27 pairs of chromosomes ภาค บทกวีของผู้หลงทาง
7.0
เขียนโดย จอมนางค์
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.23 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
6,969 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2561 21.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) แผนที่ (60%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตู้ขนส่งสินค้าที่ผุพังนั้น ทรุดโทรมจนแทบจะจำสภาพเดิมไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่า สิ่งนั้นไม่น่าจะเป็น ‘บ้าน’ ที่ใครจะอาศัยอยู่ได้เลย แต่คนที่พามาก็ยังยืนยันว่า คนที่เขาตามหา อาศัยอยู่ที่นี่
“ถ้าเป็นตาเฒ่าชอว์นักทำนายละก็ ไม่ผิดหรอก หมอนั่นอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวมานานแล้ว”
“...” ดวงตาสีฟ้าลึกล้ำนั้นน้อยคนจะเปรียบเทียบได้ว่าเหมือนกับอะไร ในแอตลาสไม่มีหิมะ คนที่อาศัยอยู่แต่ที่นั่นย่อมไม่เคยเห็น ท้องฟ้าสีครามครึ้มเมื่อยามหิมะโปรยปราย และเมื่อยามจ้องมองอย่างกระด้าง เย็นชา คนถูกมองก็ขนลุกเกรียว หลบสายตาเป็นพัลวัน
ชายหน้าหนูก้มหน้าจนคางจรดอก พึมพำแผ่วเบาผ่านริมฝีปากที่แตกยับเยินว่า
“ผมพูดจริงๆ นะ พี่ชายเข้าไปดูก็ได้นี่นา แล้วก็ช่วยปล่อยผมไปเถอะ... ได้โปรด”
“อือ” เสียงตอบรับสั้นเพราะในยามปกติก็พูดน้อยจนชิน “... นายไปเถอะ”
“อะ... คระ... ครับ พี่ชายขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ”
มิคาเอลไม่หันมองและไม่รับคำขอบคุณของคนที่แทบจะก้มลงคำนับจนศีรษะแตะพื้น เขาก้าวเข้าไปชิดตู้ใบใหญ่ที่มีกลิ่นอับชื้น แหวกม่านที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบซึ่งกั้นเอาไว้แทนประตู ความมืดมิดข้างในทำให้ต้องปรับสายตาอยู่เป็นครู่ ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เสียงทักแหบพร่าก็ดังขึ้น เป็นกังวาน สะท้อนกลับไปกลับมาในตู้โลหะที่ไม่กว้างนัก
“ท่าน... มา”
ชายหนุ่มเหลียวหาต้นเสียงไปรอบๆ เมื่อสายตาค่อยชินกับความมืดก็ได้เห็นว่า คนพูดนั่งพิงผนังด้านหนึ่งอย่างอ่อนระโหย
“...” มิคาเอลปราดเข้าไปประคองชายชรา พยุงให้นอนลง แต่อีกฝ่ายกลับฝืนไว้
ชอว์ ชายชราที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้ว ผู้หลงทางที่ใช้ชีวิตเร่ร่อน ความสามารถของเขาคือญาณหยั่งรู้
“ข้ารออยู่เพื่อจะมอบคำทำนายสุดท้ายแก่ท่าน”
“ข้าต้องการรู้ว่าสุสานอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มแจ้งความจำนง
“ข้ารู้... ข้ารู้ว่าท่านต้องการอะไร”
“...” ดวงตาสีฟ้าราวกับท้องฟ้ายามเมื่อหิมะโปรยปรายจ้องลึกลงในดวงตาพร่ามัวของชายชรา
“ท่านจงไปที่บาร์ ระหว่างเขตการปกครองที่สิบหกและสิบเจ็ด ที่นั่นมีหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอผู้นั้นเก็บงำความลับของสุสานเอาไว้ อา... ช่างน่าสงสาร ช่างน่าสงสาร เจ้าหญิงผู้น่าสงสาร แค่ก...”
“ชอว์!” มิคาเอลทำได้เพียงตกตะลึงเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในความมืด
“ข้ายังมองเห็น...” เสียงพร่า อ่อนระโหยพึมพำ
“คุณเห็นอะไร?”
“ข้าเห็น... ความเศร้าสร้อยที่ไม่อาจหยั่งถึง และ... ความยินดี ที่แสนบริสุทธิ์” ประโยคทำนายสุดท้าย... พรากเอาลมหายใจสุดท้ายจากร่างเล็ก ผอมบาง ของชายชราผู้นั้นไปด้วย
ระหว่างเขตการปกครองที่สิบหกและสิบเจ็ดคับคั่งไปด้วยฝูงชนเพราะนอกจากประชาชนทั้งสองเขตจะเดินทางไปมาหาสู่กันแล้ว ที่นี่ก็ยังอยู่ติดกับอาณาเขตทางฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นเขตฤดูหนาวอีกด้วย
มิคาเอลรู้สึกว่า บรรยากาศของที่นี่ดูอบอุ่นกว่าในเซ็นทรัลแม้อากาศจะเย็นกว่า
ความรู้สึกที่คิดถึงราวกับจะหลั่งไหลเข้ามา...
ผู้คนที่ยิ้มแย้ม ทักทายกัน บ้านที่ไม่ใช่ตึกรูปทรงประหลาดแฝงนัยยะทางการเมือง แต่เป็นบ้านเล็กๆ เรียงราย แลดูอบอุ่น นานแค่ไหนที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้...
บาร์เล็กๆ ที่กินพื้นที่ชั้นล่างของบ้านสองชั้น ประตูทางเข้าฉายภาพโฮโลแกรมเล็กๆ แทนป้ายร้านอ่านได้ว่า โคซี่(cozy) เจ้าของร้านคือหญิงสาวที่มีรอยยิ้มสดใสคอยส่งเสียงต้อนรับผู้มาเยือนอยู่เสมอ เรือนผมยาวสลวยรับดวงตาสีน้ำตาลทองเปล่งประกายสะกดสายตาคนมอง ชุมชนเล็กๆ ระหว่างเขตการปกครองทั้งสองสงบเงียบ และเพราะความสงบเงียบนั้น เอง ‘คนแปลกหน้า’ ที่ผ่านเข้ามา นอกจากจะสะดุดตาแล้วก็ยังเป็นที่จดจำ
ชายหนุ่มผู้มีผมและดวงตาสีทองคนนั้นเปิดประตูร้านและก้าวเข้ามาอย่างเชื่องนี้ ถึงแม้จะรู้ว่ามีสายตาหลายคู่ลอบมองอยู่แต่ทุกก้าวย่างกลับมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน จนเมื่อเขาก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอและทรุดลงนั่งที่เก้าอี้สูงตรงเค้าเตอร์บาร์ หญิงสาวจึงหันมายิ้มต้อนรับ
“โคซี่บาร์ยินดีต้อนรับค่ะ คุณจะรับเครื่องดื่มหรือเปล่า...” ท้ายประโยค น้ำเสียงสดใสนั้นแผ่วลง หญิงสาวเพิ่งจะได้เงยมอง แขกผู้มาใหม่มีดวงตาสีฟ้า... เป็นสีฟ้าที่คุ้นเคยในความทรงจำรางเลือนของวัยเยาว์ บัดนี้... ได้เห็นอีกครั้ง
สีฟ้าในดวงตาคู่นั้นจ้องตอบกลับมาอย่างแน่วแน่
“อบิเกล สั่งเครื่องดื่มหน่อยสิ..” เสียงเรียกจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปทำให้ความคิดหยุดชะงัก หญิงสาวกระวีกระวาดตอบรับพลางวิ่งออกจากหลังเคาน์เตอร์ พยายามสลัดความรู้สึกแปลกประหลาดที่จู่ๆ ก็แล่นเข้ามาเกาะกุมความรู้สึก แต่ทุกอย่างก็ล้มเหลว อบิเกลยังคงสลัดดวงตาสีฟ้าที่จ้องตรงมาไม่หลุด
หญิงสาวกลับมาประจำที่หลังเค้าน์เตอร์หลังจากที่รับออร์เดอร์จากลูกค้ากลุ่มนั้นเสร็จแล้ว ถึงจะสะกดตัวเองให้ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างไรแต่ความรู้สึกก็ยังบอกว่า ชายหนุ่มคนนั้นยังคงจ้องมองหล่อนไม่วางตา
อบิเกลไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาเลย มันเหมือนมีบางอย่างคอยกระซิบบอกว่า ชีวิตสงบสุขที่ผ่านมาได้จบลงแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าที่แลบประกายคมปราบเจือกระแสประหลาด ความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวที่ส่งผ่านมายังความรู้สึกของเธอทำให้หวาดกลัว
“สโนว์ ปริ๊นเซส...” เสียงทุ้มลึก เป็นกังวาน ดังลอดเข้ามากระทบโสตประสาท ปลุกให้ตื่นจากความว้าวุ่นที่แล่นพล่านอยู่ในจิตใจ
สโนว์ ปริ๊นเซส...
เขามาเพราะ ‘เรื่องนั้น’ จริงๆ ด้วย!
หญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานเมื่อครู่กลับชะงักงันเมื่อได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา มิคาเอลรู้ทันทีว่าเธอคือคนที่เขาตามหาอยู่ มือเล็ก ประดับด้วยนิ้วมือเรียวยาวนั้นสั่นน้อยๆ เมื่อเงยขึ้นมอง และฝืนยิ้มให้เขาด้วยใบหน้าซีดเซียว
“ฉันไม่มีเครื่องดื่มแบบนั้นหรอกค่ะ... แต่ถ้าคุณอยากได้เชอร์ชิล[1] หรือสน็อค[2] ฉันก็พอจะเสิร์ฟให้ได้...”
“ฉันจะไปรอข้างนอกร้าน...” เขาพูดอย่างเย็นชาพร้อมกับลุกขึ้นยืน “จะรออยู่จนกว่าเมื่อไรที่เธอพร้อมจะบอก...”
เขาเดินตรงไปที่ประตู เปิดและปิดลงตามหลังอย่างเงียบเชียบ
อบิเกลทำได้เพียงยืนมองจนประตูไม้บานนั้นบดบังแผ่นหลังของเขาจนหมด
สองวันกับการรอคอย พอวันที่สาม มิคาเอลก็ถูกปลุกด้วยละอองฉ่ำชื้นที่พร่างพรายลงมาปะทะกับดวงหน้า
หิมะ... งั้นหรือ?
ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบกาย รอบข้างขาวโพลน ทุกที่... ถูกปกคลุมด้วยหิมะ บ้านเรือสีขาว ความหนาว... หนาวเหน็บ กระทั่งนิ้วมือยังรู้สึกชา
ตรงหน้า... กษัตริย์ผู้ทรงมงกุฎขาว ทอดพระวรกายแน่นิ่ง เพียงลมพระทัยแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่า ยังทรงมีพระชนม์
“แข็งพระทัยไว้กระหม่อม เกล้าจะห้ามพระโลหิต....” เขากระซิบแนบพระกรรณ
“ไม่... อย่าเลย เปล่าประโยชน์” กษัตริย์ตรัสห้ามด้วยพระสุรเสียงขาดห้วง “เอเดรียนา... หานางให้พบ”
“เจ้าหญิงทรงหลบออกนอกปราสาทแล้วกระหม่อม ทรงมีท่านเสนาธิการสเวนคอยถวายอารักขาอยู่” เขาเบนหน้าจากพระวรกายของกษัตริย์ซึ่งชุ่มด้วยพระโลหิต หัวใจทั้งดวงปวดหนึบเมื่อเห็นเปลวไฟกองใหญ่โหมกระพือ ไหม้พระราชวังซึ่งเคยตระหง่านอยู่ท่ามกลางสีขาวของหิมะ ผู้รุกรานจากภายนอกมีอาวุธที่ทรงอานุภาพกว่าเพียงดาบในมือของทหารผู้ปกป้องราชอาณาจักร บิดาของเขาสิ้นแล้วในกองเพลิงนั้น เอาชีพเข้าแลกเป็นราชพลี ปกป้องเจ้าหญิง เชื้อสายแห่งราชบัลลังก์ดังที่เคยได้ถือปฏิญาณไว้
“ไปเถอะ... มีหน้าที่ที่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้...” ชายหนุ่มแนบหูกับพระโอษฐ์ที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ไร้เรี่ยวแรงของราชา “ผนึก...”
“...!!...”
ทิวทัศน์ตรงหน้าเคลื่อนไหว รวดเร็ว รอยแย้มสรวลอ่อนหวาน พระเนตรวาววาม คลอน้ำพระอัสสุชล... เจ้าหญิงโฉมงามที่เคยได้ถือสาบานว่าจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้อง พิทักษ์ไว้ บัดนี้ แม้เพียงจะอาจหาญเอ่ยคำปลอบโยนได้เพียงสักนิดก็หาไม่
“ขอบใจนะ มิคาเอล...” ทรงตรัสเช่นนั้นด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน “เธอใจดีกับฉันเสมอเลย”
มือหนา... สั่นเทา ยกขึ้นแตะเรียวนิ้วยาว งดงาม เพียงแผ่วเบา... จากนั้น... ผลึกน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ราวกับหีบพระศพแก้ว วับแวม เจ้าหญิงโฉมงามที่เขาควรจะปกป้อง
‘เสนาธิการสเวนรู้ดี...ว่า จากนั้น เขาควรทำอย่างไร’ รับสั่งสุดท้ายของกษัตริย์ยังดังก้องหู มิคาเอลหันหลัง เดินจากมาเพียงร่าง... ไร้วิญญาณ เขาไม่รับรู้อะไรอีก ชีวิตจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม... เสียงกล่าวขอบคุณแผ่วเบาของเสนาธิการชราผู้ภักดี...
ชายหนุ่มจำได้เพียงอย่างเดียวคือรอยแย้มสรวลอ่อนหวานนั้น... สตรีผู้เดียวที่อยากจะปกป้อง
มิคาเอลกลับผนึกเอาไว้ในโลงน้ำแข็งเย็นเยียบ ราวกับฆ่าให้ตายทั้งเป็น!
[1] เหล้าที่หมักจากผลไม้ มีรสหวานและเฝื่อน
[2] เครื่องดื่มที่ผสมเหล้าที่หมักจากพืชที่มีคาโบไฮเดรตสูงในอุณหภูมิต่ำ ผสมกับสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอม
“ถ้าเป็นตาเฒ่าชอว์นักทำนายละก็ ไม่ผิดหรอก หมอนั่นอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวมานานแล้ว”
“...” ดวงตาสีฟ้าลึกล้ำนั้นน้อยคนจะเปรียบเทียบได้ว่าเหมือนกับอะไร ในแอตลาสไม่มีหิมะ คนที่อาศัยอยู่แต่ที่นั่นย่อมไม่เคยเห็น ท้องฟ้าสีครามครึ้มเมื่อยามหิมะโปรยปราย และเมื่อยามจ้องมองอย่างกระด้าง เย็นชา คนถูกมองก็ขนลุกเกรียว หลบสายตาเป็นพัลวัน
ชายหน้าหนูก้มหน้าจนคางจรดอก พึมพำแผ่วเบาผ่านริมฝีปากที่แตกยับเยินว่า
“ผมพูดจริงๆ นะ พี่ชายเข้าไปดูก็ได้นี่นา แล้วก็ช่วยปล่อยผมไปเถอะ... ได้โปรด”
“อือ” เสียงตอบรับสั้นเพราะในยามปกติก็พูดน้อยจนชิน “... นายไปเถอะ”
“อะ... คระ... ครับ พี่ชายขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ”
มิคาเอลไม่หันมองและไม่รับคำขอบคุณของคนที่แทบจะก้มลงคำนับจนศีรษะแตะพื้น เขาก้าวเข้าไปชิดตู้ใบใหญ่ที่มีกลิ่นอับชื้น แหวกม่านที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบซึ่งกั้นเอาไว้แทนประตู ความมืดมิดข้างในทำให้ต้องปรับสายตาอยู่เป็นครู่ ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เสียงทักแหบพร่าก็ดังขึ้น เป็นกังวาน สะท้อนกลับไปกลับมาในตู้โลหะที่ไม่กว้างนัก
“ท่าน... มา”
ชายหนุ่มเหลียวหาต้นเสียงไปรอบๆ เมื่อสายตาค่อยชินกับความมืดก็ได้เห็นว่า คนพูดนั่งพิงผนังด้านหนึ่งอย่างอ่อนระโหย
“...” มิคาเอลปราดเข้าไปประคองชายชรา พยุงให้นอนลง แต่อีกฝ่ายกลับฝืนไว้
ชอว์ ชายชราที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้ว ผู้หลงทางที่ใช้ชีวิตเร่ร่อน ความสามารถของเขาคือญาณหยั่งรู้
“ข้ารออยู่เพื่อจะมอบคำทำนายสุดท้ายแก่ท่าน”
“ข้าต้องการรู้ว่าสุสานอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มแจ้งความจำนง
“ข้ารู้... ข้ารู้ว่าท่านต้องการอะไร”
“...” ดวงตาสีฟ้าราวกับท้องฟ้ายามเมื่อหิมะโปรยปรายจ้องลึกลงในดวงตาพร่ามัวของชายชรา
“ท่านจงไปที่บาร์ ระหว่างเขตการปกครองที่สิบหกและสิบเจ็ด ที่นั่นมีหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอผู้นั้นเก็บงำความลับของสุสานเอาไว้ อา... ช่างน่าสงสาร ช่างน่าสงสาร เจ้าหญิงผู้น่าสงสาร แค่ก...”
“ชอว์!” มิคาเอลทำได้เพียงตกตะลึงเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในความมืด
“ข้ายังมองเห็น...” เสียงพร่า อ่อนระโหยพึมพำ
“คุณเห็นอะไร?”
“ข้าเห็น... ความเศร้าสร้อยที่ไม่อาจหยั่งถึง และ... ความยินดี ที่แสนบริสุทธิ์” ประโยคทำนายสุดท้าย... พรากเอาลมหายใจสุดท้ายจากร่างเล็ก ผอมบาง ของชายชราผู้นั้นไปด้วย
ระหว่างเขตการปกครองที่สิบหกและสิบเจ็ดคับคั่งไปด้วยฝูงชนเพราะนอกจากประชาชนทั้งสองเขตจะเดินทางไปมาหาสู่กันแล้ว ที่นี่ก็ยังอยู่ติดกับอาณาเขตทางฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นเขตฤดูหนาวอีกด้วย
มิคาเอลรู้สึกว่า บรรยากาศของที่นี่ดูอบอุ่นกว่าในเซ็นทรัลแม้อากาศจะเย็นกว่า
ความรู้สึกที่คิดถึงราวกับจะหลั่งไหลเข้ามา...
ผู้คนที่ยิ้มแย้ม ทักทายกัน บ้านที่ไม่ใช่ตึกรูปทรงประหลาดแฝงนัยยะทางการเมือง แต่เป็นบ้านเล็กๆ เรียงราย แลดูอบอุ่น นานแค่ไหนที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้...
บาร์เล็กๆ ที่กินพื้นที่ชั้นล่างของบ้านสองชั้น ประตูทางเข้าฉายภาพโฮโลแกรมเล็กๆ แทนป้ายร้านอ่านได้ว่า โคซี่(cozy) เจ้าของร้านคือหญิงสาวที่มีรอยยิ้มสดใสคอยส่งเสียงต้อนรับผู้มาเยือนอยู่เสมอ เรือนผมยาวสลวยรับดวงตาสีน้ำตาลทองเปล่งประกายสะกดสายตาคนมอง ชุมชนเล็กๆ ระหว่างเขตการปกครองทั้งสองสงบเงียบ และเพราะความสงบเงียบนั้น เอง ‘คนแปลกหน้า’ ที่ผ่านเข้ามา นอกจากจะสะดุดตาแล้วก็ยังเป็นที่จดจำ
ชายหนุ่มผู้มีผมและดวงตาสีทองคนนั้นเปิดประตูร้านและก้าวเข้ามาอย่างเชื่องนี้ ถึงแม้จะรู้ว่ามีสายตาหลายคู่ลอบมองอยู่แต่ทุกก้าวย่างกลับมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน จนเมื่อเขาก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอและทรุดลงนั่งที่เก้าอี้สูงตรงเค้าเตอร์บาร์ หญิงสาวจึงหันมายิ้มต้อนรับ
“โคซี่บาร์ยินดีต้อนรับค่ะ คุณจะรับเครื่องดื่มหรือเปล่า...” ท้ายประโยค น้ำเสียงสดใสนั้นแผ่วลง หญิงสาวเพิ่งจะได้เงยมอง แขกผู้มาใหม่มีดวงตาสีฟ้า... เป็นสีฟ้าที่คุ้นเคยในความทรงจำรางเลือนของวัยเยาว์ บัดนี้... ได้เห็นอีกครั้ง
สีฟ้าในดวงตาคู่นั้นจ้องตอบกลับมาอย่างแน่วแน่
“อบิเกล สั่งเครื่องดื่มหน่อยสิ..” เสียงเรียกจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปทำให้ความคิดหยุดชะงัก หญิงสาวกระวีกระวาดตอบรับพลางวิ่งออกจากหลังเคาน์เตอร์ พยายามสลัดความรู้สึกแปลกประหลาดที่จู่ๆ ก็แล่นเข้ามาเกาะกุมความรู้สึก แต่ทุกอย่างก็ล้มเหลว อบิเกลยังคงสลัดดวงตาสีฟ้าที่จ้องตรงมาไม่หลุด
หญิงสาวกลับมาประจำที่หลังเค้าน์เตอร์หลังจากที่รับออร์เดอร์จากลูกค้ากลุ่มนั้นเสร็จแล้ว ถึงจะสะกดตัวเองให้ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างไรแต่ความรู้สึกก็ยังบอกว่า ชายหนุ่มคนนั้นยังคงจ้องมองหล่อนไม่วางตา
อบิเกลไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาเลย มันเหมือนมีบางอย่างคอยกระซิบบอกว่า ชีวิตสงบสุขที่ผ่านมาได้จบลงแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าที่แลบประกายคมปราบเจือกระแสประหลาด ความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวที่ส่งผ่านมายังความรู้สึกของเธอทำให้หวาดกลัว
“สโนว์ ปริ๊นเซส...” เสียงทุ้มลึก เป็นกังวาน ดังลอดเข้ามากระทบโสตประสาท ปลุกให้ตื่นจากความว้าวุ่นที่แล่นพล่านอยู่ในจิตใจ
สโนว์ ปริ๊นเซส...
เขามาเพราะ ‘เรื่องนั้น’ จริงๆ ด้วย!
หญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานเมื่อครู่กลับชะงักงันเมื่อได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา มิคาเอลรู้ทันทีว่าเธอคือคนที่เขาตามหาอยู่ มือเล็ก ประดับด้วยนิ้วมือเรียวยาวนั้นสั่นน้อยๆ เมื่อเงยขึ้นมอง และฝืนยิ้มให้เขาด้วยใบหน้าซีดเซียว
“ฉันไม่มีเครื่องดื่มแบบนั้นหรอกค่ะ... แต่ถ้าคุณอยากได้เชอร์ชิล[1] หรือสน็อค[2] ฉันก็พอจะเสิร์ฟให้ได้...”
“ฉันจะไปรอข้างนอกร้าน...” เขาพูดอย่างเย็นชาพร้อมกับลุกขึ้นยืน “จะรออยู่จนกว่าเมื่อไรที่เธอพร้อมจะบอก...”
เขาเดินตรงไปที่ประตู เปิดและปิดลงตามหลังอย่างเงียบเชียบ
อบิเกลทำได้เพียงยืนมองจนประตูไม้บานนั้นบดบังแผ่นหลังของเขาจนหมด
สองวันกับการรอคอย พอวันที่สาม มิคาเอลก็ถูกปลุกด้วยละอองฉ่ำชื้นที่พร่างพรายลงมาปะทะกับดวงหน้า
หิมะ... งั้นหรือ?
ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบกาย รอบข้างขาวโพลน ทุกที่... ถูกปกคลุมด้วยหิมะ บ้านเรือสีขาว ความหนาว... หนาวเหน็บ กระทั่งนิ้วมือยังรู้สึกชา
ตรงหน้า... กษัตริย์ผู้ทรงมงกุฎขาว ทอดพระวรกายแน่นิ่ง เพียงลมพระทัยแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่า ยังทรงมีพระชนม์
“แข็งพระทัยไว้กระหม่อม เกล้าจะห้ามพระโลหิต....” เขากระซิบแนบพระกรรณ
“ไม่... อย่าเลย เปล่าประโยชน์” กษัตริย์ตรัสห้ามด้วยพระสุรเสียงขาดห้วง “เอเดรียนา... หานางให้พบ”
“เจ้าหญิงทรงหลบออกนอกปราสาทแล้วกระหม่อม ทรงมีท่านเสนาธิการสเวนคอยถวายอารักขาอยู่” เขาเบนหน้าจากพระวรกายของกษัตริย์ซึ่งชุ่มด้วยพระโลหิต หัวใจทั้งดวงปวดหนึบเมื่อเห็นเปลวไฟกองใหญ่โหมกระพือ ไหม้พระราชวังซึ่งเคยตระหง่านอยู่ท่ามกลางสีขาวของหิมะ ผู้รุกรานจากภายนอกมีอาวุธที่ทรงอานุภาพกว่าเพียงดาบในมือของทหารผู้ปกป้องราชอาณาจักร บิดาของเขาสิ้นแล้วในกองเพลิงนั้น เอาชีพเข้าแลกเป็นราชพลี ปกป้องเจ้าหญิง เชื้อสายแห่งราชบัลลังก์ดังที่เคยได้ถือปฏิญาณไว้
“ไปเถอะ... มีหน้าที่ที่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้...” ชายหนุ่มแนบหูกับพระโอษฐ์ที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ไร้เรี่ยวแรงของราชา “ผนึก...”
“...!!...”
ทิวทัศน์ตรงหน้าเคลื่อนไหว รวดเร็ว รอยแย้มสรวลอ่อนหวาน พระเนตรวาววาม คลอน้ำพระอัสสุชล... เจ้าหญิงโฉมงามที่เคยได้ถือสาบานว่าจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้อง พิทักษ์ไว้ บัดนี้ แม้เพียงจะอาจหาญเอ่ยคำปลอบโยนได้เพียงสักนิดก็หาไม่
“ขอบใจนะ มิคาเอล...” ทรงตรัสเช่นนั้นด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน “เธอใจดีกับฉันเสมอเลย”
มือหนา... สั่นเทา ยกขึ้นแตะเรียวนิ้วยาว งดงาม เพียงแผ่วเบา... จากนั้น... ผลึกน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ราวกับหีบพระศพแก้ว วับแวม เจ้าหญิงโฉมงามที่เขาควรจะปกป้อง
‘เสนาธิการสเวนรู้ดี...ว่า จากนั้น เขาควรทำอย่างไร’ รับสั่งสุดท้ายของกษัตริย์ยังดังก้องหู มิคาเอลหันหลัง เดินจากมาเพียงร่าง... ไร้วิญญาณ เขาไม่รับรู้อะไรอีก ชีวิตจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม... เสียงกล่าวขอบคุณแผ่วเบาของเสนาธิการชราผู้ภักดี...
ชายหนุ่มจำได้เพียงอย่างเดียวคือรอยแย้มสรวลอ่อนหวานนั้น... สตรีผู้เดียวที่อยากจะปกป้อง
มิคาเอลกลับผนึกเอาไว้ในโลงน้ำแข็งเย็นเยียบ ราวกับฆ่าให้ตายทั้งเป็น!
[1] เหล้าที่หมักจากผลไม้ มีรสหวานและเฝื่อน
[2] เครื่องดื่มที่ผสมเหล้าที่หมักจากพืชที่มีคาโบไฮเดรตสูงในอุณหภูมิต่ำ ผสมกับสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ