โซ่เสน่หา
-
เขียนโดย จอมนางค์
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.33 น.
5 session
0 วิจารณ์
7,122 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 19.45 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ2
ขบวนของชีคอันวานกลับมาถึงปราการแคว้นซิลวาร์เมื่อตอนหัวค่ำ โดยมีผู้ที่เพิ่มเข้ามาในขบวนคือ ‘นายน้อย’และ ‘คุณแม่ของนายน้อย’ ซึ่งข้าหลวงสาวๆ ที่ถูกจัดให้เข้ามาดูแลคนทั้งคู่ลงความเห็นว่า
“สวย...สวยมาก ดาราประเทศไหนน่ะ?”
“ไม่น่าเชื่อนะว่าเคยมีลูกมาแล้วคนหนึ่ง หุ่นอย่างกับนางแบบแน่ะ”
“เห็นว่าจะสามสิบอยู่แล้วนะนี่” บางคนรู้
“ยี่สิบแปดจวนยี่สิบเก้าต่างหาก” แล้วพอเถียงกันมากๆ เข้า คุณเถ้าแก่ผู้ดูแลเหล่าข้าหลวงจะเข้ามาเอ็ดให้เสียทีหนึ่ง
“ทำงานด้วยมือ อย่าใช้ปากทำ!” ก็เงียบกันได้พักหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็คุยต่อ จนท่านอัสวานเข้ามาในห้อง นางข้าหลวงจึงย่อกายคำนับแล้วเดินเรียงกันออกไป
อัสวานนั่งหมิ่นๆ ลงตรงขอบเตียงนุ่ม ไล้มือลงบนแก้มแดงยุ้ยของลูกชาย แกช่างน่ารักน่าเอ็นดู ตลอดทางที่มานี้เด็กชายนั่งอยู่ในอ้อมกอดเขาและหลับฟุบไปกับอก ความรู้สึกนุ่มนวลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก่อขึ้นในจิตใจของเขา อัสวานรู้สึกเหมือนได้เป็นพ่อที่เห็นวินาทีที่ลูกน้อยถือกำเนิดออกมา เขากอดแกแน่นและหอมแก้มน้อยๆ มาตลอดทาง มือเล็กๆ ที่วางทาบไว้กับอกแกร่งนั่นเตือนให้เขารู้ว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะเลี้ยงแกให้ดีที่สุด
อันที่จริงเขาสั่งให้จัดห้องนอนเด็กไว้เตรียมพร้อมสำหรับต้อนรับราฟาเอลน้อย แต่ก็ตัดสินใจว่าให้แกมานอนอยู่กับแม่จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงจะตื่นมาแล้วไม่เจอแม่อาจจะร้องไห้ขวัญเสีย อัสวานก้มลงหอมแก้มของลูกน้อยแผ่วเบาเพราะกลัวจะตื่น แล้วลูบหน้าผากชื้นเหงื่อของแกเบาๆ ลมหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าราฟาเอลยังหลับสนิท
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาจากแก้มเล็กๆ นั้นเองที่จมูกเขากลับได้กลิ่นหอมจางๆ ของร่างที่นอนใกล้ๆ ราฟาเอลน้อย ไวโอเล็ต...หล่อนช่างสวย...ยิ่งเวลาหลับก็ยิ่งดูน่ารักน่าใคร่เสียจนเขาต้องถอนหายใจด้วยความปรารถนา
ญามาติกา ไวโอเล็ต มองตาญโญ เป็นหญิงสาวที่เกิดมาเพื่อทรมานจิตใจชายหนุ่มอย่างร้าย หล่อนมีม่านผมสีรัตติกาลทอประกายเหมือนไหมชั้นเลิศ ริมฝีปากสีแดงก่ำย้อยเหมือนเด็กสาว...ร้อนผ่าวและหวานฉ่ำอย่างที่เขาเคยสัมผัสมาแล้ว ผิวเนื้อละลองอ่อนเนียนละเอียดซับสีชมพูระเรื่อสุกปลั่ง
เหมือนดั่งตกอยู่ในมนสะกด...อัสวานสูดดมความหอมกรุ่นจากแก้มเนียนของหล่อน ไล้จมูกโด่งเบาๆ ไปตามสันแก้ม โครงหน้ารูปไข่ ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายๆ ล่องลอยไร้สติ มือของเขาลูบไปตามท่อนแขนเรียวสีงาช้าง สูดดมกลิ่นกรุ่นไปตามซอกคอระหงส์นั่น ยิ่งนานลมหายใจเขายิ่งขาดห้วง ตาปรือคล้ายจะลืมไม่ขึ้น
เขากำลังมึนเมา...
ควบคุมตัวเองหน่อยอัสวาน แกไม่ได้หิวถึงขนาดนั้นหรอก...ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แกควบคุมตัวเองได้อยู่แล้ว...
แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่เขากลับไม่ละไปจากร่างของหล่อนเลย เขาหลับตาพริ้มด้วยแรงอารมณ์ ครางฮือในลำคออย่างพึงใจ หัวใจของเขาเร่งจังหวะขณะลมหายใจขาดห้วงอย่างควบคุมไม่ได้ ชายหนุ่มกดจมูกลงตรงมุมปากสีเลือดของหล่อนก่อนจะทาบริมฝีปากสั่นระริกลงไปแทนที่
อา...หล่อนช่างหวาน
เขาครางลึกอย่างเผลอไผล แทรกลิ้นสากเข้าไปในริมฝีปากอิ่มสวย สัมผัสความนุ่มนวลอ่อนหวานของหล่อน เคล้าคลึงแผ่วเบาอย่างโหยหา
“ที่รัก” เขากระซิบ เมื่อละริมฝีปาก และจุมพิตอีกครั้ง ทาบมือลงบนหน้าท้องราบเรียบของหล่อนเบาๆ
อัสวานชะงัก เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เพื่อเรียกสติ คล้ายมีแสงสว่างวาบเข้ามาเป็นระยะสลับกับแรงปรารถนาอันดำมืดในจิตใจ แสงสว่างนั้นเข้ามาเมื่อเขาทาบมือลงบนรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ตรงหน้าท้องของหล่อน
รอยผ่าตัดจากการคลอดราฟาเอลน้อย
จิตสำนึกกลับเข้ามาสู่จิตใจเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งจึงค่อยคิดเรื่องของหล่อน เรื่องราวที่ทำให้หล่อนกลายเป็นไวโอเล็ตผู้กระด้าง และทรนงเกินกว่าสตรีใดจะเป็นได้ ความทะนงตนในระดับนั้น...อย่าว่าแต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วยกัน ผู้ชายอกสามศอกบางคนยังออกแพ้ๆ หล่อน
จากที่ทราบมาหญิงสาวสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปเมื่ออายุสิบแปดปี และไม่มีญาติที่ไหนเหลืออยู่อีก ตอนนี้ญาติคนเดียวที่หล่อนมีก็คือราฟาเอลน้อยซึ่งเป็นลูกชาย ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหล่อนถึงสู้สุดใจขาดดิ้นขนาดนี้เพื่อไม่ให้ใครมาพาลูกน้อยไปจากหล่อนได้
ชายหนุ่มนึกถึงสายสัมพันธ์อันแสนอบอุ่นซึ่งก่อกำเนิดขึ้นในจิตใจของเขา ระหว่างเขาและราฟาเอลน้อยมีสายใยพ่อลูกที่ตัดไม่ขาด แล้วหล่อนเล่า? ไวโอเล็ตพยายามทำการผสมเทียมถึงสามครั้งเพื่อให้ลูกน้อยถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ของหล่อน ไม่ต้องสงสัยว่าหล่อนจะดีใจมากขนาดไหนเมื่อรู้ว่าการผสมเทียมในครั้งที่สามสำเร็จ แล้วยังการประคบประหงมดูแลลูกน้อยจนกว่าจะคลอดออกมาอีก เวลาเก้าเดือนที่สายใยระหว่างหล่อนกับลูกเชื่อมโยงถึงกัน หล่อนหิวเมื่อลูกหิว เจ็บเมื่อลูกเจ็บ ยิ่งเด็กที่เกิดจากการผสมเทียมยิ่งต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ หญิงสาวเลี้ยงลูกอย่างเข้มแข็งด้วยตัวคนเดียวจนแกเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีและฉลาดเฉลียวจนตอนนี้ราฟาเอลก็อายุเกือบสองขวบแล้ว สายใยนั้นจะแน่นหนามากซักเพียงใด หล่อนก็ได้พิสูจน์ให้อัสวานเห็นแล้ว
ไวโอเล็ตกระเสือกกระสนหนีข้ามทวีปมาหลบซ่อนตัวไกลถึงชานเมืองนีซด้วยเงินเก็บอันกระจ้อยร่อยของตัวเอง เพื่อแลกกับการได้อยู่กับลูกต่อไป
เขาเองขนาดไม่ได้อุ้มท้องและดูแลแกมายังมีความรู้สึกรักและผูกพันอันยากจะไถ่ถอน...แล้วคนเป็นแม่จะไม่มีความรู้สึกรักและผูกพันในตัวลูกน้อยได้อย่างไร
เขาจะเห็นแก่ตัวพรากลูกมาจากหล่อนละหรือ...เขาจะพรากคนสำคัญที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของหล่อนมาได้อย่างไรกัน
อัสวานครุ่นคิด...
ตอนนั้นเองจามาลเคาะเรียกเบาๆ จากนอกห้อง
“เข้ามา” เขาอนุญาต
“ท่านเจ้ากรมกลาโหมมาถึงแล้วครับ” อัสวานพยักหน้า หากเมื่อเห็นคนรายงานยังคงยืนนิ่งไม่ถอยออกไปอย่างเคย แสดงว่ามีเรื่องจะพูด
“มีอะไร?” จามาลทำท่าอึกอัก ดวงตาต่างหากพราวระยับ
“ผม...มีเรื่องจะเตือน” ชีคหนุ่มเลิกคิ้ว ไม่ทันสังเกตว่าคนมีเรื่องจะเตือนมีน้ำเสียงล้อเลียน “ในฐานะเพื่อน” คราวนี้จามาลทำท่าขึงขัง
อัสวานพยักหน้า สมองมัวคิดถึงเรื่องของร่างที่นอนเหยียดบนเตียง
“ลักหลับผู้หญิงมันไม่งามนะครับ”
“แค่ก!” คนถูกเตือนถึงสำลัก
ไอ้นี่! แอบเห็นได้ไงวะ!
จามาลกลั้นหัวเราะ ไหล่สั่นๆ ขณะคนเป็นนายหันมองตาขุ่นขวาง
“ยังไม่ได้ทำอะไร” คำบอกราบเรียบ หาไม่อีกฝ่ายจะได้ใจ
“ครับ” จามาลรับคำราบเรียบไม่ต่างกัน “ถึงได้เตือนไว้ก่อน! ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วมันเตือนไม่ทัน ก็ไม่ต้องเตือนกันมากมายให้เมื่อย”
“ไอ้นี่!” คราวนี้ชีคหนุ่มได้ไล่เตะก้นผู้ติดตามที่พลิ้วตัวหลบว่องไว้
อาจเพราะตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมากมายทำให้ญามาติการู้สึกว่าหล่อนเพลียมากว่าปกติเมื่อตื่นขึ้นในสายของวันต่อมา หญิงสาวนอนนิ่งนึกทบทวนพักหนึ่งบนเตียงนุ่มจากนั้นจึงเด้งตัวพรวดขึ้นจากเตียง
“ราฟ!” หล่อนรู้สึกตัวว่าเสียงแหบแห้งและห้องทั้งห้องก็หมุนคว้าง “ราฟาเอล อยู่ไหนลูก”
“เธอรับประทานอาหารอยู่ห้องใหญ่กับนายท่านค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งยอบกายเข้ามา ภาษอังกฤษนั้นสำเนียงดีทีเดียว
“อยู่ไหน” หล่อนถาม
“ห้องใหญ่ค่ะ”ข้าหลวงนางนั้นตอบ
“นำทางไปที” ญามาติกาบอกพลางลุกขึ้นหากก็ซวนเซ
“คุณจะล้มอยู่แล้ว” อีกฝ่ายถลาเข้ามาประคอง
“บอกว่าให้พาไปไง”
“แต่คุณไม่สบาย พักผ่อนดีกว่านะคะ” นางแตะผิวเนื้อร้อนผ่าว รู้สึกว่าอาการอย่างนี้ต้องเป็นไข้ทะเลทรายอย่างแน่นอน อากาศทะเลทรายร้อนระอุ นอกจากนี้ความชื้นในอากาศต่ำ คนมาใหม่ๆ ไม่คุ้นชินก็มักเป็นไข้ชนิดนี้กันมาก บางรายออกจะแพ้เอาจริงๆ ถึงเป็นโรคประจำตัวกันเลยทีเดียว
ญามาติกายังพยายามหยัดตัวตรงเพื่อเดินออกไปสู่ประตูใหญ่ หล่อนต้องการพบลูก!
นับตั้งแต่รู้ตัวว่ามีอีกชีวิตหนึ่งปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของหล่อน ญามาติการู้สึกตัวเสมอ ...หล่อนจะตื่นมาพร้อมกับคนอีกคนหนึ่ง อีกชีวิตที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหล่อน ลูกของหล่อน หล่อนจะตื่นนอนพร้อมลูกและใช้ชีวิตทุกวันด้วยกัน จะเลี้ยงเขาให้เป็นคนดี เฝ้ามองเขาเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ตอนนี้หล่อนรู้สึกเคว้งคว้าง หัวใจของหล่อนว่างโหว่ง...ลูกน้อยอยู่ที่ไหน?
“พาไป...ลูกของฉัน ราฟาเอลอยู่ไหน” นางข้าหลวงมองร่างงามระหงส์ที่ยืนโซเซแล้วกลัวว่าหล่อนจะล้มพับไป
“พักเถอะค่ะ โธ่...เป็นถึงอย่างนี้จะออกไปได้ยังไงกันหือ? ที่อยู่ข้างนอกเข้ามานี่สองสามคนซิ” นางข้าหลวงชั้นผู้น้อยสองสามคนเข้ามายอบกาย รอรับคำสั่ง
“ไปตามหมอมาซิ ที่เหลือมาช่วยประคองคุณเธอ”
“ไม่ต้อง ฉันอยากพบลูก เท่านั้น!” บรรดาข้าหลวงมองหน้ากัน สุดท้ายผู้มีอาวุโสสุดพยักหน้าพลางสั่ง
“ช่วยกันพยุงคุณเธอลงไปแล้วกัน”
อัสวานเคยตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มพร้อมสาวสวย เรือนร่างเย้ายวน บางครั้งเธอเหล่านั้นก็จะนั่งประดับโต๊ะอาหารเช้าให้กับเขาด้วย เขาว่าพวกเธอ ‘ประดับโต๊ะ’ เพราะพวกเธอเหล่านั้นแตะอาหารน้อยกว่าน้อย เนื่องจากแต่ละคนถ้าไม่เป็นดาราก็นางแบบซึ่งต้องรักษารูปร่าง บางครั้งจิบกาแฟสองสามครั้งก็ไม่แตะอะไรอีก
ความรู้สึกของเขาคื อความชินชา...ผู้หญิง...เวลาหมดความต้องการแล้วก็...น่าเบื่อ
หากวันนี้ เพียงร่างเล็กๆ ของลูกน้อยมานั่งจ้อภาษาที่ผู้ใหญ่ฟังไม่เข้าใจอยู่ร่วมโต๊ะกับเขา อัสวานกลับรู้สึกตัวว่าหัวใจเอิบอิ่มเป็นสุขอย่างน่าประหลาด
ราฟาเอลน้อยกำลังเริ่มฝึกทานอาหารเอง ว่าไปก็เร็วกว่าเด็กคนอื่นค่อนข้างมาก แต่แกก็ทำได้ดี
“มามี้!” หนูน้อยตะกายลงจากเก้าอี้ วิ่งตรงดิ่งอย่างมีจุดหมาย สุดท้ายก็ปะทะเข้ากับร่างหนึ่งซึ่งพยายามทรงตัวหยัดกายขึ้นยืนอย่างโงนเงนเต็มที อัสวานหันมองตามก็เห็นลูกชายกอดกับแม่ตัวกลมดิก
“ราฟ...โอ มามี้ตามหาแทบแย่” ญามาติกา ไวโอเล็ต มองตาญโญ... หล่อนอยู่ในชุดแพรสีขาวเรียบเพราะเป็นชุดนอนซึ่งเขาจัดหาไว้ให้ ตอนที่ข้าหลวงเอามาให้ตรวจดูเขาก็ว่ามันรัดกุมดี แต่ทำไมพอมาอยู่บนร่างหล่อนอย่างนี้แล้ว ราวกับเป็นคนละชุด! หล่อนดูเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นตัวพิสูจน์ความอดทนของเขาโดยแท้
อัสวานมองหล่อนทั้งๆ ไม่อยากมองเลย หล่อนทรมานเขาอย่างร้าย!
ญามาติการู้ตัวว่ามีน้ำตาอุ่นๆ ไหลเปรอะแก้มก็ตอนที่ลูกน้อยร้องว่า
“โอ๋ๆ มามี้ โอ๋ๆ” เด็กชายลูบศีรษะหล่อนเบาๆ เหมือนตอนที่หล่อนเคยลูกศีรษะเล็กๆ ของแกอย่างปลอบโยน หล่อนยิ่งกอดร่างน้อยแน่นเ ข้า รับรู้ว่าแกยังอยู่ในอ้อมกอด ยังไม่มีใครพรากแกไปจริงๆ
ไหล่ของหล่อนสั่นเท า หัวใจที่หวาดกลัวมาโดยตลอดค่อยผ่อนคลาย
ลูกของหล่อน ลูกของ หล่อนยังคงอยู่ตรงนี้...ในอ้อมกอดของหล่อนเอง
หล่อนรู้ตัวว่าร่างกาย กำลังจะแย่เพราะเวียนศีรษะวูบวาบ และร่างกายก็ผ่าวร้อน แต่ยังฝืนกอดราฟาเอลแน่นเพราะไม่อยากให้แกตกใจว่ า จู่ๆ มามี้ก็ล้มตึง หญิงสาวฝืนยืนขึ้นในนาทีต่อมา หล่อนเหลือบเห็นอัสวานแวบๆ จากหางตาก็มองเขาอย่างเป็นอริ แต่แล้วโลกก็พลิกคว่ำลง นางข้าหลวงผวาเข้าจับหล่อนไว้แต่หล่อนยังตั้งตัวไม่ได้ก็ทิ้งน้ำหนักลงทั้งตัว ราฟาเอลผวาเ ข้าหาหล่อนอย่างตกใจ ปากร้องเรียก ‘มามี้ๆ’
“มามี้ไม่เป็นไรครับ” หล่อนป ลอบลูก แต่อาการก็แย่เหลือทน หล่อนฝืนหยัดตัวตรงอีกก็โงนเงนอีก จนต้องผวาเกาะอะไรไว้ซักอย่าง หล่อนควาน คว้ามือหนึ่งซึ่งมั่นคงไว้ได้ก็อาศัยประคองไว้แล้วหลับตาซักพัก พอลืมตาขึ้นมาก็รู้ว่ามือใหญ่แข็งแรงนั้นเป็นของอัสว าน หล่อนสะบัดออกโดยอัตโนมัติ ร่างทั้งร่างจึงซวนเซ คราวนี้อัสวานมองเฉย ปล่อยหล่อนล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างไม่เป็ นท่าเพราะเกิดอยากลงโทษความรั้นของหล่อนขึ้นมาบ้าง
หล่อนลุกไม่ขึ้นก็ปล่อยตัวให้นอน บนพื้นทั้งอย่างนั้น
“จุ๊” หล่อนได้ยินเสียงจุ๊ปาก “คุณนี่ รั้นเหมือนใครนะไวโอเล็ต”
หล่อนรู้ว่าแขนแข็งแรงประคองหล่อ นขึ้นอุ้มไว้ทั้งตัวแต่ก็หมดแรงจะขืนตัวไว้ได้อีกปล่อยให้เขาอุ้มหล่อนได้ตามสบาย
“ดูแ ลนายน้อยด้วย” หล่อนได้ยินเขาสั่งเป็นครั้งสุดท้ายกับนางข้าหลวง
หล่อนรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพูดเบาๆ อยู่ข้างกาย จับความได้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย เสียงที่เธอจำได้ทั้งๆ ไม่ควร เลยคือเสียงของอัสวานพอหล่อนลืมตาขึ้นเขาก็มองหล่อนด้วยหางตาอย่างไม่ใส่ใจเลย พลางสั่งคนของเขาว่า
“ดูแลด้วยก็แล้วกัน” เขาเดินออกจากห้องไป
“ คุณรู้สึกยังไงบ้าง” ชายผู้ที่น่าจะเป็นแพทย์ถามเบาๆ
“ ปวดหัวค่ะ แต่ดีขึ้นมากแล้ว” หล่อนตอบ พิจารณาดูรอบๆ ก็รู้ว่าที่ๆ หล่อนอยู่ก็คือห้องที่หล่อนฟื้นขึ้นมาเมื่อแรก
“ คนมาที่นี่ใหม่ๆ จะเป็นอย่างนี้แหละครับ อากาศที่นี่แห้งแล้ง คนไม่ชินต้องใช้เวลาปรับตัว...” หล่อนอยากจะบอกน ายแพทย์ผู้นั้นเหลือเกินว่า หล่อนคงไม่อยู่เพื่อปรับอะไรนานนักหรอก จะหาวิธีกลับไปให้ได้เร็วๆ นี้แหละ
นา ยแพทย์ผู้นั้นพูดต่ออีกสองสามประโยค ซึ่งหล่อนไม่ได้ตั้งใจฟังมากนักเพราะเพลียและอยากพักเต็มกำลัง เขาจึงเรียกข้าหลวงสองสามคนเข้ามาและปล่อยให้หล่อนนอนพักตามสบาย
หล่อนตื่นมาอีกครั้งด้วยอาการเหงื่อโทรมและเหนียวเนื้อตัวไปหมด จึงแสดงความจำนงว่าหล่อนอยากอาบน้ำ
นางข้าหลวงคนหนึ่งยอบกายต่ำอย่างมีคารวะและเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนทำท่าจะเข้ามาปลดสายรัดเอวให้ หล่อนก็ผวาจับไว้แน่น พลอยทำให้อีกสองคนชะงักไปด้วย
“ทำไมคะ?” อีกฝ่ายทำเสียงถามอย่างงงงัน โดยปกติเป็นหน้าที่ของข้าหลวงซึ่งต้องคอยติดตามปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิด เป็นงานที่ทำจนเคยชิน
“ฉันทำเองได้” หล่อนบอก “ออกไปเถอะ” ญามาติกาไม่เคยเปลื้องผ้าต่อหน้าใครซักที แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็เถอะ หล่อนรู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะเปิดเผยเนื้อตัวต่อหน้าคนอื่นแม้จะในที่ซึ่งเป็นสถานส่วนตัวของหล่อนเองก็ตาม
“...” ข้าหลวงผู้อาวุโสพยักเพยิดให้เป็นการบอก ‘ตามใจคุณเธอเถอะ’ ข้าหลวงทั้งมวลจึงทยอยกันออกไปหมด
ญามาติกาเดินไปรูดม่านปิดจากนั้นจึงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นผ้าคลุมขนหนูซึ่งน่าจะยังเป็นของใหม่
หล่อนมองตัวเองในกระจกอย่างเซ็งๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี พอถูกตามตัวเจอเสียแล้วก็คงหมดหวังได้ใช้ชีวิตสงบสุขกับลูกอีก
หล่อนนึกถึงอัสวานอย่างเป็นอริว่า เขาจะมาแย่งลูกเธอไปทำไม ก็ไหนว่ามีปัญญาผลิตลูกเองก็ไม่น่าจะมาแย่งตาราฟาเอลน้อยของหล่อน
คิดมาถึงตรงนี้ก็เหมือนว่าหล่อนเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า ท่าทีที่ถามหล่อนว่า
‘คุณอยากพิสูจน์ไหมว่ากระสุนผมด้านหรือเปล่า?’ ดูแรงร้อนชอบกล ดวงตาสีทองแดงคมกล้าที่มองสบตาหล่อนมีแววกระด้างอย่างที่ทำให้หล่อนสะดุดใจหากก็แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนแห่งบุรุษอันหล่อนไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ญามาติการู้สึกตัวคล้ายกับว่าได้กลิ่นหอมของโคโลญจ์ผสมกับกลิ่นหญ้าซึ่งเคยสัมผัสได้จากตัวเขา อกแกร่งที่เคยมองเห็นผ่านดุมเสื้อที่เปิดอ้าเป็นตัววีเป็นสีคล้ำแดดและเส้นขนสีน้ำตาลซึ่งเรียงตัวอยู่บนหน้าอกของเขาได้ปรากฎขึ้นตรงหน้า
หล่อนรู้สึกตัวอยู่หน้ากระจกเมื่อมือหยุดลงที่แอ่งชีพจรของตัวเองอย่างเผลอไผล
ญามาติกาจับได้ว่าหัวใจหล่อนเต้นแรงและไม่เป็นจังหวะเลยเมื่อนึกถึงเขา
บ้า! เธอมันบ้า หล่อนนึกฉิวตัวเอง
หญิงสาวก้าวยาวๆ ออกจากหน้ากระจก จำได้ว่าหมอบอกกับเธอว่าสั่งยาแก้ปวดหัวไว้ให้ก็คว้ามากินเสียสองเม็ดก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป
อ่างอาบน้ำกว้างราวกับสระถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว คงจะโดยข้าหลวงนางใดนางหนึ่งที่หล่อนคุ้นหน้าอยู่
น้ำที่ถูกเตรียมไว้ลอยดอกไม้กลิ่นหอมอวลซึ่งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นดอกกุหลาบแห้งที่พอถูกแช่ในน้ำอุ่นก็บานออก กระจายตัวเมื่อหล่อนก้าวลงไป โดยทั่วไปตามโรงแรมอาจเตรียมน้ำอุ่นผสมสบู่หอมไว้ให้แต่ก็มีบางที่เหมือนกันจะโรยกลีบดอกไม้ซึ่งให้กลิ่นหอมผ่อนคลายไว้แทน ซึ่งประการหลังนี้มักเป็นโรงแรมที่ ‘แพงหูฉี่’ จนหล่อนไม่ยอมใช้บริการ จะมีบ้างตอนที่ต้องไปพักกับบริษัทในเรื่องงาน ซึ่งหล่อนก็ชอบมากกว่าน้ำสบู่หอม
เพิ่งจะมาเจอที่นี่เองที่ใช้กุหลาบทั้งดอก...น่าจะเป็นกุหลาบตูมที่เก็บตั้งแต่เริ่มจะผลิดอกกระมัง เพราะกุหลาบนั้นจะมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมักนำมาผลิตหัวน้ำหอม พอเก็บเสียตั้งแต่ยังไม่บานมาผึ่งให้แห้งก็จะรักษากลิ่นหอมระเหยที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ ไว้โรยน้ำอาบจะได้กลิ่นหอมชื่นใจดี จิตแพทย์บางคนยังใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ที่มีภาวะเครียดสูง
ญามาติกานอนคิดเรื่อยเปื่อยซักพักก็หาวออกมา แปลกใจตัวเองว่าทำไมจึงง่วงนอนนักเพราะตั้งแต่มาที่นี่ก็เอาแต่นอนตลอด ทั้งๆ เป็นคนที่เบื่อการนอนเฉยๆ จนมนตร์ปลายเดือนเคยบ่นว่า
“จะไฮเปอร์ไปไหน?”
เอ...ทำไมหล่อนง่วงนัก
หล่อนคิดว่าจะพักสายตาซักงีบหนึ่ง แต่ก็กลับหลับไปจริงๆ หรือยังไงไม่รู้เพราะตื่นขึ้นมาอีกทีบนเตียงนอนนุ่ม ยังนอนตาลอยเพราะงุนงง
หล่อนยันตัวลุกขึ้นนั่งคิดครู่หนึ่ง ไฟในห้องเปิดไว้สลัวๆ บอกว่าคงมืดแล้ว แต่หล่อนก็ยังนึกลำดับเหตุการณ์ไม่ออกอยู่นั่นเอง
“คุณน่าดูมาก...โดยเฉพาะเวลาไม่มีผ้าติดตัวซักชิ้น แบบนี้” หล่อนทะลึ่งตัวพรวดไปยืนอยู่อีกฟากเตียง
อัสวาน!
“คุณ! เข้ามาทำไม ออกไปนะ” หล่อนร้องเสียงแหว
“...” เขาไม่พูดอะไรซักคำ ตาที่มองดูหล่อนอย่างตั้งใจวาววับ มีรอยอันตรายที่แฝงไว้ด้วยความพึงใจ เขาเลียริมฝีปากพลางเอนตัวพิงพนัก มองหล่อนอย่างสบายอารมณ์ ญามาติกาเลยก้มลงมองตัวเองบ้าง
“หวาย!” หล่อนร้องไม่เป็นภาษา โดดคว้าผ้าที่เตียงลงมาคลุมตัวเองไว้อย่างตกใจ หน้าหล่อนร้อนผ่าวเพราะรู้ว่าเขามัวมองอะไรอยู่เป็นนาน
หล่อนเปลือยล่อนจ้อนทั้งตัว!
โอยตาย! หญิงสาวครางในใจ
“แหม...กำลังมองเพลิน”
คราวนี้หล่อนร้อนไปทั้งตัวด้วยความอายและความโกรธ
“คุณมันหน้าไม่อาย” ญามาติกากล่าวหา หัวตื้อจนคิดอะไรไม่ออก
“ก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องอายนี่” เขาบอกหน้าเฉย กริยาเกือบเป็นลอยหน้าลอยตายียวน ญามาติกาอ้าปากค้างเพราะกำลังสับสนเกินกว่าจะโต้ตอบ
หล่อนไม่เคยเจอเรื่องน่าอายขนาดนี้!
หญิงสาวอยากจะกรีดร้อง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน หล่อนมีเลือดเสปนซึ่งได้มาจากแม่แต่ก็เติบโตมาในประเทศไทยและซึมซับวัฒนธรรมเหล่านั้นฝักลึก สำหรับหล่อนเนื้อตัวเป็นสิ่งพึงสงวน อย่าว่าแต่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้เห็น แม้แต่ผู้หญิงกระทั่งเพื่อนสนิทอย่างมนตร์ปลายเดือนก็ยังไม่เคย
แต่นี่อัสวานกลับเห็นหมด ทุกอย่าง!
และเขาก็คงไม่เห็นเปล่าด้วย!
“ออกไปนะ! ออกไปเดี๋ยวนี้”
“คุณทำกับคนที่ช่วยชีวิตคุณไว้อย่างนี้หรือไวโอเล็ต” เขาเรียกชื่อกลางของหล่อนสุ้มเสียงยังมีกังวานเยาะ หยัน ญามาติการ้อนผ่าวไปทั้งตัว เมื่อเขาจ้องมอง หล่อนรู้สึกว่ามีไฟร้อนๆ ลามเลียไปทั่ว
“ผมผิดหวังจังเลย” เขาค่อยๆ เดินเข้าหาหล่อน นัยน์ตามีแววอันตราย ญามาติกาเกือบไม่รู้ตัวว่าหล่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าว
“คุณช่วยฉัน?”
“หมอไม่เตือนคุณหรือ เรื่องกินยานอนหลับก่อนลงไปแช่ในน้ำ หรือคุณผิดหวังอะไรในชีวิตขนาดต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย” สายตาเขาเวทนาแกมขันยิ่งทำให้หล่อนผ่าวไปทั้งหน้าด้วยความโกรธ
“ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย ฉันไม่ได้กิน...” หล่อนพูดแล้วชะงักเพราะนึกขึ้นได้ หล่อนกินยาแก้ปวดหัวเข้าไปสองเม็ดก่อนเข้าห้องอาบน้ำ ตอนนี้ชักไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วว่า ยาอะไร?
“หึ” เขาทำเสียงในลำคอ หล่อนเชิดหน้าขึ้นสบตาเขา
“ถ้าคุณมาทวงคำขอบคุณละก็...ขอบคุณ” สุ้มเสียงหล่อนฟังชัดว่าไม่มีแววจริงใจเลย
“หึ” เขาทำเสียงแบบเดิมอีกครั้ง จ้องมองไปตามส่วนที่โผล่เหนือผ้าตลอดลำคอ “คุณจะปิดไว้ทำไมนะ ผมเห็นหมดแล้วแท้ๆ อ้อ...ขอสารภาพว่า มากกว่าเห็นก็ทำมาแล้ว”
หล่อนสะดุ้งวาบ กอดผ้าแน่นเข้า
“คุณ! คนเลว! คุณทำอะไรฉัน” ญามาติกาชี้หน้า
อัสวานเกือบหัวเราะ ว่าอันที่จริงเขาจะทำอะไรหล่อนได้ต่อหน้านางข้าหลวงทั้งโขยง แต่ก็อยากแกล้งเสียหน่อยเพื่อแก้แค้นที่เล่นงานเขาไว้จนเจ็บแสบ
“ก็...คุณสวยไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว จะให้ผมอดใจไหวหรือ?” เขาพูดหน้าเฉย ทั้งๆ รู้ว่าหล่อนจะต้องเข้าใจผิด
“คุณ...คุณๆๆๆ” หล่อนแผดร้อง กระบอกตาเจ็บแปลบ ใจหายวับวาบ โอ...หมดแล้ว หมดสิ้นกันแล้ว นี่เขาทำอะไรหล่อน...หล่อนจะทำยังไงดี
ขณะชีคหนุ่มนั่งไขว้ขาสบายอารมณ์
“อันที่จริงคุณเยี่ยมสุดๆ ไปเลยนะถ้าไม่เอาแต่หลับ” เขายังคงแกล้งต่อไป
ไม่ๆๆ ญามาติกาบอกตัวเอง ไม่จริง! เขาโกหก
“ไม่!” หล่อนกรีดร้องออกมาจริงๆ กระโดดเข้าใส่เข้าทั้งตัว เขาร้อง ‘เฮ้ย!’ เพราะไม่ทันตั้งตัวแต่ก็จับแขนเล็กๆ ที่ไล่ตีเป็นพัลวันได้ข้างหนึ่ง
เพี๊ยะ!
หล่อนตวัดมือฟาดเข้าตรงกกหูเขาเข้าอย่างเต็มแรง
โดนเข้าแล้วหนึ่งที!
ชายหนุ่มคิดอย่างกึ่งโมโหกึ่งขันเพราะการยั่วของเขาได้ผลเกินคาด มือใหญ่ไล่คว้าแขนเรียวเล็กอีกข้างหนึ่งซึ่งพยายามทึ้งใบหูเขา แล้วพอจับแขนติด หล่อนก็เอาเข่ามากระทุ้งเข้าสีข้างเขาเข้าพอดิบพอดี
อัสวานกลับหัวเราะ
“นี่มันถิ่นผมนะสาวน้อย คุณคิดว่าจะชนะผมในถิ่นของผมได้หรือ” เขาตวัดตัวหล่อนขึ้นพาดบ่า ผลคือหล่อนดิ้นพล่านทั้งแตะ ทั้งถีบ ทั้งทุบ จิกข่วนสารพัดจนผ้าที่พันไว้ไหวเพยิบพะยาบ
เอา! ดิ้นเข้า จะท้าทายความอดทนกันไปถึงไหน!
อัสวานคำรามร้องในใจขณะหิ้วหล่อนเดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำซึ่งเขาเพิ่งจะหิ้วหล่อนออกมาในสภาพเปลือยเปล่าแต่ศีรษะจรดเท้า เอาล่ะ! เขาสารภาพหมดใจเลยว่าตอนที่อุ้มหล่อนออกมานั้นเขามองสำรวจหล่อนอย่างต็มตาเป็นครั้งแรก
สวยจนหาที่ติไม่ได้เลย! สวย...แต่พยศเหลือเกิน เขาไม่ชอบใจก็ตรงนี้! ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงที่กรานเข้าหาเขา เอาอกเอาใจอ่อนหวาน แต่หล่อนไม่...นอกจากจะไม่ยอมทำตามใจเขาแล้วยังวางมาดหยิ่งผยอง แสดงความร้ายกาจสารพัดใส่เสียอีก
ไวโอเล็ตหล่อนร้ายนัก...คงไม่เคยมีใครปราบพยศหล่อน เขานี่แหละจะกำหราบหล่อนเอง
เขาหยุดลงที่หน้าอ่างอาบน้ำ กระทำการอย่างหนึ่งซึ่งทำให้หล่อนกรีดร้องออกมา
“กรี๊ด”
ซ่า!
ชายหนุ่มเหวี่ยงหล่อนลงในอ่างกว้างราวกับสระ รอจนหล่อนทะลึ่งพรวดขึ้นมา เขาจะเยาะเย้ยให้หนำใจ!
แต่แล้วกลายเป็นว่า พอหล่อนทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาสู่ผิวน้ำ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ ‘เยาะเย้ยให้หนำใจ’ อย่างที่คิด มือเล็กที่ควานมาคว้าผมเขาไว้ได้ก็กระชากโดยแรงจนเขาเสียหลักกลิ้งขลุกลงไปในน้ำเสียด้วย เมื่อทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเห็นร่างที่กำลังตะกายขึ้นจากอ่างทุลักทุเล ชีคหนุ่มคว้าหล่อนไว้ด้วยความโมโห ญามาติการ้องวีดหงายหลังลงไปในน้ำ หากคราวนี้ร่างใหญ่ตามลงมาทาบทับ ขณะหล่อนสำลักกระอักกระไออยู่ใต้น้ำนั้นเอง เขาก็ประทับริมฝีปากลงเข้ากับริมฝีปากหล่อนอย่างลงโทษ ญามาติกาข่วนเล็บลงบนหลังเขา เขาก็จับมือหล่อนไว้เสียด้วยมือข้างเดียว พอหล่อนดิ้นเขาก็ใช้แขนข้างที่ว่างกอดกระชับหล่อนเข้าจนหล่อนเหมือนจะขาดใจ พอหล่อนนิ่งนั่นแหละเขาถึงได้ปล่อยหล่อนทะลึ่งขึ้นเหนือผิวน้ำ
“แค่ก...” หล่อนกระอักกระไอ พอหันมาเห็นเขาก็ขยับด่า
“คุณมัน...กรี๊ด!” เขาจับหล่อนกดลงไปในน้ำอีก คราวนี้บดริมฝีปากลงมารุนแรงกว่าเก่า ก่อนจะปล่อยหล่อนขึ้นเหนือผิวน้ำ
หล่อนตบเขาเข้าฉาดหนึ่งเพราะโมโหเต็มที่ เขาก็จับหล่อนกดลงไปในน้ำอีก คราวนี้หล่อนระวังตัวอยู่แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดกลายเป็นว่าเขารู้ทันหล่อน แกล้งถ่วงเวลาจนหล่อนหมดลมนั่นแหละจึงค่อยทาบริมฝีปากลงมา เป่าลมหายใจเข้าในปากของหล่อน หล่อนหมดลมหายใจ กำลังทรมานเต็มที่ก็เผยอปากรับลมจากเขา
อัสวานฉวยโอกาสแทรกเรียวลิ้นสากเข้ามาในริมฝีปากหล่อน ขบเม้มอย่างหยอกเย้า สุดท้ายเรียกร้องให้ตอบสนอง ญามาติการู้สึกร้อนผ่าวทั้งๆ อยู่ภายใต้สายน้ำเย็น ร่างกายสะท้านไปทั้งร่าง มือใหญ่ของเขาบีบคลึงท้ายทอยของหล่อนเบาๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและรั้งเธอไว้ให้รับจุมพิตอย่างเอาแต่ใจของเขาในคราวเดียว จุมพิตของเขาแรงร้อน แฝงไว้ด้วยรอยเรียกร้องยั่วเย้า หากไม่จาบจ้วงเหมือนเช่นครั้งแรกที่ได้พบกัน
หล่อนรู้สึกวาบหวามไปกับทุกสัมผัสของเขา...
โอยตาย! หล่อนควรจะปฏิเสธเขา ควรจะต่อต้านหรือรู้สึกโกรธ หล่อนเป็นอะไรไป?
ญามาติการู้สึกตัวเป็นเหมือนอีฟ ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นคนที่กินผลไม้ต้องห้ามตามคำหลอกล่อของพญามาร นั่นล่ะ! อัสวานคงจะเป็นพญามารที่พยายามหลอกล่อให้หล่อนทำในสิ่งต้องห้ามเหมือนๆ กับที่พญามารหลอกล่ออีฟ
เขาปล่อยหล่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ ขณะหล่อนยังไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกว่ามึนงงอยู่
“คุณเก่ง” เขาว่าพลางมองหล่อนอย่างกราดเกรี้ยว ตาสีทองแดงแลบประกายเหมือนไฟ “ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าท้าทายผมได้ขนาดนี้” เขากระชับเอวหล่อนแน่น อกแกร่งบดเบียดเข้ากับอกของหล่อนซึ่งจะว่าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันปกปิดเลยก็ว่าได้
ญามาติกาสะท้านไปทั้งร่าง หล่อนไม่กล้าปริปากเพราะกลัวเขาจะกดหล่อนลงไปใต้น้ำอีก
“ต่อไปนี้นะมิสไวโอเล็ต ถ้าพูดไม่รู้เรื่องผมจะทำโทษคุณอีก...ด้วยวิธีของผมเอง” เขาก้าวออกจากห้องน้ำ สั่งหล่อนเรียบๆ โดยไม่หันมองว่า
“ผมให้เวลาคุณยี่สิบนาที แต่งตัวให้เรียบร้อย ผมจะรอทานข้าวอยู่ที่ห้องใหญ่ จัลนาร์จะพาคุณไป” หล่อนยังเบลอๆ อยู่ก็คิดว่าจัลนาร์คงเป็นข้าหลวงคนใดคนหนึ่งซึ่งหล่อนคุ้นหน้าอยู่นั่นแหละ
“คุณ! ฉวยโอกาส” หล่อนเพิ่งได้สติพอจะต่อว่าต่อขานเขา
“ผมไม่ใช่นักฉวยโอกาส...สาวน้อย ก็เห็นคุณเต็มอกเต็มใจดี” เขาพูดเสียงกระด้าง เดินจากไปอย่างไม่แยแสใบหน้าหล่อนเห่อร้อนด้วยความคับแค้น
นี่! ความอัปยศ ความอัปยศที่สุดในชีวิตของหล่อน!
อัสวาน บิลลอห์ ซาฮมาล! หล่อนจะไม่มีวันลืม เขาทำไว้กับหล่อนอย่างไร!
ขบวนของชีคอันวานกลับมาถึงปราการแคว้นซิลวาร์เมื่อตอนหัวค่ำ โดยมีผู้ที่เพิ่มเข้ามาในขบวนคือ ‘นายน้อย’และ ‘คุณแม่ของนายน้อย’ ซึ่งข้าหลวงสาวๆ ที่ถูกจัดให้เข้ามาดูแลคนทั้งคู่ลงความเห็นว่า
“สวย...สวยมาก ดาราประเทศไหนน่ะ?”
“ไม่น่าเชื่อนะว่าเคยมีลูกมาแล้วคนหนึ่ง หุ่นอย่างกับนางแบบแน่ะ”
“เห็นว่าจะสามสิบอยู่แล้วนะนี่” บางคนรู้
“ยี่สิบแปดจวนยี่สิบเก้าต่างหาก” แล้วพอเถียงกันมากๆ เข้า คุณเถ้าแก่ผู้ดูแลเหล่าข้าหลวงจะเข้ามาเอ็ดให้เสียทีหนึ่ง
“ทำงานด้วยมือ อย่าใช้ปากทำ!” ก็เงียบกันได้พักหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็คุยต่อ จนท่านอัสวานเข้ามาในห้อง นางข้าหลวงจึงย่อกายคำนับแล้วเดินเรียงกันออกไป
อัสวานนั่งหมิ่นๆ ลงตรงขอบเตียงนุ่ม ไล้มือลงบนแก้มแดงยุ้ยของลูกชาย แกช่างน่ารักน่าเอ็นดู ตลอดทางที่มานี้เด็กชายนั่งอยู่ในอ้อมกอดเขาและหลับฟุบไปกับอก ความรู้สึกนุ่มนวลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก่อขึ้นในจิตใจของเขา อัสวานรู้สึกเหมือนได้เป็นพ่อที่เห็นวินาทีที่ลูกน้อยถือกำเนิดออกมา เขากอดแกแน่นและหอมแก้มน้อยๆ มาตลอดทาง มือเล็กๆ ที่วางทาบไว้กับอกแกร่งนั่นเตือนให้เขารู้ว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะเลี้ยงแกให้ดีที่สุด
อันที่จริงเขาสั่งให้จัดห้องนอนเด็กไว้เตรียมพร้อมสำหรับต้อนรับราฟาเอลน้อย แต่ก็ตัดสินใจว่าให้แกมานอนอยู่กับแม่จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงจะตื่นมาแล้วไม่เจอแม่อาจจะร้องไห้ขวัญเสีย อัสวานก้มลงหอมแก้มของลูกน้อยแผ่วเบาเพราะกลัวจะตื่น แล้วลูบหน้าผากชื้นเหงื่อของแกเบาๆ ลมหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าราฟาเอลยังหลับสนิท
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาจากแก้มเล็กๆ นั้นเองที่จมูกเขากลับได้กลิ่นหอมจางๆ ของร่างที่นอนใกล้ๆ ราฟาเอลน้อย ไวโอเล็ต...หล่อนช่างสวย...ยิ่งเวลาหลับก็ยิ่งดูน่ารักน่าใคร่เสียจนเขาต้องถอนหายใจด้วยความปรารถนา
ญามาติกา ไวโอเล็ต มองตาญโญ เป็นหญิงสาวที่เกิดมาเพื่อทรมานจิตใจชายหนุ่มอย่างร้าย หล่อนมีม่านผมสีรัตติกาลทอประกายเหมือนไหมชั้นเลิศ ริมฝีปากสีแดงก่ำย้อยเหมือนเด็กสาว...ร้อนผ่าวและหวานฉ่ำอย่างที่เขาเคยสัมผัสมาแล้ว ผิวเนื้อละลองอ่อนเนียนละเอียดซับสีชมพูระเรื่อสุกปลั่ง
เหมือนดั่งตกอยู่ในมนสะกด...อัสวานสูดดมความหอมกรุ่นจากแก้มเนียนของหล่อน ไล้จมูกโด่งเบาๆ ไปตามสันแก้ม โครงหน้ารูปไข่ ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายๆ ล่องลอยไร้สติ มือของเขาลูบไปตามท่อนแขนเรียวสีงาช้าง สูดดมกลิ่นกรุ่นไปตามซอกคอระหงส์นั่น ยิ่งนานลมหายใจเขายิ่งขาดห้วง ตาปรือคล้ายจะลืมไม่ขึ้น
เขากำลังมึนเมา...
ควบคุมตัวเองหน่อยอัสวาน แกไม่ได้หิวถึงขนาดนั้นหรอก...ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แกควบคุมตัวเองได้อยู่แล้ว...
แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่เขากลับไม่ละไปจากร่างของหล่อนเลย เขาหลับตาพริ้มด้วยแรงอารมณ์ ครางฮือในลำคออย่างพึงใจ หัวใจของเขาเร่งจังหวะขณะลมหายใจขาดห้วงอย่างควบคุมไม่ได้ ชายหนุ่มกดจมูกลงตรงมุมปากสีเลือดของหล่อนก่อนจะทาบริมฝีปากสั่นระริกลงไปแทนที่
อา...หล่อนช่างหวาน
เขาครางลึกอย่างเผลอไผล แทรกลิ้นสากเข้าไปในริมฝีปากอิ่มสวย สัมผัสความนุ่มนวลอ่อนหวานของหล่อน เคล้าคลึงแผ่วเบาอย่างโหยหา
“ที่รัก” เขากระซิบ เมื่อละริมฝีปาก และจุมพิตอีกครั้ง ทาบมือลงบนหน้าท้องราบเรียบของหล่อนเบาๆ
อัสวานชะงัก เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เพื่อเรียกสติ คล้ายมีแสงสว่างวาบเข้ามาเป็นระยะสลับกับแรงปรารถนาอันดำมืดในจิตใจ แสงสว่างนั้นเข้ามาเมื่อเขาทาบมือลงบนรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ตรงหน้าท้องของหล่อน
รอยผ่าตัดจากการคลอดราฟาเอลน้อย
จิตสำนึกกลับเข้ามาสู่จิตใจเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งจึงค่อยคิดเรื่องของหล่อน เรื่องราวที่ทำให้หล่อนกลายเป็นไวโอเล็ตผู้กระด้าง และทรนงเกินกว่าสตรีใดจะเป็นได้ ความทะนงตนในระดับนั้น...อย่าว่าแต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วยกัน ผู้ชายอกสามศอกบางคนยังออกแพ้ๆ หล่อน
จากที่ทราบมาหญิงสาวสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปเมื่ออายุสิบแปดปี และไม่มีญาติที่ไหนเหลืออยู่อีก ตอนนี้ญาติคนเดียวที่หล่อนมีก็คือราฟาเอลน้อยซึ่งเป็นลูกชาย ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหล่อนถึงสู้สุดใจขาดดิ้นขนาดนี้เพื่อไม่ให้ใครมาพาลูกน้อยไปจากหล่อนได้
ชายหนุ่มนึกถึงสายสัมพันธ์อันแสนอบอุ่นซึ่งก่อกำเนิดขึ้นในจิตใจของเขา ระหว่างเขาและราฟาเอลน้อยมีสายใยพ่อลูกที่ตัดไม่ขาด แล้วหล่อนเล่า? ไวโอเล็ตพยายามทำการผสมเทียมถึงสามครั้งเพื่อให้ลูกน้อยถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ของหล่อน ไม่ต้องสงสัยว่าหล่อนจะดีใจมากขนาดไหนเมื่อรู้ว่าการผสมเทียมในครั้งที่สามสำเร็จ แล้วยังการประคบประหงมดูแลลูกน้อยจนกว่าจะคลอดออกมาอีก เวลาเก้าเดือนที่สายใยระหว่างหล่อนกับลูกเชื่อมโยงถึงกัน หล่อนหิวเมื่อลูกหิว เจ็บเมื่อลูกเจ็บ ยิ่งเด็กที่เกิดจากการผสมเทียมยิ่งต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ หญิงสาวเลี้ยงลูกอย่างเข้มแข็งด้วยตัวคนเดียวจนแกเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีและฉลาดเฉลียวจนตอนนี้ราฟาเอลก็อายุเกือบสองขวบแล้ว สายใยนั้นจะแน่นหนามากซักเพียงใด หล่อนก็ได้พิสูจน์ให้อัสวานเห็นแล้ว
ไวโอเล็ตกระเสือกกระสนหนีข้ามทวีปมาหลบซ่อนตัวไกลถึงชานเมืองนีซด้วยเงินเก็บอันกระจ้อยร่อยของตัวเอง เพื่อแลกกับการได้อยู่กับลูกต่อไป
เขาเองขนาดไม่ได้อุ้มท้องและดูแลแกมายังมีความรู้สึกรักและผูกพันอันยากจะไถ่ถอน...แล้วคนเป็นแม่จะไม่มีความรู้สึกรักและผูกพันในตัวลูกน้อยได้อย่างไร
เขาจะเห็นแก่ตัวพรากลูกมาจากหล่อนละหรือ...เขาจะพรากคนสำคัญที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของหล่อนมาได้อย่างไรกัน
อัสวานครุ่นคิด...
ตอนนั้นเองจามาลเคาะเรียกเบาๆ จากนอกห้อง
“เข้ามา” เขาอนุญาต
“ท่านเจ้ากรมกลาโหมมาถึงแล้วครับ” อัสวานพยักหน้า หากเมื่อเห็นคนรายงานยังคงยืนนิ่งไม่ถอยออกไปอย่างเคย แสดงว่ามีเรื่องจะพูด
“มีอะไร?” จามาลทำท่าอึกอัก ดวงตาต่างหากพราวระยับ
“ผม...มีเรื่องจะเตือน” ชีคหนุ่มเลิกคิ้ว ไม่ทันสังเกตว่าคนมีเรื่องจะเตือนมีน้ำเสียงล้อเลียน “ในฐานะเพื่อน” คราวนี้จามาลทำท่าขึงขัง
อัสวานพยักหน้า สมองมัวคิดถึงเรื่องของร่างที่นอนเหยียดบนเตียง
“ลักหลับผู้หญิงมันไม่งามนะครับ”
“แค่ก!” คนถูกเตือนถึงสำลัก
ไอ้นี่! แอบเห็นได้ไงวะ!
จามาลกลั้นหัวเราะ ไหล่สั่นๆ ขณะคนเป็นนายหันมองตาขุ่นขวาง
“ยังไม่ได้ทำอะไร” คำบอกราบเรียบ หาไม่อีกฝ่ายจะได้ใจ
“ครับ” จามาลรับคำราบเรียบไม่ต่างกัน “ถึงได้เตือนไว้ก่อน! ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วมันเตือนไม่ทัน ก็ไม่ต้องเตือนกันมากมายให้เมื่อย”
“ไอ้นี่!” คราวนี้ชีคหนุ่มได้ไล่เตะก้นผู้ติดตามที่พลิ้วตัวหลบว่องไว้
อาจเพราะตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมากมายทำให้ญามาติการู้สึกว่าหล่อนเพลียมากว่าปกติเมื่อตื่นขึ้นในสายของวันต่อมา หญิงสาวนอนนิ่งนึกทบทวนพักหนึ่งบนเตียงนุ่มจากนั้นจึงเด้งตัวพรวดขึ้นจากเตียง
“ราฟ!” หล่อนรู้สึกตัวว่าเสียงแหบแห้งและห้องทั้งห้องก็หมุนคว้าง “ราฟาเอล อยู่ไหนลูก”
“เธอรับประทานอาหารอยู่ห้องใหญ่กับนายท่านค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งยอบกายเข้ามา ภาษอังกฤษนั้นสำเนียงดีทีเดียว
“อยู่ไหน” หล่อนถาม
“ห้องใหญ่ค่ะ”ข้าหลวงนางนั้นตอบ
“นำทางไปที” ญามาติกาบอกพลางลุกขึ้นหากก็ซวนเซ
“คุณจะล้มอยู่แล้ว” อีกฝ่ายถลาเข้ามาประคอง
“บอกว่าให้พาไปไง”
“แต่คุณไม่สบาย พักผ่อนดีกว่านะคะ” นางแตะผิวเนื้อร้อนผ่าว รู้สึกว่าอาการอย่างนี้ต้องเป็นไข้ทะเลทรายอย่างแน่นอน อากาศทะเลทรายร้อนระอุ นอกจากนี้ความชื้นในอากาศต่ำ คนมาใหม่ๆ ไม่คุ้นชินก็มักเป็นไข้ชนิดนี้กันมาก บางรายออกจะแพ้เอาจริงๆ ถึงเป็นโรคประจำตัวกันเลยทีเดียว
ญามาติกายังพยายามหยัดตัวตรงเพื่อเดินออกไปสู่ประตูใหญ่ หล่อนต้องการพบลูก!
นับตั้งแต่รู้ตัวว่ามีอีกชีวิตหนึ่งปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของหล่อน ญามาติการู้สึกตัวเสมอ ...หล่อนจะตื่นมาพร้อมกับคนอีกคนหนึ่ง อีกชีวิตที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหล่อน ลูกของหล่อน หล่อนจะตื่นนอนพร้อมลูกและใช้ชีวิตทุกวันด้วยกัน จะเลี้ยงเขาให้เป็นคนดี เฝ้ามองเขาเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ตอนนี้หล่อนรู้สึกเคว้งคว้าง หัวใจของหล่อนว่างโหว่ง...ลูกน้อยอยู่ที่ไหน?
“พาไป...ลูกของฉัน ราฟาเอลอยู่ไหน” นางข้าหลวงมองร่างงามระหงส์ที่ยืนโซเซแล้วกลัวว่าหล่อนจะล้มพับไป
“พักเถอะค่ะ โธ่...เป็นถึงอย่างนี้จะออกไปได้ยังไงกันหือ? ที่อยู่ข้างนอกเข้ามานี่สองสามคนซิ” นางข้าหลวงชั้นผู้น้อยสองสามคนเข้ามายอบกาย รอรับคำสั่ง
“ไปตามหมอมาซิ ที่เหลือมาช่วยประคองคุณเธอ”
“ไม่ต้อง ฉันอยากพบลูก เท่านั้น!” บรรดาข้าหลวงมองหน้ากัน สุดท้ายผู้มีอาวุโสสุดพยักหน้าพลางสั่ง
“ช่วยกันพยุงคุณเธอลงไปแล้วกัน”
อัสวานเคยตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มพร้อมสาวสวย เรือนร่างเย้ายวน บางครั้งเธอเหล่านั้นก็จะนั่งประดับโต๊ะอาหารเช้าให้กับเขาด้วย เขาว่าพวกเธอ ‘ประดับโต๊ะ’ เพราะพวกเธอเหล่านั้นแตะอาหารน้อยกว่าน้อย เนื่องจากแต่ละคนถ้าไม่เป็นดาราก็นางแบบซึ่งต้องรักษารูปร่าง บางครั้งจิบกาแฟสองสามครั้งก็ไม่แตะอะไรอีก
ความรู้สึกของเขาคื อความชินชา...ผู้หญิง...เวลาหมดความต้องการแล้วก็...น่าเบื่อ
หากวันนี้ เพียงร่างเล็กๆ ของลูกน้อยมานั่งจ้อภาษาที่ผู้ใหญ่ฟังไม่เข้าใจอยู่ร่วมโต๊ะกับเขา อัสวานกลับรู้สึกตัวว่าหัวใจเอิบอิ่มเป็นสุขอย่างน่าประหลาด
ราฟาเอลน้อยกำลังเริ่มฝึกทานอาหารเอง ว่าไปก็เร็วกว่าเด็กคนอื่นค่อนข้างมาก แต่แกก็ทำได้ดี
“มามี้!” หนูน้อยตะกายลงจากเก้าอี้ วิ่งตรงดิ่งอย่างมีจุดหมาย สุดท้ายก็ปะทะเข้ากับร่างหนึ่งซึ่งพยายามทรงตัวหยัดกายขึ้นยืนอย่างโงนเงนเต็มที อัสวานหันมองตามก็เห็นลูกชายกอดกับแม่ตัวกลมดิก
“ราฟ...โอ มามี้ตามหาแทบแย่” ญามาติกา ไวโอเล็ต มองตาญโญ... หล่อนอยู่ในชุดแพรสีขาวเรียบเพราะเป็นชุดนอนซึ่งเขาจัดหาไว้ให้ ตอนที่ข้าหลวงเอามาให้ตรวจดูเขาก็ว่ามันรัดกุมดี แต่ทำไมพอมาอยู่บนร่างหล่อนอย่างนี้แล้ว ราวกับเป็นคนละชุด! หล่อนดูเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นตัวพิสูจน์ความอดทนของเขาโดยแท้
อัสวานมองหล่อนทั้งๆ ไม่อยากมองเลย หล่อนทรมานเขาอย่างร้าย!
ญามาติการู้ตัวว่ามีน้ำตาอุ่นๆ ไหลเปรอะแก้มก็ตอนที่ลูกน้อยร้องว่า
“โอ๋ๆ มามี้ โอ๋ๆ” เด็กชายลูบศีรษะหล่อนเบาๆ เหมือนตอนที่หล่อนเคยลูกศีรษะเล็กๆ ของแกอย่างปลอบโยน หล่อนยิ่งกอดร่างน้อยแน่นเ ข้า รับรู้ว่าแกยังอยู่ในอ้อมกอด ยังไม่มีใครพรากแกไปจริงๆ
ไหล่ของหล่อนสั่นเท า หัวใจที่หวาดกลัวมาโดยตลอดค่อยผ่อนคลาย
ลูกของหล่อน ลูกของ หล่อนยังคงอยู่ตรงนี้...ในอ้อมกอดของหล่อนเอง
หล่อนรู้ตัวว่าร่างกาย กำลังจะแย่เพราะเวียนศีรษะวูบวาบ และร่างกายก็ผ่าวร้อน แต่ยังฝืนกอดราฟาเอลแน่นเพราะไม่อยากให้แกตกใจว่ า จู่ๆ มามี้ก็ล้มตึง หญิงสาวฝืนยืนขึ้นในนาทีต่อมา หล่อนเหลือบเห็นอัสวานแวบๆ จากหางตาก็มองเขาอย่างเป็นอริ แต่แล้วโลกก็พลิกคว่ำลง นางข้าหลวงผวาเข้าจับหล่อนไว้แต่หล่อนยังตั้งตัวไม่ได้ก็ทิ้งน้ำหนักลงทั้งตัว ราฟาเอลผวาเ ข้าหาหล่อนอย่างตกใจ ปากร้องเรียก ‘มามี้ๆ’
“มามี้ไม่เป็นไรครับ” หล่อนป ลอบลูก แต่อาการก็แย่เหลือทน หล่อนฝืนหยัดตัวตรงอีกก็โงนเงนอีก จนต้องผวาเกาะอะไรไว้ซักอย่าง หล่อนควาน คว้ามือหนึ่งซึ่งมั่นคงไว้ได้ก็อาศัยประคองไว้แล้วหลับตาซักพัก พอลืมตาขึ้นมาก็รู้ว่ามือใหญ่แข็งแรงนั้นเป็นของอัสว าน หล่อนสะบัดออกโดยอัตโนมัติ ร่างทั้งร่างจึงซวนเซ คราวนี้อัสวานมองเฉย ปล่อยหล่อนล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างไม่เป็ นท่าเพราะเกิดอยากลงโทษความรั้นของหล่อนขึ้นมาบ้าง
หล่อนลุกไม่ขึ้นก็ปล่อยตัวให้นอน บนพื้นทั้งอย่างนั้น
“จุ๊” หล่อนได้ยินเสียงจุ๊ปาก “คุณนี่ รั้นเหมือนใครนะไวโอเล็ต”
หล่อนรู้ว่าแขนแข็งแรงประคองหล่อ นขึ้นอุ้มไว้ทั้งตัวแต่ก็หมดแรงจะขืนตัวไว้ได้อีกปล่อยให้เขาอุ้มหล่อนได้ตามสบาย
“ดูแ ลนายน้อยด้วย” หล่อนได้ยินเขาสั่งเป็นครั้งสุดท้ายกับนางข้าหลวง
หล่อนรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพูดเบาๆ อยู่ข้างกาย จับความได้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย เสียงที่เธอจำได้ทั้งๆ ไม่ควร เลยคือเสียงของอัสวานพอหล่อนลืมตาขึ้นเขาก็มองหล่อนด้วยหางตาอย่างไม่ใส่ใจเลย พลางสั่งคนของเขาว่า
“ดูแลด้วยก็แล้วกัน” เขาเดินออกจากห้องไป
“ คุณรู้สึกยังไงบ้าง” ชายผู้ที่น่าจะเป็นแพทย์ถามเบาๆ
“ ปวดหัวค่ะ แต่ดีขึ้นมากแล้ว” หล่อนตอบ พิจารณาดูรอบๆ ก็รู้ว่าที่ๆ หล่อนอยู่ก็คือห้องที่หล่อนฟื้นขึ้นมาเมื่อแรก
“ คนมาที่นี่ใหม่ๆ จะเป็นอย่างนี้แหละครับ อากาศที่นี่แห้งแล้ง คนไม่ชินต้องใช้เวลาปรับตัว...” หล่อนอยากจะบอกน ายแพทย์ผู้นั้นเหลือเกินว่า หล่อนคงไม่อยู่เพื่อปรับอะไรนานนักหรอก จะหาวิธีกลับไปให้ได้เร็วๆ นี้แหละ
นา ยแพทย์ผู้นั้นพูดต่ออีกสองสามประโยค ซึ่งหล่อนไม่ได้ตั้งใจฟังมากนักเพราะเพลียและอยากพักเต็มกำลัง เขาจึงเรียกข้าหลวงสองสามคนเข้ามาและปล่อยให้หล่อนนอนพักตามสบาย
หล่อนตื่นมาอีกครั้งด้วยอาการเหงื่อโทรมและเหนียวเนื้อตัวไปหมด จึงแสดงความจำนงว่าหล่อนอยากอาบน้ำ
นางข้าหลวงคนหนึ่งยอบกายต่ำอย่างมีคารวะและเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนทำท่าจะเข้ามาปลดสายรัดเอวให้ หล่อนก็ผวาจับไว้แน่น พลอยทำให้อีกสองคนชะงักไปด้วย
“ทำไมคะ?” อีกฝ่ายทำเสียงถามอย่างงงงัน โดยปกติเป็นหน้าที่ของข้าหลวงซึ่งต้องคอยติดตามปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิด เป็นงานที่ทำจนเคยชิน
“ฉันทำเองได้” หล่อนบอก “ออกไปเถอะ” ญามาติกาไม่เคยเปลื้องผ้าต่อหน้าใครซักที แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็เถอะ หล่อนรู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะเปิดเผยเนื้อตัวต่อหน้าคนอื่นแม้จะในที่ซึ่งเป็นสถานส่วนตัวของหล่อนเองก็ตาม
“...” ข้าหลวงผู้อาวุโสพยักเพยิดให้เป็นการบอก ‘ตามใจคุณเธอเถอะ’ ข้าหลวงทั้งมวลจึงทยอยกันออกไปหมด
ญามาติกาเดินไปรูดม่านปิดจากนั้นจึงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นผ้าคลุมขนหนูซึ่งน่าจะยังเป็นของใหม่
หล่อนมองตัวเองในกระจกอย่างเซ็งๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี พอถูกตามตัวเจอเสียแล้วก็คงหมดหวังได้ใช้ชีวิตสงบสุขกับลูกอีก
หล่อนนึกถึงอัสวานอย่างเป็นอริว่า เขาจะมาแย่งลูกเธอไปทำไม ก็ไหนว่ามีปัญญาผลิตลูกเองก็ไม่น่าจะมาแย่งตาราฟาเอลน้อยของหล่อน
คิดมาถึงตรงนี้ก็เหมือนว่าหล่อนเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า ท่าทีที่ถามหล่อนว่า
‘คุณอยากพิสูจน์ไหมว่ากระสุนผมด้านหรือเปล่า?’ ดูแรงร้อนชอบกล ดวงตาสีทองแดงคมกล้าที่มองสบตาหล่อนมีแววกระด้างอย่างที่ทำให้หล่อนสะดุดใจหากก็แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนแห่งบุรุษอันหล่อนไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ญามาติการู้สึกตัวคล้ายกับว่าได้กลิ่นหอมของโคโลญจ์ผสมกับกลิ่นหญ้าซึ่งเคยสัมผัสได้จากตัวเขา อกแกร่งที่เคยมองเห็นผ่านดุมเสื้อที่เปิดอ้าเป็นตัววีเป็นสีคล้ำแดดและเส้นขนสีน้ำตาลซึ่งเรียงตัวอยู่บนหน้าอกของเขาได้ปรากฎขึ้นตรงหน้า
หล่อนรู้สึกตัวอยู่หน้ากระจกเมื่อมือหยุดลงที่แอ่งชีพจรของตัวเองอย่างเผลอไผล
ญามาติกาจับได้ว่าหัวใจหล่อนเต้นแรงและไม่เป็นจังหวะเลยเมื่อนึกถึงเขา
บ้า! เธอมันบ้า หล่อนนึกฉิวตัวเอง
หญิงสาวก้าวยาวๆ ออกจากหน้ากระจก จำได้ว่าหมอบอกกับเธอว่าสั่งยาแก้ปวดหัวไว้ให้ก็คว้ามากินเสียสองเม็ดก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป
อ่างอาบน้ำกว้างราวกับสระถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว คงจะโดยข้าหลวงนางใดนางหนึ่งที่หล่อนคุ้นหน้าอยู่
น้ำที่ถูกเตรียมไว้ลอยดอกไม้กลิ่นหอมอวลซึ่งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นดอกกุหลาบแห้งที่พอถูกแช่ในน้ำอุ่นก็บานออก กระจายตัวเมื่อหล่อนก้าวลงไป โดยทั่วไปตามโรงแรมอาจเตรียมน้ำอุ่นผสมสบู่หอมไว้ให้แต่ก็มีบางที่เหมือนกันจะโรยกลีบดอกไม้ซึ่งให้กลิ่นหอมผ่อนคลายไว้แทน ซึ่งประการหลังนี้มักเป็นโรงแรมที่ ‘แพงหูฉี่’ จนหล่อนไม่ยอมใช้บริการ จะมีบ้างตอนที่ต้องไปพักกับบริษัทในเรื่องงาน ซึ่งหล่อนก็ชอบมากกว่าน้ำสบู่หอม
เพิ่งจะมาเจอที่นี่เองที่ใช้กุหลาบทั้งดอก...น่าจะเป็นกุหลาบตูมที่เก็บตั้งแต่เริ่มจะผลิดอกกระมัง เพราะกุหลาบนั้นจะมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมักนำมาผลิตหัวน้ำหอม พอเก็บเสียตั้งแต่ยังไม่บานมาผึ่งให้แห้งก็จะรักษากลิ่นหอมระเหยที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ ไว้โรยน้ำอาบจะได้กลิ่นหอมชื่นใจดี จิตแพทย์บางคนยังใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ที่มีภาวะเครียดสูง
ญามาติกานอนคิดเรื่อยเปื่อยซักพักก็หาวออกมา แปลกใจตัวเองว่าทำไมจึงง่วงนอนนักเพราะตั้งแต่มาที่นี่ก็เอาแต่นอนตลอด ทั้งๆ เป็นคนที่เบื่อการนอนเฉยๆ จนมนตร์ปลายเดือนเคยบ่นว่า
“จะไฮเปอร์ไปไหน?”
เอ...ทำไมหล่อนง่วงนัก
หล่อนคิดว่าจะพักสายตาซักงีบหนึ่ง แต่ก็กลับหลับไปจริงๆ หรือยังไงไม่รู้เพราะตื่นขึ้นมาอีกทีบนเตียงนอนนุ่ม ยังนอนตาลอยเพราะงุนงง
หล่อนยันตัวลุกขึ้นนั่งคิดครู่หนึ่ง ไฟในห้องเปิดไว้สลัวๆ บอกว่าคงมืดแล้ว แต่หล่อนก็ยังนึกลำดับเหตุการณ์ไม่ออกอยู่นั่นเอง
“คุณน่าดูมาก...โดยเฉพาะเวลาไม่มีผ้าติดตัวซักชิ้น แบบนี้” หล่อนทะลึ่งตัวพรวดไปยืนอยู่อีกฟากเตียง
อัสวาน!
“คุณ! เข้ามาทำไม ออกไปนะ” หล่อนร้องเสียงแหว
“...” เขาไม่พูดอะไรซักคำ ตาที่มองดูหล่อนอย่างตั้งใจวาววับ มีรอยอันตรายที่แฝงไว้ด้วยความพึงใจ เขาเลียริมฝีปากพลางเอนตัวพิงพนัก มองหล่อนอย่างสบายอารมณ์ ญามาติกาเลยก้มลงมองตัวเองบ้าง
“หวาย!” หล่อนร้องไม่เป็นภาษา โดดคว้าผ้าที่เตียงลงมาคลุมตัวเองไว้อย่างตกใจ หน้าหล่อนร้อนผ่าวเพราะรู้ว่าเขามัวมองอะไรอยู่เป็นนาน
หล่อนเปลือยล่อนจ้อนทั้งตัว!
โอยตาย! หญิงสาวครางในใจ
“แหม...กำลังมองเพลิน”
คราวนี้หล่อนร้อนไปทั้งตัวด้วยความอายและความโกรธ
“คุณมันหน้าไม่อาย” ญามาติกากล่าวหา หัวตื้อจนคิดอะไรไม่ออก
“ก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องอายนี่” เขาบอกหน้าเฉย กริยาเกือบเป็นลอยหน้าลอยตายียวน ญามาติกาอ้าปากค้างเพราะกำลังสับสนเกินกว่าจะโต้ตอบ
หล่อนไม่เคยเจอเรื่องน่าอายขนาดนี้!
หญิงสาวอยากจะกรีดร้อง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน หล่อนมีเลือดเสปนซึ่งได้มาจากแม่แต่ก็เติบโตมาในประเทศไทยและซึมซับวัฒนธรรมเหล่านั้นฝักลึก สำหรับหล่อนเนื้อตัวเป็นสิ่งพึงสงวน อย่าว่าแต่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้เห็น แม้แต่ผู้หญิงกระทั่งเพื่อนสนิทอย่างมนตร์ปลายเดือนก็ยังไม่เคย
แต่นี่อัสวานกลับเห็นหมด ทุกอย่าง!
และเขาก็คงไม่เห็นเปล่าด้วย!
“ออกไปนะ! ออกไปเดี๋ยวนี้”
“คุณทำกับคนที่ช่วยชีวิตคุณไว้อย่างนี้หรือไวโอเล็ต” เขาเรียกชื่อกลางของหล่อนสุ้มเสียงยังมีกังวานเยาะ หยัน ญามาติการ้อนผ่าวไปทั้งตัว เมื่อเขาจ้องมอง หล่อนรู้สึกว่ามีไฟร้อนๆ ลามเลียไปทั่ว
“ผมผิดหวังจังเลย” เขาค่อยๆ เดินเข้าหาหล่อน นัยน์ตามีแววอันตราย ญามาติกาเกือบไม่รู้ตัวว่าหล่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าว
“คุณช่วยฉัน?”
“หมอไม่เตือนคุณหรือ เรื่องกินยานอนหลับก่อนลงไปแช่ในน้ำ หรือคุณผิดหวังอะไรในชีวิตขนาดต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย” สายตาเขาเวทนาแกมขันยิ่งทำให้หล่อนผ่าวไปทั้งหน้าด้วยความโกรธ
“ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย ฉันไม่ได้กิน...” หล่อนพูดแล้วชะงักเพราะนึกขึ้นได้ หล่อนกินยาแก้ปวดหัวเข้าไปสองเม็ดก่อนเข้าห้องอาบน้ำ ตอนนี้ชักไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วว่า ยาอะไร?
“หึ” เขาทำเสียงในลำคอ หล่อนเชิดหน้าขึ้นสบตาเขา
“ถ้าคุณมาทวงคำขอบคุณละก็...ขอบคุณ” สุ้มเสียงหล่อนฟังชัดว่าไม่มีแววจริงใจเลย
“หึ” เขาทำเสียงแบบเดิมอีกครั้ง จ้องมองไปตามส่วนที่โผล่เหนือผ้าตลอดลำคอ “คุณจะปิดไว้ทำไมนะ ผมเห็นหมดแล้วแท้ๆ อ้อ...ขอสารภาพว่า มากกว่าเห็นก็ทำมาแล้ว”
หล่อนสะดุ้งวาบ กอดผ้าแน่นเข้า
“คุณ! คนเลว! คุณทำอะไรฉัน” ญามาติกาชี้หน้า
อัสวานเกือบหัวเราะ ว่าอันที่จริงเขาจะทำอะไรหล่อนได้ต่อหน้านางข้าหลวงทั้งโขยง แต่ก็อยากแกล้งเสียหน่อยเพื่อแก้แค้นที่เล่นงานเขาไว้จนเจ็บแสบ
“ก็...คุณสวยไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว จะให้ผมอดใจไหวหรือ?” เขาพูดหน้าเฉย ทั้งๆ รู้ว่าหล่อนจะต้องเข้าใจผิด
“คุณ...คุณๆๆๆ” หล่อนแผดร้อง กระบอกตาเจ็บแปลบ ใจหายวับวาบ โอ...หมดแล้ว หมดสิ้นกันแล้ว นี่เขาทำอะไรหล่อน...หล่อนจะทำยังไงดี
ขณะชีคหนุ่มนั่งไขว้ขาสบายอารมณ์
“อันที่จริงคุณเยี่ยมสุดๆ ไปเลยนะถ้าไม่เอาแต่หลับ” เขายังคงแกล้งต่อไป
ไม่ๆๆ ญามาติกาบอกตัวเอง ไม่จริง! เขาโกหก
“ไม่!” หล่อนกรีดร้องออกมาจริงๆ กระโดดเข้าใส่เข้าทั้งตัว เขาร้อง ‘เฮ้ย!’ เพราะไม่ทันตั้งตัวแต่ก็จับแขนเล็กๆ ที่ไล่ตีเป็นพัลวันได้ข้างหนึ่ง
เพี๊ยะ!
หล่อนตวัดมือฟาดเข้าตรงกกหูเขาเข้าอย่างเต็มแรง
โดนเข้าแล้วหนึ่งที!
ชายหนุ่มคิดอย่างกึ่งโมโหกึ่งขันเพราะการยั่วของเขาได้ผลเกินคาด มือใหญ่ไล่คว้าแขนเรียวเล็กอีกข้างหนึ่งซึ่งพยายามทึ้งใบหูเขา แล้วพอจับแขนติด หล่อนก็เอาเข่ามากระทุ้งเข้าสีข้างเขาเข้าพอดิบพอดี
อัสวานกลับหัวเราะ
“นี่มันถิ่นผมนะสาวน้อย คุณคิดว่าจะชนะผมในถิ่นของผมได้หรือ” เขาตวัดตัวหล่อนขึ้นพาดบ่า ผลคือหล่อนดิ้นพล่านทั้งแตะ ทั้งถีบ ทั้งทุบ จิกข่วนสารพัดจนผ้าที่พันไว้ไหวเพยิบพะยาบ
เอา! ดิ้นเข้า จะท้าทายความอดทนกันไปถึงไหน!
อัสวานคำรามร้องในใจขณะหิ้วหล่อนเดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำซึ่งเขาเพิ่งจะหิ้วหล่อนออกมาในสภาพเปลือยเปล่าแต่ศีรษะจรดเท้า เอาล่ะ! เขาสารภาพหมดใจเลยว่าตอนที่อุ้มหล่อนออกมานั้นเขามองสำรวจหล่อนอย่างต็มตาเป็นครั้งแรก
สวยจนหาที่ติไม่ได้เลย! สวย...แต่พยศเหลือเกิน เขาไม่ชอบใจก็ตรงนี้! ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงที่กรานเข้าหาเขา เอาอกเอาใจอ่อนหวาน แต่หล่อนไม่...นอกจากจะไม่ยอมทำตามใจเขาแล้วยังวางมาดหยิ่งผยอง แสดงความร้ายกาจสารพัดใส่เสียอีก
ไวโอเล็ตหล่อนร้ายนัก...คงไม่เคยมีใครปราบพยศหล่อน เขานี่แหละจะกำหราบหล่อนเอง
เขาหยุดลงที่หน้าอ่างอาบน้ำ กระทำการอย่างหนึ่งซึ่งทำให้หล่อนกรีดร้องออกมา
“กรี๊ด”
ซ่า!
ชายหนุ่มเหวี่ยงหล่อนลงในอ่างกว้างราวกับสระ รอจนหล่อนทะลึ่งพรวดขึ้นมา เขาจะเยาะเย้ยให้หนำใจ!
แต่แล้วกลายเป็นว่า พอหล่อนทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาสู่ผิวน้ำ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ ‘เยาะเย้ยให้หนำใจ’ อย่างที่คิด มือเล็กที่ควานมาคว้าผมเขาไว้ได้ก็กระชากโดยแรงจนเขาเสียหลักกลิ้งขลุกลงไปในน้ำเสียด้วย เมื่อทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเห็นร่างที่กำลังตะกายขึ้นจากอ่างทุลักทุเล ชีคหนุ่มคว้าหล่อนไว้ด้วยความโมโห ญามาติการ้องวีดหงายหลังลงไปในน้ำ หากคราวนี้ร่างใหญ่ตามลงมาทาบทับ ขณะหล่อนสำลักกระอักกระไออยู่ใต้น้ำนั้นเอง เขาก็ประทับริมฝีปากลงเข้ากับริมฝีปากหล่อนอย่างลงโทษ ญามาติกาข่วนเล็บลงบนหลังเขา เขาก็จับมือหล่อนไว้เสียด้วยมือข้างเดียว พอหล่อนดิ้นเขาก็ใช้แขนข้างที่ว่างกอดกระชับหล่อนเข้าจนหล่อนเหมือนจะขาดใจ พอหล่อนนิ่งนั่นแหละเขาถึงได้ปล่อยหล่อนทะลึ่งขึ้นเหนือผิวน้ำ
“แค่ก...” หล่อนกระอักกระไอ พอหันมาเห็นเขาก็ขยับด่า
“คุณมัน...กรี๊ด!” เขาจับหล่อนกดลงไปในน้ำอีก คราวนี้บดริมฝีปากลงมารุนแรงกว่าเก่า ก่อนจะปล่อยหล่อนขึ้นเหนือผิวน้ำ
หล่อนตบเขาเข้าฉาดหนึ่งเพราะโมโหเต็มที่ เขาก็จับหล่อนกดลงไปในน้ำอีก คราวนี้หล่อนระวังตัวอยู่แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดกลายเป็นว่าเขารู้ทันหล่อน แกล้งถ่วงเวลาจนหล่อนหมดลมนั่นแหละจึงค่อยทาบริมฝีปากลงมา เป่าลมหายใจเข้าในปากของหล่อน หล่อนหมดลมหายใจ กำลังทรมานเต็มที่ก็เผยอปากรับลมจากเขา
อัสวานฉวยโอกาสแทรกเรียวลิ้นสากเข้ามาในริมฝีปากหล่อน ขบเม้มอย่างหยอกเย้า สุดท้ายเรียกร้องให้ตอบสนอง ญามาติการู้สึกร้อนผ่าวทั้งๆ อยู่ภายใต้สายน้ำเย็น ร่างกายสะท้านไปทั้งร่าง มือใหญ่ของเขาบีบคลึงท้ายทอยของหล่อนเบาๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและรั้งเธอไว้ให้รับจุมพิตอย่างเอาแต่ใจของเขาในคราวเดียว จุมพิตของเขาแรงร้อน แฝงไว้ด้วยรอยเรียกร้องยั่วเย้า หากไม่จาบจ้วงเหมือนเช่นครั้งแรกที่ได้พบกัน
หล่อนรู้สึกวาบหวามไปกับทุกสัมผัสของเขา...
โอยตาย! หล่อนควรจะปฏิเสธเขา ควรจะต่อต้านหรือรู้สึกโกรธ หล่อนเป็นอะไรไป?
ญามาติการู้สึกตัวเป็นเหมือนอีฟ ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นคนที่กินผลไม้ต้องห้ามตามคำหลอกล่อของพญามาร นั่นล่ะ! อัสวานคงจะเป็นพญามารที่พยายามหลอกล่อให้หล่อนทำในสิ่งต้องห้ามเหมือนๆ กับที่พญามารหลอกล่ออีฟ
เขาปล่อยหล่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ ขณะหล่อนยังไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกว่ามึนงงอยู่
“คุณเก่ง” เขาว่าพลางมองหล่อนอย่างกราดเกรี้ยว ตาสีทองแดงแลบประกายเหมือนไฟ “ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าท้าทายผมได้ขนาดนี้” เขากระชับเอวหล่อนแน่น อกแกร่งบดเบียดเข้ากับอกของหล่อนซึ่งจะว่าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันปกปิดเลยก็ว่าได้
ญามาติกาสะท้านไปทั้งร่าง หล่อนไม่กล้าปริปากเพราะกลัวเขาจะกดหล่อนลงไปใต้น้ำอีก
“ต่อไปนี้นะมิสไวโอเล็ต ถ้าพูดไม่รู้เรื่องผมจะทำโทษคุณอีก...ด้วยวิธีของผมเอง” เขาก้าวออกจากห้องน้ำ สั่งหล่อนเรียบๆ โดยไม่หันมองว่า
“ผมให้เวลาคุณยี่สิบนาที แต่งตัวให้เรียบร้อย ผมจะรอทานข้าวอยู่ที่ห้องใหญ่ จัลนาร์จะพาคุณไป” หล่อนยังเบลอๆ อยู่ก็คิดว่าจัลนาร์คงเป็นข้าหลวงคนใดคนหนึ่งซึ่งหล่อนคุ้นหน้าอยู่นั่นแหละ
“คุณ! ฉวยโอกาส” หล่อนเพิ่งได้สติพอจะต่อว่าต่อขานเขา
“ผมไม่ใช่นักฉวยโอกาส...สาวน้อย ก็เห็นคุณเต็มอกเต็มใจดี” เขาพูดเสียงกระด้าง เดินจากไปอย่างไม่แยแสใบหน้าหล่อนเห่อร้อนด้วยความคับแค้น
นี่! ความอัปยศ ความอัปยศที่สุดในชีวิตของหล่อน!
อัสวาน บิลลอห์ ซาฮมาล! หล่อนจะไม่มีวันลืม เขาทำไว้กับหล่อนอย่างไร!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ