ปริศนาราณี

5.8

เขียนโดย Richa

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 15.17 น.

  14 ตอน
  1 วิจารณ์
  14.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2561 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ชายแปลกหน้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
อารียายืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด ชายหนุ่มตรงหน้าสะกดสายตาของเธอเอาไว้จนลืมความขุ่นข้องหมองใจและหมดความอยากรู้อยากเห็นไปชั่วขณะสายลมยังโบกพัดกระหน่ำอย่างไม่ลดละ ใบไม้แห้งยังคงปลิวขึ้นจากพื้นอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ต้นไม้ใหญ่ก็ไหวไปมา ท้องฟ้าก็ร้องครวญครางราวกับว่าไม่พอใจกับการพบเจอกันของสองชายหญิง ความโกรธเคืองนี้ได้บังเกิดเป็นสายฟ้า ... ฟาดลงมาที่กลางต้นไม้ใหญ่
ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ล้มลงมายังตำแหน่งที่อารียาและชายแปลกหน้ายืนอยู่ อารียาหันไปมองต้นไม้ใหญ่นั้นอย่างตกใจ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินกว่าที่เธอจะเคลื่อนที่หนีได้ทัน ต้นโพธิ์ใหญ่ถูกสายฟ้าฟาดลงกลางลำต้นและสายลมได้ถอนรากถอนโคนออกจนร่วงหล่นลงไปทอดร่างอยู่กับพื้นดิน
อารียาถูกชายแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอเมื่อครู่นี้ช้อนร่างขึ้นแล้วอุ้มหนีอย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนไหวได้ไวกว่าสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างโกรธเคือง อารียาหันมองไปที่ต้นโพธิ์ใหญ่อย่างตกใจและหันกลับมาจ้องตาชายแปลกหน้า แววตาคู่นั้นของเขาโกรธเคืองสุดฤทธิ์และมันเหมือนมีเปลวไฟลุกเป็นเพลิงอยู่ด้านใน เขาบรรจงวางร่างอันสูงระหงของหญิงสาวลงอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นว่าเขาและเธอปลอดภัยแล้ว
“คุณ .. นี่คุณทำได้ยังไง” อารียาเอ่ยถามอย่างสงสัย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินกว่าที่เธอจะหนีได้ทันด้วยตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาผู้นี้เธอคงถูกต้นไม้ใหญ่ทับร่างจนแบนราบไปกับพื้นปฐพี
“จงลืม ... สิ่งที่คุณพบเจอและสัมผัสได้ในวันนี้” ชายหนุ่มแปลกหน้าเสยใบหน้าของหญิงสาวขึ้น ตาของเขาและเธอจ้องประสานกัน เหมือนเขากำลังร่ายมนตร์สะกด
“ทำไมฉันต้องลืม ... ฉันแค่สัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แค่นี้พอมั้ย” อารียาเอ่ยขึ้นพลางกะพริบตาถี่ ๆ มนต์สะกดของเขานั้นใช้ไม่ได้ผลเพราะเธอมีอำนาจพิเศษอะไรบางอย่างปกครองคุ้มกันหรือเพราะจิตใจของเขานั้นหวั่นไหวเกินกว่าที่จะร่ายมนตร์เพื่อลบเลือนความทรงจำใส่หญิงงามผู้น่าเสน่หานี้ได้กันแน่
“ผมจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเวทมนตร์ที่ผมมีมันใช้ไม่ได้ผลกับหญิงงามเช่นคุณ ถ้าทำให้ลืมไม่ได้ อยากจำก็จำ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ แววตาคู่นั้นของเขายังคงจ้องมองอารียาอย่างไม่วางตาและมันก็แสดงถึงความเสน่หาในตัวเธออย่างชัดเจน
“คุณเป็นตัวอะไร?” อารียาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ตัวอันตราย!!! ที่มนุษย์อย่างคุณไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ไปเสียเถอะ เดินไปจากผม แล้วอย่าหันกลับมาอีก”
อารียาเมินหน้าหนีจากชายแปลกหน้าราวกับว่าต้องมนต์สะกดให้เดินจากไป เธอผละตัวจากเขาไปแล้วเชียวแต่หัวใจของเธอมันยังเรียกร้องหา เขาคือใคร  ชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน มีพี่น้องกี่คน แล้วมาทำอะไรตรงนี้ ความอยากรู้อยากเห็นได้บังเกิดขึ้นในหัวใจอันแข็งแกร่งของหญิงสาว มันมากมายเสียจนเกินจะหักห้ามใจ แม้แต่มนต์สะกดก็หยุดยั้งเธอเอาไว้ไม่ได้ อารียาจึงหยุดและหันกลับมาอีกครั้ง
ชายแปลกหน้าผู้เคยยืนอยู่ตรงนั้น ... หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาหายไปไหน? ทำไมถึงรวดเร็วเช่นนี้?อารียาพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายแปลกหน้าผู้มาทำให้หัวใจของเธอว้าวุ่น ร่างกายของเขาสูงใหญ่กำยำ ไม่น่าจะซ่อนกายอยู่หลังต้นไม้ได้ เพราะต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็ได้ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วเขาหายไปไหน
“ไอริช ไอริช ไอริช” เสียงตะโกนเรียกโหวกเหวกดังมาจากทางท่าเรือท้ายวัด  ตาบังเกิดและไก่โต้งวิ่งตามขึ้นมาจากท่าเรือพร้อมกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง
ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏให้เห็น ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ถูกฟ้าผ่าลงมากลางลำต้นและร่วงหล่นลงชนิดถอนรากถอนโคนเช่นนี้ มันต้องเกิดเหตุวิบัติแน่ ไอริชยืนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวหนีหายไปทางไหน เธอรับรู้และเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง อย่างชัดเจน เพียงแต่เธอหาคำอธิบายที่มีเหตุผลไม่ได้เลย
“ลมพัดมาแรง แล้วจู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมากลางต้นไม้ใหญ่ แล้วมันก็ล้มลงชนิดถอนรากขึ้นมาเลย” อารียาพยายามจะอธิบายให้ผู้เป็นตาและชาวบ้านฟัง เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าลุงบรรเจิดไม่ได้อยู่รวมกลุ่มกับชาวบ้านนี้ด้วย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร เขาอาจจะเดินเลี่ยงไปทางอื่นก็เป็นได้
“แล้วไอริชเป็นไรบ้างรึเปล่า ไอริชไม่ได้อยู่ใต้ต้นไม้นั่นใช่มั้ย” ไก่โต้งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง บาดแผลที่ท้ายทอยของเขายังเจ็บปวดอยู่ แต่ ณ เวลานี้ความเจ็บปวดมันถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยที่เขามีให้กับอารียา
“ไอร์ .. เอ่อ .. ไอร์ ถ้าไอร์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั่น ป่านนี้มันคงทับไอร์แบนติดดินไปแล้ว” อารียาพยายามหาข้อแก้ตัว มันฟังดูมีเหตุผลมากกว่าที่เธอจะบอกใครต่อใครว่าเธอเจอชายแปลกหน้า และเขาผู้นั้นเคลื่อนที่ได้ไวกว่าแสง เขาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ด้วยการเคลื่อนย้ายร่างกายเธอออกจากที่เกิดเหตุได้ทัน
“เห็นที หนูไอริชต้องทำบุญครั้งใหญ่แล้วล่ะ เจอแต่เคราะห์ร้ายแบบนี้” ลุงเมย ชายสูงวัยที่อาศัยอยู่บ้านใกล้วัดเอ่ยขึ้น อารียาเป็นเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่จดจำพวกผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ได้ แต่ชาวบ้านแถวนี้ยังจดจำอารียาได้ดี ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ด้วยความน่ารักสดใสและช่างพูดช่างเจรจาของเธอนั่นเองที่เรียกความรักความเอ็นดูได้มากมายทีเดียว
“ใช่ ๆ ต้องผูกข้อมือเรียกขวัญให้หนูไอริชหน่อยนะ ตาอาจ แบบนี้ท่าจะรอดยากนะ จมน้ำสองครั้ง แถมต้นไม้ใหญ่ล้มต่อหน้าอีก” ชาวบ้านต่างพูดจากันเสียงดังเซ็งแซ่ ไก่โต้งพาอารียาเดินแยกตัวออกมาเพราะกลัวเธอจะตึงเครียดกับเสียงพูดจาอันไร้เหตุผลของชาวบ้าน
แต่คนที่ใช้สมองมากกว่าความงมงายอย่างอารียาไม่ได้ตึงเครียดกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไร้สาระนั้นเลย แต่สิ่งที่ทำให้เธอตึงเครียดคือภาพประหลาดในความฝันเมื่อคืน สัตว์ประหลาดที่นอนทับกายเธอมันเหมือนความจริงมากกว่าเหมือนความฝัน พอตื่นมาตอนเช้าก็เจอรอยพญานาค แล้วยังภาพและเสียงประหลาดที่วังน้ำวนอีก ปิดท้ายด้วยชายแปลกหน้าผู้มาพร้อมกับความเร็ว เธอจะต้องเก็บเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้เป็นข้อมูลลับ
อารียาจะต้องหาข้อพิสูจน์ให้ได้ เธอจะไม่ด่วนสรุปโดยที่ยังหาเหตุและผลมาอธิบายที่มาและที่ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด หญิงสาวเดินเท้ากลับไปยังบ้านของคุณตาโดยมีไก่โต้งเดินประคบเคียงข้างอย่างเป็นเกราะป้องกันภัยให้เธอไปตลอดทาง ตาบังอาจผู้เป็นตาเดินตาละห้อยตามท้ายมาติด ๆ เขาทั้งรัก ทั้งห่วงและเป็นกังวลเกี่ยวกับหลานสาวของเขาเหลือเกิน ยิ่งชาวบ้านต่างพูดจากันหนาหูเช่นนี้ เขายิ่งห่วงใยมากมายขึ้นไปอีก เก็บมาคิด เครียดและเป็นกังวลมาตลอดทาง
สองวันต่อมาอารียากลับไปยังวัดแห่งนั้นอีกครั้ง มันเป็นวัดที่อยู่ใกล้บ้านของตาบังอาจมากที่สุดและเป็นวัดที่อยู่ติดริมแม่น้ำโขง หญิงสาวต้องนำอัฐิของมารดามาเก็บไว้ยังวัดแห่งนี้ ไก่โต้งและลุงบรรเจิดช่วยกันยกอัฐิธาตุลงมาจากท้ายรถกระบะของตาบังอาจ พวกเขาทั้งสองบรรจงวางอัฐิธาตุลงกับพื้นที่ถูกปูกระเบื้องอย่างดีเอาไว้แล้ว
ไก่โต้งและลุงบรรเจิดคอยช่วยเหลือและจัดการทุกอย่างให้หมด อารียาและคุณตาเพียงแค่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติทีละขั้นตอนเท่านั้น ถ้าไม่มีสองพ่อลูกคู่นี้ อารียาเห็นทีจะลำบากอยู่ไม่ใช่น้อย เธอไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยในประเพณีแบบไทย ๆ คุณตาของเธอก็เป็นเพียงชายแก่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น 
อารียานั่งคุกเข่าลงกับพื้น เธอต้องถือสายสิญจน์ไว้ในมือ มีพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งมาสวดทำพิธีบรรจุอัฐิให้ หลังเสร็จสิ้นพิธีแล้วพระภิกษุสงฆ์รูปนี้จะต้องเดินเท้าไปธุดงค์ต่อ ไก่โต้งอาสาขับรถไปส่งแต่พระคุณเจ้าท่านปฏิเสธ ท่านจะเดินเท้าไปด้วยตัวเอง
“พระคุณเจ้า พอจะมีเครื่องรางของขลังอะไรเอาไว้ให้ป้องกันภัยร้ายบ้างมั้ยครับ หลานสาวของกระผมเจอเคราะห์หนัก กระผมเป็นห่วงเหลือเกิน” ตาบังอาจพนมมือไว้แนบอก ในนาทีที่จิตใจว้าวุ่นเช่นนี้ ชายชราก็ได้แต่พึ่งใบบุญของพระพุทธศาสนา
“เครื่องรางของขลังนั่นน่ะ อาตมาไม่มีหรอก”
“ไม่มีได้อย่างกันครับ พระคุณเจ้าธุดงค์ไปตามป่าเขา ลำเนาไพร ไหนจะต้องเจอสัตว์ร้ายน้อยใหญ่มากมาย ไม่มีเครื่องรางก็ต้องมีคาถา อาคมบ้างล่ะ ขอกระผมสักคาถา สองคาถา เอาไว้ป้องกันตัวเองและหลานสาว” ตายังอาจยังคงไม่ยอมลดละความพยายาม
“คาถา อาคม อาตมาก็ไม่มี อาตมามีแค่บารมีและเมตตาธรรม พวกสัตว์ร้ายที่มีจิตสื่อถึงธรรมะได้ พวกนี้เขาจะรับรู้ได้ถึงจิตของเรา แค่แผ่เมตตาให้ พวกเขาก็ไม่มาเบียดเบียนเรา” พระภิกษุสงฆ์ผู้แก่พรรษาอธิบายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ยกเว้นแต่ว่า ... ชาติภพที่แล้วจะมีบ่วงกรรมกันมา” แววตาที่เมตตาและรู้แจ้งนั้นจ้องมองมายังอารียา หญิงสาวจ้องมองกลับไปอย่างหาความหมาย เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่พระธุดงค์รูปนี้กล่าว  
“อะไรคือบ่วงกรรม” อารียาเอ่ยถาม
“บ่วงกรรม คือสิ่งที่เรายึดติดเอาไว้ ยึดมั่นเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองต้องหลุดพ้น เหมือนเราเคยให้คำมั่นสัญญาณอะไรกับใครไว้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังคงยึดติดกับคำสัญญา ฝ่ายนั้นก็จะตามทวง มันก็เหมือนเชือกที่จะผูกมัดเราเอาไว้กับสิ่งสิ่งนั้น หรือ คนคนนั้น”
“ในเมื่อเชือกมีสองฝั่ง ผูกมัดคนสองคน แต่ถ้าอีกคนไม่อยากถูกผูกมัด ก็แค่แก้เชือกฝั่งของตัวเองออก ก็แค่นั้น” อารียาเอ่ยขึ้น
“ฝ่ายที่แก้เชือกคือฝ่ายที่ไม่อยากจะยึดติดอีกต่อไป แต่อีกฝ่ายที่ยังไม่ยอมเลิกรา เขาก็จะเฝ้ารอหรือบางคนก็จะตามหา ต่อให้ต้องพลิกฟ้า พลิกแผ่นดิน หรือต้องแลกด้วยอะไร เขาก็จะตามล่าเพื่อให้ได้มาถึงคำมั่นสัญญา นี่ล่ะคือ บ่วงกรรม”
อารียานิ่งงันไป คำพูดของพระภิกษุสงฆ์นี้สามารถอธิบายเหตุและผลได้เป็นอย่างดี เหมือนคนสองคนที่เคยรักกันและมีความสุขด้วยกันมากมาย เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งหมดรักและอยากเลิกรา แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเลิกและไม่ยอมปลดปล่อย ฝ่ายที่หมดรักก็จะถูกตามรังควานอยู่ร่ำไป 
“ทางเดียวที่เราจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมได้ คือต้องทำให้อีกฝ่ายยินยอมเลิกรา หรือไม่ก็ทำลายอีกฝ่ายนั่นเสียจะได้จบ ๆ กันไป เลิกตอแยกันเสียที” อารียากล่าวอย่างเด็ดขาดตามความคิดเห็นของเธอ
พระภิกษุสงฆ์เพียงแค่ส่งยิ้มมาให้อย่างมีเมตตา “ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมเลิกราหรือจะเรียกว่า ปลดปล่อย นั้นคือหนทางที่ดีที่สุด ส่วนการทำลายย่อมมีผลเสียตามมาไม่ช้าก็เร็ว”
อารียากำลังอ้าจะทักท้วงอะไรบางอย่างแต่แล้วเธอก็ตัดสินใจนิ่งเงียบไป เธอมักจะไม่เห็นด้วยกับการทำลายล้างเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น เธอเลือกที่จะแก้ไขสิ่งที่ได้เป็นปัญหาไปแล้วมากกว่าเลือกที่จะทำลายมันทิ้งแล้วเริ่มต้นใหม่ นอกเสียจากว่า ... สิ่งนั้นจะเกินเยียวยาแล้วจริง ๆ
พระภิกษุสงฆ์จากไปโดยที่ตาบังอาจไม่ได้เครื่องรางของขลังและคาถาศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ อารียาและไก่โต้งยืนเคียงข้างกันเพื่อนส่งพระภิกษุสงฆ์ผู้ประเสริฐให้เดินออกธุดงค์ไปยังป่าใหญ่ ลุงบรรเจิดยังคงยืนนิ่งสงบอย่างไร้อารมณ์และความรู้สึกเหมือนเช่นเคย ความศรัทธาที่ลุงบรรเจิดมีนั้นเหมือนเป็นเพียงแค่ปล่อยให้ไหลไปตามน้ำเท่านั้น ไม่ใช่แรงศรัทธาที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจเหมือนชาวบ้านคนอื่น
“ไอร์ขอนั่งอยู่ตรงนี้ตามลำพังกับแม่จะได้มั้ยคะ” อารียาขอเวลาส่วนตัว
ตาบังอาจและไก่โต้งมองหน้ากันอย่างไม่เห็นด้วย หญิงสาวประสบเคราะห์กรรมติดต่อกันถึงสามครั้งในช่วงเวลาเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น การจะปล่อยให้เธออยู่เพียงลำพังจึงไม่ได้รับการอนุมัติจากทั้งสอง อารียามีท่าทีไม่พอใจมากกับการถูกปฏิเสธให้อยู่ตามลำพัง เธอยืนกรานว่าเธอไม่ใช่นักโทษและเธอมีสิทธิส่วนบุคคล
“ให้หนูไอริชอยู่ตามลำพังเถอะ ไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นอีกหรอก นี่มันในวัด สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ใครที่กล้าทำเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ได้ ...” ลุงเจิดหยุดนิ่งไปอย่างชั่งใจ ในที่สุดเขาก็กล่าวมันออกมา “ มันผู้นั้นคงได้รับการลงโทษไปแล้ว”
อารียาจึงได้รับอนุญาตให้อยู่เพียงลำพัง เธอยืนยันว่าจดจำเส้นทางเดินกลับบ้านได้แน่นอนและไม่ต้องการให้ใครอยู่รอ เธออยากนั่งนิ่งอย่างสงบเพื่อหวนระลึกถึงมารดาจนกว่าเธอจะพอใจ สถานที่แห่งนี้มันช่างเงียบเหงาและสงบเหลือเกิน ไร้เสียงรบกวนจากผู้คนมากมายหรือแม้แต่เสียงรถลาที่ขับผ่านก็ไม่ได้ผ่านโสตประสาทเข้ามาให้ได้ยิน
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่นานจนลืมดูนาฬิกา อาหารมื้อแรกของเธอผ่านไปนานเกินกว่าหกชั่วโมงแล้ว ตะวันยามบ่ายแก่ ๆ ส่องแสงอ่อน ๆ เล็ดลอดผ่านกิ่งไม้และใบไม้เข้ามา เธอเริ่มได้ยินเสียงประท้วงในกระเพาะอาหารของตัวเธอเอง อารียาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนแต่แล้วก็ต้องร่วงลงไปอีกครั้ง คงเพราะนั่งนานจนเกินไป ขาทั้งสองข้างของหญิงสาวเริ่มเป็นตะคิว
อารียาทรุดตัวลงไปอีกครั้ง แต่มือที่แข็งแรงกำยำของใครคนหนึ่งคว้าร่างของเธอเอาไว้ เขาออกแรงดึงเบา ๆ ร่างของเธอก็ถลาเข้ามาซบตรงกลางอกอันกว้างใหญ่ หญิงสาวคว้ากล้ามแขนอันกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อไว้ได้ทันอย่างตกใจ เธอแหงนหน้าขึ้นไปมองเจ้าของมัดกล้ามเนื้อนี้เพื่อจะกล่าวขอบคุณ
“คุณ ...” อารียาเอ่ยขึ้นโดยไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป “คุณมาอยู่ตรงนี้นานรึยัง”
“นาน ... พอ ๆ กับคุณ”
“นี่คุณมาแอบดูไอร์นั่งอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ตั้งแต่คุณ ตาบังอาจ ลุงบรรเจิด และไก่โต้งเดินลงจากรถกระป๋องพร้อมอัฐิธาตุของแม่คุณ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มละไม เหมือนเขาเห็นภาพของเธอและทุกคนอยู่ตรงหน้า แต่ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นเขา แล้วทำไมเขาถึงรู้ว่าเธอเคยเรียกรถกระบะของคุณตาว่ากระป๋อง
“คุณเป็นคนแถวนี้เหรอ” อารียาเอ่ยถามอย่างสงสัย หน้างามนั้นจ้องมองมายังชายหนุ่มอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ใช่ ผมเป็นคนต่างถิ่นที่เพิ่งเดินทางมาเพราะมีหตุผลบางอย่างให้ต้องหวนกลับคืนมา เหมือนคุณ”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา