Don't forget me จะได้ไม่ลืมกัน
เขียนโดย ด้วยรัก
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 16.10 น.
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 16.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 2 เห็นแก่ตัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2 เห็นแก่ตัว
ความรักไม่เข้าใครออกใคร ผ่านมาไม่กี่อาทิตย์อีพและน้องแว่นก็คบกัน เป็นคู่ที่ใครๆ ก็อิจฉา ด้วยความที่อีพก็เป็นที่หมายปองของหลายคนในโรงเรียนทั้งหญิงทั้งชาย พาลให้อกหักกันเป็นแถบๆ
พอมีแฟนแล้วก็ไม่มีเวลาให้เพื่อนเป็นกันทุกคนเลยใช่ไหม ช่วงนี้ฉันเลยไปไหนมาไหนกับแบมแค่สองคน
วันนี้ก็เช่นกัน ฉันกับแบมมาซื้อเครื่องสำอางที่ห้างขนาดใหญ่ เนื่องจากมีโปรลด 80% สำหรับสมาชิก ของสวยๆ งามๆ ก็ต้องเหมาะกับคนสวยๆ สิถูกไหม
"สีไหนสวย" ฉันสควอชลิปสติกที่แขนจนเต็ม แล้วหันไปถามแบม
"สวยหมด" แค่เนี้ยหรอ ไม่ไหวเลย ฉันส่ายหน้าไปมา
"มานี่" ฉันดึงแขนแบมมาเทสลิป อยากจะบอกว่า หัดแต่งหน้าซะบ้างสิ เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยเคยได้ยินไหม แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบพูดอะไรมากนัก ฉันเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา "อันนี้แหละ เข้ากับแบมดี"
"เข้ากับเรา?"
"อาฮะ...เราซื้อให้ ไอ้อีพยังไม่เซ่นเลยไม่ใช่หรอ" พูดจบฉันก็เดินไปที่เคาเตอร์จ่ายเงิน
"เราอยากตัดแว่น" จู่ๆ แบมก็พูดขึ้นพร้อมกับจูงแขนฉันเข้าร้านแว่นตาสีฟ้า ที่มีพนักงานขายใส่ชุดสีขาว ไม่ได้ขาวแค่ชุดแต่ขาวมายันหน้า เป็นร้านที่มีโปรตลอดปีแต่ราคาก็ยังค่อนข้างแพงแต่ไม่ได้ตรวจตาอะไรให้เลย
"สายตาสั้นหรอ?" ฉันถามขณะเดินไปที่รถ
"นิดหน่อย ปกติใส่แต่คอนแทคเลนส์ อยากใส่แว่นบ้างเผื่อจะได้น่ารักถูกใจใครสักคน"
"แบบเดิมก็น่ารัก" ฉันยิ้มให้ เพราะรู้ว่าแบมเป็นคนไม่ค่อยมันใจในตัวเอง จริงๆ ก็สวยแหละ เติมนิดเติมหน่อยเป็นดาวโรงเรียนได้เลยนะเนี่ย
“แล้วแบบนี้น่ารักไหม”
“น่ารัก” ฉันตอบไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่นั่นก็ทำให้แบมยิ้มกว้างออกมา ฉันยิ้มตอบก่อนจะเดินมุ่งต่อไปที่รถ
“พี่รักกก...!” ฉันหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับ ‘น้ำผึ้ง’ เอิ่มมม...ฉันไม่อยากเจอเลย น้ำผึ้งวิ่งเข้ามาหาทำท่าจะกอดฉัน แต่ฉันถอยห่างก่อน เธอเลยมากอดแขนฉันแทน ไม่น่าไปยุ่งด้วยเลยพวกได้คืบจะเอาศอก
ฉันคุยกับน้ำผึ้งได้ไม่นานถ้าเทียบกับมีนอะนะ และใช่...ฉันนอนกับเธอ แต่ก็แค่ไม่กี่ครั้งฉันค้นพบตอนที่นอนด้วยกันว่าเธอเด็กเกินไป ไม่ใช่แค่อายุที่เด็กแต่เป็นสัดส่วนของเธอด้วยมันดึงดูดน้อยกว่าของมีนเยอะ และที่สำคัญ เธอเอาแต่ใจ งี่เง้าเป็นเด็กๆ นั่นนี่เยอะแยะไปหมด น่าเบื่อ!!
“คะ มาได้ไง” ฉันแกะมือน้ำผึ้งที่เกาะแขนฉันอยู่ออก
“มากับเพื่อนค่ะ พี่รักไม่ตอบแชทหนูเลย ไม่มาหาเลยด้วย” น้ำผึ้งพูดพร้อมกับทำปากจู่ มีท่าทีแง่งอน เฮ่อ... ทำไมเมื่อก่อนฉันมองว่ามันน่ารักได้นะ
“ไว้ว่างๆ พี่ไปหานะ ตอนนี้พี่มากับเพื่อน พี่ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบคว้ามือแบมเตรียมจะเดินไปที่รถ
“ไม่เอา หนูกลับด้วย หนูขอติดรถกลับด้วยนะ” น้ำผึ้งวิ่งมาขวางฉันไว้
“…” นี่พูดดีๆ ไม่รู้เรื่องใช่ไหม ทำไมต้องให้พูดซ้ำ ทำไมต้องทำให้หงุดหงิดอยู่เรื่อย
“นะคะพี่แบม...หนูกลับด้วยนะ” เมื่อพูดกับฉันไม่สำเร็จน้ำผึ้งเลยหันไปทำสายตาออดอ้อนกับแบมแทน
“...ก็ได้” แบมหันหน้ามามองฉันเป็นเชิงขอโทษ แต่ไม่ทันแล้ว ฉันเดินนำไปที่รถโดยไม่รอ และไม่หันกลับไปมอง 2 คนที่เดินตามหลังมาอีก
หลังจากส่งแบมถึงบ้านฉันก็จะไปส่งน้ำผึ้งที่บ้าน ระหว่างทางก็มีเสียงชวนคุยมาเป็นระยะ ตามประสาเด็กช่างคุย แต่ฉันไม่ใช่คนชอบพูดอะไรขนาดนั้น ช่วยนั่งเงียบๆ ได้ไหม ฉันจะบ้าตาย
"เข้าบ้านก่อนไหมคะ"
"..." นี่อ่อยถูกไหม จะขี้อ่อยเกินไปแล้วนะเด็กนี่ เดี๋ยวจะต้องรู้สึก จะให้เดินเข้าบ้านไม่ไหวเลยคอยดู
ฉันไม่พูดอะไรแต่ปลดเข็มขัดนิรภัยที่รัดอยู่ที่ตัวออก แล้วใช้ปากประกบเข้าที่ตำแหน่งเดียวกันของน้ำผึ้งอย่างแรง จูบที่ดูดดื่มเริ่มขึ้น เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องออกอย่างรวดเร็ว น้ำผึ้งพลิกตัวกลับมาค่อมฉันที่เบาะคนขับ จับมือฉันให้เอื่อมเข้าไปใต้ชุดกระโปรงตัวสั้น สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น นี่ก็ปลุกติดไวจริง ฉันดันนิ้วเข้าไปในร่างกายเธอ ยิ่งฉันขยับมากเท่าไหร่ คนด้านบนก็ยิ่งเดือดดาลมากเท่านั้น
"อย่าขยับสิ เดี๋ยวคนข้างนอกก็รู้หมด" ฉันปรามเมื่อเห็นว่าน้ำผึ้งขยับตัวแรงขึ้น
"หนู...มะ..ไม่ไหวแล้ว" ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ คราวนี้น้ำผึ้งขยับตัวแรงขึ้น และไวขึ้น ตามอุณหภูมิร่างหายที่พุ่งทยานขึ้น ฉันกัดไปตามซอกคอไล่ลงมาที่หน้าอก ดูเหมือนความเจ็บปวดจะทำให้เด็กนี่มีอารมณ์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศภายในรถร้อนขึ้นตามการสูบฉีดของเลือดภายในร่างกาย แอร์ในรถดูเหมือนหยุดทำงาน
"อะ.. อื้อ อ่าา อ๊าาาา...." เสียงหอบหายใจ เสียงร้องที่ขาดห่วง ตามมาด้วยร่างกายที่เกร็งกระตุกเป็นจังหวะ เป็นสัญญานว่าคนบนร่างถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉันกับน้ำผึ้งแยกย้ายกัน น้ำผึ้งเข้าบ้านไปแล้ว ส่วนฉันก็บึ่งรถกลับบ้าน ยังไม่อยากกลับบ้านเลย แต่ไม่รู้จะไปไหน อีกอย่างนี่ก็ใกล้สอบกลางภาคแล้ว ฉันควรอ่านหนังสือ!!
"วันนี้ไปไหนไหม?" พ่อถามฉันขณะที่เรากำลังกินข้าวเช้ากัน
"ไม่ค่ะ ว่าจะอ่านหนังสือสอบ" ฉันตอบออกไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าออกจากจานข้าว
"อ่า แบบนี้ก็แย่สิ พ่อว่าจะพาเราไปดูงานที่โรงพยาบาลด้วยหน่อย" เหอะ ฉันคงจะไปหรอก ฉันไม่ชอบโรงพยาบาล มันดูน่ากลัว ที่ๆ มีแต่คนเจ็บป่วยมารวมตัวกัน ทั้งเชื้อโรคที่มองเห็นและมองไม่เห็น แค่คิดก็หดหู่แล้ว
พ่อฉันเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนที่ขึ้นชื่อเรื่องศัลยกรรมทรวงอก และฉันถูกปลูกฝังให้ต้องเรียนแพทย์ซึ่งมันไม่ง่ายสำหรับฉันเลย พร้อมทั้งโยนก้อนความคิดขนาดใหญ่มาให้ฉันเกี่ยวกับแนวคิดการใช้ชีวิต การเลือกสรรอาชีพในอนาคต ฉันคิดว่าการเป็นหมอมันไม่เหมาะสมกับฉันเท่าไร การทำงานที่หนักเหมือนที่หมอหลายๆ คนทำ ทั้งแบกเวร 2-3 เวร อดหลับอดนอน ตอนเรียนก็ต้องแบกตำราติดตัวไปทั่ว ทำทั้งเรียนทั้งงานหนักขนาดนี้บางทีฉันก็คิดนะว่าคนที่เรียนหมอมาอาจต้องลองวิชากับตัวเองสักวัน เพราะงั้นฉันขอบายดีกว่า
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด
ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสือเรียนวิชาที่ว่าด้วยตัวเลขที่เกินพื้นที่ในสมองอันน้อยนิดของฉัน ก็มีเสียงโทรศัพท์์ดังขึ้นมา
“อีพ โทรมาทำไม” ฉันพูดก่อนจะกดรับสายไอ้เพื่อนรักที่หายหัวไปนาน มัวแต่ติดเด็กอยู่ละสิ
“ว่า” ฉันพูดกรอกเข้าไปหาปลายสายหลังตากกดรับ
“รักกกก มีเรื่องให้ช่วย” นั่นไง ไม่มีปัญหาไม่เคยจะโผล่หัวมาหรอก
“รีบพูดมาอย่าลีลา”
“จะไปเดทกับน้องเมลอะ ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
“ไปเดทจะเอาฉันไปด้วยทำไม ไม่ไปเว้ย”
“วู้ยยยย นะๆ ไปเป็นเพื่อนหน่อย เขินอะ ทำตัวไม่ถูก”
ไอ้นี่แปลกตั้งแต่มาคบผู้หญิงแล้วนะแกอะ ปกติเห็นแรดใส่แต่ผู้ชาย ชอบผู้ชายแบบตอนแรกก็ดีอยู่แล้วจะได้ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องกลุ่มเป้าหมายกัน
“แล้วทำไมไม่ชวนแบม?”
“ชวนแล้ว แบมไม่ยอมไป บอกจะอ่านหนังสือสอบ ยัยนั่นมันเด็กเรียนแค่ไหนแกก็รู้” เอ้า แล้วนี่ฉันไม่ต้องอ่านงี้หรอ
“…” ฉันมักจะเงียบเสมอเวลาต้องใช้ความคิด
“เดี๋ยวซื้อปลาให้" อ้อ นี่คิดว่าฉันซื้อได้ด้วยสิ่งของงั้นหรอ
"..."
"แถมห้องพักฟรีที่ภูเก็ตให้ด้วย"
"ตกลง!"
"เกลียดดด..."
ฉันพามีนไปด้วย แม้เธอจะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ แต่ก็ยอมสละเวลาไปเป็นเพื่อนฉัน หลังจากรับฉันกับมีนเสร็จ อีพก็วนรถไปรับเมล มาดูสิว่าวันนี้ฉันต้องทำงานยังไงแลกกับตั๋วห้องพักฟรีที่ภูเก็ต
โอ้ยยยย!! นี่คือคิดที่เดทได้แค่นี้หรอ ทำไมต้องมาจบที่สวนสนุกที่มีชื่อเป็นโลกความฝันอะไรนี่ด้วย ฉันต้องสนุกกับเครื่องเล่นท่ามกลางแสงแดดสดใจงั้นหรอ Sunshine day สินะ นี่ต้องตื่นเต้นถูกไห? เหอะๆ...ๆ...
อีพ เมล และมีน ดูตื่นเต้นกับทุกเครื่องเล่นที่เห็น จะมีก็แค่ฉันสินะที่สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่แทบหลอมละลายฉันไปกองที่พื้นได้ และตอนนี้ฉันกำลังเข้าแถวเพื่อขึ้นเครื่องเล่นที่เป็นรถไฟเหาะ สกายโคสเตอร์ นี่ฉันต้องขึ้นไปบนนั้นจริงๆ หรอ มันจะหลุดไหม? ฉันอาจจะร่วงลงมากองที่พื้นก็ได้! ฉันไม่ขึ้นเด็ดขาด!!
"เรารอข้างล่างนะ" ฉันหันหลังเดินออกจากแถว ที่มีคนต่อแถวเป็นคิวยาว
"ไม่ได้ มาแล้วต้องเล่นด้วยกัน" อีพหันมาคว้าแขนฉันแน่น
"..." ฉันไม่ตอบอะไรแต่ส่ายหน้ารัวๆ ฉันพยายามแกะมือที่ดึงแขนอยู่ออก แต่ก็ไม่หลุดเพราะมืออีกข้างถูกน้องเมลจับไว้แน่น เสียงหัวเราะชอบใจดังมาจากคนทั้งสาม นี่ฉันกลัวอยู่พวกเธอยังมีน่ามาขำอีก ไม่ตลกเว้ยยยย
"ไม่อ่อนแอสิ" เป็นอีพที่พยายามดันหลังฉันให้เดินไปเข้าแถว
ตอนนี้ฉันคงไม่ต่างจากเด็ก 3 ขวบตอนที่ต้องเข้าไปตรวจกับหมอ และคิดว่าหมอจะฉีดยา
ยังไงก็ต้องขึ้นสินะ ลาก่อน เสียใจกับโลกนี้ด้วยที่ต้องเสียคนที่ลิมิเตทแบบฉันไป
"อ๊วกกกก...ออ.. อ๊วก!" หมดกันภาพพจน์ที่สะสมมา เมื่อลงมาจากสกายโคสเตอร์ฉันต้องรีบวิ่งไปที่โคนต้นไม้ เพื่ออวก ใช่อวก ฟังไม่ผิดหรอก
มีนวิ่งตามมาลูบหลังให้ฉัน แต่ก็ยังไม่่วายขำออกมา
"ไม่ตลก" ฉันดุออกไปแบบไม่จริงจังนัก
"โอ๋ๆ มามะ ไม่เล่นแล้วๆ" มีนดึงฉันเข้าไปกอด
"นมๆ" ฉันดิ้นหนีอ้อมกอดมีน นี่นมเธอปิดจมูกฉันจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
"ฮ่าาาๆๆๆๆ พี่ด้วยรักตลกจัง" เสียงหัวเราะร่าดังมาจากข้างหลัง น้องเมล เด็กแว่นนี่ ตั้งแต่มาฉันยังไม่ได้พูดกับเธอเลย
"ตลกยังไง?" ฉันถามออกไปเสียงเรียบ
"ปกติเห็นนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา ไม่คิดว่าจะมีมุมแบบนี้ด้วย คิกๆ" พูดไปก็ขำไป นี่ฉันตลกขนาดนั้นเลยหรอ
"รักก็แบบนี้แหละ ปากหนักยิ่งกว่าอะไร ยิ่งถ้าไม่สนิทด้วยแล้วยิ่งเงียบ" คราวนี้เป็นมีนเสริมบ้าง
"พวกพี่สองคนนี่น่ารักจัง พี่มีนกับพี่รักคบกันนานหรือยังคะ?"
"..." จากที่หัวเราะๆ กันอยู่คราวนี้มีนเงียบลง เธอหันมามองหน้าฉันนิดหน่อย อึก รู้สึกจุกที่คอ เหมือนน้ำลายมันแข็ง บรรยากาศรอบตัวที่ดูคึกคักกลับตึงเครียดขึ้นมาเฉยๆ ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงปฏิเสธไปได้ไม่ยาก แต่นี่เป็นมีน...เธอดีกับฉันเสมอ แบบที่ฉันไม่ต้องขอ ฉันไม่อยากทำร้ายเธอ
"สักพักแล้วหน่ะ" ฉันแทรกตอบขึ้นก่อนที่มีนจะอ้าปากตอบ ฉันหันไปมองหน้ามีนแล้วยิ้มให้น้อยๆ เธอดีเกินไป ดีเกินกว่าที่ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ความรู้สึกเธอได้
“เนี่ยยยยยย จิ้งจอกจะเป็นหมาพุดเดิ้ลก็คราวนี้แหละ ฮ่ะๆๆๆ” เสียงหัวเราะชอบใจของอีพมันทำให้ฉันหงุดหงิดนิดหน่อย
“ก็กำลังคุยๆ กันอยู่” สีหน้าของมีนดีขึ้น เธอกับมายิ้มและพูดคุยเฮฮากับเพื่อนเหมือนเดิม
เรามาจบทริปด้วยการปั่นเรือเป็ด ใครคิดเอาเจ้าเป็ดนี่เข้ามากันนะ ทำไมต้องเป็นเป็ด เป็นนก เป็นห่าน เป็นปลาไม่ได้หรอ? แต่มันก็ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดสำคัญของสวนสาธารณะหลายๆ แห่งไปแล้ว จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโรแมนติกของคนมีคู่ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเหงาของคนโสด เรือที่ต้องลงไปปั่นๆ กันสองคน ทำให้คนที่ไม่มีคู่ยากที่จะเล่น คนที่จะเล่นคนเดียวได้ ต้องถือว่าอยู่ขั้นสูงของคนมีภูมิคุ้มกันด้านความเหงา
“ที่พูดเมื่อกี้อะ จริงหรอ” มีนพูดขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งอยู่บนเรือเป็ดกันอยู่ นี่มันปลอมจริงๆ จะเป็ด จะหงษ์ หรือห่านควรชัดเจนในรูปลักษณ์มากกว่านี้นะ
“อือ” ฉันยังคงคีพลุค จะให้ฉันมาพูดพร่ำเพ้อพรรณนาให้มากความนี่คงเป็นไปไม่ได้
“ดีจัง...นี่มีนก็จะเรียนจบแล้ว ต่อไปอาจได้เจอกันน้อยลง มีนต้องคิดถึงรักมากแน่ๆ” เธอเอามือมาวางลงที่ขาฉัน พร้อมทั้งทำท่าจะเอาหัวมาซบไหล่ “จริงๆ ก็อยากซบไหล่นะ แต่มันต่ำไป คิกๆๆ” จะบอกว่าฉันเตี้ยงั้นสิ ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะมีนตรา
หลังจากกลับจากงานเดทแบบ 2 คู่ที่สวนสนุก ชีวิตก็วนเข้าลูปเดิมๆ ฤดูสอบกลางภาคเวียนมาถึง ที่โรงเรียนฉันงดการเรียนการสอน 2 สัปดาห์ เพื่อให้นักเรียนสอบ ตารางสอบฉันไปแน่นอยู่อาทิตย์ที่ 2 แน่นอนว่าอาทิตย์แรกฉันว่างเพราะมีสอบแค่วิชาเดียว มันควรจะโชคดีเพราะฉันจะได้มีเวลาอ่านหนังสือ แต่เปล่าเลย เพราะฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็หมดเวลาแล้ว นี่ก็เหลืออีกแค่ 3 วันฉันก็ต้องเริ่มสอบวิชาแรกแล้ว ขืนอยู่บ้านมีหวังไม่ได้อ่านหนังสือแน่ ฉันเลยออกมาหาโลเคชั่นสำหรับอ่านหนังสือ ฉันชอบอยู่ในที่ๆ คนวุ่น อย่างน้อยก็รู้สึกว่าไม่ได้ทุกข์อยู่คนเดียว จะได้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองตอนนี้โชคดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับคนอื่น
ฉันจึงเลือกมาอยู่ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ กับออฟฟิตบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งใจกลางเมือง แน่นอนในร้านมีคนค่อนข้างเยอะ พนักงานวิ่งวุ่นกันไปหมด รวมถึงลูกค้าที่เวียนเข้าออกเป็นว่าเล่น บางคนหอบเอกสารกองโต บางคนคุยโทรศัพย์แบบตึงเครียด บางคนถึงกับต้องหยิบแก้วกาแฟวิ่ง ทุกอย่างดูวุ่นวายสมกับเป็นแหล่งฝากท้องของหนุ่มสาวออฟฟิตจริงๆ
“ฮ่าๆๆๆ ruj-vFmKmujskpwxFfpw,jwfh.shgs96z]mujcmh0ib' rujglup.0”
"rujiyd,6dot 9]vf,kc]t0tiyd9]vfwx"
นี่มันบ้าอะไรเนี่ย เงียบๆ กันหน่อยไม่ได้หรอ
โอ้ยยย! จะบ้าตาย จากที่คิดว่าชอบที่ๆ คนวุ่นวาย ฉันน่าจะเข้าใจอะไรผิดแล้วแหละ ตอนที่เราไม่สบายใจและว่างเราอาจจะชอบที่ๆ เห็นคนวุ่นวาย แต่ตอนนี้คือฉันต้องการสมาธิเพราะฉะนั้นที่นี่ไม่ตอบโจทย์ บ้าจริง!
ฉันหอบหนังสืออกมาจากร้านกับแก้วชาเขียวที่สั่งไป พร้อมกับความหงุดหงิดที่เกิดขึ้น
'คนพวกนี้นี่ไม่รู้จักคำว่ามารยาทหรือไง อยู่กับคนหมู่มากยังมีน่ามาทำเสียงดัง คิดว่าอยู่บ้านตัวเองหรอ ถ้าจะคุยกะ…!'
ปึก!!!
“โอ้ยย..!” ขณะที่กำลังบ่นในใจฉันก็โดนประตูกระจกของร้านกระแทกเข้าที่หัวอย่างแรงจนเซล้มไป หนังสือในมือหล่นกระจาย ชาเขียวในแก้วก็หกเลอะตัวไปหมด นี่มันวันบ้าบออะไรเนี่ย
“ขะ..ขอโทษค่ะ เป็นอะไรไหมคะ?” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้น คงจะเป็นคนทำฉันสินะ เธอดวงตกแล้วมาหาเรื่องฉันตอนฉันอารมณ์ไม่ดีแบบนี้
“นี่เดินยังไงทำไมไม่ดูคน ห่ะ!” ฉันตะหวาดออกไปขณะที่มือยังกุมอยู่หัว
“พี่ด้วยรัก…” เสียงเรียกชื่อทำให้ฉันต้องเงยหน้ามอง “หนูขอโทษคะ ไม่ทันได้มอง” ฉันก็เห็นน้องเมลแฟนอีพกำลังยกมือไหว้ปะหลกๆ
“คราวหลังก็ระวังๆ หน่อยแล้วกัน!” ฉันยังพูดแบบหงุดหงิดใส่ ทั้งเลอะทั้งเจ็บทั้งอาย ฉันรีบเก็บของที่กระจายอยู่บนพื้น เมลก็ช่วยฉันเก็บด้วย ยัยแว่นเอ้ย เซ่อซ่าจริงๆ อยากจะด่าออกไปแต่ติดที่เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
“นี่ค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ หนูไม่ทันระวัง” ยัยแว่นพูดพร้อมกับยื่นหนังสือมาให้ฉัน ฉันว้าหนังสือแล้วจะเดินออกจากร้าน ตอนนี้ฉันหงุดหงิดเต็มที่
"พี่รัก!" อะไรอีกละยัยแว่นนี่ คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ ฉันหันกลับไปมองหน้าพร้อมกับใบหน้าที่คิดว่าไม่น่าจะรับแขกได้ "ละ...เลือด" มือเล็กๆ ชี้มาที่หัวฉัน ฉันยกมือแตะไปที่ตำแหน่งโดนชน ละ..ละ...เลือด...
.....................Zzzz………………………..
ฉันตื่นขึ้นมาในห้องที่มีเพดานขาวสะท้อนกับแสงไฟ มีคนเดินไปเดินมาในห้อง เสียงเครื่องมือสแตนเลสกระทบกันดังเป็นระยะๆ ฉันมองซ้ายมองขวาก็พบว่ามีพยาบาลเดินไปมาทั่วห้อง นี่มันโรงพยาบาลหนิ
“ฟื้นแล้วหรอ ชื่ออะไร” พยาบาลแก่ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาถามฉันพร้อมกับนักศึกษาพยาบาลฝึกงานที่ใส่ชุดสีฟ้าๆ คลุมชุดขาวไว้
“ด้วยรักค่ะ”
“ชื่อ-สกุลจริงค่ะ!” เธอย้ำพร้อมกับหันไปเตรียมเครื่องมือที่ลากมาด้วย
“ชนกนันท์ ศิระประภากรณ์ ค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น จำได้ไหม” คราวนี้เป็นหมอที่เดินเข้ามาถาม เนื่องจากฉันบาดเจ็บแล้วยังหมดสติมาอีก
“โดนประตูชนค่ะ”
“สลบไหม”
“ไม่ค่ะ มาหลับตอนรู้ว่าหัวแตก” ฉันไม่อยากใช้คำว่าสลบหรือเป็นลมอะนะ มันดูอ่อนแอ
“ตอนนี้เวลาอะไร กลางวันหรือกลางคืน”
“กลางวัน” นี่มันคำถามอะไรเนี่ย คิดว่าฉันสติเลอะเลือนหรอ
“โอเค ไม่เป็นอะไรครับ เย็บปิดแผลได้” หมอคนเมื่อกี้หันไปบอกพยาบาลที่เตรียมเซตรออยู่แล้ว เดี๋ยวนะ ไม่!!! ฉันไม่เย็บบบ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีผ้าเข้ามาคลุมที่หน้าฉันเรียบร้อยแล้ว
“ไม่!!! ไม่ๆๆๆ” ฉันรัวคำพูดออกไปพร้อมทั้งพยายามจะลุก จนพยายาลเปิดผ้าที่คลุมหน้าอยู่ออก สีหน้าเธอตอนนี้มันอยากจะฆ่าฉันชัดๆ
“อะไรอีกคะ”
“รักมานี่ได้ไง” ฉันถามออกไปเพื่อถ่วงเวลา และก็อยากหาใครสักคนช่วยฉัน ฉันรู้ว่ายังไงก็ต้องเย็บมันจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดโอกาสการติดเชื้อของแผล ฉันรู้เรื่องพวกนี้ แต่มันทำใจไม่ได้หนิ
“เพื่อนคุณพามา”
“พาเขามาหารักได้ไหม” ฉันส่งสายตาอ้อนวอนแบบไม่คิดจะทำที่ไหนให้พยาบาลที่ตอนนี้ทำหน้ายักษ์ใส่ฉันอยู่ ส่วนพยาบาลฝึกหัดชุดฟ้าก็เอาแต่อมยิ้มใต้หน้ากาก หมดกันภาพพจน์คูลๆ ของฉัน
เมลเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลฝึกหัดชุดฟ้า ฉันไม่รู้ว่าหน้าฉันตอนนี้เป็นไงบ้าง อาจจะถอดสีไปหมด หรือไม่ก็เต็มไปด้วยเลือด มองไปรอบห้องมีแต่คนไข้ร้องโอดโอยกันอยู่ ทั้งที่นอนอยู่บนเตียง ทั้งที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ กลิ่นคาวเลือด กลิ่นแอลกอฮอล์ แอมโมเนีย หรือแม้แต่กลิ่นเหม็นของแผล จะให้ฉันยิ้มอยู่ไหวอีกหรอ ตอนนี้เหงือฉันออกเต็มมือไปหมด
“เขาต้องเย็บแผล แต่ไม่ยอมเย็บ” ป้าพยาบาลฟ้องเมลไป
“ทำไมล่ะ” เมลหันมาพูดกับฉัน สีหน้าเป็นกังวล
“ไม่อยากเย็บ” ฉันพูดพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“เอาไงคะ จะเย็บไหม ไม่เย็บฉันจะได้ไปดูเคสอื่น” ป้าพยาบาลพูดแทรกขึ้นมา ดุจริงวู้ยยย
“เย็บค่ะ” เมลตอบไป พร้อมกับหันหน้ามาพยักหน้าให้ฉัน ไม่นะยัยแว่น ฉันส่ายหน้าไปมาอย่างขอร้อง ตอนนี้น้ำตาฉันรื่นขึ้นมาอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้างแล้ว ยัยแว่นบ้าทำอะไรไม่ถามฉันเลย
ฮืออออ ฉันตายแน่ๆ
ยังไม่สิ้นความคิดผ้าผืนเขียวเจาะกลางค่อยๆ ทับลงมาที่หน้าฉัน ช่องว่างของผ้าอยู่ที่หน้าผากที่เป็นแผล ความรู้สึกเย็นๆ เกิดขึ้นที่รอบแผลเมื่อพยาบาลใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบแผล
“ขอยาสลบได้ไหมคะคุณพยาบาล” ฉันกัดฟันพูด ตอนนี้น้ำตาฉันมันจะไหลออกมาอยู่แล้ว แต่ก็กลั้นไว้เพราะเกรงใจเตียงข้างๆ ที่มีแผลขนาดใหญ่ที่ขาท่อนล่าง คิดว่าน่าจะติดเชื้อแล้วถูกกรีดเนื้อออก
“แค่ยาชาก็พอแล้วค่ะ” สิ้นเสียงตอบของพยาบาลฉันก็ต้องกรี๊ดออกมา เมื่อเข็มยาชาถูกแทงเข้าไป
“กรี๊ดดด ฮือออ…” น้ำตาที่กลั้นไว้มันพลั่งพลูออกมาเป็นสาย มือฉันถูกจับไว้แน่นจากมือเรียวๆ ของคนข้างเตียงที่ถูกเรียกเข้ามาเป็นญาติฉัน พร้อมกับนิ้วที่ลูบขึ้นลงเบาๆ ที่แขนเป็นการปลอบโยน ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเย็บแผลเสร็จ ฉันถูกเย็บไป 7 เข็ม แผลไม่ได้ใหญ่นะ แต่เพื่อความสวยงามของแผลตอนที่หายเลยต้องเย็บถี่หน่อย
ฉันมานั่งจุมปุกอยู่ที่หน้าห้องยา ยัยแว่นไปรับยาให้ฉันที่เคาเตอร์จ่ายยา ตอนนี้ตาฉันคงบวมตูบไปหมด คราบน้ำตาคงท่วมหน้า ฉันเกลียดโรงพยาบาล แค่เห็นชุดขาวฉันก็ใจสั่นไปหมดแล้ว นี่เมื่อกี้ฉันถูกเย็บเลยนะ ยัยแว่น! เธอนี่มันตัวซวยจริงๆ เลย
“กลับกันค่ะ”
ฉันไม่ตอบอะไรแต่ลุกเดินสะบัดตูด ลงน้ำหนักที่เท้าอย่างแรงให้รู้ไปว่าฉันโกรธ ปกติฉันเก็บอาการเก่งนะ นิ่งจนไม่ค่อยมีใครกล้าตอแยด้วย แต่กรณีนี้ยกเว้น เธอทำให้ฉันต้องถูกเข็มแทงตั้ง 7 เข็ม บวกกับเข็มยาชาที่คว้านรอบแผลฉันอันนี้เจ็บสุด ฉันไม่มีวันลืม!
“ให้เมลไปส่งนะ” เสียงพูดดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไม่จำเป็น” ฉันตอบกลับไปแทบจะทันที
“รู้หรอว่ารถอยู่ไหน?” เธอเดินลอยหน้าลอยตายิ้มมุมปากอย่างคนมีชัย เดินมาดักข้างหน้าฉัน “ให้เมลไปส่งนะคะ” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า ฉันได้แต่ชะงักเพราะลืมนึกเรื่องรถไปเลย ฉันมานี่ได้ยังไงก็ไม่รู้ ด้วยรักไอ้บ้าเอ้ย เอาไงดีล่ะทีนี้ จะตกลงเลยก็เสียฟอร์ม ขอเล่นตัวอีกหน่อยแล้วกัน
“รถสาธารณเยอะแยะ ฉันกลับเองได้โตแล้ว ไม่ต้องมายุ่ง!”
“แต่เมลอยากไปส่ง เมลทำพี่รักต้องเป็นแบบนี้นะ ให้เมลชดใช้นะคะ” เธอพูดพลางเดินตามฉันมา
ฉันหยุดเดินพร้อมทั้งสบตากับยัยแว่น หึหึ ไม่ต้องห่วง “เธอได้ชดใช้แน่” ฉันยิ้มมุมปากออกมา ยกมือขึ้นมากอดอกอย่างต้องการจะวางมาดให้ดูคูลๆ เข้าไว้ คนอย่างด้วยรักไม่เคยมีใครกล้าหือด้วย
“อันนี้ยานะคะ เอาไว้กินครั้งละเม็ดเวลาปวด ส่วนนี่ใบนัดตัดไหม อีก 7 วันตัดไหม และก็ต้องไปล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวันเลยนะ” เธอพูดแนะนำนั่นนี่ที่ได้มาในถุงยาอย่างกับเป็นเซลล์ขายของ ฉันอ่านหนังสือออกหรอกหน่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เมลมารับไปล้างแผลนะ” ตามใจสิ หะ! ไม่สิ
“มารับทำไม ฉันไม่ได้บอก” ฉันรีบผละออกแล้วยืนกอดอกอย่างระวังใจ
“ไว้เจอกันค่ะ บายๆ” เธอโบกมือให้แล้วขึ้นรถขับหายไป โดยไม่ได้ฟังคำคัดค้านจากฉันเลยสักนิด
ปวดแผลจังเลย ฉันนอนพลิกตัวไปมานอนไม่หลับเพราะปวดแผล นี่ฉันต้องพึ่งยาจริงๆ หรอ ฉันหอบสังขารตัวเองลงมาห้องครัวชั้นล่างกลางดึกเพื่อจะกินยา
ติ๊ง!
เสียงข้อความจากแชทสีเขียวดังขึ้น ฉันหยิบโทรศัพย์ขึ้นมาดูพบว่าเป็นแชทของใครไม่รู้รูปโปรไฟล์เป็นการ์ตูนหัวฟูๆ ส่งข้อความเข้ามา
CLM : นอนหรือยัง ปวดแผลไหม?
ที่รัก : ใคร?
CLM : เมลเองค่ะ
ที่รัก : ยุ่ง!
หึๆ รู้จักฉันน้อยไปแล้ว ฉันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจที่เอาชนะยัยนี่ได้ ป่านนี้คงหน้าหงายไปแล้วมั้ง
อะไรกัน เมื่อกี้ฉันหัวเราะงั้นหรอ?
CLM : ให้ยุ่งหน่อย อยากยุ่ง
ยัยแว่นนี่ไม่ได้จ๋อยไปอย่างที่ฉันหวังเพราะเธอยังคงต่อล้อต่อเถียงฉันได้ไม่หยุดหย่อน เราคุยกันสักพักฉันก็หลับไป และเธอก็ย้ำว่าจะมารับไปล้างแผล ทั้งๆ ที่ฉันบอกไปแล้วว่าที่บ้านมีอุปกรณ์ทำแผลพอๆ กับที่โรงพยาบาล
แผลแค่นี้ปวดใช่ย่อยเลย แม้ปากจะบอกว่าไม่ให้มารับ แต่ฉันก็ลงมารอเมลที่ห้องนั่งเล่น วันนี้บ้านเงียบซึ่งถือว่าปกติ พ่อกับคุณป้าทำงานหนักมาก กลับบ้านทีฉันก็หลับไปแล้วตื่นเช้ามาก็เหมือนวันนี้คือไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ส่วนโบนัสก็ย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดได้สักพัก ที่นั่นมันใกล้มหาลัยกว่า เพราะเรียนหนักกลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ มันลำบาก ส่วนเพียงฟ้ารายนั้นถ้าอยู่บ้านก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ยิ่งตอนนี้ติดเพื่อนแทบไม่กลับบ้านเลยด้วยซ้ำ สรุปบ้านนี้ฉันเป็นใหญ่ จบนะ!
“ว๊ายยย คุณหนู หัวไปโดนอะไรมาคะ” เสียงป้าชมเจ้าเก่าร้องวี๊ดว๊ายออกมาพร้อมกับรีบสาวเท้าเข้ามาหาฉัน นี่ฉันจะต้องไปโรงพยาบาลอีกทีเพราะตกใจเสียงป้าชมนี่แหละ
“สาวดึง” ฉันตอบกลับไปแบบยิ้ขำๆ เห็นคนเล่นใหญ่แล้วมันน่าแกล้งหนิ
“สาวที่ไหนมาดึงคุณหนูป้าขนาดนี้คะ มันน่านัก” ป้าชมทำท่าตีมือเข้าที่เข่าดังฉาด เสียงหัวเราะของเราดังไปทั่วบ้าน
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นฉันรู้ได้ทันทีว่าน่าจะเป็นยัยแว่นตัวแสบ สักพักยัยแว่นก็เดินเข้ามา วันนี้เธอใส่กางเกงยีนขายาวมีรอยขาดนิดๆ กับเสื้อตัวโคร่งเอวลอย โชว์ให้เห็นหน้าท้องแบนราบ วันนี้ปล่อยผมด้วยดูแปลกตาดี ดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่…เอกลักษณ์ก็ยังคงอยู่บนใบหน้าของเธอ นั่นก็คือแว่นตาอันหนาเตอะ เธอยกมือไหว้ป้าชมตามมารยาท ส่วนฉันวันนี้ใส่กางเกงยีนขาสั้นขาดๆ กับเสื้อยืดสีครีมไม่ได้ดูโป้อะไร ปกติเป็นคนหวงเนื้อหวงตัว ไม่ให้ใครเอาอะนะ เอาแต่คนอื่น หุหุ
“กว่าจะมาได้ ชักช้า” ฉันพูดพร้อมกับกอดอกแล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น
“รถมันติดหนิคะ” ยัยแว่นตอบกลับมาพร้อมตีหน้าเศร้า พลางหันไปหาป้าชมนี่กะหาพวกสินะ “กรุงเทพรถมันติดจะตายใช่ไหมคะคุณป้า” ยังไม่ทันขาดคำ ยัยนี่ร้ายกว่าที่คิดไว้อีกนะ
“นั่นสิคะ ว่าแต่นี่ใครหรอคะคุณหนู”
“เพื่อนค่ะ” ฉันตอบโดยที่ไม่หันไปมองหน้า 'เพื่อน' ที่ทำให้ฉันต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ “และอีกอย่างนะคะ รักบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกว่าคุณหนู รักไม่ชอบ” ฉันหันไปดุใส่ป้าชมบ้าง เรียกคุณหนูๆๆ อยู่นั่นแหละอายคนอื่นแย่ นี่โตแล้วนะไม่ต้องคุณนงคุณหนูแล้ว
“ค่ะๆๆ แล้วจะพากันไปไหนคะ?”
“เมลมารับ'คุณหนู'ของคุณป้าไปล้างแผลค่ะ” เธอพูดเน้นเสียงตรงคำว่าคุณหนู เด็กแว่นพูดพร้อมกับยิ้มเต็มหน้าส่งให้ฉันแบบท้าทาย ยัยนี่ทำไมชอบกวนประสาท น่าเบื่อ!
“ชิ!” ฉันเมินใส่อย่างไม่สบอารมณ์ คว้ากระเป๋าใบโตที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียนแบกขึ้นบ่าแล้วเดินออกไป “จะไปไหม ยืนเซ่ออยู่นั่นแหละ” ฉันตะโกนเรียกพลขับโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีก
และก็วนมาลูปเดิม ฉันมานั่งจุมปุกอยู่หน้าห้อง ER เพื่อรอล้างแผล แต่คราวนี้เปลี่ยนมาล้างที่โรงพยาบาลของพ่อฉัน ในใจลึกๆ ฉันก็อยากให้พ่อมาเห็นจะได้รู้ว่าฉันเจ็บ อยากจะรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร ถึงจะเกลียดยังไงแต่ในใจลึกๆ มันก็ยังโหยหาอยู่ดี
“กลัวไหม?” คำถามจากคนข้างๆ ดังขึ้น คงจะเห็นฉันนั่งเงียบไม่พูดไม่จา คิดจะล้อฉันสินะ
“ไม่” ฉันตอบไปสั้นๆ โดยที่มือยังจิกกันไปมา
“ไม่เป็นไรนะ” ฉันหันไปมองหน้าคนพูดอย่างตะลึงๆ คำพูดเมื่อกี้มัน… รู้สึกดีจัง “เดี๋ยวเสร็จนี่พาไปหาที่ชิวๆ อ่านหนังสือ เห็นหอบมาเต็มกระเป๋าเลย”
"ยุ่ง!" แต่ยังไงฉันก็คือฉัน ฉันคือด้วยรัก เพราะงั้นอย่าหวังว่าจะได้ยินอะไรดีๆ ออกจากปากฉันง่ายๆ ฉันเมินไปอีกฝั่งแล้วลอบยิ้มออกมา หึหึ รู้สึกดีเวลาได้ด่ายัยแว่นนี่
"จะยุ่ง" เธอไม่พูดเปล่า ยังเอาหน้ายื่นเข้ามาหาฉันอย่างต้องการจะท้าทาย ฉันใช้มือทาบไปที่หน้าของยัยแว่นแล้วดันให้ออกห่างจากตัว
รอยยิ้มเผยออกมาเต็มใบหน้าพร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจ นี่ไม่กะจะสลดให้ฉันหน่อยหรอ ชอบโดนว่าถูกไหม
และแล้วฉันผ่านห้อง ER มาแบบนองน้ำตา ก็รู้แหละว่ามันไม่เจ็บ แต่บรรยากาศมันก็น่ากลัวอยู่ดี
และตอนนี้ฉันนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่คนไม่พลุกพล่าน ผนังฉาบด้วยปูนเปลือย มีโคมไฟที่มีแสงไฟสีส้มอ่อนประดับไปทั่วร้าน มีเพลงเปิดคลอเบาๆ พนักงานหน้าตายิ้มแย้มสวมยูนิฟอร์มสีขาวดำ ทำให้ดูแพงขึ้นมาอีกระดับ ขนมนมเนยมีให้เลือกเต็มตู้กระจกหน้าเคาเตอร์บาร์ กลิ่นกาแฟนอ่อนๆ ลอยมาปะทะโสตประสาทการรับกลิ่นของฉัน ขนาดคนไม่ชอบกาแฟแบบฉันได้กลิ่นแล้วยังรู้สึกละมุน
“นี่พี่เตี้ย! ... ” โอโห เหิมเกริมมมม!!! ยัยแว่นที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเรียกซะเสียงดัง เรียกว่าตะโกนเลยจะถูกกว่า และตอนนี้ยังทำท่าโบกไม้โบกมือผ่านหน้าฉันไปมาอีก "เลิกทำหน้าเพ้อฝันแบบนั้นสักที อ่านหนังสือได้แล้ว"
ฉันบึนปากใส่แล้วก้มลงอ่านหนังสือ เนื้อหานี่มันก็ยากพอตัวอยู่นะเนี่ย ด้วยความที่ฉันไม่ค่อยชอบวิชาเกี่ยวกับตัวเลขเท่าไหร่มันเลยต้องใช้ความพยายามมากพอสมควรที่จะอ่านให้เข้าใจ โดยที่ไม่วอกแวกหรือหลับไป และตอนนี้ก็... ง่วง... พักหน่อยก็ได้มั้งอ่านมาตั้งเยอะแล้ว Zzzz...
เพี้ยะ!!
“ทำไมหลับ อ่าน! หนัง! สือ!” ยัยแว่นตัวดีตบเข้าที่แขนฉันอย่างแรงตอนเห็นฉันแอบฟุบหลับที่โต๊ะ ก็มันง่วงหนิ
“ยุ่ง!” ฉันพูดทั้งๆ ที่ตายังลืมไม่เต็มที่
“จะยุ่ง! ลุกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” คราวนี้ไม่ว่าเปล่าเธอเอื่อมมือมาฉุดแขนฉัน พยายามดึงฉันให้ลุกขึ้น และฉันก็จำใจลุกอย่างเลี่ยงไม่ได้
การอ่านหนังสือวันนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก ฉันหลับไปหลายรอบและยัยแว่นก็กวน+วุ่นวาย+วอแวให้ฉันหลับไม่เป็นสุขจนต้องยอมตื่นทุกครั้งไป แต่จะว่าไปวันนี้ฉันก็อ่านจบไปตั้ง 2 วิชา ถือว่าเยอะเกินคาด
เอิ่มม… ปกติฉันอ่านหนังสือสอบวันต่อวันอะนะ ไม่เคยได้อ่านตุนไว้เท่าไหร่ ไม่ได้ฉลาดอะไรหรอก ขี้เกียจล้วนๆ และที่อยู่แต่บ้านไม่ออกไปไหนนี่ก็ไม่ได้ซุ่มนะ หลับค่ะ แหะๆ
“ทำไมเจ้าชู้คะ?” จู่ๆ ผู้หญิงแว่นหนาก็พูดขึ้นขณะที่กำลังขับรถที่แอบขโมยจากครอบครัวมาจะไปส่งฉันที่บ้าน ฉันรู้เพราะเธอพึ่ง ม.4 ไม่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำ
“ไม่ได้เจ้าชู้”
“โกหก เห็นอยู่ว่ามีทั้งพี่มีนแล้วก็เด็กน้ำผึ้งอะไรนั่น ไม่กลัวพี่มีนเสียใจหรอ?” ฉันมองอย่าเคืองๆ นี่รู้เรื่องของฉันด้วยงั้นหรอ
“ไม่มีแฟนคุยหลายคนไม่เรียกเจ้าชู้ ถ้ามีแฟนแล้วมีคนอื่นค่อยเรียกเจ้าชู้”
"…"
"…"
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา บรรยากาศกลับมาคุแปลกๆ
“เห็นแก่ตัว”น้ำเสียงที่ติดไปทางเย้ยหยัน สายตาที่มองฉันผ่านทางหางตา มันทำให้จุกอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยไม่ใครกล้าว่าฉันขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยเลย
“…” ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะรู้สึกว่าที่เธอพูดนั่นมันถูกต้อง ฉันเห็นแก่ตัว กลัวตัวเองจะผิดหวัง กลัวตัวเองจะเสียใจ ฉันแค่ป้องกันตัวเอง…ก็แค่นั้น…
โปรดติดตามตอนต่อไป!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ