high school detective คู่ป่วนปริศนา ไขคดีฆาตกรรม
เขียนโดย จอมนางค์
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.50 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 21.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทแรก เด็กหนุ่มผู้มองเห็น 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เหม่ออะไรล่ะครับ หลับในรึไง?” น้ำเสียงเย็นชาและห้วนสั้นปลุกให้สารวัตรโรจน์ตื่นจากภวังค์ความคิด อคิราห์ที่เคยน่ารักเย็นชาขึ้นทุกวันๆ เมื่อห้าปีก่อนที่ไล่เขาออกจากบ้านก็เพิ่งจะอายุสิบสองแท้ๆ เป็นเด็กเป็นเล็กยังกล้าขออยู่บ้านคนเดียว แถมตอนนั้นเจ้าตัวยังพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนจนคนเป็นลุงแทบจะร้องไห้เสียเอง
‘ผมกำลังจะขึ้นชั้นมัธยมแล้วนะ ไม่อยากให้ผู้ปกครองไปส่งที่โรงเรียนเหมือนเด็กประถมหรอก ต่อจากนี้จะขึ้นรถเมล์ด้วยตัวเอง ตารางเรียนมัธยมก็แน่นเอี้ยดต่างกับสมัยประถม ค่าใช้จ่ายผมจะใช้เงินที่พ่อส่งมาให้ ลุงอยู่ไปก็เป็นภาระเปล่าๆ อาหารก็ต้องให้ผมทำเผื่อแถมยังต้องให้ผมซักเสื้อผ้าให้ตลอด ถ้าจะมาอยู่เพื่อเบียดเบียนกันละก็ออกๆ ไปซะ’
ในฐานะคนเป็นลุง ฟังแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล ขนาดไปถึงที่ทำงานยังต้องนั่งหดหู่เป็นวันๆ
เรามันไร้ประโยชน์...
ครั้นพอขึ้นมัธยมปลาย เจ้าตัวก็ยังประกาศว่าจะสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่ฟังเสียงค้านของเขา อคิราห์ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนทุกวันทั้งๆ ที่เขาเป็นห่วงแสนห่วง ขนาดวิฬาเองยังบ่นว่าอยากให้นั่งรถประจำ เธออุตส่าห์นั่งหาข้อมูลเป็นวันๆ จ่ายค่ามัดจำที่นั่งไปแล้ว อคิราห์ก็ยังไม่ยอมรอขึ้นรถ คนขับรถมารอเก้อทุกวัน
โรจน์รู้หรอก หลานชายพยายามเข้มแข็งก็เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาเปรียบเขา อยากจะพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด ที่ไล่เขาออกจากบ้านก็เพราะอยากให้กลับไปอยู่กับภรรยา การที่เจ้าตัวประกาศว่าจะไปโรงเรียนเอง ตอนนั้นเด็กชายก็ต้องลำบากมาก ที่รู้ก็เพราะเขาขับรถตามรถเมล์ที่หลานชายนั่งอยู่เป็นปีๆ ถึงได้ค่อยคลายใจ
อคิราห์ยังเป็นหลานรักที่เขาและวิฬาห่วงอยู่เสมอ เจ้าตัวก็คงรู้ถึงได้พยายามไม่ก่อปัญหา ระวังตัวแจจนกลายเป็นไม่สุงสิงกับใคร นิสัยแบบนั้นทำให้ถูกมองว่าเป็นเด็กเฉยเมยไม่สมกับวัย อายุแค่สิบเจ็ดแท้ๆ กลับมีดวงตาเฉียบคมและใบหน้าเย็นชาเอาเรื่อง ถึงจะขี้หงุดหงิดไปบ้างแต่ก็สงบเร็ว ประณีประนอมง่ายและใจเย็นเกินคาดเหมือนพวกคุณลุง อคิราห์เกลียดเรื่องวุ่นวายแต่ก็ไม่เคยนิ่งเฉยถ้าเห็นคนต้องเดือดร้อนอยู่ตรงหน้า รูปร่างหน้าตาก็เป็นแบบที่เด็กสาวๆ ชอบ ทั้งร่างกายสูงโปร่งและไหล่กว้างเหมือนพ่อ ผิวละเอียดเหมือนแม่ คงจะดีกว่านี้ถ้าหลานชายรู้จักออกไปสนุกแบบวัยรุ่นคนอื่นหรือมีแฟนสาวบ้างแต่นี่เจ้าตัวกลับใช้เวลาในช่วงวันหยุดหมดไปกับการทำงานบ้านและฟังเพลง
อสิตาคงโกรธที่พี่ชายทำหน้าที่แทนตัวไม่ได้เรื่องสักอย่าง!
“ลุงครับ ผมมีผ้าที่ยังไม่ได้ซักอีกเป็นตะกร้า ถึงจะเป็นเด็กมอปลายก็ไม่ได้ว่างหรอกนะ ว่ายังไงล่ะ?” เจ้าตัวถามย้ำ น้ำเสียงยังราบเรียบไร้โทนเหมือนเดิม ออกจะมีกังวานเหนื่อยหน่ายใจด้วยซ้ำ
ยิ่งเห็นก็ยิ่งเศร้าใจ
ผู้เป็นลุงได้แต่ถอนหายใจน้อยๆ
“อย่าเย็นชานักสิ” สารวัตรต่อคำ
‘ยังจะมาทำพูด’ เด็กหนุ่มคิดขณะมองคนเป็นลุงตัวใหญ่เท่ารูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์ที่นั่งโงกเงกอยู่บนโซฟา รอบๆ ตัวมีแต่ออร่าสีตุ่นๆ แผ่กระจายออกมาอย่างอ่อนแสง สีของมันวูบๆ วาบๆ ริบหรี่เหมือนเทียนจวนจะดับ เป็นอย่างนี้ทุกทีเวลามีคดีใหญ่ๆ แล้วก็เป็นอย่างทุกทีอีกเหมือนกัน เวลามีคดีที่ไขไม่ออก สารวัตรโรจน์ รุ่งโรจน์ จะต้องวิ่งมาหาเขา
อคิราห์มีประสาทรับรู้ที่แปลกประหลาดมาตั้งแต่เด็กคือเขาจะมองเห็นและรับรู้รูปแบบของอารมณ์ บุคลิกภาพเป็นสีสันที่เปล่งออกมาจากตัวคน เป็นแสงที่มีสีต่างๆ กันไปตามอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของคนในขณะนั้น สีของความตื่นเต้นตกใจ วิตกกังวล หวาดกลัวบอกออกมาจากความรู้สึกนึกคิดที่ยากจะควบคุม แตกต่างจากคำพูดซึ่งโกหกได้ง่าย อคิราห์จะมองสีเหล่านั้นแล้วนำมาวิเคราะห์ เขาก็เป็นเหมือนเครื่องจับเท็จที่วิเคราะห์คำพูดและการกระทำของผู้ต้องสงสัยได้อย่างอิสระต่างจากการวิเคราะห์โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ยุ่งยาก จริงอยู่ว่าการวิเคราะห์ของเขาได้ผลมากกับเหตุการณ์ซึ่งหน้าและช่วยคลี่คลายคดีมามากต่อมาก แต่มันก็มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน
การอ่านความรู้สึกจากสีของอารมณ์ บอกความรู้สึกของมนุษย์ทั้งหมดไม่ได้ พอโตขึ้นก็ได้เจอผู้คนหลากหลายแบบ เทียบไม่ได้เลยกับผู้คนที่เคยผ่านมาเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก การอ่านคนจากอารมณ์ความรู้สึกจึงยิ่งยาก มีบางสีเหมือนกันที่เขาแยกไม่ถูกว่ามันเกิดจากอารมณ์แบบไหนกันแน่ สำหรับอคิราห์ มันกลับจะเป็นปัญหาเสียมากกว่า ที่สำคัญคือ กับคดีที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ความสามารถของเขายิ่งมีความแม่นยำลดลงเป็นธรรมดา อธิบายได้ง่ายๆ โดยหลักเหตุและผลที่ไม่ซับซ้อนดังเช่นหลังจากพลั้งมือฆ่าคนไปหมาดๆ ฆาตกรย่อมมีความตื่นเต้นตกใจและหวาดกลัว ความรู้สึกนั้นแทบจะเข้าขั้นช็อก อารมณ์ที่แสดงออกมาจะรุนแรงมากจนแทบไม่ต้องใช้การวิเคราะห์เข้าช่วยเลย ถ้ามีผู้ต้องสงสัยยืนเรียงกันอยู่สามคน คนที่เป็นฆาตกรตัวจริงย่อมมีสีรุนแรงมากกว่าอีกสองคนที่ไม่ได้ก่อเหตุอย่างเทียบไม่ติด แต่ในทางกลับกัน หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วหลายวัน ผู้ร้ายตัวจริงย่อมใจเย็นลงเพราะมีเวลาได้คิด ไตร่ตรองมากขึ้น นิ่งนอนใจว่าที่ยังไม่ถูกจับอาจเพราะตำรวจสงสัยคนอื่นมากกว่า หรือยังหาหลักฐานไม่ได้ อารมณ์จะนิ่งมากขึ้น ถึงมีความกังวลแสดงออกมาแต่ก็ใกล้เคียงกับการเปล่งสีของผู้ต้องสงสัยอื่นๆ ต่างกับผู้ต้องสงสัยอื่นๆ ที่มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเพราะถูกเรียกสอบปากคำทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีความผิด อาจคิดว่าตำรวจปักใจสงสัยตัวเอง ถึงจะรู้ตัวว่าไม่มีความผิด แต่ความหวาดกลัวว่าจะถูกใส่ร้ายหรือจับผิดตัว ทำให้ความกลัวมีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากความเครียดและวิตกกังวล สีที่แสดงออกมาอาจชัดเจนและรุนแรงเสียยิ่งกว่าฆาตกรตัวจริงเสียอีก
อคิราห์มองลุงแท้ๆ ของตนพลางลอบถอนหายใจ
คราวนี้ก็คงไม่พ้นเอาเรื่องเดือดร้อนมาให้อีก
“เรื่องฆาตกรรมลูกสาวนักการเมืองคนนั้นใช่ไหมละครับ นั่นมันผ่านมานานแล้ว ผมช่วยลุงไม่ไหวหรอก ทำไมไม่ให้ช่วยตอนที่เรื่องมันเพิ่งจะเกิดล่ะ?”
อคิราห์ถาม ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นลุง
“ก็ไม่อยากรบกวนนี่นา คิดว่าจะลองลงมือสืบเองอย่างเต็มที่เสียก่อน เดี๋ยวจะหาว่าตำรวจไทยบ่มิไก๊ เผื่อว่าได้ก็ดีไป...”
‘แล้วมันได้ไหมล่ะ?’ หลานชายได้แต่ถามอยู่ในใจ
“เสียใจ มาตอนนี้ผมก็ช่วยอะไรลุงไม่ได้แล้ว!” เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไย
“โถ่... แค่นิดเดียวก็ยังดี” สารวัตรทำเสียงอ้อนวอน
“หัดสืบคดีเองเสียบ้างสิ ลุงหรือผมกันแน่ที่เป็นตำรวจ?” เด็กหนุ่มตอกย้ำอย่างเจ็บแสบ
“อย่าพูดงั้นสิ อุตส่าห์หอบรูปมาให้ดูถึงที่ ไม่ได้ให้ไปนั่งจับผิดสีใครเสียหน่อย แค่อยากให้ช่วยคิดน่ะ คดีนี้มันยุ่งยากมากจริงๆ”
“...” เด็กหนุ่มได้แต่มองผู้มาเยือนที่ทำหน้าออดอ้อนไม่เข้ากับอายุด้วยสีหน้าเอือมๆ ก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง
“เดี๋ยวจะลองตามให้แล้วกัน” เจ้าตัวพูดเนิบนาบขณะกดโทรศัพท์
“โทร.หาใครน่ะ?” ตอนที่ถาม นายตำรวจใหญ่ก็วางเอกสารปึกเบ้อเร่อลงบนโต๊ะรับแขกเสียแล้ว สีหน้ามีความหวังจนน่าหมั่นไส้นั้นทำเอาเด็กหนุ่มต้องถอนหายใจ เวลาที่พูดกับเขา ลุงยังติดกริยาขี้เล่นเหมือนพูดกับเด็กอยู่เสมอ ไม่เหมือนตอนพูดกับลูกน้องในเวลางานที่ดูองอาจมาก สำหรับลุง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเขาก็คงเป็นเด็กอยู่ตลอด
“คนรู้จักครับ ลุงก็เคยเจอแล้ว” เขาตอบแบบเดิม
“ฮัลโหล...” เจ้าของเลขปลายทางเพิ่งจะรับสายหลังจากที่โทร.ถึงสามครั้งทำเอาหงุดหงิดไปเหมือนกัน อคิราห์บอกตัวเองว่าถ้าจะพูดกับ ‘หมอนั่น’ ต้องใจเย็นๆ
“นั่นนายกำลังทำอะไร?” เด็กหนุ่มถาม นานเป็นครู่ น้ำเสียงเนิบนาบเหมือนคนไร้เรียวแรงจึงตอบกลับมา
“ฉันกำลังฝึกนอนโดยไม่หลับตาอยู่น่ะ”
“อะไรนะ?” เขาแทบจะวิ่งไปล้างหูเสียใหม่แล้วค่อยกลับมาฟัง
“การนอนโดยไม่หลับตายังไงล่ะ... วิเศษไปเลยนะถ้าเราแอบหลับในห้องเรียนได้โดยที่ครูไม่รู้”
ทำไมหมอนี่จึงมักใช้ความพยายามไปกับเรื่องแบบนี้นะ!
“ช่างเถอะ” เขาตั้งสติได้ในที่สุด “จะช่วยมาบ้านฉันหน่อยได้ไหม? ตอนนี้มีเรื่องให้ช่วยน่ะ” เด็กหนุ่มขอร้องโดยไม่อรัมภบท
“เสียใจ” อีกฝ่ายตอบปฏิเสธโดยไม่อรัมภบทเช่นกัน “ฉันกำลังฝึกหนักอยู่เลยตอนนี้ คงไม่ว่างไปช่วย” เสียงเนือยๆ นั่นมันกวนโทสะสิ้นดี!
ถึงใจจะคิดแบบนั้น แต่ปากกลับพูดไปอีกอย่างหนึ่ง
“ฉันจะทำอาหารให้นายทั้งอาทิตย์เป็นค่าตอบแทนถ้านายยอมช่วย” ปลายสายส่งเสียงแกรกกรากนิดหน่อยก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบรับ
“ได้...” ด้วยน้ำเสียงชวนหลับ “ฉันอาจไปถึงช้าหน่อย แต่นายจะมีโคล่าให้ดื่มหลังอาหารใช่ไหม?” เจ้าตัวเอ่ยถึงของโปรดเป็นอันดับแรก
“อือ เดี๋ยวจะเตรียมไว้ให้” อคิราห์หันไปมองลุงเล็กน้อยพลางคิดในใจว่า วันนี้คงมีเรื่องปวดหัวถึงสองเท่า
อา... วันหยุดของฉัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ