ปริศนาราณี
เขียนโดย Richa
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 15.17 น.
แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2561 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) รอยพญานาค
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอารียานั่งล้อมวงกินอาหารอยู่กับคุณตาและเพื่อนบ้านอีกสองสามคน เช้าวันนี้ที่บ้านของหญิงสาวดูครึกครื้นกว่าทุกวันนั่นเพราะรอยแปลกประหลาดที่ทุกคนต่างพากันเรียกว่ารอยพญานาคปรากฏอยู่บนกระโปรงหน้ารถกระบะคันเก่าที่อารียาเรียกมันว่ากระป๋อง
“โอ มาย ก๊อด! อิส ทู ฮอต!!!” อารียาอุทานออกมาอย่างเผ็ดร้อน ไก่โต้งยื่นกระดาษชำระอย่างดีให้หญิงสาวซับเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาจากไรผมด้านหน้าและด้านข้าง
เบื้องหน้าของหญิงสาวคืออาหารพื้นเมืองที่รสชาติจัดจ้านและสีสันน่าหวาดกลัวสำหรับคนที่ไม่เคยแตะต้องความเผ็ดชนิดถึงพริกถึงขิง ใบหน้าเนียนขาวผุดผ่องตอนนี้กลายเป็นสีแดงก่ำเหมือนสีมะเขือเทศสุกได้ที่ อารียาต้องกินอาหารคำ จิบน้ำคำสลับกันไปพร้อมกับร้องซี๊ดซ๊าดอย่างเผ็ดร้อน
“กินข้าวเหนียวเยอะๆ มันช่วยให้หายเผ็ดได้นะ” ไก่โต้งยื่นกระติบข้าวเหนียวมาให้หญิงสาวผู้อยู่ในอาการเผ็ดร้อนเต็มที่ แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธอย่างทุกข์ทรมาน
“โอ้ ก๊อต! ข้าวเหนียวก็ร้อน อาหารทุกอย่างก็ทั้งร้อนทั้งเผ็ด โดยเฉพาะส้มตำมะละกอจานนี้ สุดยอดความเผ็ดแห่งปีที่ไอร์เคยกินมา” อารียาชี้มือไปที่จานส้มตำสีสันจี๊ดจ๊าด มันแดงเดือดไปด้วยสีของพริก ซ้ำยังมีปลาร้าเป็นตัววางโดดเด่นอยู่ในจาน
“แน่ใจนะว่ามันเรียกว่าตำมะละกอ มันน่าจะถูกเรียกว่าตำพริกมากกว่า” หญิงสาวยังคงปาดเหงื่อที่ไหลหย้อยลงมาตาไรผม พลางซี๊ดปากด้วยความเผ็ดร้อนอย่างต่อเนื่อง เธอเพียงแค่ต้องการจะลิ้มลองอาหารพื้นเมืองในรสชาติที่คนพื้นเมืองเขากินกัน ไม่คิดฝันว่ามันจะเผ็ดร้อนทรมานมากมายขนาดนี้
“ก็บอกแล้วว่าจานนี้มันเผ็ดมาก นี่ไงจานนี้ของไอริช ผมเป็นคนตำให้เองกับมือเลยนะ ใส่พริกครึ่งเม็ด รสชาตินี่เด็ดอย่าบอกใครเชียว” ไก่โต้งเลื่อนจานส้มตำจานพิเศษของหญิงสาวที่เขาลงมือทำมาให้เธอ มันคือส้มตำไทยสีสันสดใส มะละกอสีเขียวอ่อนผสมกับมะละกอที่เกือบสุกสีส้มอ่อน ๆ และแครอท โรยด้วยกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว
“อืม จานนี้เหมาะที่สุด อร่อยที่สุดในโลก แต่ไอร์แค่อยากลองชิมตำพริกดู ม่ายอาวแล้ว จบกัน” อารียารับจานส้มตำของเธอมาถือไว้พร้อมกับใช้ซ้อมตักกินอย่างเอร็ดอร่อย
น้ำเปล่าแช่เย็นกับไก่บ้านย่างช่วยทำให้อารียาหายจากอาการเผ็ดร้อนได้เป็นอย่างดี ส่วนข้าวเหนียวร้อน ๆ นั้นก็ยังคงถือเป็นเมนูโปรดสำหรับลูกครึ่งฝรั่งอย่างอารียาเสมอ มันมีทั้งความแปลกและความอร่อยอยู่ในตัว ไก่โต้งยังคงจดจำได้ดี เขาเตรียมอาหารพื้นเมืองทุกอย่างที่อารียาเคยชื่นชอบเอาไว้ ในรสชาติที่หญิงจากต่างแดนจะลิ้มลองได้
อาหารมื้อนี้เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่สองของวันสำหรับทุกคนแต่มันคือมื้อแรกสำหรับอารียา หญิงสาวผู้เพิ่งเดินทางไกลมาจากต่างแดน ผู้เป็นตาจึงปล่อยให้เธอนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่โดยไม่รบกวนแม้ที่บ้านจะคึกคักไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาตั้งแต่เช้ามืด
ชาวบ้านต่างตื่นเต้นและแปลกใจกับล่องลอยประหลาดที่ปรากฏหน้ากระโปรงรถกระบะของตาบังอาจ มีเพียงไก่โต้งเท่านั้นที่ตื่นเต้นกับการเข้าครัวทำอาหารพื้นเมืองที่อารียาเคยชื่นชอบตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กโดยไม่สนใจรอยประหลาดนี้ แม้แต่เวลานี้ที่ผู้คนเริ่มทยอยกันมามากขึ้นพร้อมดอกไม้ ธูป เทียนและเครื่องบูชา ก็ยังสร้างความตื่นเต้นให้เขาน้อยกว่าหญิงสาวสวยผู้นั่งอยู่ตรงหน้า
“ทำไมชาวบ้านพวกนี้ถึงได้พากันกราบไหว้รอยประหลาดนี่ด้วย” อารียาเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะที่เธอกำลังจิบน้ำเปล่าเย็น ๆ เพื่อช่วยคลายความเผ็ดของอาหาร หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะจ้องมองท่าทีแปลกประหลาดของชาวบ้านอย่างสงสัยใคร่รู้ มันคือท่าทีของคนที่จะเรียกว่าศรัทธาอย่างแรงกล้าก็ใช่ จะเรียกว่างมงายก็ไม่เชิง
“เพราะมันคือรอยพญานาค ชาวบ้านพวกนี้เชื่อว่าพญานาคคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สมควรได้รับการกราบไหว้บูชา” ลุงบรรเจิด ผู้เป็นพ่อของไก่โต้งอธิบายสั้น ๆ
“รอยพญานาค? อะไรคือพญานาค” อารียาเอ่ยถามอย่างสงสัย เธอก็ไม่แตกต่างจากชาวต่างชาติทั่วไปที่ไม่เคยพบเห็น ไม่เคยเจอหรือแม้แต่ได้ยินชื่อของพญานาค
“พญานาคคือสัตว์ในตำนานที่มีเรื่องราวเล่าขานมายาวนานทั้งดีและไม่ดี” ลุงบรรเจิดอธิบาย
“พญานาคคือสัญลักษณ์ของอสรพิษที่มีร่างกายเป็นงูใหญ่ ศีรษะมีหงอนสีทอง นัยน์ตาสีแดง ลำตัวยาวเหยียดของพวกเขานั้นมีเกล็ดเหมือนปลา เกล็ดตามลำตัวนั้นมีหลากหลายสีสันแตกต่างกันออกไปตามชาติตระกูลและบุญบารมีที่สั่งสมมายาวนาน”
“พญานาคบางตนก็ดีงาม นับถือศาสนาพุทธและทะนุบำรุงพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยบรรพกาลที่มีให้เห็นตามตำนานเล่าขานมายาวนาน แต่บางตำนานก็เล่าลือกันว่าพญานาคคืองูใหญ่ ... สัญลักษณ์ของความเคียดแค้นและชิงชัง” ลุงบรรเจิดกล่าว
“ไอร์เคยได้ยินมาว่า ที่ประเทศอินเดีย คนพวกนั้นก็นับถือเหมือนงูเป็นเทพเจ้า”
“ใช่ ตำนานพญานาคบ้างก็บอกว่ามาจากอินเดีย พระพุทธศาสนาก็กำเนิดมาจากอินเดีย จึงมีเรื่องราวกล่าวขานถึงคุณงามความดีมากมาย”
“แล้วไปไงมาไง ทำไมพญานาคถึงย้ายบ้านมาอยู่แม่น้ำโขงได้ล่ะพ่อ” ไก่โต้งที่นั่งฟังอยู่เอ่ยถามบ้าง เขาเกิดและเติบโตมากับเรื่องราวของพญานาคแต่เขาไม่เคยคิดที่จะสนใจอะไรจริงจัง จนกระทั่งเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าท่าทีของหญิงสาวที่เขาหลงใหลนั้นสนอกสนใจเรื่องนี้เหลือเกิน
“พญานาคมันมีมาช้านานก่อนพวกเราทุกคนจะเกิด มันมีอยู่ทุกที่ทุกหนแห่งที่มีแม่น้ำและพื้นดิน มันไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่แต่มันอยู่ที่นี่มานานแล้ว” ลุงบรรเจิดตอบ
“ลุงเจิดบอกว่า พญานาคมีร่างกายเหมือนงูใหญ่ แล้วพวกมันมีพิษเหมือนงูมั้ยคะ หรือว่าเป็นพวกตัวโตแต่ไม่มีพิษ” อารียาเอ่ยถาม
“มีซิ มีตำนานเล่าขานมาว่า ... นานมาแล้ว พญานาคราชตนหนึ่งมีพิษมาก เมื่อพิษนั้นมากมายจนเกินร่างกายจะรับไหว จึงต้องคายพิษออกมาในทุก 7 วันและปล่อยพิษทิ้งไว้กลางป่า พวกต้นตระกูลงูเล็ก งูน้อย ก็จะพากันไปกลืนกินพิษของพญานาคราช งูชนิดไหนไปช้าจึงมีพิษน้อย”
“เช่นนั้น งูเห่า งูจงอางคงจะไปไวที่สุด” อารียาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มอย่างขบขัน
“แล้วที่ชาวบ้านเชื่อว่าพญานาคศักดิ์สิทธิ์นี่คือยังไงคะ?” อารียายังคงตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวลี้ลับแบบฉบับชาวบ้านกลับสร้างความตื่นเต้นสนใจให้กับเธอไม่ใช่น้อย
“ชาวบ้านเชื่อว่าพญานาคสามารถบันดาลโชคลาภ วาสนา และบารมีให้แก่ผู้คนที่เขาเคารพรักและศรัทธาในตัวมันได้” ลุงบรรเจิดตอบคำถามแต่อารียายังคงทำหน้างงงวยแม้เธอจะพูด ฟัง อ่าน เขียนภาษาไทยได้ แต่เธอไม่ใช่คนไทยที่เคยร่ำเรียนในเมืองไทย เธอเกิดและเติบโตที่อังกฤษ เธอจึงไม่เข้าใจภาษาไทยที่ซับซ้อน เธอหันไปมองไก่โต้งเพื่อขอคำอธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ
“พวกชาวบ้านเชื่อว่า ถ้ากราบไหว้พญานาคแล้วจะรวย ประมาณว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอะไรทำนองนี้น่ะ”ไก่โต้งพยายามอธิบายให้หญิงสาวจากแดนไกลฟังแบบเข้าใจแบบง่าย ๆ ตามที่เธอต้องการ
“โอ้ว นี่พวกเขาหวังที่จะร่ำรวยจากการถูกล็อตเตอรี่เหรอคะ พวกเขาจะโชคดีได้จากการกราบไหว้รอยประหลาดนี่จริง ๆ เหรอคะ” อารียาเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างไม่เชื่อว่าความงมงายจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ โลกที่วิ่งตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปไกลแสนไกล
“ถ้าจะรวยมันก็ต้องอยู่ที่นี่ซิ สมองและสองมือ” อารียาพูดพลางใช้นิ้วเรียวยาวของเธอชี้ไปที่ศีรษะและแบมือออกให้เห็นว่ามือของเธอนี่ล่ะที่จะใช้ทำงานเพื่อทำเงิน
“มันก็จริง แต่พวกชาวบ้านบางคน ก็มีสมองไว้จดจำความเชื่อที่งมงายมากกว่าจะนำมันมาคิดทำมาหากิน” ลุงบรรเจิดกล่าวอย่างเห็นด้วย เขาจ้องมองไปยังหญิงสาวผู้ไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังเรื่องราวอันแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอย่างเอ็นดู เขาเห็นเธอตั้งแต่วัยเด็ก เธอคือเด็กหญิงตัวน้อยช่างพูดช่างเจรจานัก โตมาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ลุงบรรเจิดคือข้าราชครูวัยใกล้เกษียณ เป็นผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านต่างนับหน้าถือตาตามประเพณีของคนท้องถิ่นที่มักจะเคารพรักและศรัทธาผู้มีวิชาความรู้และความสามารถ
ลุงบรรเจิดจึงเป็นผู้รู้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเชื่อดั้งเดิมและโลกสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปไกล แต่ส่วนลึกในใจของลุงบรรเจิดนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกันอยู่ แต่เขาก็ไม่อาจจะต้านทานความเชื่ออันงมงายของชาวบ้านได้ เขาจึงได้แต่ปล่อยให้ชาวบ้านเชื่อไปแบบนั้น เพราะน้ำที่กำลังเชี่ยวกรากการเอาเรือเข้าไปขว้างก็ไม่ต่างจากการทำให้ตัวลำบากและเจ็บช้ำเสียเปล่า
“เคยมีใครเห็นมันบ้างมั้ยคะ พญานาคตัวจริง ตัวเป็น ๆ เหมือนที่พวกเราเห็นงู” อารียายังคงมีคำถามค้างคาใจ
“อาจจะเคยหรืออาจจะไม่เคย ไอ้พวกที่เคยเห็นจริง ๆ มันก็ไม่มาปริบอกให้ชาวบ้านรู้หรอก ว่าเคยเห็น มันเป็นเรื่องลี้ลับ มันเหมือนดาบสองคม บางคนเจอแล้วดีงาม แต่บางคนเจอแล้วต้องมีอันเป็นไป” ลุงบรรเจิดตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ในเมื่อไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ แสดงว่ามันอาจจะไม่มีจริงก็ได้” หญิงสาวสรุป
“ไอร์เห็นมีแต่รอยประหลาดที่ถูกแกะสลักลงไปบนกระโปรงรถของคุณตา อาจจะเป็นใครเล่นพิเรนทร์แอบมาวาดตอนที่พวกเราหลับก็ได้นะคะ” อารียาพูดขึ้นในแบบที่เธอคิดโดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงความเชื่อส่วนบุคคลของใคร
“เรื่องนี้มันลี้ลับมาก ไม่มีใครกล้าเล่นพิเรนทร์หรอก หนูไอริชอาจจะไม่เคยสัมผัสกับความลี้ลับดำมืดแบบนี้ ไม่เชื่อก็อย่าเพิ่งลบหลู่ เรื่องแบบนี้ต้องเจอกับตัว กว่าจะรู้ตัวว่าเจอดีเข้าให้บางทีมันก็จะสายจนเกินแก้ไข” ลุงบรรเจิดพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเหมือนครูกำลังสอนศิษย์
อารียายังคงมองไปยังลุงบรรเจิดที่กำลังจิบน้ำดื่มจากขันเงินใบใหญ่ มันคล้ายจะเป็นน้ำดื่มส่วนกลางที่ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวจะต้องดื่มด้วยกัน แต่อารียาปฏิเสธที่จะดื่มด้วยเธอยังไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมเช่นนี้ หญิงสาวจากแดนผู้ดีจึงได้รับขวดน้ำส่วนตัวที่ไก่โต้งจัดเตรียมไว้ให้เธอเป็นพิเศษ
ลุงบรรเจิดและตาบังอาจลุกขึ้นเดินออกจากวงกินข้าวเพื่อไปพูดคุยกับชาวบ้านที่กำลังมุ่งดูรอยพญานาคบนรถกระบะคันเก่า คุณตาของหญิงสาวดูท่าทางตื่นเต้นเหมือนชาวบ้านคนอื่น ๆ ในขณะที่ลุงบรรเจิดมีท่าทีเคร่งเครียดคล้ายกับสิ่งนี้คือลางบอกเหตุร้ายอะไรบางอย่าง
“ไอร์ไม่เข้าใจชาวบ้านพวกนี้จริง ๆ” อารียาเลิกคิ้วงามขึ้นพร้อมกับยักไหล่ หญิงสาวจ้องมองดูชาวบ้านที่เริ่มกราบไหว้อย่างงมงาย บางคนใช้มือถู ๆ ไถ ๆ ไปตามส่วนต่าง ๆ ของรถกระบะเพื่อหาตัวเลข
“เดี๋ยวไว้ไอริชอยู่ไปนาน ๆ ก็เข้าใจเอง มันคือความเชื่อส่วนบุคคล แม้จะดูงมงายไปสักหน่อยแต่พวกที่เชื่อก็เชื่อกันจริง ๆ จังๆ เลย” ไก่โต้งอธิบายอย่างเข้าใจความรู้สึกของอารียา
เขาและเธอไม่ได้พบเจอกันมายาวนานมาก แต่ทั้งคู่ก็ยังคงติดต่อกันอยู่ทางจดหมาย แม้ทุกวันนี้เทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปไกล เพียงคลิกเดียวเรื่องราวของพวกเขาทั้งสองก็ถูกส่งถึงกันผ่านอีเมลแต่ทั้งคู่ยังชื่นชอบวิธีการติดต่อสื่อสารแบบดั้งเดิม นั่นคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือทั้งหมด
เรื่องราวของพวกเขาจึงได้ถูกบอกเล่าผ่านปลายปากกาของกันและกัน ไก่โต้งเฝ้ารอจดหมายจากแดนไกลในแทบทุกวัน ในขณะที่อารียานั้นเธอใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการศึกษาเรียนรู้ ใช้ชีวิตการร่ำเรียนคลุกคลีอยู่แต่กับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
การเขียนจดหมายด้วยลายมือจึงเป็นสิ่งที่ทำให้อารียาชื่นชอบเพราะนาน ๆ ทีเธอจะได้ทำอะไรที่แตกต่างจากชาวบ้าน สวนทางกับกระแสสังคมบ้าง อารียาจึงตอบจดหมายไก่โต้งเดือนละฉบับ ในขณะที่ไก่โต้งเขียนจดหมายร่างไว้รอตอบอารียาวันละฉบับ
“รอบนี้ไอริชมาอยู่นานเลยใช่มั้ย” ไก่โต้งเอ่ยปากถาม เขาอยากจะถามเธอตั้งแต่เมื่อวาน แต่หญิงสาวดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เขาจึงปล่อยให้เธออยู่ตามลำพังโดยไม่คิดว่าเธอจะแอบหนีไปว่ายน้ำเล่นยามค่ำคืนที่ทุกคนในท้องที่ต่างหวาดกลัว
“ใช่ รอบนี้ไอร์มีเรื่องต้องให้ทำมากมาย ไอร์เก็บกระดูกและเถ้าถ่านมาด้วยตามคำสั่งเสียของแม่ แม่บอกไอร์ว่าเถ้าถ่านให้นำไปลอยอังคารที่แม่น้ำโขง ส่วนกระดูกให้นำไปบรรจุไว้ในเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ ไอร์ไม่รู้ว่ามันคืออะไร” หญิงสาวบอกเล่าตามที่เธอได้อ่านจดหมายที่มารดาของเธอเขียนไว้เอาไว้ให้ก่อนตายด้วยลายมือที่เป็นภาษาไทย
“แม่ทิ้งจดหมายฉบับนี้เอาไว้บนเตียงนอน พอไอร์กลับถึงบ้านพ่อก็ยื่นจดหมายให้ไอร์อ่าน" หญิงสาวบอกกล่าวพร้อมยื่นจดหมายพิศวงให้ไก่โต้งอ่าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ