุดท้ายได้ถูกดึงออก น้ำตาที่อาบแก้มไหลไม่หยุด เด็กเตียงข้าง ๆ ที่กำลังล้างแผลพุพองขนาดใหญ่ที่ขาหันมามองหน้าฉันพร้อมขมวดคิ้ว คือน้องคงงงจนลืมความเจ็บปวดของแผลตัวเอง เมื่อเห็นความเล่นใหญ่ของฉันกับแผลขนาดจิ๋วที่ศรีษะ
 
จนถึงวันนี้ฉันมาทำแผลที่ รพ. ที่พ่อเป็นหุ้นส่วนอยู่ครบ 1 สัปดาห์แล้ว แต่ที่บ้านยังไม่มีใครรู้เลยว่าฉันหัวแตก ไม่รวมเหล่าแม่บ้านอะนะ ก็ดี๊… จะได้ไม่ต้องธิบายอะไรเยอะแยะ
 
ฉันเหลือสอบแค่ 1 วัน ของฤดูสอบกลางภาคซึ่งชิวมากสำหรับฉัน ก็เหลือแค่วิชาศิลปะ และวิชาสุขศึกษา ปกติหลังทำแผลเสร็จยัยแว่นจะพาไปหาที่อ่านหนังสือ แต่วันนี้ฉันอยากกลับบ้านหลังจากเสียน้ำตาให้กับพยาบาลไปฉันก็ไม่มีอารมณ์จะไปไหนต่อแล้ว
“ให้อยู่เป็นเพื่อนไหมคะ?” เด็กแว่นพูดขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งรถกลับบ้าน
“ไม่” ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ นะ ที่จะงอแงงี่เง้าใส่คนนั้นที คนนี้ที
 
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!
เสียงโทรศัพท์มือถือของยัยแว่นดังขึ้น ฉันเหลือบมองก็เห็นเป็นชื่อคนโทรเข้าคือ 'อีพ' ใจมันกระตุกวูบเหมือนทำอะไรผิดมา นี่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
 
“ค่ะพี่อีพ”
“วันนี้หรอคะ…ก็ไม่ได้ทำอะไรค่ะ แค่ต้องอ่านหนังสือ เอาเป็นวันหลังได้ไหมคะ เดี๋ยวเมลไปหา… ค่าาา คิดถึงเหมือนกัน…”
 
คิดถึงงั้นหรอ พวกนี้ไปถึงไหนกันแล้วนะ ทำไมมาพูดมาบอกอะไรแบบนี้กันได้ไม่อายปาก ฉันบู้ยปากแล้วทำเป็นมองอะไรไม่รู้นอกหน้าต่าง เอาเป็นว่ามองสายไฟก็แล้วกันไหน ๆ ก็มีเยอะแยะเต็มไปหมด ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะ
 
“ตอนนี้เมลอยู่กับพี่รัก เดี๋ยวก็กลับแล้วค่ะ”
“…” พอได้ยินชื่อตัวเองฉันก็อดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้ขึ้นมา
“ค่ะ ได้ค่ะ ไว้ค่อยเจอกันนะคะ…แค่นี้ก่อนนะคะพี่อีพรู้สึกบรรยากาศแถวนี้เริ่มอึมครึมแล้ว… คิคิ… ค่าาา บายๆ”
 
นี่คงกำลังหมายความถึงฉันกันอยู่สินะ น่าเบื่อพวกสำคัญตัวเองคิดว่าฉันจะสนใจงั้นหรอ เชอะ!
 
“หิวไหมคะ?” พอวางสายจากอีพเสร็จเธอก็หันหน้ามาพูดกับฉัน
“ไม่!”
โคร๊กกก...!
แต่ไอ้ท้องเจ้ากรรมดันไม่ให้ความร่วมมือ เสียงท้องฉันร้องออกมาเป็นสัญญานว่ามันกำลังประท้วงฉันให้ป้อนอะไรอร่อย ๆ เข้าไปให้มัน ฉันรีบใช้มือบีบที่ท้องตัวเองไว้ก่อนที่มันจะทำฉันขายหน้าไปมากกว่านี้
“คิคิ…เอาเป็นว่าเราไปหาอะไรกินก่อนเนอะแล้วจะไปส่งโอเคไหมคะ?” เสียงหัวเราะคิกคักดังของยัยแว่นทำให้ฉันรู้สึกอายจนหน้าชา
“ไม่เอา พี่จะ...กลับ…บ้าน” ฉันเน้นย้ำชัดถ้อยชัดคำ ไม่อยากไปไหนหลังจากร้องไห้มาแล้วดูสภาพหน้าฉันตอนนี้สิ อย่างกับซอมบี้
 
เรามาโผล่อยู่ที่ห้องครัวของบ้านฉัน ใช่แล้วฟังไม่ผิดหรอก 'เรา' เพราะยัยแว่นตัวแสบตามติดมาด้วย พึ่งเคยเห็นคนอะไรไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ฉันนั่งรอที่โต๊ะทานข้าวขนาดเล็กที่อยู่ในครัว ส่วนยัยแว่นก็ทำอะไรสักอย่างก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่บาร์ในครัว
ติ๊ง! เสียงแชทจากแอพสีเขียวดังขึ้น ฉันหยิบมาดูก็พบว่าเป็นมีน จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้คุยกันเลยช่วงนี้ มัวแต่วุ่นวายกับ'คนอื่น'
 
MEEN : คิดถึง มีนสอบเสร็จแล้วนะ นี่สอบวิชาสุดท้ายพึ่งเสร็จ
 
ฉันมองดูนาฬิกาพบว่าตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว คงยังไม่ได้กินอะไรมั้ง
 
ที่รัก : กินอะไรหรือยัง มาหารักที่บ้านสิ
MEEN : ยัง รอให้ชวนอยู่ อยากกินรักใจจะขาด คริคริ
ที่รัก : ทะลึ่ง! ชวนมากินข้าว
MEEN : 5555 กินข้าวเสร็จแล้วก็กินอย่างอื่นต่อไม่ได้หรอ
ที่รัก : คิดดูก่อน... ถ้าไม่ดื้อจะให้กิน
 
"อาหารมาแล้วค่าาาา" เสียงใสของคนในครัวดังขึ้น ฉันมองสิ่งที่ถูกเรียกว่าอาหาร ซึ่งถูกยกมาวางไว้ตรงหน้า
"มาม่าหนิ?" ฉันมองทะลุเข้าไปในแว่นอย่างเอาเรื่อง
"อาฮะ ลองชิมดูก่อน" ยัยแว่นดันชามมาม่าให้ใกล้ฉันมากขึ้น
เฮิ่มมม เอาก็เอา หิวจะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวมีนมาค่อยกินอีกรอบก็ไม่เสียหาย อันนี้ถือว่ารองท้อง
 
ฉันซัดมาม่าไปจดหมดชาม มาม่าที่ไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเติมลงไปเลย มีแต่เส้นกับน้ำ มันคือมาม่าที่แท้ทรู
"เป็นไง ฝีมือเมลอร่อยไหม?"
"นี่มันมาม่าเหอะ"
"ก็เมลเป็นคนทำเหอะ"
ฉันส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความรั้นอยากจะฝีมือปลายจวักขั้นเทพของยัยแว่น มันก็อดไม่ได้ที่จะขำ จนยิ้มออกมา แต่ก็กลบเกลื่อนด้วยการเบือนหน้าหนี
 
ฉันกินแบบติดเทอร์โบเพราะในขณะที่ชามของฉันเงาวับ แต่ชามของยัยแว่นยังเหลือตั้งครึ่งค่อนชาม ฉันนั่งสังเกตุคนร่วมโต๊ะอาหารไปพลางเล่นโทรศัพย์ไป จะให้ชวนคุยคงไม่ใช่วิถีฉัน
 
ที่รัก : ใกล้ถึงยัง
MEEN : ใกล้แล้ว ติดไฟแดงอยู่
ที่รัก : แย่จัง
MEEN : ทำไม
ที่รัก : แบบนี้ก็กิน...ไม่ได้สิ
MEEN : หื้มมม ทำไมเป็นคนแบบนี้
 
“พี่รักอยู่บ้านกับใครหรอคะ คุณพ่อคุณแม่ล่ะ?” คำถามที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา เป็นคำถามง่าย ๆ แต่มันกลับตอบยาก ฉันพูดได้ไม่เต็มปากว่า ‘ครอบครัว'
 
“พ่อไปทำงาน”
 
“แม่ล่ะ”
 
“…” ฉันยังไม่ตอบใด ๆ ออกไป มันคือเรื่องส่วนตัวของฉันและฉันก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ยกเว้นอีพคนหนึ่งที่มันเสือกจนรู้เอง อีกอย่างเธอกับฉันเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นยัยแว่น
 
“เมลแค่ไม่เคยเห็นคนอื่นนอกจากแม่บ้าน…ก็มารับไปทำแผลตั้งหลายวันแล้ว…คะ…แค่ลองถามดูค่ะ…ขอโทษค่ะ” คำพูดตอนท้ายเริ่มแผ่วลง คนถามก้มหน้าใส่ชามมาม่าแล้วไม่หันมามองฉันอีก การสนธนาของเราหายไปในอากาศ
 
ฉันไม่ได้โกรธแต่แค่กำลังปกป้องตัวเองก็เท่านั้น คนที่ถามเรื่องของเรามีแค่ 1% เท่านั้นแหละที่ถามเพราะเป็นห่วง ที่เหลือก็แค่พวกสอดรู้สอดเห็น
 
“รู้จักพี่เท่าที่พี่อยากให้รู้จักก็พอ” ฉันตอบออกไปโดยไม่หันไปมองหน้ายัยแว่นอีก
 
“ค่ะ”
เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกหลังจากนั้น ฉันแอบเห็นว่ายัยแว่นแอบมองฉันเพราะฉันก็แอบมองหล่อนเหมือนกัน เธอทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง แต่แล้วก็เลือกที่จะไม่พูด
 
สักพักมีนก็มาถึงบ้าน เธอมาในชุดนักเรียนที่ดึงชายเสื้อออกนอกกระโปรง ฉันเคยพามีนมาที่บ้านในฐานะ'เพื่อน'ประมาณ 3 ครั้ง มาถึงเธอก็ทักทายตั้งแต่น้ายาม ป้าแม่บ้าน มาจนถึงฉัน ฉันค่อนข้างแปลกใจที่เธอดูสนิทสนมกับคนในบ้านยิ่งกว่าฉันเสียอีก
 
"หัวไปโดนอะไรมา" ท่าทางดูตกใจรีบเดินเข้ามาจับหัวฉันหันซ้าย หันขวา
"เดินชนประตูหน่ะ" ฉันตอบออกไปแล้วจับมือมีนที่อยู่บนหน้าฉันออก
"ประตูคงมือหนักน่าดู" เธอพูดพร้อมกับบู้ยปากให้ฉัน ก่อนจะหันไปเห็นอีกคนที่อยู่ในห้องด้วย
 
"แล้วนี่มาอยู่ด้วยกันได้ไง" เป็นน้ำเสียงที่ดูเรียบนิ่ง แต่เชื่อสิแบบนี้แหละน่ากลัว สู้โวยวายออกมาเลยยังดูน่ากลัวน้อยกว่าอีก
 
"เมลทำหัวพี่รักแตก เลยพาไป รพ.ค่ะ" จากนั้นก็มีการซักประวัติกันแบบยาวยืด จนทำได้แค่นั่งฟังคนสองคนเล่าเรื่องของฉันไปมา ทั้งที่มีสาระ และที่ไม่มีสาระ ส่วนใหญ่จะไปเน้นฉากที่ฉันร้องฟูมฟายซะมากกว่า
ฉันใช้มือขึ้นมาตีหน้าผากตัวเองแรงๆ หนึ่งที หมดแล้วภาพพจน์ที่สั่งสมมา หมดจริง ๆ ติดลบด้วยซ้ำ
 
จากที่กลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าสองคนนี้ดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขรุ่ย ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องกลัว บรรยากาศที่ดูมาคุเมื่อสักครู่หายไป
 
"พอเลย ๆ ทั้งคู่" ฉันยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม ขืนนานกว่านี้ฉันคงพรุนไม่เหลือชิ้นดี
"คิคิ ฮ่ะ  ๆ ๆ ๆ" เสียงหัวเราะดังผสานขึ้นจากคนทั้งคู่
 
"รับอะไรไหมคะ ยังไม่กินอะไรมาไม่ใช่หรอ" ฉันทำตัวเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของร้านอาหาร พูดจบฉันก็เดินออกไปที่หน้าเตาแก๊สโดยไม่สนเสียงหัวเราะที่ดังมาจากผู้หญิงสองคนที่ได้รับเกียรติมาที่บ้านฉัน
 
ฉันหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมใส่ ปกติเป็นคนไม่ทำอาหารเลยจึงจำเป็นต้องป้องกันไว้หน่อย ล่าสุดต้มไข่ยังแตก ทอดไข่ก็ไหม้ ต้มมาม่าก็เส้นแข็งกรอบนอกนุ่มใน เรียกได้ว่าเปิดแก๊สยังไม่ติด
 
"เดี๋ยวช่วย" เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหู ทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย หันไปก็พบกับใบหน้าเนียนใส ตาคมดุแต่ก็ยังอ่อนโยน ปากสีชมพูที่พร่ำคำพูดออกมาไม่หยุด ลมหายใจแผ่วๆ ที่รดใบหูทำให้ฉันขนลุกจนต้องหลับตาพริ้ม เธอจับเอวฉันแล้วพลิกให้หันหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับตัวเอง มือที่ดูบอบบางแต่ตอนนี้กลับมีแรงเยอะ รอยยิ้มระบายขึ้นมาบนใบหน้าหวาน ซึ่งตอนนี้มันดูเจ้าเล่ห์มากกว่าที่จะหวานแหวว ถ้าเป็นในละครหรือภาพยนต์มันช่างดูเป็นฉากที่น้ำเน่าเหลือเกิน เรายืนหันหน้าเข้าหากันมือของเธอเอื่อมมาช่วยมาผูกผ้ากันเปื้อนด้านหลังให้ หน้าที่ห่างกันเพียงคืบ สัมผัสเบาๆ ที่เอวทำให้อ่อนไหวได้ไม่ยาก และมั...
 
"อะแฮ่ม!!" เสียงดังขัดจังหวะขึ้นจากโต๊ะทานข้าวขนสดเล็กในห้องครัว ยัยเด็กแว่นนนั่นอีกแล้ว "จะสวีทกันก็เกรงใจน้องด้วยค่าาาาา ฮ่ะๆๆๆ"
"ยุ่ง" ฉันทำทีหงุดหงิดใส่เพื่อกลบเกลื่อน มีคนมาเห็นอะไรแบบนี้แถมยังแซวไม่หยุดอีกฉันก็อายเป็นนะ
"อันแหน่ ๆ ๆ ทำเป็นเข้ม แดงทั้งตัวไปหมดแล้วนั่น" ยัยแว่นชี้ไม้ชี้มือมาทางฉันพร้อมกับท่าล้อเลียน ถือว่าทีใครทีมัน อย่าให้พลาดก็แล้วกัน ฉันได้แต่ตีหน้ายักษ์กลับไปให้เพราะรู้ว่าตัวเองคงเป็นแบบที่เด็กนั่นพูดจะเถียงก็เถียงไม่ออก
"พี่มีนหามาจากไหนคะ ทำไมดุจัง" ฉันทำท่าจะเข้าไปกัดยัยแว่นนี่จริงจัง แต่ก็โดนมีนห้ามไว้ก่อน เลยได้แต่ชี้หน้าฝากเอาไว้ก่อน 
 
"ไม่เอาไม่ดุ ไหนจะทำอะไรให้กิน" มีนพูดพร้อมกับดันหลังฉันให้หันไปอีกทาง
 
จริง ๆ ฉันก็ไม่ใช่คนดุหรือนักเลงอะไรนักหรอก...แต่ก็พร้อมพุ่งชน
แต่กับเด็กนั่นฉันไม่ได้กะเอาเรื่องจริงจัง ก็แค่แกล้งทำไปงั้น ๆ เพราะดูแล้วก็ไม่น่าใช่คนเลวร้ายอะไร แถมยังเป็นแฟนอีพอีกจะทำเป็นญาติดีด้วยหน่อยแล้วกัน และดูเหมือนว่ายัยแว่นเองก็พอจะรู้ว่าที่ผ่านมาฉันไม่ได้โกรธจริง ๆ
 
ไม่ค่อยชอบเอาซะเลย พวกรู้ทัน
 
"บาย ๆ ไว้เจอกันใหม่นะน้องเมล ขับรถดี ๆ ล่ะ" มีนพูดขึ้นขณะที่เรากำลังยืนส่งยัยแว่นที่หน้าบ้าน จริง ๆ ไม่ต้องก็ได้นะ ตอนมายังมาเองได้ ตอนกลับก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
 
ฉันหันหลังกลับโดยไม่ได้รอให้คนบนรถขับออกไปพ้นหน้าแต่อย่างใด ไม่ได้จะเสียมารยาทอะไรหรอกนะ แต่ฉันมองไปเห็นรถคันที่กำลังสวนเข้ามา ฉันไม่อยากเจอคนบนรถนั่นในตอนนี้ ฉันรีบคว้าแขนมีนแล้วเดินขึ้นห้องทันที
 
"ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ" มีนทำท่ายั่วยวนแบบตลก ๆ มันทำให้ฉันหัวเราะออกมาได้นิดหน่อย "เป็นอะไร หนีใครไหนบอกมีนสิ หื้มมม" อีกแล้ว ฉันแพ้เธอก็เพราะเธอมักจะใส่ใจ ดูเข้าอกเข้าใจ และใจดีกับฉันเสมอ
 
"อย่าดีกับรักนักเลย มีนก็รู้ว่ารัก...ไม่ได้ดีขนาดที่มีนจะมาจริงจังด้วย"
"งั้นก็ดีกับมีนหน่อยสิ...แค่มีน" คำพูดที่ดูมีนัยยะ ในตอนนี้ทั้งฉันและมีนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาตรงๆ สำหรับฉันส่วนหนึ่งก็มาจากความกระดากอายที่ต้องพูดเรื่องไม่ดีของตัวเอง "ถึงความสัมพันธ์ของเรามันไม่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นแต่ความรู้สึกมีนมันชัดเจนมากนะ เรามาเริ่มกันใหม่ไหม ถ้ามีนไม่สามารถทำให้ด้วยรักเป็นที่รักได้ ถึงตอนนั้นมีนยอมเป็นอะไรก็ได้แค่ไม่เสียรักไปก็พอ"
 
คำพูดที่ดูจริงจังบวกกับสีหน้าที่ไม่ได้ดูว่าล้อเล่นเลยสักนิดของมีนทำให้ฉันพูดไม่ออก ถ้าจะให้พูดตามตรงตอนนี้ฉันไม่ได้รักมีนแต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ ถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แล้วมีนคือคนที่ฉันสบายใจที่จะอยู่ด้วยมากที่สุด ฉันจะไม่คบใครด้วยความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ เด็ดขาด มันรู้สึกว่าไมแฟร์ทั้งกับเขาและกับตัวเราเอง
 
เราคุยกันมานาน และมันนานเกินไป เกินกว่าจะรู้สึกว่ารักได้แล้ว...
 
"ขอรักคิดดูก่อนได้ไหม" มีนมีสีหน้าเศร้าลง ชั่วพริบตาฉันเห็นนัยตาวูบไหวของเธอ "อยากรู้สึกชัดเจนกว่านี้หน่อย... ไม่นอยด์นะ" ฉันเอื่อมมือขึ้นไปขยี้ผมคนตัวสูงกว่าเบา ๆ และยิ้มออกไปให้แบบที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
"ขนลุก" มีนทำท่าลูบแขนตัวเองไปมา
"อะไร?"
"ก็เมื่อกี้รักยิ้มด้วย บรึ๋ยยย! ผีหลอกหรือเปล่าเนี่ย" ไม่พูดเปล่าเธอทำท่าส่ายหัวไปมา ราวกับพยายามสลัดภาพที่ฉันยิ้มในหัวให้หลุดออกไป นี่ฉันยิ้มได้น่าขนลุกขนาดนั้นเลย?
 
“แต่ระหว่างนี้รักจะมีนคนเดียวนะ”
มีนไม่ตอบอะไรแต่พุ่งเข้ามากอดฉันแน่นจนฉันแทบหายใจไม่ออก เสียงหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ มันคือเสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้ ฉันเอื่อมมือขึ้นไปลูบหัวคนที่กอดฉันไว้แนบอกเบา ๆ มันเป็นท่าที่ออกจะประหลาดอยู่มาก แต่ก็ช่วยไม่ได้แหะ เอาไงก็เอากัน
 
"ค้างนี่นะ ไม่อยากไปส่ง…อยู่ครางด้วยกันก่อน"
 
ถ้าเป็นในหนังฉากต่อไปมันต้องสาดเข้าไปที่โคมไฟ...
 
................................................................... ..............................................................
 
ฉันเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับมีน วันนี้ฉันมีสอบสองวิชาสุดท้ายน่าจะเสร็จประมาณเที่ยง ฉันกะจะไปส่งมีนก่อนไปสอบ เราตกลงกันว่าหลังฉันสอบเสร็จจะไปหาอะไรกินบวกกับดูหนังเป็นการฉลองสอบเสร็จหน่อย
"กว่าจะลงมาได้นะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รออยู่ได้ เสียมารยาท" เสียงเพียงฟ้าพูดขึ้นขณะกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวพร้อมกับคนอื่น ๆ ในบ้าน
 
แปลก...ทำไมวันนี้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้
 
"ไม่คิดว่าจะรอ" ยัยพวกนี้นี่กะจะให้อารมณ์เสียแต่เช้าเลยใช่ไหม "ขอตัวนะคะ พอดีรักมีสอบ" ฉันหันไปพูดกับพ่อและก็คุณป้าพร้อมกับยกมือไว้ จริง ๆ มันก็ไม่ได้รีบอะไรขนาดนั้น เพียงแค่ไม่อยากอยู่ให้บรรยากาศมันเสียไปกว่านี้ รถคันเมื่อวานที่เข้ามาเป็นรถของโบนัส
 
พวกเธอสองพี่น้องไม่ได้ยินดีที่มีฉันเป็นน้อง และเวลาอยู่นอกบ้านเราคือคนที่ไม่รู้จักกัน มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ฉันจำความได้
 
"นั่งลง...ด้วยรัก!" เสียงดุดันของผู้ชายวัยสูงอายุดังขึ้น ขณะที่ฉันกำลังหันหลังเตรียมเดินออกจากบ้าน "มากินข้าวด้วยกัน!!" ประโยคที่ดูเป็นการเชิญชวน แต่น้ำเสียงกลับเป็นคำขู่ซะมากกว่า
 
อีกแล้วสินะ แมวก็ยังเป็นแมวอยู่วันยังค่ำ จะให้เลิกสัญชาตญาณสัตว์ก็คงจะไม่ได้
 
ฉันเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ คุณป้า ซึ่งฝั่งตรงข้ามฉันจะเป็นโบนัสและเพียงฟ้า ฉันขยับเก้าอี้ให้มีนนั่งลงอีกข้าง
 
“หนูมีนใช่ไหมจ๊ะ” พ่อของฉันจู่ ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนธนาบนโต๊ะอาหารมาที่มีน
“ใช่คะ เอ่อ...คุณลุงรู้จักหนูด้วยหรอคะ”
“อะไรกัน ไม่ต้องทางการขนาดนั้นก็ได้ ตามสบายไม่ต้องเกร็ง” ผู้ชายที่นั่งที่หัวโต๊ะเจ้าของน้ำเสียงทุ้มใหญ่ดูมีอายุแต่ยังสมาร์ทพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือไปมา เพื่อย้ำว่าไม่เป็นอะไรอย่างที่เจ้าตัวได้พูดจริง ๆ “รู้จักสิลุงจำหนูได้ ด้วยรักเคยพาใครมาบ้านที่ไหนกันล่ะ อีกอย่างด้วยรักก็พูดเรื่องหนูให้ฟังบ่อย ๆ”
 
ฉันมองสบตากับคนที่ให้กำเนิด พร้อมกับคำถามในหัว ฉันงั้นหรอ?
 
“ใช่ไหม... ด้วยรัก” เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ แต่ต้องการคำตอบจากฉันมากกว่า
 
แกร๊งงง!!
เสียงช้อน-ส้อมกระทบกับจานข้าวดังขึ้น ฉันวางพวกมันลงอย่างแรงก่อนจะหาเรื่องขอตัวลุกออกจากตรงนี้ไป
“อิ่มยัง ไปกันได้แล้ว รักมีสอบนะ” ฉันหันไปพูดกับมีน มันไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นประโยคคำสั่ง
 
แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงติดไปทางหงุดหงิด จริง ๆ ฉันแค่อยากบอกว่า พารักออกไปจากตรงนี้ที….ขอร้อง
 
“งั้นไปกัน” เยส! มันต้องอย่างนี้สิ “งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะคุณลุงคุณป้า” มีนยกมือไหว้ผู้ใหญ่ของบ้านตามมารยาทและหลังจากนั้นก็มีการล่ำลากันเล็กน้อยพอเป็นพิธี
 
ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันพามีนมาที่บ้าน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีนได้เจอพ่อฉันและคนอื่น ๆ ในบ้าน ปกติมาบ้านก็อยู่กันแต่ในห้อง ที่เหลือก็คงพอจินตนาการได้ว่าทำอะไรกันในห้อง
 
“ตั้งใจสอบนะ เสร็จแล้วโทรมาเดี๋ยวมารับ”
“อื้ม”
มีนจอดส่งฉันที่หน้าโรงเรียน ซึ่งวันนี้นักเรียนดูน้อยกว่าทุกวัน เนื่องจากคนที่มาโรงเรียนก็จะมีแค่ชั้นปีที่มีสอบ ชั้นปีไหนไม่มีสอบก็หยุดเรียนไป ไม่มีฝ่ายปกครอบคอยตรวจเครื่องแต่งกายก่อนเข้าโรงเรียนเหมือนอย่างเคย มีเพียงนักเรียนที่จับกลุ่มกันตามมุมอาคาร ใต้ร่มไม้ ม้านั่งริมถนน สุมหัวกันปลุกความขยันเฮือกสุดท้ายขึ้นมาอ่านหนังสือ
 
“เฮ้ยยรัก ทางนี้ ๆ” เสียงเรียกจากชั้นสี่ของอาคารเรียนสีส้มอ่อน เป็นเสียงของใครไม่ได้นอกจากไอ้อีพ นี่กะเรียกให้ได้ยินทั้งตำบลมั้ง
 
“ไง อ่านมาเป๊ะล่ะสิ” อีพใช้ศอกกระทุ้งที่แขนฉันเบา ๆ คำพูดแดกดันโง่ ๆ ที่คนพูดพยายามใช้ตรรกะอันน้อยนิดพูดมันออกมาให้เป็นคำถาม น่าเบื่อ!
 
ฉันยักไหล่ให้อย่างไม่หยี๋ระ แล้วเดินผ่านเข้าไปหาแบม ยัยมันสมองของกลุ่มน่าจะปล่อยความรู้ให้ออสโมซิสมาหาฉันได้
 
“อ่ะ!”
บัตรอะไรสักอย่างถูกยื่นเข้ามาตรงหน้าฉันกับแบม
“ห้องพักฟรีที่ภูเก็ต หยุดนี้ไปเที่ยวกัน”
“หื้มมม แล้วอะไรคือบัตรประชาชน?” แบมถามขึ้น เราหันมองหน้ากันต่างคนต่างสงสัยในคำถามเดียวกัน
“นี่แหละบัตรฟรี... นามสกุลเราเข้าได้”
“แหวะ!” ฉันทำท่าเหมือนจะอวก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ทะเล ทะเล ทะเล แต่จะให้ดีใจออกนอกหน้ามันก็ไม่ใช่อะนะ นี่ด้วยรักเองมันต้องคีพลุคหน่อย
 
“เย้ๆๆๆ วู้วววว...” แบมยิ้มแฉ่ง กระโดดดี้ด้าไปมาอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่
“ชวนบรรยาเมีย ๆ แกไปได้หมดเลยนะ ฉันจองเผื่อไว้แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ”
“ขอสัก 5 ห้องกำลังดี” สังคมสมัยนี้มันอยู่ยากเราต้องเหนือกว่าเพื่ออยู่ต่อ
 
เที่ยวงั้นหรอ ทะเลหรอ
จะว่าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยวทะเลนานแล้วเหมือนกัน เท่าที่จำความได้เล่นน้ำทะเลครั้งล่าสุดก็ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วนะ ไปกับ...
 
“นักเรียนเข้าห้องสอบได้ค่ะ เตรียมอุปกรณ์สอบให้เรียบร้อย แล้วก็อย่าลืมบัตรประจำตัวนักเรียนด้วย”
 
โอเค มาลุยกัน ศิลปะจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ สุขศึกษาฉันน่าจะได้เต็ม คิคิ…
 
“เริ่มทำข้อสอบได้ค่ะ”
 
 
โปรดติดตามตอนต่อไป
 
 
ช่วงนี้มันก็จะอัพช้า ๆ หน่อย งานเยอะมาก เรียนหนักมากด้วย T T
มันเลยจะยุ่ง ๆ ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยนะคะ
จริง ๆ ตอนนี้แต่งเสร็จนานแล้วแต่ไม่มีเวลาได้มาอ่านทบทวนเลยยังไม่อยากอัพ
 
ฝากคอมเม้นติชมด้วยนะคะ เราจะได้นำไปปรับปรุงพัฒนาตัวเองต่อไปเนอะ
 
ถามว่าปมของเรื่องอยู่ที่ใคร ตอบเลยว่าอยู่ที่เราเอง 555555 คือตัวละครเราอยากให้เป็นคนจริง ๆ มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง แต่จะนำเสนอออกมาได้ขนาดไหนต้องติดตาม
 
เรื่องนี้คุณจะลืมใครไม่ได้เลยจากตัวละครทั้งหมดที่ได้เอ่ยไปและที่ยังไม่เอ่ยถึง จะเอ่ยมากหรือน้อยก็จะมีบทบาทในเรื่องจนได้ เพราะเรื่องนี้เราใหญ่ อิอิ
 
ปล. ตอนต่อๆ ไปสามารถติดตามอ่านได้ตามลิงค์ต่อไปนี้ เนื่องจากเรารู้สึกว่าเว็บนี้มันดูเล่นยากไปหน่อยสำหรับเรา ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
 
https://my.dek-d.com/mrs-n/writer/view.php?id=1789824
 
http://www.tunwalai.com/chapter/1698725/บทที่-3-ที่รัก
 
https://fictionlog.co/b/5ac07b5e18d3836bc3974d27
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา