Whisper เพียงกระซิบว่ารักกัน
-
เขียนโดย Popp
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.36 น.
3 บท
0 วิจารณ์
5,031 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 มกราคม พ.ศ. 2561 22.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3
"ทั้งหมดก็ 160,000 บาทสำหรับค่าตัวของเด็กคนนี้"
ค่าตัวที่แสนแพงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะสรรหามาแลกได้ แต่ทว่ากับเมฆินทร์นั้นมันกลับเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยที่เอาไว้แลกกับคนที่กำลังจะมาอยู่กับเขา
การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีสิ่งใดมาติดขัด แม้จะสงสัยว่าทำไมเมฆินทร์ถึงหาเงินจำนวนนี้มาไถ่ตัวของเขาได้ แต่โชก็ได้แต่เก็บความงำความสงสัยนั้นไว้โดยที่ไม่คิดจะถามอะไรเก็บเมฆินทร์อีก อาจเพราะไม่มีสิ่งใดจะสลักสำคัญไปมากกว่าการได้พบกับอิสระที่มาพร้อมกับชายคนนี้อีกแล้ว
...ขอบคุณนะครับคุนฆินทร์
"เอาล่ะในที่สุดก็เสร็จสักที"
เสร็จสิ้นการซื้อขายแล้วเมฆินทร์ก็ได้พาโชออกมาเพื่อที่จะขึ้นรถของตน ด้วยความใจดีของเจ๊ผู้ที่ให้ที่พักพิงอาศัยมานานแสนนานหนุ่มน้อยจึงได้ถูกจับแต่งตัวใหม่โดยชุดกางเกงยีนและเสื้อแขนยาวตามแฟชั่นของวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน
“เป็นยังไงบ้างโช เธอดีใจมั้ยที่จะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว”
"ครับ ผมดีใจมากเลยล่ะ"
อะไรมันจะไปน่าดีใจได้เท่ากับการที่จะได้ออกจากห้องแคบแล้วไปใช้ชีวิตตามที่ตนได้ใฝ่ฝันนั้นอีกแล้ว อิสรภาพที่ไม่ต้องถูกจองจำและทำงานเป็นผู้ชายขายตัวภายในห้องแคบๆ อิสระที่ใฝ่ฝันมานานมาบัดนี้มันก็ได้เป็นจริงเพราะผู้ชายคนนี้...เพราะเมฆินทร์คนเดียว
“คุณฆินทร์ครับ ผมขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ผมขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่ช่วยคนพิการอย่างผม” อาจเพราะความตื้นตันใจที่ได้หลุดพ้นจากการเป็นนกน้อยในกรงทองนี่กระมังที่ทำให้โชดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หนุ่มน้อยได้แต่งุดหน้าลงต่ำไปพร้อมกับน้ำตาที่ได้ไหลเอ่อออกมาก่อนที่เมฆินทร์จะพูดกับเขาว่า...
“ไม่ต้องร้องไห้นะโช ไม่ต้องร้อง...ไม่ต้องร้องนะ ตอนนี้เธอมีฉันอยู่ข้างๆ แล้วนะ เธอไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไปแล้วนะโช” พูดจบเมฆินทร์ก็ดึงร่างอันบอบบางของโชเข้ามาโอบกอดก่อนที่จะลูบหัวและหลังของอีกฝ่ายเป็นการปลอบประโลม
เป็นอีกครั้งที่ชายคนนี้ทำให้เขามีความสุข เป็นอีกครั้งที่ชายคนนี้ทำให้เขาอบอุ่นใจ กี่ครั้งแล้วนะที่ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกดีแบบนี้ เมฆินทร์ช่างเป็นคนดี...ช่างเป็นคนดีเสียเหลือเกิน ทำไมนะทำไม...ทำไมชายเมฆินทร์ถึงได้ใจดีกับคนพิการที่ไม่มีอะไรในชีวิตดีเลยอย่างเขาแบบนี้ ทำไม...ทำไมนะ?
"ครับคุณฆินทร์ ผมจะไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้วล่ะครับ" โชพูดก่อนจะยิ้มรับอย่างแผ่วเบา แต่ทว่า...
" ไม่! ไม่ๆ โช จากนี้ต่อไปห้ามเธอเรียกฉันว่าคุณฆินทร์อีกนะเข้าใจมั้ย?" เมฆินทร์พูดส่วนโชก็ได้แต่แสดงความสงสัยออกมาก่อนที่เอ่ยถามกลับไปว่า...
“ถ...ถ้าไม่ให้เรียกคุณฆินทร์แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรเหรอครับ?” เมื่อได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กถามกลับมาแบบนั้นเมฆินทร์ก็ยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดกลับไปว่า...
“จากนี้ให้โชเรียกฉันว่า ‘พี่ฆินทร์’ นะ เข้าใจมั้ย?” พลัน รอยยิ้มก็ปรากฏที่ใบหน้าของหนุ่มน้อย โชฉีกยิ้มกว้างออกมาแล้วพูดกับเมฆินทร์ว่า
"ครับผม ได้ครับ...พี่ฆินทร์"
เวลาผ่านไปสักพักเมฆินทร์ก็ได้พาหนุ่มน้อยมายังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเพื่อเลือกซื้อของใช้ให้กับโช ทั้งพาคนตัวเล็กไปเลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ทั้งพาไปหาข้าวของเครื่องใช้ให้กับคนตัวเล็กที่กำลังจะไปอยู่กับตน อีกทั้งเขายังพาโชไปทานอาหารดีๆ ในร้านอาหารสุดหรูที่โชไม่เคยได้ลิ้มรสมันมาก่อนในชีวิต ซึ่งไม่ว่าจะไปที่ใดภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นเมฆินทร์ก็เดินจูงมือโชตลอดเวลาโดยที่ไม่บ่นหรือรำคาญคนตาบอดอย่างเขาเลย ซึ่งนั่นมันก็ทำให้โชอดมีความรู้สึกดีๆ กับเมฆินทร์ไม่ได้จริงๆ
...ทำไมคุณถึงใจดีกับผมแบบนี้นะคุณฆินทร์
จนกระทั่งเวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงตอนเย็น หลังจากที่ได้พาโชไปซื้อของและทานอาหารแล้ว เมฆินทร์ก็ได้ขับรถพาโชมายังคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่เดียวดายในเขตชานเมือง
"ถึงแล้วล่ะ" เมื่อมาถึงเมฆินทร์ก็พาโชลงจากรถก่อนที่จะอ้อมไปขนสิ่งของต่างๆ ที่เก็บไว้ในท้ายรถของตนลงมา
ในคฤหาสน์สีขาวอันเงียบสงบที่ไม่มีเพราะตั้งอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางหมู่บ้านที่ร้างผู้คน คฤหาสน์สีขาวสไตล์คลาสสิคที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายหากแต่เป็นบ้านที่เมฆินทร์ได้ใช้อาศัยมานานนับปี หากแต่ว่าในความสวยงามนี้มันกลับไม่มีผู้ใดเลยนอกจากคนสองคนและรถหนึ่งคันที่เหยียบย่างเข้ามา
“...”
สำหรับโชนั้นแม้เขาไม่สามารถที่จะยลโฉมความงามและความใหญ่โตของคฤหาสน์หลังนี้ได้ แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากการได้ยินนั้น ก็คือสถานที่แห่งนี้มันช่างเงียบเหงาและวังเวงเอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ไร้ซึ่งเสียงรถราใดๆ วิ่งผ่านสถานที่แห่งนี้ มีเพียงแค่เสียงของจิ้งหรีดเรไรที่ดังขับขานอย่างเยือกเย็นและวังเวงแทน ที่นี่ช่างดูเปล่าเปลี่ยวและอึมครึมจนทำให้เขารู้สึกกลัวและหดหู่แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม
“พี่ฆินทร์ครับ นี่บ้านพี่ฆินทร์เหรอ? ทำไมที่นี่มันดูเงียบและน่ากลัวจังเลยล่ะ?” เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบงันจนน่ากลัวโชก็ได้เอ่ยถามเมฆินทร์ผู้เป็นเจ้าของบ้านด้วยความสงสัย หากแต่สิ่งที่คนตัวใหญ่ตอบกลับมานั้นมันกลับเป็นเพียงคำสั้นๆ คือคำว่า...
"อืม" เมื่อรู้ว่าเมฆินทร์ตอบกลับมาเช่นใดโชก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อไปอีก อาจเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการพาเขาไปเลือกซื้อของด้วยกระมังที่ทำให้เมฆินทร์ตอบกลับมาสั้นๆ แบบนี้ โชจึงไม่คิดที่จะถามอะไรอีกแต่แล้วก็...
“เวลาแบบนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอก พวกแม่บ้านกับลูกน้องของฉันอยู่ที่นี่แค่ตอนกลางวันเท่านั้น ส่วนตอนกลางคืนฉันให้พวกเขากลับหมดเพราะไม่ต้องการให้ใครรบกวนเวลาฉันจะนอน” เมฆินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบส่วนโชก็ได้พยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเข้าใจ
"เอาล่ะไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปห้องนอนของเธอกัน ฉันคิดว่าเธอคงจะต้องชอบห้องนอนใหม่ของเธอแน่ๆ" เมื่อได้ยินดังนั้นโชก็ยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนที่มืออันเรียวบางของเขาจะถูกอุ้งมือหนาของเมฆินทร์จับมือให้เดินตาม
เมื่อมาถึงห้องที่ตนได้เตรียมไว้ให้กับคนตัวเล็กแล้ว เมฆินทร์ก็ได้เปิดประตูออกก่อนจะดันร่างของโชให้เข้าไป แม้จะสงสัยว่าทำไมเมฆินทร์ถึงไม่พูดอะไรกับตนอีกนอกจากดันร่างของตนให้เข้าไปในห้อง แต่เพราะด้วยมือของชายคนนี้ที่กำลังจับมือของตนไม่ปล่อยนี่กระมังที่ทำให้โชยังคงวางใจเดินเข้าไปในห้องๆ นั้น
“นี่คือห้องที่ให้ผมอยู่เหรอครับ?"
โชเอ่ยถามก่อนจะสูดดมกลิ่นต่างๆ ที่อยู่ภายในห้อง แม้จะเป็นห้องใหม่ตามที่เมฆินทร์พูดแต่ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นที่ลอบวนจนตีจมูกของเขาจริงๆ ไหนจะกลิ่นบุหรี่ที่ลอยมาจางๆ นี่อีก สงสัยห้องนี้คงจะไม่ได้เปิดใช้มานานแล้วกระมัง
“กลิ่นอับจังเลยนะครับ”
“อือ! แล้วเธอจะอยู่ได้มั้ย?”
“คิดว่าน่าจะได้นะครับ ถ้าฉีดสเปรย์ปรับอากาศสักหน่อยผมว่ากลิ่นห้องมันต้องหอมกว่านี้แน่ๆ” โชพูดก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคนที่กำลังจับมือของตนอยู่ แต่เขาก็หาได้รู้ไม่ว่าสิ่งที่ตอบกลับรอยยิ้มของเขานั้นมันกลับเป็นใบหน้าอันเฉยชาที่กำลังจ้องหน้าของเขานั้นแทน
“ฉันว่าเราไปนั่งลงที่เตียงกันเถอะ ยืนนานๆ แล้วฉันรู้สึกเมื่อย” ว่าแล้วเมฆินทร์ก็ดึงมือของโชให้เดินตามไปกับตน ทว่าเมื่อหนุ่มน้อยได้นั่งลงบนเตียงแล้วนั้นฝุ่นที่เกาะอยู่ก็ได้ฟุ้งขึ้นมา
“อื๋อ! ฝุ่นเต็มจมูกเลยครับ” โชบ่นอุบก่อนจะเอามือปัดจมูกของตนส่วนเมฆินทร์ก็ปล่อยมือของตนออกก่อนที่จะพูดกลับโชว่า...
“โช...ฉันมีอะไรจะให้ เธอช่วยอยู่นิ่งๆ หน่อยนะ” แม้จะเอ่ยถามแต่เขาก็ไม่รอที่จะฟังคำตอบของคนตัวเล็ก ชายหนุ่มก้มลงไปหยิบเอาบางอย่างขึ้นมาก่อนที่จะบรรจงสวมใส่มันเข้ากับคอของโช
“อ...อะไรเหรอครับ พี่ฆินทร์เอาอะไรมาใส่คอของผมเหรอ?” แม้จะสงสัยและแปลกใจว่าเมฆินทร์เอาอะไรมาคล้องคอของตนแต่โชก็หาได้ขัดขืนอะไรไม่ แต่ทันใดนั้นเองหนุ่มน้อยก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเมฆินทร์รัดเจ้าสิ่งนั้นแน่นจนทำให้โชหายใจแทบไม่ออก
“อ...อ้อก! พ...พี่ฆินทร์ ผ...ผมหายใจไม่ออก อึก! พ...พี่ฆินทร์ ผมหายใจ...ผมหายใจไม่ออก อ้อก!” แม้คนที่อยู่ในกำมือของตนจะแสดงความเจ็บปวดออกมาเช่นนั้นแต่เมฆินทร์ก็หาได้ยอมหยุดไม่ เขาบีบและรัดจนเจ้าสิ่งนั้นมันก็ได้ประกบติดกันแน่นเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนั้นมันก็ทำให้ผู้ที่ถูกมันสวมใส่ถึงกับหอบหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน
“แฮก...แฮก! พ...พี่ฆินทร์ พ...พี่เอาอะไรมาใส่คอผมเหรอ? แฮก...แฮก!” หนุ่มน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดขัดส่วนเมฆินทร์ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งว่า...
“หึ! อยากรู้ก็ลองเอามือจับดูสิ” เมื่อได้ยินดังนั้นโชก็นิ่งไปสักพักก่อนที่จะเอามือเข้ามาจับสิ่งคล้องคอของตนอย่างแผ่วเบา ทว่าเมื่อปลายนิ้วได้จับและสัมผัสมันอย่างแน่ชัดหนุ่มน้อยก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าสิ่งนี้มันก็คือปลอกคอ
“ป...ปลอกคอ พ...พี่ฆินทร์ พี่ฆินทร์เอาปลอกคอมาใส่ให้ผมทำไม พ...พี่?”
ผัวะ!
แต่แล้วสิ่งที่ตอบกลับมามันกลับเป็นฝ่ามือที่ตบมาที่ใบหน้าของโชอย่างเต็มแรง ร่างของโชปลิวไปตามแรงตบพร้อมกับรอยฝ่ามือแดงๆ ที่ขึ้นตัดกับสีผิวอันขาวเนียนของเขา หนุ่มน้อยได้แน่นิ่งไปเพราะความงุนงงและตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“พ...พี่ฆินทร์” หนุ่มน้อยได้หันหน้ากลับมาเบาๆ ก่อนจะเรียกชื่อของเมฆินทร์อีกครั้งแต่ทว่า...
“ใครพี่มึง? กูไปเป็นญาติของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะไอ้เด็กตาบอด!” สิ่งที่ตอบกลับมามันกลับเป็นคำด่าที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของชายคนนี้
“พี่ฆินทร์...โอ๊ย!”
ผัวะ!
“อย่าสะเออะมาเรียกชื่อกูไอ้เด็กตาบอด! ไอ้เด็กโสโครก!”
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
“โอ๊ย โอ๊ย!”
เมฆินทร์ยังคงกระหน่ำฝ่ามือของตนตบเข้าไปที่ใบหน้าของโชหลายครั้งจนแก้มของหนุ่มน้อยนั้นกลายเป็นสีแดงตัดกับสีผิวที่ขาวเนียนของเขา โชได้แต่เอามือมาปัดป้องพร้อมกับฟังเสียงของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เมฆินทร์ถึงทำกับเขาแบบนี้
“พ...พี่เมฆินทร์ ฮึก! ท...ทำไม...ทำไมพี่ถึงได้...โอ๊ย!” แต่ไม่ทันที่โชจะได้เอ่ยถามสิ่งใดเขาก็ถูกเมฆินทร์กระชากผมขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมเกรียมว่า...
“หึ! นี่มึงคิดจริงๆ เหรอว่าคนอย่างกูจะเอาคนน่ารังเกียจอย่างมึงมาดูแลน่ะ หึหึ...หึหึ! กูไม่เอาคนร่านๆ แบบมึงมาดูแลให้เป็นเสนียดกูหรอก” พูดจบเมฆินทร์ก็เหวี่ยงโชออกไปจนทำให้หัวของหนุ่มน้อยไปกระแทกกับหัวเตียง
“โอ๊ย!” แต่นั่นมันก็ยังไม่สาแก่ใจของชายผู้นี้ เมฆินทร์เข้าไปฉีกทึ้งเอาเสื้อสีขาวที่โชสวมใส่อยู่จนฉีกขาดก่อนที่ถอดกางเกงขายาวของอีกฝ่ายออก
“กูโคตรเสียดายเงินที่ต้องมาซื้อของให้มึงจริงๆ เอาเงินไปบริจาคให้หมาแมวหรือขอทานยังดีกว่านี้ ดีกว่าที่จะต้องมาให้กับคนน่ารังเกียจอย่างมึง” เมฆินทร์พูดก่อนที่จะปรี่เข้าไปหาร่างของโชที่นอนเปลือยเปล่าจนเหลือแต่กางเกงชั้นในเพียงตัวเดียวนั้นแล้วเอามือกระชากคอของหนุ่มน้อยให้ลุกขึ้นมา
“หึ! อยากร้องก็ร้องไปเถอะ น้ำตามึง ตัวมึง คนอย่างมึงมันไม่มีค่าอะไรสำหรับกูหรอก หึหึหึ! ที่ผ่านมากูก็แค่เล่นสนุกกับมึงเท่านั้นไม่คิดจริงๆ ว่ามึงจะหลงเชื่อแบบนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เมฆินทร์พูดพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“คนอย่างมึงมันมีค่าเป็นได้แค่ตัวแก้เงี่ยนเท่านั้นแหละ ตาบอดอย่างมึง พิการอย่างมึงมันเป็นได้แค่กระหรี่!”
“ฮึก...ฮึก! อึก...ฮือ!” โชได้แต่ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ในตอนนี้จะเป็นคนๆ เดียวกับคนที่เคยทำดีกับเขา
คนนี้กระนั้นหรือที่เคยทำให้เขามีความสุข คนนี้กระนั้นที่ทำให้เขายิ้มได้ คนนี้ใช่หรือไม่ที่พาเขาออกมาจากกรงขังแห่งนั้น แต่ทำไมในตอนนี้คนๆ นี้กลับทำร้ายเขา ทำไม...ทำไม? ทำไมกัน!
“หึ! ผู้ชายแบบมึงต้องเจออย่างกูนี่”
ว่าแล้วเมฆินทร์ก็ก้มลงไปซุกไซ้ร่างกายของโชก่อนที่จะกัดและขบเม้นเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความปรานี แม้คนตรงหน้านี้จะบิดกายด้วยความทรมานสักเพียงใดแต่เมฆินทร์ก็หาได้หยุดการกระทำของตนลงไม่
“ฮึก! อย่า...อย่าทำอะไรผมเลย ฮึก...ฮือ!”
แม้จะร้องอ้อนวอนด้วยความอดสูแต่ชายคนนี้ก็หาได้มีความเห็นใจไม่ เมฆินทร์ยังคงซุกไซ้และขบเม้นร่างกายของเขาไปเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะกระชากเอากางเกงชั้นในอันเป็นอาภรณ์เดียวของโชออก แล้วใช้นิ้วมือทั้งสามนิ้วชำแรกช่องทางทางด้านหลังของเขาไปอย่างแรง
“อ๊า! ผมเจ็บ...ฮึก! อย่า...อย่าทำอะไรผมเลยพี่ฆินทร์”
“อย่าสะเออะมาเรียกชื่อกู!”
เพียะ!
“โอ๊ย!”
หนุ่มน้อยกลับถูกหลังมือของคนตัวใหญ่ตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนหยาดน้ำใสๆ ก็ได้รินไหลออกมา โชได้แต่อ้อนวอนร้องขอต่อผู้ที่กำลังทำร้ายตนด้วยหัวใจที่ทรมานและอดสู แต่ทว่าในสายตาเมฆินทร์นั้นมันเขาก็เห็นมันเป็นแค่หยดน้ำธรรมดากับเสียงร้องไห้ที่แสนจะน่ารำคาญก็เท่านั้น จนกระทั่งเมฆิทร์ก็ได้ดึงเอานิ้วทั้งสามนิ้วของตนออกก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนออกเผยให้เห็นแก่นกายที่กำลังแข็งขืนของตน
“อย่า...อย่าทำอะไรผมเลย ฮือ...ฮือ!”
“อะไร? มึงจะร้องไห้ทำไมล่ะ? มึงไม่ชอบเหรอที่กำลังจะถูกเอาแบบนี้น่ะ”
“ม...ไม่! ฮึก! ไม่ อ๊า!”
แต่แล้วโชก็ต้องร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อเมฆินทร์ได้ชำแรกร่างของตน อาจเพราะว่าไม่ได้ถูกเล้าโลมให้มีอารมณ์ร่วมจึงทำให้ทุกท่าที่ถูกกระทำล้วนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าสู่ตน โชได้แต่นอนร้องไห้ปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมา ในใจก็ได้แต่คิดไปต่างๆ นานาว่าสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่นี่มันคือความฝันใช่ไหม...นี่คือความฝันใช่ไหม?
“อ๊า! ฮึก...ฮือ!”
ถ้าเป็นความฝันทำไมเขาถึงกลับรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ เจ็บปวดที่ร่างกายถูกกระทำ และเจ็บปวดที่หัวใจมันแตกยับและพังทลายลงไป
‘ฮึก! คุณเมฆินทร์ ฮึก! ทำไม...ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้?’
“ฮึก...ฮือ...ฮือ!”
To be continued
=====================================
"ทั้งหมดก็ 160,000 บาทสำหรับค่าตัวของเด็กคนนี้"
ค่าตัวที่แสนแพงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะสรรหามาแลกได้ แต่ทว่ากับเมฆินทร์นั้นมันกลับเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยที่เอาไว้แลกกับคนที่กำลังจะมาอยู่กับเขา
การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีสิ่งใดมาติดขัด แม้จะสงสัยว่าทำไมเมฆินทร์ถึงหาเงินจำนวนนี้มาไถ่ตัวของเขาได้ แต่โชก็ได้แต่เก็บความงำความสงสัยนั้นไว้โดยที่ไม่คิดจะถามอะไรเก็บเมฆินทร์อีก อาจเพราะไม่มีสิ่งใดจะสลักสำคัญไปมากกว่าการได้พบกับอิสระที่มาพร้อมกับชายคนนี้อีกแล้ว
...ขอบคุณนะครับคุนฆินทร์
"เอาล่ะในที่สุดก็เสร็จสักที"
เสร็จสิ้นการซื้อขายแล้วเมฆินทร์ก็ได้พาโชออกมาเพื่อที่จะขึ้นรถของตน ด้วยความใจดีของเจ๊ผู้ที่ให้ที่พักพิงอาศัยมานานแสนนานหนุ่มน้อยจึงได้ถูกจับแต่งตัวใหม่โดยชุดกางเกงยีนและเสื้อแขนยาวตามแฟชั่นของวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน
“เป็นยังไงบ้างโช เธอดีใจมั้ยที่จะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว”
"ครับ ผมดีใจมากเลยล่ะ"
อะไรมันจะไปน่าดีใจได้เท่ากับการที่จะได้ออกจากห้องแคบแล้วไปใช้ชีวิตตามที่ตนได้ใฝ่ฝันนั้นอีกแล้ว อิสรภาพที่ไม่ต้องถูกจองจำและทำงานเป็นผู้ชายขายตัวภายในห้องแคบๆ อิสระที่ใฝ่ฝันมานานมาบัดนี้มันก็ได้เป็นจริงเพราะผู้ชายคนนี้...เพราะเมฆินทร์คนเดียว
“คุณฆินทร์ครับ ผมขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ผมขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่ช่วยคนพิการอย่างผม” อาจเพราะความตื้นตันใจที่ได้หลุดพ้นจากการเป็นนกน้อยในกรงทองนี่กระมังที่ทำให้โชดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หนุ่มน้อยได้แต่งุดหน้าลงต่ำไปพร้อมกับน้ำตาที่ได้ไหลเอ่อออกมาก่อนที่เมฆินทร์จะพูดกับเขาว่า...
“ไม่ต้องร้องไห้นะโช ไม่ต้องร้อง...ไม่ต้องร้องนะ ตอนนี้เธอมีฉันอยู่ข้างๆ แล้วนะ เธอไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไปแล้วนะโช” พูดจบเมฆินทร์ก็ดึงร่างอันบอบบางของโชเข้ามาโอบกอดก่อนที่จะลูบหัวและหลังของอีกฝ่ายเป็นการปลอบประโลม
เป็นอีกครั้งที่ชายคนนี้ทำให้เขามีความสุข เป็นอีกครั้งที่ชายคนนี้ทำให้เขาอบอุ่นใจ กี่ครั้งแล้วนะที่ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกดีแบบนี้ เมฆินทร์ช่างเป็นคนดี...ช่างเป็นคนดีเสียเหลือเกิน ทำไมนะทำไม...ทำไมชายเมฆินทร์ถึงได้ใจดีกับคนพิการที่ไม่มีอะไรในชีวิตดีเลยอย่างเขาแบบนี้ ทำไม...ทำไมนะ?
"ครับคุณฆินทร์ ผมจะไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้วล่ะครับ" โชพูดก่อนจะยิ้มรับอย่างแผ่วเบา แต่ทว่า...
" ไม่! ไม่ๆ โช จากนี้ต่อไปห้ามเธอเรียกฉันว่าคุณฆินทร์อีกนะเข้าใจมั้ย?" เมฆินทร์พูดส่วนโชก็ได้แต่แสดงความสงสัยออกมาก่อนที่เอ่ยถามกลับไปว่า...
“ถ...ถ้าไม่ให้เรียกคุณฆินทร์แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรเหรอครับ?” เมื่อได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กถามกลับมาแบบนั้นเมฆินทร์ก็ยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดกลับไปว่า...
“จากนี้ให้โชเรียกฉันว่า ‘พี่ฆินทร์’ นะ เข้าใจมั้ย?” พลัน รอยยิ้มก็ปรากฏที่ใบหน้าของหนุ่มน้อย โชฉีกยิ้มกว้างออกมาแล้วพูดกับเมฆินทร์ว่า
"ครับผม ได้ครับ...พี่ฆินทร์"
เวลาผ่านไปสักพักเมฆินทร์ก็ได้พาหนุ่มน้อยมายังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเพื่อเลือกซื้อของใช้ให้กับโช ทั้งพาคนตัวเล็กไปเลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ทั้งพาไปหาข้าวของเครื่องใช้ให้กับคนตัวเล็กที่กำลังจะไปอยู่กับตน อีกทั้งเขายังพาโชไปทานอาหารดีๆ ในร้านอาหารสุดหรูที่โชไม่เคยได้ลิ้มรสมันมาก่อนในชีวิต ซึ่งไม่ว่าจะไปที่ใดภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นเมฆินทร์ก็เดินจูงมือโชตลอดเวลาโดยที่ไม่บ่นหรือรำคาญคนตาบอดอย่างเขาเลย ซึ่งนั่นมันก็ทำให้โชอดมีความรู้สึกดีๆ กับเมฆินทร์ไม่ได้จริงๆ
...ทำไมคุณถึงใจดีกับผมแบบนี้นะคุณฆินทร์
จนกระทั่งเวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงตอนเย็น หลังจากที่ได้พาโชไปซื้อของและทานอาหารแล้ว เมฆินทร์ก็ได้ขับรถพาโชมายังคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่เดียวดายในเขตชานเมือง
"ถึงแล้วล่ะ" เมื่อมาถึงเมฆินทร์ก็พาโชลงจากรถก่อนที่จะอ้อมไปขนสิ่งของต่างๆ ที่เก็บไว้ในท้ายรถของตนลงมา
ในคฤหาสน์สีขาวอันเงียบสงบที่ไม่มีเพราะตั้งอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางหมู่บ้านที่ร้างผู้คน คฤหาสน์สีขาวสไตล์คลาสสิคที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายหากแต่เป็นบ้านที่เมฆินทร์ได้ใช้อาศัยมานานนับปี หากแต่ว่าในความสวยงามนี้มันกลับไม่มีผู้ใดเลยนอกจากคนสองคนและรถหนึ่งคันที่เหยียบย่างเข้ามา
“...”
สำหรับโชนั้นแม้เขาไม่สามารถที่จะยลโฉมความงามและความใหญ่โตของคฤหาสน์หลังนี้ได้ แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากการได้ยินนั้น ก็คือสถานที่แห่งนี้มันช่างเงียบเหงาและวังเวงเอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ไร้ซึ่งเสียงรถราใดๆ วิ่งผ่านสถานที่แห่งนี้ มีเพียงแค่เสียงของจิ้งหรีดเรไรที่ดังขับขานอย่างเยือกเย็นและวังเวงแทน ที่นี่ช่างดูเปล่าเปลี่ยวและอึมครึมจนทำให้เขารู้สึกกลัวและหดหู่แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม
“พี่ฆินทร์ครับ นี่บ้านพี่ฆินทร์เหรอ? ทำไมที่นี่มันดูเงียบและน่ากลัวจังเลยล่ะ?” เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบงันจนน่ากลัวโชก็ได้เอ่ยถามเมฆินทร์ผู้เป็นเจ้าของบ้านด้วยความสงสัย หากแต่สิ่งที่คนตัวใหญ่ตอบกลับมานั้นมันกลับเป็นเพียงคำสั้นๆ คือคำว่า...
"อืม" เมื่อรู้ว่าเมฆินทร์ตอบกลับมาเช่นใดโชก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อไปอีก อาจเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการพาเขาไปเลือกซื้อของด้วยกระมังที่ทำให้เมฆินทร์ตอบกลับมาสั้นๆ แบบนี้ โชจึงไม่คิดที่จะถามอะไรอีกแต่แล้วก็...
“เวลาแบบนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอก พวกแม่บ้านกับลูกน้องของฉันอยู่ที่นี่แค่ตอนกลางวันเท่านั้น ส่วนตอนกลางคืนฉันให้พวกเขากลับหมดเพราะไม่ต้องการให้ใครรบกวนเวลาฉันจะนอน” เมฆินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบส่วนโชก็ได้พยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเข้าใจ
"เอาล่ะไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปห้องนอนของเธอกัน ฉันคิดว่าเธอคงจะต้องชอบห้องนอนใหม่ของเธอแน่ๆ" เมื่อได้ยินดังนั้นโชก็ยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนที่มืออันเรียวบางของเขาจะถูกอุ้งมือหนาของเมฆินทร์จับมือให้เดินตาม
เมื่อมาถึงห้องที่ตนได้เตรียมไว้ให้กับคนตัวเล็กแล้ว เมฆินทร์ก็ได้เปิดประตูออกก่อนจะดันร่างของโชให้เข้าไป แม้จะสงสัยว่าทำไมเมฆินทร์ถึงไม่พูดอะไรกับตนอีกนอกจากดันร่างของตนให้เข้าไปในห้อง แต่เพราะด้วยมือของชายคนนี้ที่กำลังจับมือของตนไม่ปล่อยนี่กระมังที่ทำให้โชยังคงวางใจเดินเข้าไปในห้องๆ นั้น
“นี่คือห้องที่ให้ผมอยู่เหรอครับ?"
โชเอ่ยถามก่อนจะสูดดมกลิ่นต่างๆ ที่อยู่ภายในห้อง แม้จะเป็นห้องใหม่ตามที่เมฆินทร์พูดแต่ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นที่ลอบวนจนตีจมูกของเขาจริงๆ ไหนจะกลิ่นบุหรี่ที่ลอยมาจางๆ นี่อีก สงสัยห้องนี้คงจะไม่ได้เปิดใช้มานานแล้วกระมัง
“กลิ่นอับจังเลยนะครับ”
“อือ! แล้วเธอจะอยู่ได้มั้ย?”
“คิดว่าน่าจะได้นะครับ ถ้าฉีดสเปรย์ปรับอากาศสักหน่อยผมว่ากลิ่นห้องมันต้องหอมกว่านี้แน่ๆ” โชพูดก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคนที่กำลังจับมือของตนอยู่ แต่เขาก็หาได้รู้ไม่ว่าสิ่งที่ตอบกลับรอยยิ้มของเขานั้นมันกลับเป็นใบหน้าอันเฉยชาที่กำลังจ้องหน้าของเขานั้นแทน
“ฉันว่าเราไปนั่งลงที่เตียงกันเถอะ ยืนนานๆ แล้วฉันรู้สึกเมื่อย” ว่าแล้วเมฆินทร์ก็ดึงมือของโชให้เดินตามไปกับตน ทว่าเมื่อหนุ่มน้อยได้นั่งลงบนเตียงแล้วนั้นฝุ่นที่เกาะอยู่ก็ได้ฟุ้งขึ้นมา
“อื๋อ! ฝุ่นเต็มจมูกเลยครับ” โชบ่นอุบก่อนจะเอามือปัดจมูกของตนส่วนเมฆินทร์ก็ปล่อยมือของตนออกก่อนที่จะพูดกลับโชว่า...
“โช...ฉันมีอะไรจะให้ เธอช่วยอยู่นิ่งๆ หน่อยนะ” แม้จะเอ่ยถามแต่เขาก็ไม่รอที่จะฟังคำตอบของคนตัวเล็ก ชายหนุ่มก้มลงไปหยิบเอาบางอย่างขึ้นมาก่อนที่จะบรรจงสวมใส่มันเข้ากับคอของโช
“อ...อะไรเหรอครับ พี่ฆินทร์เอาอะไรมาใส่คอของผมเหรอ?” แม้จะสงสัยและแปลกใจว่าเมฆินทร์เอาอะไรมาคล้องคอของตนแต่โชก็หาได้ขัดขืนอะไรไม่ แต่ทันใดนั้นเองหนุ่มน้อยก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเมฆินทร์รัดเจ้าสิ่งนั้นแน่นจนทำให้โชหายใจแทบไม่ออก
“อ...อ้อก! พ...พี่ฆินทร์ ผ...ผมหายใจไม่ออก อึก! พ...พี่ฆินทร์ ผมหายใจ...ผมหายใจไม่ออก อ้อก!” แม้คนที่อยู่ในกำมือของตนจะแสดงความเจ็บปวดออกมาเช่นนั้นแต่เมฆินทร์ก็หาได้ยอมหยุดไม่ เขาบีบและรัดจนเจ้าสิ่งนั้นมันก็ได้ประกบติดกันแน่นเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนั้นมันก็ทำให้ผู้ที่ถูกมันสวมใส่ถึงกับหอบหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน
“แฮก...แฮก! พ...พี่ฆินทร์ พ...พี่เอาอะไรมาใส่คอผมเหรอ? แฮก...แฮก!” หนุ่มน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดขัดส่วนเมฆินทร์ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งว่า...
“หึ! อยากรู้ก็ลองเอามือจับดูสิ” เมื่อได้ยินดังนั้นโชก็นิ่งไปสักพักก่อนที่จะเอามือเข้ามาจับสิ่งคล้องคอของตนอย่างแผ่วเบา ทว่าเมื่อปลายนิ้วได้จับและสัมผัสมันอย่างแน่ชัดหนุ่มน้อยก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าสิ่งนี้มันก็คือปลอกคอ
“ป...ปลอกคอ พ...พี่ฆินทร์ พี่ฆินทร์เอาปลอกคอมาใส่ให้ผมทำไม พ...พี่?”
ผัวะ!
แต่แล้วสิ่งที่ตอบกลับมามันกลับเป็นฝ่ามือที่ตบมาที่ใบหน้าของโชอย่างเต็มแรง ร่างของโชปลิวไปตามแรงตบพร้อมกับรอยฝ่ามือแดงๆ ที่ขึ้นตัดกับสีผิวอันขาวเนียนของเขา หนุ่มน้อยได้แน่นิ่งไปเพราะความงุนงงและตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“พ...พี่ฆินทร์” หนุ่มน้อยได้หันหน้ากลับมาเบาๆ ก่อนจะเรียกชื่อของเมฆินทร์อีกครั้งแต่ทว่า...
“ใครพี่มึง? กูไปเป็นญาติของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะไอ้เด็กตาบอด!” สิ่งที่ตอบกลับมามันกลับเป็นคำด่าที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของชายคนนี้
“พี่ฆินทร์...โอ๊ย!”
ผัวะ!
“อย่าสะเออะมาเรียกชื่อกูไอ้เด็กตาบอด! ไอ้เด็กโสโครก!”
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
“โอ๊ย โอ๊ย!”
เมฆินทร์ยังคงกระหน่ำฝ่ามือของตนตบเข้าไปที่ใบหน้าของโชหลายครั้งจนแก้มของหนุ่มน้อยนั้นกลายเป็นสีแดงตัดกับสีผิวที่ขาวเนียนของเขา โชได้แต่เอามือมาปัดป้องพร้อมกับฟังเสียงของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เมฆินทร์ถึงทำกับเขาแบบนี้
“พ...พี่เมฆินทร์ ฮึก! ท...ทำไม...ทำไมพี่ถึงได้...โอ๊ย!” แต่ไม่ทันที่โชจะได้เอ่ยถามสิ่งใดเขาก็ถูกเมฆินทร์กระชากผมขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมเกรียมว่า...
“หึ! นี่มึงคิดจริงๆ เหรอว่าคนอย่างกูจะเอาคนน่ารังเกียจอย่างมึงมาดูแลน่ะ หึหึ...หึหึ! กูไม่เอาคนร่านๆ แบบมึงมาดูแลให้เป็นเสนียดกูหรอก” พูดจบเมฆินทร์ก็เหวี่ยงโชออกไปจนทำให้หัวของหนุ่มน้อยไปกระแทกกับหัวเตียง
“โอ๊ย!” แต่นั่นมันก็ยังไม่สาแก่ใจของชายผู้นี้ เมฆินทร์เข้าไปฉีกทึ้งเอาเสื้อสีขาวที่โชสวมใส่อยู่จนฉีกขาดก่อนที่ถอดกางเกงขายาวของอีกฝ่ายออก
“กูโคตรเสียดายเงินที่ต้องมาซื้อของให้มึงจริงๆ เอาเงินไปบริจาคให้หมาแมวหรือขอทานยังดีกว่านี้ ดีกว่าที่จะต้องมาให้กับคนน่ารังเกียจอย่างมึง” เมฆินทร์พูดก่อนที่จะปรี่เข้าไปหาร่างของโชที่นอนเปลือยเปล่าจนเหลือแต่กางเกงชั้นในเพียงตัวเดียวนั้นแล้วเอามือกระชากคอของหนุ่มน้อยให้ลุกขึ้นมา
“หึ! อยากร้องก็ร้องไปเถอะ น้ำตามึง ตัวมึง คนอย่างมึงมันไม่มีค่าอะไรสำหรับกูหรอก หึหึหึ! ที่ผ่านมากูก็แค่เล่นสนุกกับมึงเท่านั้นไม่คิดจริงๆ ว่ามึงจะหลงเชื่อแบบนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เมฆินทร์พูดพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“คนอย่างมึงมันมีค่าเป็นได้แค่ตัวแก้เงี่ยนเท่านั้นแหละ ตาบอดอย่างมึง พิการอย่างมึงมันเป็นได้แค่กระหรี่!”
“ฮึก...ฮึก! อึก...ฮือ!” โชได้แต่ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ในตอนนี้จะเป็นคนๆ เดียวกับคนที่เคยทำดีกับเขา
คนนี้กระนั้นหรือที่เคยทำให้เขามีความสุข คนนี้กระนั้นที่ทำให้เขายิ้มได้ คนนี้ใช่หรือไม่ที่พาเขาออกมาจากกรงขังแห่งนั้น แต่ทำไมในตอนนี้คนๆ นี้กลับทำร้ายเขา ทำไม...ทำไม? ทำไมกัน!
“หึ! ผู้ชายแบบมึงต้องเจออย่างกูนี่”
ว่าแล้วเมฆินทร์ก็ก้มลงไปซุกไซ้ร่างกายของโชก่อนที่จะกัดและขบเม้นเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความปรานี แม้คนตรงหน้านี้จะบิดกายด้วยความทรมานสักเพียงใดแต่เมฆินทร์ก็หาได้หยุดการกระทำของตนลงไม่
“ฮึก! อย่า...อย่าทำอะไรผมเลย ฮึก...ฮือ!”
แม้จะร้องอ้อนวอนด้วยความอดสูแต่ชายคนนี้ก็หาได้มีความเห็นใจไม่ เมฆินทร์ยังคงซุกไซ้และขบเม้นร่างกายของเขาไปเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะกระชากเอากางเกงชั้นในอันเป็นอาภรณ์เดียวของโชออก แล้วใช้นิ้วมือทั้งสามนิ้วชำแรกช่องทางทางด้านหลังของเขาไปอย่างแรง
“อ๊า! ผมเจ็บ...ฮึก! อย่า...อย่าทำอะไรผมเลยพี่ฆินทร์”
“อย่าสะเออะมาเรียกชื่อกู!”
เพียะ!
“โอ๊ย!”
หนุ่มน้อยกลับถูกหลังมือของคนตัวใหญ่ตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนหยาดน้ำใสๆ ก็ได้รินไหลออกมา โชได้แต่อ้อนวอนร้องขอต่อผู้ที่กำลังทำร้ายตนด้วยหัวใจที่ทรมานและอดสู แต่ทว่าในสายตาเมฆินทร์นั้นมันเขาก็เห็นมันเป็นแค่หยดน้ำธรรมดากับเสียงร้องไห้ที่แสนจะน่ารำคาญก็เท่านั้น จนกระทั่งเมฆิทร์ก็ได้ดึงเอานิ้วทั้งสามนิ้วของตนออกก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนออกเผยให้เห็นแก่นกายที่กำลังแข็งขืนของตน
“อย่า...อย่าทำอะไรผมเลย ฮือ...ฮือ!”
“อะไร? มึงจะร้องไห้ทำไมล่ะ? มึงไม่ชอบเหรอที่กำลังจะถูกเอาแบบนี้น่ะ”
“ม...ไม่! ฮึก! ไม่ อ๊า!”
แต่แล้วโชก็ต้องร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อเมฆินทร์ได้ชำแรกร่างของตน อาจเพราะว่าไม่ได้ถูกเล้าโลมให้มีอารมณ์ร่วมจึงทำให้ทุกท่าที่ถูกกระทำล้วนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าสู่ตน โชได้แต่นอนร้องไห้ปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมา ในใจก็ได้แต่คิดไปต่างๆ นานาว่าสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่นี่มันคือความฝันใช่ไหม...นี่คือความฝันใช่ไหม?
“อ๊า! ฮึก...ฮือ!”
ถ้าเป็นความฝันทำไมเขาถึงกลับรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ เจ็บปวดที่ร่างกายถูกกระทำ และเจ็บปวดที่หัวใจมันแตกยับและพังทลายลงไป
‘ฮึก! คุณเมฆินทร์ ฮึก! ทำไม...ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้?’
“ฮึก...ฮือ...ฮือ!”
To be continued
=====================================
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ