บลัดฮันท์/Bloodhunt

7.8

เขียนโดย เอเดน

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 23.19 น.

  7 #
  3 วิจารณ์
  10.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561 17.06 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Giant in the Bog, 1806 1/5 (70%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
++++++++++++++++++++++
Giant in the Bog, 1806
 
     ...ตั้งอยู่มุมสุดขอบหมู่บ้านเหม็นหึ่งชื่นของป่า ความตาย และเนื้อถูกตากแห้ง มันคือบ้านนายพรานหลวง the Royal Huntsman ออฟฟิศของนายพรานเบอร์นาร์ด แฮร์ สันโดน เขาอยู่กับลูกคนเดียว โดนรังเกียจ...หรือบางทีถูกอิจฉาโดยคนในหมู่บ้านเพราะมีอาชีพพรานหลวงเขาทำเงินได้มากกว่าสามเท่าของคนทำงานในโรงไม้ ซึ่งอธิบายว่าทำไมบ้านมีสองชั้นกับคอกม้าสามตัว
 
     มันเป็นช่วงคืนที่แร้งลม หิ่งห้อยตอมโมกกับกระจกห้องรับแขก แนวการจัดจำแนกเฟอร์นิเจอร์มีเพื่อจุดประสงค์ให้แขกๆไม่รู้สึกต้อนรับ พนังเหมือนโชว์รูมเล็กๆ แหวนเต็มไปด้วยหัวสัตว์ที่ระลึก เบอร์นาร์ดเกิดมาเพื่อเป็นพรานและไม่รู้จักเป็นอะไรอื่นในชีวิต...แม้กระทั่งพ่อ เขาทิ้งลูกชายให้ดูแลตัวเองทุกวันยันวัยโตเป็นหนุ่ม
 
     กองไฟในเตาผิงใกล้มอดดับ ถ่านเพลิงกระเทาะเรียกหาชายหนุ่มให้มาป้อนฟืนมันอย่างกับเป็นขั้นตอนกิจกรรมประจำวัน ประมาณ19 กุสตาฟ แฮร์ เติบมามีปัญหา ไม่ใช่ในเชิงที่ว่าเล่นแผงๆสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านหรือลักเล็กขโมยน้อย เขามีสิ่งนี้ เหมือนกับความเชื่อมโยงกันกับพลังในผื่นป่าและโตขึ้นมาตัวคนเดียวก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ครอบครัวของเขาบรรยายให้ดีที่สุดก็คงเป็น ‘ถูกสาป’ ทุกคนที่เขาจำได้ถ้าไม่ตายก็ได้หายสาบสูญ แม่ของเขาฆ่าตัวตายและพ่อของเขาก็หายตัวไปในป่าเดวฟินเนียชั้นใน เรื่องเดิมๆซ้ำๆสำหรับครอบครัวอันเต็มไปด้วยเรื่องราวของโศกนาฏกรรม
 
    นอนขดบนโซฟาตัวโทรมๆคือกุสตาฟ ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นมา เขาคือนายพรานหลวงและผู้สืบทอดที่ดินของบ้านตามโฉนดพินัยกรรม หน้าหล่อๆของเขาจมในผ้าห่มผื่นหนา ผิวหน้าสัมผัสถึงลูกไฟลามทั่วเยื้อกระเพาะพร้อมกับทุกเซลล์ในร่างมอบสัญญาแห่งความทรมานที่กำลังจะตามมาให้กับเขา ความฝันและ สายเชื่อมต่อกับพลังในป่า ของเขาเริ่มทรงอำนาจมากขึ้นทุกวันจนตัวเขาเองมิอาจจะรับไหว เขาได้ดื่มเหล้าหมักผสมดอกไม้พิษเพื่อจะจบมันซึ่งทุกอย่าง ภูมิคุ้มกันในร่างกำลังต่อสู้กับสารพิษอย่างที่ควร เหงื่อไหลท่วมคืออาการแรก ตามต่อมาคือภาพหลอน สติของกุสตาฟล่องลอยและอย่างควบคุมไม่ได้...เขาเผลอฝัน
 
.
 
     กุสตาฟไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เขาเกิดมาพร้อมปืนหน้าไม้ยัดเยียดใส่มือกับสายตาที่จับมองดูแผ่นหลังพ่อเขาจากบ้านไปตลอดเวลา ถึงเขาเป็นคนหัวแข็งแต่ก็ไม่โง่เขลา เขารู้ว่าเนี่คือฝัน แต่ในความหมายของมันสามารถแตกออกไปได้หลายประเภท ฝันกลางวัน ฝันร้าย ฝันซ้ำ ฝันตื่น ฝันเยี่ยวยา ฝันเตือนภัย ฝันทำนาย และฝันอลังการงานสร้างเหนือสุดจินตนาการของมนุษย์จะสามารถร่ายเสกสรรค์ขึ้นมาในหัวได้ แต่เมื่อเห็นร่างของเขานอนนิ่งอยู่บนโซฟามันกลับมอบความรู้สึกอื่นให้แก่เขา “ผม...ตายแล้วหร่อ?” นกฮูกโฉบบินมาเกาะตรงหน้าต่าง แต่มันไม่ช่วยตอบปัญหาให้ชายหนุ่ม ดวงตาทับทิมกลมๆของมันยึดจับจ้องเขาราวเห็นเพื่อนเก่า มันใช้จะงอยปากเคาะๆกระจกที่บางเปราะ ในแต่ละเก๊าะๆนั้นคือแต่ละใบมีดรูดปาดบนแก้วหูของเขา เขาจะขอร้องให้มันหยุดหากคำพูดสามารถหลุดมาจากปากได้ กุสตาฟเลยเข้าใจว่าหากนี่เป็นความฝันทุกอย่างที่เขาต้องทำก็แค่จินตนาการให้เจ้านกตัวนั้นหายไป และเสียงเคาะของก็หยุด แต่มันไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงเดียวที่เขาพบเห็น ขนนุ่มๆของเจ้านกฮูกเยิ้มละลายอย่างกับสีน้ำมันหยดหนืดมาจากพนังพึ่งทาใหม่ๆ มันได้เผยเปลือกชั้นในที่ซ่อนเร้นตัวจริงของมันไว้ เจ้าฮูกกลับแท้จริงแล้วคือนกอีกา สัญลักษณ์แห่งความตาย โชคร้าย และคำสาป
 
     *ก๊อกก๊อกก๊อก* เสียงน็อคตรงประตูขย่มทั้งตัวบ้าน ตัวเขา- พร้อมๆกันกับข้าวของในบ้าน ชุดเซ็ทถ้วยน้ำชา โคมไฟ รองเท้า หรือจะหมอนผ้าห่ม ทั้งหมดต่างลอยขึ้นกลางอากาศ กุสตาฟคิด พยามจะยึดจับกับขาโต๊ะข้างๆ แต่กล้ามเนื้อต่างทรยศเขาแล้วไม่ขยับตามสั่งเลยสักหนึ่งส่วน ระหว่างที่บ้านเขาหมุนตลบกลับหัว
 
     ลอยอยู่กลางพื้นกับเพดาน ร่างของกุสตาฟลอยเคลื่อนหน้าไปหาประตูอย่างไม่ได้ควบคุมหรือจงใจ ไม่ว่าเขาจะจินตนาการมากแค่ไหนต่างก็ไร้ผล เขาผจญภัยผ่านทั่วมุมของบ้าน ในทุกรูปรายละเอียดดูแล้วผิดเพี้ยน จากห้องรับแขก หัวสัตว์ที่ระลึกถูกเปลี่ยนแขวนไปด้วยหัวของเครือญาติตระกูลแฮร์ หัวพ่อกับแม่ของเขาก็อยู่ตรงนั้นตลอดจนปู่ทวดของเขา ใบหน้าคนตายนับร้อยจ้องเขาลึกลงถึงแก่นของหัวใจ ต่อมาห้องน้ำ เหม็นกลิ่นหึ่งของแว็กซ์แต่งผมและใบมีดโกนลอยจนล้นอ่างด้วยน้ำที่คงเป็นไปได้เพียงเลือด พื้นกระเบื้องถูกทดแทนโดยผ้าทอสานเส้นเถาวัลย์ มันเคลื่อนเป็นคลื่นราวกับกำลังหายใจเข้าออก ห้องครัวเก่าถึงจุดที่สนิมกัดกินเหล็ก...และเนื้อไม้ โต๊ะทานข้าวเคลือบในน้ำตาลแดงอันน่าขยะแขยง ก๊อกน้ำบิดหมุนด้วยตัวมันเองสร้างเสียงเอี๊ยดๆอย่างไม่รู้จบ มันเรียกหาน้ำที่จะไม่มีวันไหลออกมา สิ่งที่น่าแปลกใจปนชวนให้สยดสยองทุกวินาทีที่มองดูคือ หมาสองตัวของพ่อเขา ชื่อ ‘ไวเปอร์แฟงค์’ กับ’ แรทเทวล์’ ได้เขียนแปะไว้บนปลอกคอของพวกมัน พวกมันถูกฟื้นคืนชีพกลับมานอนข้างประตูบ้าน ขนหนังถลกออกจนแสดงเพียงเนื้อชมพูแดง เขายังคงเห็นเส้นเลือดกระตุกตามร่างขณะพวกมันนั่งหอบที่จุดประจำของพวกมันคือตรงข้างตู้ลิ้นชักเก็บรองเท้า ที่ที่พวกมันชอบสุงสิงอยู่ตรงเพื่อดักรอเจ้านายทั้งขาออกจากบ้านและขากลับ ข้อมูลละเอียดลับควักจากสมองของเขาบิดเบี้ยวเป็นโลกแห่งความชั่วร้าย
 
     กุสตาฟมาเยือนถึงประตู เกือบเหมือนบอกว่า 'นี่หล่ะคือจุดหมายปลายทาง’ เพราะการเคลื่อนลอยของตัวเขาได้หยุดลง ยืนบนพื้นด้วยสองเท้าอีกหนประตูก็เปิดโดยไม่มีพิธีหรือรอให้มือเขาจับกลอน เขาจ้องทึ่งๆเหมือนมองดูผลงานพลังเหนือธรรมชาติในแอ็คชั่น แต่ชายผู้ปรากฏตรงหน้านั้นไม่ได้ทำให้เขาทึ่งสักเท่าไหร่ เขากลับในทันทีสะอึกสำลักเพราะกระแสแห่งความคุ้นเคยและห่วงใยที่ไม่ต่างกับเคยได้ฉายบนแววตาของเขาเมื่อวานถูกจัดฉากขึ้นใหม่ “พ่อ?” เขาจดจำได้ผ่านเสื้อเต็มรูพรุนกับหน้ากากที่พ่อเขาสวมใส่ก่อนตาย มันมีดั่งบ่อของพลังดึงดูดแล้วมอบความรู้สึกเชียบเย็นให้กับเขา และเมื่อเขาทอดสายตาผ่านมัน ด้านหลังของม้านแห่งความมืดคลายออก แสดงให้เขาเห็นถึงโลกภายหลัง โลกที่แม้กระทั่งตัวเขามิอาจจินตนาการได้ มันมีแต่สร้างคำถามให้กับเขาว่าหากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ้างที่เป็นจริง
 
     ปลายผ้าพันคอที่รัดคอหลวมๆของพ่อลอยขึ้นสู่ฟ้า ท้องฟ้ามรกต เส้นรัศมีของดาวน้อยๆในจำนวนนับหมื่นพันดวงฉาบหนึ่งความมืดดำนี้จนงดงามราวกับเวทมนตร์ มันครอบคั้นด้วยแผ่นใสบางๆสะท้อนฉายกระแสลูกคลื่นที่ซัดผ่านไปมา
 
     กุสตาฟโฟกัส เขาคิดว่าทั้งหมดเป็นเหมือนกับก้นบึ้งใจกลางมหาสมุทรที่ไร้ซึ่งมวลน้ำเค็ม กรวดหินเป็นเพียงอายุพันล้านปีกุเก่าเทียบเท่าโลก หมึกยักษ์ตวัดหนวดเกี่ยวหนึบรอบดวงจันทร์ หนวดกับปุ่มดูดตุ่มๆขนาดใหญ่ของมันรัดรอบๆจันทรากลมโต อย่างช้าๆมันค่อยๆกลืนทั้งใบไปด้วยปากขยายกว้าง ฟันของมันมีไม่ถ้วนและคมยาวน่าสยดสยอง ดวงตาทั้งแปดของมันเผาไหม้เปลวเพลิงที่มิอาจดับมอด หมึกยักษ์ตัวนี้ต้องการแสงทั้งหมดเป็นมันเอง กระนั้น จึงส่งโลกกลับคืนสู่ยุคแห่งค่ำคืนอันยาวนาน จากทัศนะของเขาความมืดเริ่มหนาทึบขึ้น ดำและอมเขียวนี้ได้บดกินทุกสรรพสิ่งเว้นไว้เพียงซึ่งสองพ่อลูก ลมหายใจสุขุมพ่นผ่านช่องรูหน้ากากรีบพูกมัดความสนใจทั้งหมดของเขา กุสตาฟสามารถเห็นโมชั่นในการเคลื่อนไหวขยับแขนของเขาเอื้อมจรดปลายนิ้วชี้เจาะจงไปยังข้างหลังราวกับพยายามชี้แจ้งเตือนให้กุสตาฟทราบ ถึงพลังเหนือการควบคุมของเขาหรือบางทีภัยอันตรายที่เขามิอาจจะหยุดได้
 
     กุสตาฟลอยร่างอีกหน ค่อยๆหันตัวไปพบกับแสงสว่าง ท่อนกระบอกแสงสีขาวกับเงาของคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ภาพของความฝันอันบิดเบี้ยวนี้ไม่มอบอะไรให้เขารู้สึกอบอุ่น เขากระทิงและปีกอีกางอกออกมาจากเงานั้น เขาสัมผัสได้ราวกับว่าเงานั้นคือเทวดาแห่งความตาย
 
..
 
     ประกายเงาปลุกให้เขาลืมตา ตื่นจากฝันขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังรอจะฆ่าเขา เขากลับไม่มีโชคลาภ แสงเงาประกายส่องในฝันสะท้อนถึงเงามันวับของมีดปลายเรียวคมกริดง้างตรงมาหาหน้าเขา มันต้องใช้มือปัดสองครั้งกับแลกมาด้วยแผลตัดบนข้อศอกก่อนที่เขาจะหยุดการโจมตีของผู้บุกรุกนี้ได้โดยการล็อกข้อมือของผู้บุกรุกไว้ เขาไม่คิดว่าผู้หมายปองชีวิตเขาควรจะเป็นใครอื่นนอกจากโจรหรือฆาตรกรต่อเนื่องหลบหนีมาจากนครเมืองหลวง ไม่ว่าจะมีจุดมุ่งหมายของขโมยทรัพย์สินหรือปาดคอเขาแล้วใช้เวลาทั้งช่วงเดือนแห่งดอกไม้นี้นั่งชมทุ่งลาเวนเดอร์เจิดจรัดอาบแสงอุ่นของยามเย็นแล้วนั่งจิบเบียร์เย็นๆระหว่างศพของเขานอนคอหักในห้องใต้ดินหรือไม่ก็ฝังในสวนหลังบ้าน
 
     ในเชิงเยาะเย้ยนี้ทั้งสองกรณีล้วนแล้วเกี่ยวข้องกับความตายซึ่งฟังดูไม่เข้าหูของเขา จริงอยู่ที่เป็นตัวของกุสตาฟเองที่ได้วางแผนจะฆ่าตัวตายหรืออย่างน้อยได้พยายาม แต่ยิ่งเขาคิดถึงผลกระทบอันอาจต้องตามมาและทั้งหมดที่เขามีอยู่ทิ้งไว้หลังความตายเขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจในการกระทำของเขา คมแหลมของมีดนี้ยังจ่อเล็งมายังลูกตาเขาก็จิ่มจุดเปิดส่วนระบบของสัญชาตญาณเอาชีวิตรอด เลือดวิ่งไหลพล่านทั่วร่างบอกกับเขาว่ายังคงอยากจะมีชีวิตอยู่ กุสตาฟสู้กลับ
 
     ถึงอาจจะได้มั่วส่วนผสมของเหล้าพิษฤทธิ์ของมันกลับยังแรงพอจะทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนแอตามกล้ามเนื้อและจังหวะหัวใจอันถี่ช้าลงบอกเป็นลางในถึงเวลาอันไม่มาก คล้ายธรรมเนียมของนอร์และคาริน่าหรือลูแมน ชาวเคิร์นรักษาเตาผิงไว้ไม่ให้ดับ คำโบราณได้กล่าวว่าความมืดเชิญชวนภูติผีและอสูรปิศาจให้เข้ามาสิงอาศัยในบ้านเพื่อป้องกันทุกบ้านควรมีเตาผิงหรือจุดกำเนิดให้แสงสว่างและควรรักษามันไม่ให้ดับ ฉะนั้น ตัวเตาที่ทำมาจากหินปูนกับไฟที่ยังกระเสือกกระสนจะรอดไหม้อยู่นี้จึงเปรียบเสมือนคล้ายส่วนหนึ่งของครอบครัว และเป็นเช่นหน้าที่พื้นฐานของระบบครอบครัว การปกป้องเลือดเนื้อหรือผู้ร่วมผลประโยชน์พัวพันอยู่จึงถือว่าเป็นอันดับต้นหน้าที่หลัก แสงไฟมอบโอกาสให้กุสตาฟได้เห็นโฉมของผู้บุกรุกสักพักก่อนความป่าเถื่อนของชาวเนรเทศนี้หรือที่เคิร์นเรียกกันว่า เอ็กซไซล์ the Exiles จะพยายามใช้ฟันกัดบนลำคอของเขา มันยากจะผลักไสหน้าอัปลักษณ์น้ำลายยืดหยดจากปากกับผิวครึ่งหน้าของมันที่ถูกแปลงเป็นปุ๋ยสรวงสวรรค์ไบโอเคมีให้กับพืชมอสส์กินเนื้อ Flesh-Eating Moss หนึ่งในพืชที่ระบาดตามแถบเขตป่าชั้นใน
 
     ปอดสูบลมหายใจเข้าออกแรงๆ เขาแบกความรับรู้สึกของอันตรายจากภายในและภายนอก มันปลุกใจเซลล์กล้ามเนื้อของเขาให้คืนชีพใหม่เหมือนเสียงตวาดปลุกขวัญกองทหารให้เขาดันข้อมือกับมีดเล่มนี้ไว้ด้วยมือข้างเดียวของเขา จากนั้นกุสตาฟใช้มืออีกข้างคว้าขวดเหล้าใต้หมอนทุบหัวกระโหลกของเจ้าเอ็กซไซล์แรงๆแล้วกลิ้งตัวหลบไปให้พ้นจากโซฟาเพื่อมุ่งหาปืนบนโต๊ะ ทางเอ็กซไซล์กรีดร้องเจ็บปวดกระเสือกกระสนบนพื้นปูกองตะไบแก้ว ชิ้นใหญ่ปักเสียบแน่นบนนูนแก้มข้างซ้ายของมันระหว่างมือมันคล่ำจับหยิบมีด-ได้ขโมยมาจากห้องครัวของกุสตาฟ-ขึ้นพร้อมเปลวแค้นสถิตในดวงตาไร้แววชีวิต ทันทีเมื่อทั้งคู่หันกลับมาปะทะพร้อมอาวุธในมือของทั้งสอง กุสตาฟแนบปากกระบอกปืนชาร์ฟอ์อัดหน้าผากชะงักตัวนายเอ็กซไซล์ราวกับได้วิ่งชนกำแพงหิมะ กุสตาฟเห็นมือมันกุมด้ามมีดแน่นขึ้น เขาจะไม่เปิดโอกาศ *ปัง!* เขาลั่นไกปืนกำเนิดเสียงฟ้าคำราม เขม่าควันเทาลอยล่องออกจากปากกระบอก และหลังจากนั้นค่ำคืนกลับเงียบสงัดขึ้น
 
     เศษเนื้อกับหลดเลือดตรงหน้าตักเตือนเขา ให้กับความเสียใจ ให้กับความรู้สึกผิด ให้กับความตระหนักว่าตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่ เขาจ้องมันแทบจะอ้วก รูโหว่ๆกลางหัวที่ยากจะจำใบหน้าอะไรออกได้อีกของชายเอ็กซไซล์ผู้ซึ่งถูกเนรเทศและครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ธรรมดาๆเหมือนกับเขา เขาถูกสั่งสอนบทเรียนนั้นเดิมๆทุกๆปีที่ว่าเขาไม่ควรจะรู้สึกผิดที่จะยิงพวกมัน ในงานประเพณีล่าเอ็กซไซล์ประจำปีผู้คนจะตบไหล่เขาเบาๆแล้วบอก “เอ็กซไซล์มันเป็นสัตว์ โสโครก ขี้ขโมย ป่าเถื่อน พวกเสี่ยงกลายพันธุ์ พวกคนจนหรือขี้เกียจทำงานแล้วไม่มีโพเทน Poten* จะใช้” (*เมอร์ด โพเทนซี่ “Maerd Potency” คือสารสกัดที่ได้มาจากอสูรรูปร่างคล้ายหนอนมีชื่อว่า เมอร์ด ใช้เพื่อชะงักการแปลงพันธุกรรมในระบบร่างกายของมนุษย์)
 
     กฏพิเศษได้ถูกกำหนดไว้เพื่อถือเป็นความยุติธรรมในการล่าพวกมัน บางคนฆ่าเอ็กซไซล์เพราะมันเป็นเหมือนการเข้าสังคมในเดวฟินเนีย บางคนฆ่าเพราะต้องการปกป้องคนที่เขารัก บางคนก็เพราะมันถือว่าถูกกฏหมายที่จะปล้นทรัพย์ของพวกเอ็กซไซล์ใดๆที่ถูกค้นพบในป่า กุสตาฟได้ฆ่าพวกเอ็กซไซล์ทุกๆปีเพราะว่าเขาเป็นลูกชายนายพราน แต่เขาเน้นฆ่าพวกมันจากระยะไกลและรวดเร็วเพื่อที่เขาจะไม่ได้สบมองตรงไปในตาของพวกมัน เพื่อที่เขาจะได้หลบความรู้สึกสงสารและรู้สึกผิดในภายหลังแบบนี้
 
     มันมีหญิงสาวยืนอยู่นอกหน้าต่างบ้านเขา เงาดำรูปร่างผอม เธอเป็นพยานให้กับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น ตอนแรกเขาคาดว่าเธอคงจะรีบวิ่งหนีไปตามขอความช่วยเหลือจากหน่วยตำรวจแฮทแมนในหมู่บ้าน แต่แล้วเขาก็กลับนึกขึ้นได้ว่าช่วงเที่ยงคืนมันคือเวลาเคอร์ฟิวบวกกับสังเกตปลายกระโปรงราตรีของเธอที่หยดเลือดแดงกระจาด เธอไม่ใช่มนุษย์ จู่ๆ เธอกรีดร้องใส่หน้าต่าง *แป๋ง!* ประจุพลังคลื่นเสียงถี่สูงพังทำลายหน้าต่างยับเยิน กระจกเกลื่อนกระจายอาบศพและพื้นห้องรับแขกดั่งฤดูแก้วที่หมายสื่อนับแสนของความเจ็บปวดที่จะตามมา ร่างของเขาแข็งล้มตึงๆฟาดนอนราบบนพื้น มันไม่มีความเจ็บปวดแต่ความชาช้าๆดูดซึมซับไปในฟองน้ำก่อนแห้งแล้งหายไปตลอดกาล เขาไม่สามารถเรียกทราบความรู้สึกจากร่างหรือขยับชิ้นส่วนใดๆของอวัยวะได้หลังจากนั้น จิตสติของเขาถูกรูดเก็บใส่กระเป๋าหุ้มเนื้อน้ำหนัก57กิโลกรัม สารพิษอัลคาลอยด์เมทตี้ลี่คาคอนไนทตินอ์ Methyllycaconitine นั้นได้ปิดสวิตช์ระบบทำงานส่วนใหญ่ของเส้นประสาทก่อให้ทั่วร่างเกิดอาการอัมพาต ปืนคลายหลุดจากมือช้าๆเมื่อเธอปรากฏมาขึ้นนั่งคร่อมบนหน้าท้องของเขา เขาจ้องมัน กรงเล็บขาวงากระดูกของเธอกับต้นขาอ่อนขาวผสมเขียวของแพมอสส์กัดกินเนื้อเกาะขณะเธอกำลังประดับคอและมือของเขาด้วยเชือกกับคลุมหัวเขาด้วยถุงผ้ากระสอบ ร้องเพลงกล่อมนอน- เสียงหวานสุดเพี้ยน ระหว่างลากร่างเปราะๆของเขาออกข้ามธรณีประตู

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา