high school detective คู่ป่วนปริศนา ไขคดีฆาตกรรม

-

เขียนโดย จอมนางค์

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.50 น.

  4 ตอน
  4 วิจารณ์
  6,410 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 21.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เด็กหนุ่มผู้ปราดเปรื่องและเฉื่อยชาในเวลาเดียวกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทสอง เด็กหนุ่มผู้ปราดเปรื่องและเฉื่อยชาในเวลาเดียวกัน

                รูปภาพที่แสดงศพของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนอนสงบนิ่ง ดวงหน้าขาวซีด ‘ดูดี’ กว่ารูปถ่ายของศพอื่นๆ ที่นายตำรวจร่างยักษ์เคยให้ดูมา หล่อนเหมือนคนหลับอย่างธรรมดานี่เอง ถ้าไม่ได้ทราบมาก่อนว่าเป็นรูปของผู้เสียชีวิต ก็คงจะคิดว่าหล่อนแค่หลับไปเท่านั้น ที่ผิดปกติคือบริเวณรอบคอซึ่งมีรอยรัดเขียวช้ำ

                “ถูกรัดคอจนตาย ไม่มีร่องรอยต่อสู้ขัดขืน คนร้ายคงจะทำให้สลบก่อนจะลงมือ” เสียงของนายตำรวจฟังดูอ่อนระโหยเมื่อมองดูหญิงสาวซึ่งนอนสงบอยู่ในภาพถ่าย หล่อนสวย แต่ความสดใสกลับถูกความตายพรากเอาไปเสียแล้ว

                “ทำไมตำรวจมุ่งประเด็นสืบสวนไปทางฆ่าชิงทรัพย์ล่ะครับ?” อคิราห์วางรูปถ่ายในมือ ถอนหายใจเฮือกอย่างไม่สบายอารมณ์

                เอารูปคนตายมาให้ดูแต่เช้า!

                ข้างๆ เขามีเด็กหนุ่มอีกคน สถานะของคนคนนี้นับไปแล้วก็ประหลาดชอบกล ไม่ใช่ทั้งคนร่วมบ้านแต่ก็พาตัวเองมานั่งร่วมโต๊ะอาหารอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เพื่อนกันแต่ก็มีเหตุให้ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยตลอด ตอนนี้ก็กลายเป็นคุ้นชินไปเสียแล้ว เจ้าตัวกำลังตั้งหน้าตั้งตานั่งจ้วงข้าวคลุกพะแนงหมูหลังจากที่เหลือบมองรูปในมือเขานิดหน่อย จากนั้นก็ทำท่าว่าไม่สนใจอีก ท่าทางเซื่องๆ กับใบหน้าตายด้านบ่งบอกนิสัยเอื่อยเฉื่อยของเจ้าตัว ทั้งๆ ที่มักจะใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการนอนแท้ๆ แต่กับเรื่องอาหารการกินแล้วกลับกระตือรือร้นจนน่าเหลือเชื่อ ผมยาวระต้นคอชี้โด่เด่เป็นกระเซิง เสื้อผ้าสะอาดดีแต่ก็ยับย่นหลายแห่งอาจเพราะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวบวกกับนิสัยขี้เกียจตัวเป็นขน  รูปร่างผอมบาง ผิวซีดเหมือนคนขาดสารอาหารทั้งๆ ที่กินเป็นยัดทะนาน อคิราห์พบคนคนนี้ครั้งแรกเมื่อตอนต้นเทอมในฐานะประธานชมรมวิจัยทางทะเลที่เขายื่นใบสมัครส่งๆ ไปเพราะไม่อยากยุ่งยากแต่ที่ไหนได้กลับต้องเจอเรื่องยุ่งยากยิ่งไปกว่าเก่าเสียอีก

                อธิษฐาน หรเวชสกุลมีความหมายแทนเรื่องยุ่งยากทั้งมวลในจักรวาล

                “เพราะข้าวของถูกรื้อค้นและทรัพย์สินมีค่าก็หายไปเกือบหมดด้วย” สารวัตรใหญ่ตอบหลานชายพลางยื่นรูปในมือให้เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งเคี้ยวข้าวในปากหยับๆ อยู่ตรงข้ามก่อนจะคว้ากระป๋องน้ำอัดลมดื่มปิดท้ายเป็นอันเสร็จพิธี

                โรจน์เคยเจออธิษฐานแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนในคดีฆาตกรรมนักร้องสาวที่คาเฟ่แห่งหนึ่งซึ่งเจ้าตัวทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านใกล้ๆ ครั้งนั้นเขาได้ทราบจากหลานชายว่าอธิษฐานเป็นเพื่อนที่โรงเรียน ดูก็รู้ว่าเป็นการพูดแบบขอไปที อคิราห์สนิทกับคนยาก เพื่อนที่โรงเรียนก็มีคนเดียวที่เคยพามาบ้าน กับเด็กหนุ่มตรงหน้า หลานชายเหมือนถูกลากไปตกกระไดพลอยโจนด้วยเสียมากกว่า ไม่รู้ว่าเป็นมายังไงถึงไปอยู่ในคาเฟ่ที่เกิดเหตุกับอธิษฐานได้ทั้งๆ เจ้าตัวเบื่อการออกไปนอกบ้านอย่างกับอะไรดี

                อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กหนุ่มอธิษฐานจอมสันหลังยาวคนนี้ก็เป็นคนหูตาไวพอสมควร ขนาดคดีคราวก่อน เจ้าตัวยังออกความเห็นที่ช่วยให้คลี่คลายคดีได้มาแล้ว อคิราห์คงอยากได้ความคิดเห็นถึงขนาดยอมยุ่งยากทำอาหารเข้าล่อ

                อคิราห์เกลียดเรื่องยุ่งยากก็จริง แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วก็จะช่วยจนกว่าจะบ่นว่า ‘ไม่ไหวแล้วลุง...’ อยู่ดี

                อธิษฐานรับรูปถ่ายสภาพห้องเละเทะไปวางเรียง สลับภาพวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง พอมุมภาพชนมุมภาพจนน่าจะได้สภาพห้องที่ใกล้เคียงกับห้องจริงมากที่สุดก็เห็นความผิดปกติ เจ้าตัวหาวออกมาหวอดหนึ่ง พอหนังท้องตึง หนังตาก็ชักจะหย่อน อยากจะหลับเต็มแก่ รีบๆ ทำให้จบๆ แล้วค่อยไปนอนดีกว่า

                “เคยเก็บของมีค่าไว้ที่ราวม่านหรือเปล่าครับ?” คำถามแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะเจ้าตัวพูดไปด้วยหาวไปด้วย

                “ใครจะไปเก็บของทีค่าไว้ในที่แบบนั้น” สารวัตรตอบทันที

                “นั่นสินะ” นอกจากจะไม่ให้ความกระจ่างแล้ว เด็กหนุ่มยังลูบท้องก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ดวงตาปรือจะปิดไม่ปิดแหล่ เห็นความเฉื่อยระดับนั้นแล้ว คนมองก็อดหงุดหงิดไม่ได้

                “นั่นสินะอะไร ของแบบนี้จะต้องถามด้วยเรอะ! ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นแหละ”

                ไอ้เด็กนี่มันน่าหมั่นเขี้ยวชะมัด!

                “นั่นสิ ของแบบนี้ผมเป็นโจรผมก็รู้” เจ้าตัวยังตอบทั้งๆ ทำท่าไม่ใส่ใจ

                “ว่าไงนะ!” สารวัตรที่ไม่ได้หลับได้นอนเพราะงานนี้มาหลายวันชักจะเสียงดังขึ้นทุกทีๆ

                “อะ...” อคิราห์เสียอีกที่เห็นความผิดปกติตามที่อธิษฐานพูดไว้

                อย่างนี้มัน... ถูกรื้อมากไปหรือเปล่า ตะกร้าผ้าที่ถูกเทออก ม่านถูกกระชากจนหลุดจากราวตรงมุมภาพที่ถูกเลื่อนมาชนกัน ถึงยังไงก็ไม่มีใครเก็บสิ่งของมีค่าเอาไว้ในที่แบบนั้นอยู่แล้ว

                “ลุงได้ผู้ต้องสงสัยไหม?” คำถามนี้มาจากอคิราห์

                “ตอนแรกก็เหมือนจะมี ตอนนี้ไม่มีแล้ว” สารวัตรทำหน้าเซ็ง

                “ทำไมครับ?”

                “เธอสั่งรูมเซอร์วิสตอนประมาณสี่โมงเย็น ตอนแรกก็คิดว่า บ๋อยหรือใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในครัวตอนนั้นอาจจะเป็นคนใส่ยาสลบลงในอาหารให้เธอกิน แล้วจากนั้นก็ลงมือฆ่าเธอเพื่อชิงทรัพย์ก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ในกระเพาะอาหารของเธอกลับไม่มีอาหารที่เธอสั่งไปจากรูมเซอร์วิสเลยน่ะสิ แถมพอตรวจในระบบทางเดินอาหารของผู้ตายก็ไม่พบยานอนหลับด้วย”

                “เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ข้อสันนิษฐานแรกแล้วครับลุง ถ้าคนร้ายถึงขนาดวางยาสลบเพื่อจะขโมยทรัพย์สินก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนครับ มันสิ้นคิดเกินไป” หลานชายทำหน้าครุ่นคิด

                “อะไรนะ?”

                “หัวขโมยที่เข้ามาขโมยของ จุดประสงค์ก็คือทรัพย์สิน เพราะอย่างนั้นถึงได้เรียกว่าเป็นคดีลักทรัพย์ถูกไหมครับ แค่ทำให้เหยื่อหลับแล้วขโมยของออกไปก็พอเพราะเหยื่อที่หลับย่อมขัดขืนไม่ได้อยู่แล้ว การฆ่าเหยื่อมันไร้เหตุผลเกินไป ลักทรัพย์กับฆาตกรรมระดับความรุนแรงมันเทียบกันไม่ติดเลย”

                “เรื่องนี้ก็คุยๆ กันอยู่ตอนที่ประชุม คิดว่าอาจจะเพราะถูกผู้ตายเห็นหน้าก็ได้นะ” นายตำรวจถอนหายใจ “แบบที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ยังไงล่ะ... ระหว่างที่แอบปีนเข้ามาในห้องและกำลังรื้อค้นทรัพย์สิน จู่ๆ ผู้ตายก็เดินเข้ามาเห็นพอดี ถึงได้ทำให้สลบแล้วก็ฆ่าซะ เพราะถ้าแค่ทำให้สลบเพียงอย่างเดียว พอตื่นขึ้นมาเธอก็ยังจำหน้าได้อยู่ดี แค่เรื่องถูกจำหน้าได้แบบนี้ก็ถูกจับยัดตารางกันมาหลายรายแล้ว แต่ว่า...”

                “ไม่มีร่องรอยการต่อสู้...” เด็กหนุ่มพึมพำ นั่นคือปัญหาของสารวัตรร่างใหญ่เช่นกัน

                ถ้าดูจากรูป สภาพข้าวของในห้องกระจัดกระจายมากก็จริง ทั้งม่านที่หลุดจากราวทั้งตะกร้าผ้าใช้แล้วที่ล้มกระจาย บางอย่างถูกทำลายทิ้งแต่ที่ไม่สอดคล้องกันก็คือการที่ไม่มีร่องรอยใดๆ บนตัวของผู้ตายที่บ่งชี้ว่ามีการต่อสู้ขัดขืน ถ้าจะบอกว่าต่อสู้กันแล้วทำให้ผู้ตายสลบ บอกว่าผู้ตายสลบอยู่ตั้งแต่แรกยังจะมีความเป็นไปได้มากกว่า

            อคิราห์ขบริมฝีปาก ในสมองครุ่นคิด

            ผู้ตายรับยาสลบเข้าไปในร่างกายเอง... คิดได้แบบนี้แบบเดียวเท่านั้น และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ...

                “...” ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังมีความคิดสับสน ผู้มากวัยกว่ากลับนิ่งเงียบ

                จะรู้ตัวหรือไม่ก็แล้วแต่ อคิราห์มักจะเป็นอย่างนี้เสมอเวลาได้เจอคดียากๆ ทั้งที่เจ้าตัวก็บ่นว่าเบื่อแล้วก็ยังพยายามจะหลีกเลี่ยง แต่เมื่อไรที่เลี่ยงไม่ได้ก็มักจะตั้งอกตั้งใจทำ เหมือนจะรีบๆ ทำให้เสร็จๆ ไป แต่ความจริงแล้ว ความตั้งอกตั้งใจนั้นเข้าขั้นหมกมุ่น แม้จะแสดงออกเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับขี้กังวลและเป็นห่วงคนอื่นอยู่เสมอ

                สารวัตรโรจน์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงพึมพำมาจากคนที่ทำท่าเหมือนหลับไปแล้ว               อธิษฐานตัวเล็กกว่าอคิราห์ขนาดยิ่งเทียบก็ยิ่งเห็นชัด เสียงพูดก็ยังนุ่มนิ่ม ทั้งชวนฟังและชวนง่วงในเวลาเดียวกันขณะอคิราห์มีเสียงที่ทุ้มและนุ่มมีพลังมากกว่า

                “ถ้าเหยื่อสลบอยู่ก่อนที่จะลงมือ เธอก็ไม่เห็นคนร้าย เอาไปบอกใครไม่ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นการรื้อผ้าในตะกร้ากับกระชากผ้าม่านจนหลุดจากราวก็มีความเป็นไปได้ทางเดียวคือเพื่อ ‘อำพราง’ จุดประสงค์แท้จริงของคนร้าย”

                “อะ... นั่นสินะ!” สารวัตรที่ตัวโตยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าตกใจสุดขีดขณะหลานชายนั่งเฉยคงเพราะคิดได้มาแต่แรกแล้ว

                “ลองสลับกันดูสิครับ เดิมคนร้ายจงใจทำให้ดูเหมือนการชิงทรัพย์เป็นเรื่องหลัก ส่วนการฆ่าเป็นเหตุรอง ถ้าเห็นสภาพนั้น ใครๆ ก็ต้องคิดว่ามีคนร้ายเข้ามาขโมยของแต่กลับเจอเจ้าของห้องแล้วเธอก็เลยถูกฆ่าทิ้ง ที่คนร้ายพลาดก็คือไม่มีร่องรอยต่อสู้บนตัวผู้ตาย ความขัดแย้งนี้ทำให้เกิดช่องโหว่ในการสืบสวน เราจะถมช่องโหว่นี้ได้เมื่อคิดในทางกลับกัน ถ้าจุดประสงค์หลักของเขาคือการฆ่าเหยื่อแล้วใช้การชิงทรัพย์เพื่ออำพรางจุดประสงค์ที่แท้จริง ช่องโหว่นั้นก็จะหายไป การรื้อค้นในที่ที่น่าสงสัยและไม่มีเหตุผลก็จะได้รับคำตอบ” เสียงนุ่ม ราบเรียบราวกับคนไม่มีแรงยังคงพูดทั้งๆ ไม่ยอมเงยหน้าจากโต๊ะ

                “ไอ้... บ้าเอ๊ย!” สารวัตรกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ “โดนมันหลอกเต็มๆ เปาเลย”

                ก็หลอกง่ายดีนักนี่... อธิษฐานได้แต่คิดในใจเพราะถ้าพูดออกมาคงถูกโมโห มีหวังกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก

                “แต่ที่ฉันคิดไม่ตกคือเรื่องที่คนร้ายทำให้เหยื่อสลบได้ยังไงโดยไม่ได้แตะต้องเธอเลย คิดได้แค่ว่าถ้าไม่มีคนวางยาเธอ เธอก็อาจจะรับยาเข้ามาเองด้วยความไม่รู้” อคิราห์ถอนหายใจ

                “หมายถึง ...เธอจะกินยานอนหลับเองน่ะหรือ” นายตำรวจคงจะเบลอเพราะอดนอนมาหลายวัน ยิ่งปกติเป็นคนเถรตรงสุดกู่จึงมักไม่คิดอะไรซับซ้อน

                “ลุงพูดเองนะครับว่าไม่พบยานอนหลับในทางเดินอาหารของผู้ตาย อีกอย่างอย่าด่วนสรุปเองขนาดนั้นสิ สมมติฐานต่างหาก ผมแค่บอกว่ามีความเป็นไปได้สองทางคือถ้าไม่มีใครให้ยากับเธอ สมมติฐานที่สองคือเธอรับยาเองก็อาจจะเป็นไปได้”

                “พูดให้งง” ลุงยักษ์เกาหัวแกรกขณะเด็กหนุ่มคิดว่า

                ลุงเข้าใจยากเองต่างหาก

                “อีกอย่าง... ตอนนี้ผมมีเรื่องที่คิดยังไงก็ไม่ลงตัวอยู่”

                “อะไร?”

                “ถ้าเป้าหมายจริงๆ คือการฆ่า... การที่คนร้ายทำให้เหยื่อสลบแล้วรัดคอ ก่อนจะอำพรางว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ มันไม่เปล่าประโยชน์ไปหน่อยหรือ”

                สารวัตรเฒ่าทำท่างงๆ “หมายความว่ายังไง”

                อคิราห์หันมามองอย่างเบื่อหน่าย เขานั่งนิ่งอยู่เป็นครู่จึงพูดว่า

                “ถ้าเป็นผม... จับเหยื่อผูกคอจะดีกว่า อำพรางว่าเป็นการฆ่าตัวตายจะได้ไม่ต้องมานั่งรื้อห้องผู้ตายให้เกิดพิรุธ เหยื่อเองก็ขัดขืนไม่ได้แล้ว” โรจน์เสียวสันหลังวาบเมื่อคิดภาพหญิงสาวที่ถูกหยิบยื่นความตายให้ทั้งๆ ขณะที่หลับ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ว่าน่ากลัวแล้ว หล่อนยังมีสิทธิ์ถูกคิดว่าฆ่าตัวตายโดยที่ความจริงไม่ใช่เลย

                ในกรณีที่เป็นการฆ่าตัวตายโดยการผูกคอตายนั้น พยาธิสภาพจะใกล้เคียงกับศพที่ถูกรัดคอมาก ต่างกันตรงที่ร่องรอยการต่อสู้ของเหยื่อ ถ้าเป็นอย่างแรกส่วนมากจะพบเพียงบาดแผลที่คอจากการดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น อาจมีรอยเล็บข่วนที่บริเวณรอบๆ รอยเชือกบ้างจากอาการทุรนทุรายดังกล่าว แต่ในกรณีที่มีการฆ่ารัดคอที่พบโดยทั่วไปมักจะพบร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้กับคนร้ายบนร่างเหยื่อ ยกเว้นแต่ว่า ในกรณีที่เหยื่อถูกทำให้หมดสติหรือไม่อาจต่อสู้ขัดขืนได้จากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง การอำพรางโดยการแขวนคอเหยื่อที่หมดสติให้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายจึงพิสูจน์ได้ยาก ยิ่งในกรณีของครูสาวรายนี้ ไม่พบทั้งยานอนหลับในกระเพราะอาหารหรือทางเดินอาหาร และไม่มีบาดแผลจากการต่อสู้ใดๆ บนร่างกาย การอำพรางให้เป็นการฆ่าตัวตายจึงยิ่งดูจะง่ายขึ้นและสมเหตุสมผลกว่าการอำพรางให้เป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์

                ทำไมคนร้ายถึงเลือกวิธีหลัง?

                “คนร้ายอาจจะเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงที่ตัวเล็กและมีแรงน้อยกว่าผู้ตายก็อาจแขวนคอเหยื่อได้ยาก เขาถึงเลือกจะอำพรางโดยการรัดคอและทำให้ดูเหมือนฆ่าชิงทรัพย์” โรจน์นิ่วหน้าใช้ความคิด สีหน้าดูยิ่งยุ่งยากใจไปกว่าเก่า

                สองลุงหลานนั่งนิ่ง คดีก็เหมือนจิ๊กซอว์ ถ้าค้นหาทีละชิ้นส่วนและนำเข้ามาต่อกันให้ได้มากที่สุด ถึงจะไม่ครบแต่ก็พอมองเห็นรูปคดีและตีวงคนร้ายได้บ้าง ตอนนี้ได้ชิ้นส่วนมามากขึ้นแต่ก็เหมือนยังขาดส่วนที่สำคัญที่สุดไป

                “ใครเป็นคนพบศพครับ?” อธิษฐานถามพลางผงกศีรษะขึ้นจากโต๊ะ ดวงตาที่สะลึมสะลือเมื่อครู่มีประกายเฉียบคมขึ้นมาแวบหนึ่ง

                “ทำไมหรือ? จริงอยู่ว่าผู้พบศพคนแรกก็ต้องเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย แต่เขามีหลักฐานที่อยู่แน่นหนามาก”

                “ขยะที่ถูกรื้อตรงมุมซ้ายของภาพที่สาม” อธิษฐานพยักเพยิดไปที่รูปบนโต๊ะ “ในนั้นมีริบบิ้นเยอะผิดปกติ ที่ห้องของเธอก่อนหน้านั้นจัดงานเลี้ยงสักอย่างแต่งานที่ได้ของขวัญมากขนาดนี้คงเป็นวันเกิด โดยธรรมชาติแล้ว เช้าหลังจากจัดงานเลี้ยงวันเกิดคนเรามักจะแกะของขวัญ” เขาพูดยาวกว่าปกติ

                “ก็ใช่คืนก่อนวันที่จะพบศพของเธอ เธอจัดปาร์ตี้วันเกิด” สารวัตรตอบอึ้งๆ เขามึนไปเลยที่เด็กหนุ่มท่าทางเอื่อยๆ คนนั้นรู้ได้ถึงขนาดนี้ทั้งๆ ที่แค่มองภาพ แต่เรื่องที่เด็กหนุ่มรู้ก็ไม่ได้ตอบคำถามว่า เพราะอะไรเขาจึงถามหาผู้พบศพคนแรก “ที่นายพูดมา ไม่เห็นจะมีอะไรเกี่ยวกับผู้พบศพคนแรก”

                “อา... นั่นสินะ แต่ช่วยตอบหน่อยดีกว่าครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจทำเอาคนมองหนวดกระตุกแต่ก็ยอมตอบคำถามแต่โดยดี

                “สามีของรุ่นพี่สมัยมหา’ลัยของเธอน่ะ เขาเป็นสัตวแพทย์ ชื่อวสันต์ ความจริงเมียเขาสั่งให้มารับผู้ตายไปกินข้าวที่บ้านเพราะเป็นวันเกิดเมียเขาน่ะนะ”

                “สั่งให้สามีมารับรุ่นน้องสมัยเรียนไปกินข้าวในวันเกิดตัวเองหรือครับ?” อคิราห์ถาม

                “เขาว่าสนิทกันนี่ เมียเขาก็บอกว่าหลังจากจบก็มาสอนอยู่ที่เดียวกัน เป็นโรงเรียนที่พ่อของผู้ตายมีหุ้นส่วนอยู่ด้วย ฉันขอรูปมาใบหนึ่ง”

                รูปที่ถูกดึงออกมาให้ดูนั้นเป็นรูปถ่ายสามคน เห็นได้ชัดว่าถ่ายในงานสังสรรค์กันงานใดงานหนึ่ง ชายที่ชื่อวสันต์เป็นคนผอมสูงและแก้มตอบแต่รอยยิ้มและดวงตายาวใหญ่ออกเค้าอ่อนโยน อายุคงอยู่ในราวสามสิบกลางๆ คุณครูสาวผู้ตายฉีกยิ้มให้กับกล้องดูมีความสุข คงจะไม่คิดว่าอีกไม่นานตัวเองจะต้องจากโลกนี้ไปอย่างโหดร้าย ถัดไปทางซ้ายมือที่ติดกับนายวสันต์คือหญิงสาวรูปร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อและดูจะขี้อาย ขนาดถ่ายรูปก็ยังระวังเนื้อระวังตัวไม่ให้ยิ้มมากเกินไป เดาไม่ยากว่าหล่อนคือภรรยาของวสันต์เพราะเขาโอบไหล่หล่อนอย่างสนิทสนม

                “รูปนี้ถ่ายในงานคืนนั้นหรือเปล่าครับ?” อธิษฐานถอนหายใจ รู้สึกว่าในอกหนักอึ้งเหมือนมีหินถ่วงทับ โรจน์ได้แต่มอง เขายังไม่รู้อยู่ดีว่าเด็กหนุ่มคิดจะทำอะไร นายตำรวจเหลือบมองหลานชาย คดีในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกิดมาพักหนึ่งแล้ว ความสามารถของอคิราห์จึงไม่ได้ถูกนำออกมาใช้งานยกเว้นในด้านการสันนิษฐาน เขาอ่านอารมณ์ของคนจากภาพไม่ได้ก็จริง แต่ที่สนใจตอนนี้คงเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ชื่ออธิษฐานมากกว่า หลานชายใช้แววตาเฉียบคมจ้องไปที่อีกฝ่ายเขม็งคงจะ ‘เห็น’ ในสิ่งที่เขาหรือใครคนอื่นมองไม่เห็น ความสามารถในการไขคดีของอธิษฐานเข้าขั้นน่ากลัว เขาสังเกตมาตั้งแต่คดีครั้งก่อนแล้ว แต่อคิราห์คงเห็นอะไรมากกว่านั้นและปรารถนาจะรู้ว่าเพราะอะไร และคงเพราะอยากจะจับสังเกตคนตรงหน้ามากกว่า อคิราห์จึงเลือกที่จะเงียบและปล่อยให้ความคิดอีกฝ่ายโลดแล่น

                “ในงานวันเกิดของผู้ตาย ก่อนวันที่จะพบศพของเธอหนึ่งวัน”

                “ถ้า... อย่างนั้นก็คงจะเป็นวันนั้น” เด็กหนุ่มผู้เฉื่อยชาพึมพำ

                “อะไรหรือ?” นายตำรวจใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดเหงื่อบนหน้าผาก ระยะนี้ ขนาดอดข้าวหลายวันเขายังออกจะเจ้าเนื้อ รู้สึกว่าร้อนง่าย และแม้จะอยู่ในห้องแอร์ก็ยังเหงื่อท่วม

                “แหวนน่ะ” เจ้าตัวตอบพลางจิ้มนิ้วไปบนรูป

                “มีอะไรอยู่บนแหวนหรือ?”

                “...” คนถูกถามหันมองด้วยสีหน้าเอือมระอา “มันเป็นแหวนคู่ครับ ถึงจะคนละสี คนละแบบ แต่มันมีความสัมพันธ์กัน”

                “...” โรจน์ชะโงกมองมืออวบป้อมของภรรยานายวสันต์ ออกจะงงเพราะเจ้าหล่อนไม่ได้สวมแหวน

                “เปล่า” เด็กหนุ่มพูด “แหวน... ที่นิ้วของผู้ตาย กับนายวสันต์!”

                “หือ!” สารวัตรร่างใหญ่ผงกตัวทันทีก่อนจะเอื้อมมาคว้ารูปไปดู

                “คนละสี คนละลาย แต่มีความสัมพันธ์กัน เคยเห็นเสื้อครอบครัวไหมครับ?”

                “แบบที่มีเสื้อพ่อ เสื้อแม่ เสื้อลูกหรือที่มีฉายาไม่ก็คำเรียกน่าขนลุกน่ะเหรอ?” สารวัตรทำท่าขนลุกขนพอง

                “ใช่ ไม่จำเป็นต้องเป็นลายเดียวกันหรือสีเดียวกัน แค่มีนัยยะเป็นความสัมพันธ์กัน”

                “หมายความว่า...” สารวัตรกลืนน้ำลาย “เป็นชู้หรือ?”

                “...” เด็กอีกฝ่ายยืนนิ่ง ไม่พยักหน้าตอบรับหากก็ไม่ได้ปฏิเสธ อีกนานต่อมาจึงพูดว่า “ผมเห็นในรายงานว่า ศพไม่มีเครื่องประดับและของมีค่าติดกาย แต่แหวนนั่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของราคาถูก ถ้าเป็นการฆ่าเพื่อหวังทรัพย์จริงๆ คนร้ายก็คงไม่เอาแหวนใส่เล่นแบบนั้นไปด้วย แหวนนี่ถูกพบในที่เกิดเหตุหรือเปล่าครับ?”

                สารวัตรส่ายหน้า กลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนจะพูดว่า “เลวใช้ได้เลยนะเนี่ย สวมแหวนคู่กับชู้ ต่อหน้าภรรยาและคนทั้งงาน”

                ถึงจะไม่ค่อยได้กลับไปหวานแหววกับเมียที่บ้าน แต่สารวัตรโรจน์ขึ้นชื่อว่ารักและเคารพคุณนายเป็นที่สุด เขาจึงรับไม่ได้กับเรื่องราวการทรยศคู่ชีวิตในลักษณะนี้

                “กลับกัน ...ถ้าฝ่ายหญิงเป็นคนที่ต้องการเสียเองล่ะครับ?”

                “เมียเขาน่ะหรือ?”

                อธิษฐานเกาหัวแกรก

                “ผู้ตายต่างหาก”

                อ้อ... สารวัตรทำหน้าบรรลุ

                “ถ้ากลับกันคนที่ต้องการให้เปิดเผยความสัมพันธ์นี้คือผู้ตายละก็ เธออาจจะเอาเรื่องความสัมพันธ์นี้มาเป็นข้อต่อรอง บีบบังคับให้เขาสวมแหวนวงนี้มาในงานที่เมียของเขาและเพื่อนๆ ของเธอก็มาด้วย นายวสันต์คนนี้ก็จะมีแรงจูงใจในการฆ่าผู้ตาย ถ้าเขาไม่ต้องการเปิดเผยความสัมพันธ์ นั่นก็สอดคล้องกับการที่เขาจะปลดแหวนออกไปด้วยเพื่อไม่ให้มีตำรวจสืบค้นถึงความสัมพันธ์ของเขากับผู้ตายในภายหลังโดยใช้เรื่องการฆ่าชิงทรัพย์มาบังหน้า”

                “เพราะอย่างนี้... เขาถึงเลือกอำพรางให้เป็นการฆ่าชิงทรัพย์มากกว่าอำพรางให้เป็นการฆ่าตัวตายซีนะ เพื่อไม่ให้ใครสะกิดใจเรื่องแหวนบนนิ้วผู้ตายที่หายไป อ๊ะ!” สารวัตรอุทาน “แต่เขามาพบศพพร้อมกับพนักงานดูแลตึกนะ เขาไขประตูเข้าไปไม่ได้เพราะประตูเป็นประตูระบบล็อคอัตโนมัติ กล้องวงจรปิดที่ลานจอดรถจับภาพเขาที่เอารถเข้ามาจอดตอนก่อนพบศพยี่สิบนาที ตอนที่เขาเดินเข้าในล็อบบี้ก็ก่อนพบศพสิบห้านาที กล้องตรงทางเดินหน้าห้องผู้ตายจับภาพของเขาได้ก่อนพบศพสิบนาที พอเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบเขาก็ลงไปแจ้งพนักงาน ทั้งหมดยี่สิบนาทีก่อนพบศพ กล้องวงจรปิดจับภาพของเขาเอาไว้ตลอด เหยื่อเสียชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะมาพบเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น เขาขับรถออกมาจากบ้านอย่างนั้นก็จะเสียเวลามาก ในเวลาอย่างนั้นอาจจะเสียเวลาเป็นหนึ่งถึงสองชั่วโมง”

                “แล้วถ้าเขาอยู่กับหล่อนตลอดตั้งแต่คืนงานวันเกิดละครับ” เด็กหนุ่มสะโหลสะเหล เหมือนจะหมดความสนใจในคดีตรงหน้า ทิ้งตัวลงบนโซฟา ขยับนิดหนึ่งให้เข้าที่ก่อนจะหลับไปทั้งอย่างนั้น พูดพร้อมหาวหวอดสุดท้ายว่า “ถ้าเขาอยู่กับหล่อนมาตลอดนับตั้งแต่คืนที่จัดงานวันเกิด ถ้านับกันจริงๆ ก็แค่คืนเดียวเท่านั้น วันต่อมาเขาอยู่กับหล่อนทั้งวันถึงบ่าย ฆ่าหล่อนแล้วปีนออกไปจากห้อง วนรถกลับเข้ามาจอดและให้กล้องวงจรปิดจับภาพไปจนถึงหน้าห้อง อาศัยกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานที่อยู่ให้ตัวเอง”

                ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ สารวัตรนิ่งขึงราวกับต้องคำสาป

                “ถะ... ถ้าอย่างนั้น...” สารวัตรตะกุกตะกัก แต่อธิษฐานไม่อยู่ตอบคำถามเขาอีกแล้ว อีกฝ่ายหลับปุ๋ย ส่งเสียงครางฮือเบาๆ ในลำคอ คนที่ตอบรับความคิดของสารวัตรคืออคิราห์ที่ยืนฟังมาตลอด

                “ครับ... ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า เมียของเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย อย่างน้อยก็ให้การเท็จเรื่องที่ให้สามีออกไปรับผู้ตาย”

                เขามองลุงที่ทำงานเป็นตำรวจมายี่สิบกว่าปี โรจน์ไม่ใช่ตำรวจที่ไร้ความสามารถ ทำผลงานเป็นเป็นที่น่าพอใจเพื่อนร่วมงานก็ยังยกย่อง แต่การไขคดีในครั้งนี้แม้แต่เขาเองก็ยังอดทึ่งในการสันนิษฐานของอธิษฐานไม่ได้ ใช้เวลาคิดเพียงไม่นานอีกฝ่ายก็จับทุกอย่างมาเชื่อมโยงกัน มองเห็นความผิดปกติต่างๆ จับผิดพฤติกรรมและหาเหตุผลรองรับได้อย่างไร้ข้อสงสัย นักเรียนมัธยมปลายมีความสามารถขนาดนี้เลยหรือ?

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา