เพชรเปื้อนดิน
-
เขียนโดย วาฬดิน
วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.42 น.
5 ตอน
1 วิจารณ์
7,094 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2561 04.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ประกายไฟในความมืด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวจนศีรษะไปกระแทกเข้ากับหลังคารถ มือไม้ของเขาปัดป่ายไปมาอยู่แถวพวงมาลัยและเกียร์จนพันกันนัวเนียสับสน พยายามจะพาตัวเองไปให้พ้นจากเขตอันตรายด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด ในขณะนั้นเขารู้เพียงแค่ว่าจะต้องถอยไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลันกระทืบเท้าขวาเข้าที่แป้นคันเร่งเต็มแรง จนรถเคลื่อนไปด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจต่ออะไรทั้งสิ้น และเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็ต้องสะดุ้งอย่างแรงอีกครั้งจากเสียงของอะไรสักอย่างที่ดังมาจากข้างหลังรถของเขา มันเป็นเสียงคล้ายกับใครกำลังใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ฝากระบะหลังหลายครั้ง และตามด้วยแรงสั่นสะเทือนหนักๆเหมือนชนเข้ากับอะไรสักอย่าง เขาพยายามมองผ่านกระจกออกไปเพื่อสำรวจไปรอบๆ แต่ก็ไม่สามารถจับสังเกตใดๆได้นอกจากความมืดสลัว แต่แล้วเขาก็เริ่มสำเหนียกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“แสงไฟ...หายไปไหนแล้ว!”
พิชิตเบิกตาโพลงในความมืด บังเกิดอาการสั่นสะท้าน เมื่อจับต้นชนปลายถึงเหตุการณ์เมื่อไม่เกิน 2 นาทีก่อน ขณะนั้นมีใครบางคนมาปลุกเขาให้ตื่นขึ้น และโบกไฟฉายเรียกให้เขาออกมาจากจุดอันตรายด้วยท่าทีรีบร้อน และในระหว่างที่เขากำลังหลับหูหลับตาถอยรถหนีตาย เขาก็ยังพอจำได้เลาๆว่า ตลอดเวลาเขาจะเห็นแสงจากไฟฉายวูบวาบไปมาคล้ายกับเป็นสัญญาณนำทาง แต่ขณะนี้ มันได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว! เป็นไปได้ไหมว่าในขณะที่เขาถอยรถอย่างแรง เขาได้ชนกับใคร หรืออะไรสักอย่างเข้าให้ และจะเป็นไปได้ไหม ว่าพื้นที่ที่ล้อมรอบไปด้วยความมืดปราศจากแสงไฟแห่งนี้ จะเป็นเขตที่อยู่อาศัยซึ่งจะมีใครออกมาเดินเพ่นพ่านในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนที่ฝนกระหน่ำเช่นนี้ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งบังเกิดอาการขนลุกซู่ แต่อย่างไรก็ตาม “ใคร” หรือ “อะไร” สักอย่างนี้ เพิ่งจะช่วยชีวิตของเขาไว้ ต่อให้สิ่งนั้นจะใช่มนุษย์ปุถุชนหรือไม่ก็ตาม ก็คงไม่ได้มีเจตนาร้าย และขณะนี้เขาอาจกำลังได้รับอันตรายจากความขาดสติของเขาเองก็เป็นได้
พิชิตรวบรวมสติอีกครั้ง ตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถเพื่อสำรวจดูที่ด้านหลัง ซึ่งขณะนั้นทุกสิ่งดูมืดสลัวไปหมด จะจับสังเกตได้ก็ต่อเมื่อเกิดฟ้าแลบแปลบปลาบเพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มพบว่าเขาได้ถอยรถเข้ามาใกล้กับเพิงไม้หลังหนึ่ง ซึ่งมีแต่เพียงหลังคาที่มุงด้วยใบจากและเสาไม้เก่าๆ 4 เสา ไม่มีพื้น ไม่มีผนัง อีกทั้งไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยใดๆ ดูไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยอย่างถาวรของใครได้ โดยท้ายรถของเขาห่างจากเพิงไม้หลังนั้นเพียงเมตรเศษเท่านั้น เขาเดินอ้อมมาที่อีกฟากหนึ่งของตัวรถ ก็พบว่า มุมทางด้านซ้ายของกระบะ ชนเข้ากับกองดินลักษณะแปลกๆรูปทรงเหมือนเจดีย์สูงราวครึ่งเมตร จนส่วนยอดของมันแตกกระจายลงมาอยู่ที่พื้น เขายืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจนเมื่อเกิดแสงสว่างจากฟ้าแลบอีกครั้ง เขาจึงได้เห็นบางสิ่งบางอย่าง อย่างชัดเจนที่สุด
“เฮ้ย! คน!”
ร่างนั้นเปียกโชกไปด้วยฝนและโคลน นอนคุดคู้อยู่ทางด้านซ้ายของตัวกระบะ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาในทีแรก เข่าทั้งสองข้างพับงอขึ้นมาจนเกือบถึงทรวงอกในลักษณะนอนตะแคง แขนข้างหนึ่งวางพาดอยู่บริเวณหน้าท้อง ส่วนศีรษะยังคงขยับเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่ายังมีชีวิต ในขณะนั้นพิชิตได้แต่ยืนตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก
“คุณ คุณ! เป็นอะไรมั้ย!” ชายหนุ่มตะโกนออกไปสุดเสียง ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้
ร่างนั้นไม่ตอบ เพียงแต่ยกมือขึ้นมาโบกไปมาในเชิงปฏิเสธ
“ให้ผมช่วยมั้ย!” พิชิตยิงคำถามซ้ำไปอีกครั้ง แต่ตัวเองยังคงยืนอยู่ในร่มชายคา
คนที่ถูกถามยังคงไม่ตอบเช่นเดิม แต่ทำท่าเหมือนพยายามจะยันกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล จนพิชิตตัดสินใจวิ่งออกไปช่วยประคอง แต่ก็ถูกเขาคนนั้นใช้มือผลักแขนของเขาออก แล้วเดินกระย่องกระแย่งเข้ามายังเพิงไม้ โดยมีพิชิตเดินติดตามอย่างเก้ๆกังๆ จนมาหยุดที่เสาไม้ต้นหนึ่งที่มีกระเป๋าเป้สัมภาระวางพิงอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นที่เป็นดินลูกรังสีอิฐอัดแน่นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ผมขอโทษด้วยนะครับ ผมมองไม่เห็นจริงๆ” น้ำเสียงของพิชิตแสดงออกถึงความวิตกกังวลอย่างมาก
“ไม่ได้มองเลยมากกว่ามั้งคะ”
คนพูด พูดด้วยเสียงห้วนๆ แต่น้ำเสียงนั้นฟังออกได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว วัย 20 ปลายๆ ถึงแม้เธอคนนั้นจะไม่ได้หันหน้ามาสบตากับชายหนุ่มโดยตรงก็ตาม
“ชั้นเห็นคุณหลับหูหลับตาถอยรถมาอย่างแรง ทั้งๆที่ชั้นก็โบกให้ไปอีกทางนึง เอามือตบฝากระบะตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมหยุด นี่ถ้าไม่ติดจอมปลวกนั่น ชั้นคงโดนคุณทับตายไปแล้วมั้ง”
พิชิตก้มหน้าลงและเม้มปากไม่กล่าวว่าอะไร ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งยองๆข้างๆกับหล่อน พยายามจะสังเกตอาการบาดเจ็บ
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ ให้ผมพาไปหาหมอหน่อยดีมั้ย”
หล่อนเบือนหน้าเข้ามาสบตากับเขาในความมืด ซึ่งขณะนี้สามารถมองเห็นหน้ากันได้เพียงลางๆเท่านั้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่จุกจนพูดไม่ออกไปแป๊บนึง ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว คุณล่ะเป็นไง?”
“ผมต้องขอบคุณคุณจริงๆ ที่ช่วยมาปลุกผมก่อนที่ฟ้าจะผ่าลงมา ไม่งั้นผมคงได้เป็นผีไปแล้ว”
“ค่ะ ”
หล่อนตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะหันมองไปทางต้นกร่างขนาด 2 คนโอบ ที่ขณะนี้ถูกสายฟ้าฉีกส่วนปลายจนด้วนหายไป และกองยอดไม้ที่ดูเป็นเงาตะคุ่มๆแต่หนาทึบปกคลุมบริเวณที่รถกระบะคันนั้นเคยจอดอยู่ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า หากหล่อนไม่ได้เตือนให้เขาหนีออกมาเสียก่อนแล้วล่ะก็ เห็นทีทั้งชายผู้นี้และรถของเราคงจะต้องแหลกย่อยยับอย่างแน่นอน
“ว่าแต่ คุณรู้ได้ยังไงว่าฟ้าจะผ่าลงต้นไม้ต้นนั้น ในป่ามันก็มีต้นไม้ตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”
“ป่าที่คุณเห็นแถวนี้น่ะ มันเป็นป่าเต็งรัง มีแต่ไม้ต้นไม่สูงมาก ส่วนใหญ่จะขนาดไล่เลี่ยกันหมด จะมีก็แต่ต้นกร่างต้นนี้แหละที่สูงกว่าเพื่อน ถ้าเมฆฝนมันจะปล่อยประจุไฟฟ้าลงที่ไหนซักที่ มันคงจะเลือกต้นนี้แหละ แล้วคุณก็ดันไปจอดรถใต้มัน แถมยังหลับซะอีก”
“ผมยอมรับว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยครับ เกือบไปแล้วจริงๆ”
ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ต่างคนต่างหันหน้ากันไปคนละทาง จ้องมองหยดน้ำที่ไหลลงจากชายคา กระทบกับพื้นดินลูกรังแข็งๆจนเกิดเป็นหลุมจากหยดน้ำเหล่านั้น ฟ้าที่แลบแปลบปลาบถี่ๆ ขณะนี้เริ่มทิ้งช่วงลงแล้ว คงเหลือแต่เม็ดฝนบางๆที่ยังคงโปรยปราย
“คุณมาขึ้นเขาเหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆเช่นเคย
“ก็น่าจะอย่างงั้นนะครับ ผมนัดกับคนๆนึงเอาไว้ที่นี่ แต่ก็ยังไม่เห็นใครโผล่มาเลย ไม่รู้มาผิดที่รึเปล่า แถวนี้ก็ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ทซะด้วย”
“ฝนตกหนักเค้าอาจจะจอดพักหลบฝนกันที่ตัวเมืองก็ได้”
“แล้วตรงนี้รึเปล่าครับที่เป็นทางขึ้น เอ่อ...เขาโกรกอะไรนั่น”
“ใช่ค่ะ โน่นไง”
หล่อนตอบพลางชี้มือไปที่เนินเขามืดครึ้มด้านหนึ่ง พิชิตพยายามจะมองไปยังทิศทางนั้นแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากเงามืด
“แล้วคุณล่ะครับ มาทำอะไรในที่แบบนี้คนเดียว”
หญิงสาวถอนหายใจยาว ไม่ได้ตอบคำใด ส่วนชายหนุ่มก็คงจับความรู้สึกอันไม่ค่อยสบายใจนั้นได้ จึงเลือกที่จะไม่กล่าวอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเพิงพักอันเป็นที่อาศัยหลบฝนของคนทั้งสอง
จะนานเท่าใดก็ไม่ทราบ ระหว่างที่ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น พิชิตก็เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามหล่อนเบาๆว่า
“คืนนี้คุณจะนอนที่นี่เหรอครับ”
เขากล่าวพร้อมกับมองไปรอบๆเพิงไม้ขนาดประมาณ 2 คูณ 3 เมตร
“ใช่ค่ะ”
“ถ้างั้นคุณเอาเต๊นท์ของผมไปนอนนะ เดี๋ยวผมจะไปนอนในรถ”
“คุณนอนนี่ก็ได้ค่ะ ที่ตั้งเยอะแยะ เดี๋ยวชั้นขอเสา 2 เสานี้ไว้ผูกเปลก็พอ”
“เปล?”
“ค่ะ นี่ไง”
หล่อนตอบพลางล้วงมือลงไปในเป้ หยิบถุงผ้าร่มหูรูดขึ้นมาให้เขาดู ลักษณะของมันคล้ายๆกับถุงของถุงนอน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
“นอนเปลมันจะสบายเหรอครับ แล้วคืนนี้มันก็หนาวด้วย”
“ชั้นนอนจนชินแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง”
พิชิตหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไปที่หน้ารถของเขาที่จอดห่างออกไปเล็กน้อย รีบคว้าเอาเต๊นท์นอนออกมา แล้ววิ่งกลับมาวางมันไว้กับกองสัมภาระของหล่อน
“ถ้าอย่างงั้น คุณใช้เต๊นท์ผมสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ครับ จะได้ไม่ลำบาก”
หญิงสาวก้มมองเสื้อผ้าตัวเองที่ขณะนี้เปียกชื้นและเต็มไปด้วยดินโคลน ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับคำพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
ทั้งสองช่วยกันกางเต๊นท์ท่ามกลางความมืด พิชิตนั้นดูเงอะๆงะๆไม่เป็นท่า ได้แต่คอยส่งอุปกรณ์ต่างๆให้หล่อน ส่วนหญิงสาวนั้นท่าทางดูทะมัดทะแมงและชำนาญกว่ามาก ไม่นานนักเต๊นท์นอนขนาด 3 คนก็ถูกกางจนเสร็จ ขนาดของมันใหญ่โตจนเกือบจะเต็มพื้นที่ เหลือเพียงด้านละนิดหน่อยเท่านั้น หล่อนไม่รอช้าล้วงมือลงไปในเป้สัมภาระ หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสามสี่ชิ้น แล้วมุดตัวเองเข้าไปในเต๊นท์ รูดซิปผ้าใบปิดทั้งประตูและหน้าต่าง ก่อนจะเริ่มทำธุระส่วนตัวอยู่ภายใน
“ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย ผมพิชิตนะครับ”
ชายหนุ่มชวนหล่อนคุยเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ซึ่งระหว่างเขากับหล่อนตอนนี้ อยู่ห่างกันเพียงแค่ศอกเดียว และถูกกั้นไว้ด้วยผนังผ้าร่มบางๆเท่านั้น
“แก้วค่ะ”
หญิงสาวตอบกลับมา พร้อมกับเสียงดังสวบสาบดังจากภายในเต๊นท์
“มืดจังเลย รู้งี้ผมน่าจะเอาไฟฉายมาด้วย”
“จริงๆก็มีนะ แต่คุณเพิ่งขับรถทับมันพังไปเมื่อกี้”
“ห๊ะ! จริงเหรอครับ”
“ตอนนี้คุณก็งมอะไรๆไปก่อนละกัน”
“โธ่...แล้วกัน ผมทำให้คุณต้องเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอีกแล้ว”
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
“ผมกำลังผูกเปลให้คุณไง!”
“แสงไฟ...หายไปไหนแล้ว!”
พิชิตเบิกตาโพลงในความมืด บังเกิดอาการสั่นสะท้าน เมื่อจับต้นชนปลายถึงเหตุการณ์เมื่อไม่เกิน 2 นาทีก่อน ขณะนั้นมีใครบางคนมาปลุกเขาให้ตื่นขึ้น และโบกไฟฉายเรียกให้เขาออกมาจากจุดอันตรายด้วยท่าทีรีบร้อน และในระหว่างที่เขากำลังหลับหูหลับตาถอยรถหนีตาย เขาก็ยังพอจำได้เลาๆว่า ตลอดเวลาเขาจะเห็นแสงจากไฟฉายวูบวาบไปมาคล้ายกับเป็นสัญญาณนำทาง แต่ขณะนี้ มันได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว! เป็นไปได้ไหมว่าในขณะที่เขาถอยรถอย่างแรง เขาได้ชนกับใคร หรืออะไรสักอย่างเข้าให้ และจะเป็นไปได้ไหม ว่าพื้นที่ที่ล้อมรอบไปด้วยความมืดปราศจากแสงไฟแห่งนี้ จะเป็นเขตที่อยู่อาศัยซึ่งจะมีใครออกมาเดินเพ่นพ่านในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนที่ฝนกระหน่ำเช่นนี้ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งบังเกิดอาการขนลุกซู่ แต่อย่างไรก็ตาม “ใคร” หรือ “อะไร” สักอย่างนี้ เพิ่งจะช่วยชีวิตของเขาไว้ ต่อให้สิ่งนั้นจะใช่มนุษย์ปุถุชนหรือไม่ก็ตาม ก็คงไม่ได้มีเจตนาร้าย และขณะนี้เขาอาจกำลังได้รับอันตรายจากความขาดสติของเขาเองก็เป็นได้
พิชิตรวบรวมสติอีกครั้ง ตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถเพื่อสำรวจดูที่ด้านหลัง ซึ่งขณะนั้นทุกสิ่งดูมืดสลัวไปหมด จะจับสังเกตได้ก็ต่อเมื่อเกิดฟ้าแลบแปลบปลาบเพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มพบว่าเขาได้ถอยรถเข้ามาใกล้กับเพิงไม้หลังหนึ่ง ซึ่งมีแต่เพียงหลังคาที่มุงด้วยใบจากและเสาไม้เก่าๆ 4 เสา ไม่มีพื้น ไม่มีผนัง อีกทั้งไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยใดๆ ดูไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยอย่างถาวรของใครได้ โดยท้ายรถของเขาห่างจากเพิงไม้หลังนั้นเพียงเมตรเศษเท่านั้น เขาเดินอ้อมมาที่อีกฟากหนึ่งของตัวรถ ก็พบว่า มุมทางด้านซ้ายของกระบะ ชนเข้ากับกองดินลักษณะแปลกๆรูปทรงเหมือนเจดีย์สูงราวครึ่งเมตร จนส่วนยอดของมันแตกกระจายลงมาอยู่ที่พื้น เขายืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจนเมื่อเกิดแสงสว่างจากฟ้าแลบอีกครั้ง เขาจึงได้เห็นบางสิ่งบางอย่าง อย่างชัดเจนที่สุด
“เฮ้ย! คน!”
ร่างนั้นเปียกโชกไปด้วยฝนและโคลน นอนคุดคู้อยู่ทางด้านซ้ายของตัวกระบะ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาในทีแรก เข่าทั้งสองข้างพับงอขึ้นมาจนเกือบถึงทรวงอกในลักษณะนอนตะแคง แขนข้างหนึ่งวางพาดอยู่บริเวณหน้าท้อง ส่วนศีรษะยังคงขยับเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่ายังมีชีวิต ในขณะนั้นพิชิตได้แต่ยืนตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก
“คุณ คุณ! เป็นอะไรมั้ย!” ชายหนุ่มตะโกนออกไปสุดเสียง ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้
ร่างนั้นไม่ตอบ เพียงแต่ยกมือขึ้นมาโบกไปมาในเชิงปฏิเสธ
“ให้ผมช่วยมั้ย!” พิชิตยิงคำถามซ้ำไปอีกครั้ง แต่ตัวเองยังคงยืนอยู่ในร่มชายคา
คนที่ถูกถามยังคงไม่ตอบเช่นเดิม แต่ทำท่าเหมือนพยายามจะยันกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล จนพิชิตตัดสินใจวิ่งออกไปช่วยประคอง แต่ก็ถูกเขาคนนั้นใช้มือผลักแขนของเขาออก แล้วเดินกระย่องกระแย่งเข้ามายังเพิงไม้ โดยมีพิชิตเดินติดตามอย่างเก้ๆกังๆ จนมาหยุดที่เสาไม้ต้นหนึ่งที่มีกระเป๋าเป้สัมภาระวางพิงอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นที่เป็นดินลูกรังสีอิฐอัดแน่นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ผมขอโทษด้วยนะครับ ผมมองไม่เห็นจริงๆ” น้ำเสียงของพิชิตแสดงออกถึงความวิตกกังวลอย่างมาก
“ไม่ได้มองเลยมากกว่ามั้งคะ”
คนพูด พูดด้วยเสียงห้วนๆ แต่น้ำเสียงนั้นฟังออกได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว วัย 20 ปลายๆ ถึงแม้เธอคนนั้นจะไม่ได้หันหน้ามาสบตากับชายหนุ่มโดยตรงก็ตาม
“ชั้นเห็นคุณหลับหูหลับตาถอยรถมาอย่างแรง ทั้งๆที่ชั้นก็โบกให้ไปอีกทางนึง เอามือตบฝากระบะตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมหยุด นี่ถ้าไม่ติดจอมปลวกนั่น ชั้นคงโดนคุณทับตายไปแล้วมั้ง”
พิชิตก้มหน้าลงและเม้มปากไม่กล่าวว่าอะไร ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งยองๆข้างๆกับหล่อน พยายามจะสังเกตอาการบาดเจ็บ
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ ให้ผมพาไปหาหมอหน่อยดีมั้ย”
หล่อนเบือนหน้าเข้ามาสบตากับเขาในความมืด ซึ่งขณะนี้สามารถมองเห็นหน้ากันได้เพียงลางๆเท่านั้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่จุกจนพูดไม่ออกไปแป๊บนึง ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว คุณล่ะเป็นไง?”
“ผมต้องขอบคุณคุณจริงๆ ที่ช่วยมาปลุกผมก่อนที่ฟ้าจะผ่าลงมา ไม่งั้นผมคงได้เป็นผีไปแล้ว”
“ค่ะ ”
หล่อนตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะหันมองไปทางต้นกร่างขนาด 2 คนโอบ ที่ขณะนี้ถูกสายฟ้าฉีกส่วนปลายจนด้วนหายไป และกองยอดไม้ที่ดูเป็นเงาตะคุ่มๆแต่หนาทึบปกคลุมบริเวณที่รถกระบะคันนั้นเคยจอดอยู่ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า หากหล่อนไม่ได้เตือนให้เขาหนีออกมาเสียก่อนแล้วล่ะก็ เห็นทีทั้งชายผู้นี้และรถของเราคงจะต้องแหลกย่อยยับอย่างแน่นอน
“ว่าแต่ คุณรู้ได้ยังไงว่าฟ้าจะผ่าลงต้นไม้ต้นนั้น ในป่ามันก็มีต้นไม้ตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”
“ป่าที่คุณเห็นแถวนี้น่ะ มันเป็นป่าเต็งรัง มีแต่ไม้ต้นไม่สูงมาก ส่วนใหญ่จะขนาดไล่เลี่ยกันหมด จะมีก็แต่ต้นกร่างต้นนี้แหละที่สูงกว่าเพื่อน ถ้าเมฆฝนมันจะปล่อยประจุไฟฟ้าลงที่ไหนซักที่ มันคงจะเลือกต้นนี้แหละ แล้วคุณก็ดันไปจอดรถใต้มัน แถมยังหลับซะอีก”
“ผมยอมรับว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยครับ เกือบไปแล้วจริงๆ”
ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ต่างคนต่างหันหน้ากันไปคนละทาง จ้องมองหยดน้ำที่ไหลลงจากชายคา กระทบกับพื้นดินลูกรังแข็งๆจนเกิดเป็นหลุมจากหยดน้ำเหล่านั้น ฟ้าที่แลบแปลบปลาบถี่ๆ ขณะนี้เริ่มทิ้งช่วงลงแล้ว คงเหลือแต่เม็ดฝนบางๆที่ยังคงโปรยปราย
“คุณมาขึ้นเขาเหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆเช่นเคย
“ก็น่าจะอย่างงั้นนะครับ ผมนัดกับคนๆนึงเอาไว้ที่นี่ แต่ก็ยังไม่เห็นใครโผล่มาเลย ไม่รู้มาผิดที่รึเปล่า แถวนี้ก็ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ทซะด้วย”
“ฝนตกหนักเค้าอาจจะจอดพักหลบฝนกันที่ตัวเมืองก็ได้”
“แล้วตรงนี้รึเปล่าครับที่เป็นทางขึ้น เอ่อ...เขาโกรกอะไรนั่น”
“ใช่ค่ะ โน่นไง”
หล่อนตอบพลางชี้มือไปที่เนินเขามืดครึ้มด้านหนึ่ง พิชิตพยายามจะมองไปยังทิศทางนั้นแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากเงามืด
“แล้วคุณล่ะครับ มาทำอะไรในที่แบบนี้คนเดียว”
หญิงสาวถอนหายใจยาว ไม่ได้ตอบคำใด ส่วนชายหนุ่มก็คงจับความรู้สึกอันไม่ค่อยสบายใจนั้นได้ จึงเลือกที่จะไม่กล่าวอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเพิงพักอันเป็นที่อาศัยหลบฝนของคนทั้งสอง
จะนานเท่าใดก็ไม่ทราบ ระหว่างที่ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น พิชิตก็เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามหล่อนเบาๆว่า
“คืนนี้คุณจะนอนที่นี่เหรอครับ”
เขากล่าวพร้อมกับมองไปรอบๆเพิงไม้ขนาดประมาณ 2 คูณ 3 เมตร
“ใช่ค่ะ”
“ถ้างั้นคุณเอาเต๊นท์ของผมไปนอนนะ เดี๋ยวผมจะไปนอนในรถ”
“คุณนอนนี่ก็ได้ค่ะ ที่ตั้งเยอะแยะ เดี๋ยวชั้นขอเสา 2 เสานี้ไว้ผูกเปลก็พอ”
“เปล?”
“ค่ะ นี่ไง”
หล่อนตอบพลางล้วงมือลงไปในเป้ หยิบถุงผ้าร่มหูรูดขึ้นมาให้เขาดู ลักษณะของมันคล้ายๆกับถุงของถุงนอน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
“นอนเปลมันจะสบายเหรอครับ แล้วคืนนี้มันก็หนาวด้วย”
“ชั้นนอนจนชินแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง”
พิชิตหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไปที่หน้ารถของเขาที่จอดห่างออกไปเล็กน้อย รีบคว้าเอาเต๊นท์นอนออกมา แล้ววิ่งกลับมาวางมันไว้กับกองสัมภาระของหล่อน
“ถ้าอย่างงั้น คุณใช้เต๊นท์ผมสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ครับ จะได้ไม่ลำบาก”
หญิงสาวก้มมองเสื้อผ้าตัวเองที่ขณะนี้เปียกชื้นและเต็มไปด้วยดินโคลน ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับคำพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
ทั้งสองช่วยกันกางเต๊นท์ท่ามกลางความมืด พิชิตนั้นดูเงอะๆงะๆไม่เป็นท่า ได้แต่คอยส่งอุปกรณ์ต่างๆให้หล่อน ส่วนหญิงสาวนั้นท่าทางดูทะมัดทะแมงและชำนาญกว่ามาก ไม่นานนักเต๊นท์นอนขนาด 3 คนก็ถูกกางจนเสร็จ ขนาดของมันใหญ่โตจนเกือบจะเต็มพื้นที่ เหลือเพียงด้านละนิดหน่อยเท่านั้น หล่อนไม่รอช้าล้วงมือลงไปในเป้สัมภาระ หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสามสี่ชิ้น แล้วมุดตัวเองเข้าไปในเต๊นท์ รูดซิปผ้าใบปิดทั้งประตูและหน้าต่าง ก่อนจะเริ่มทำธุระส่วนตัวอยู่ภายใน
“ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย ผมพิชิตนะครับ”
ชายหนุ่มชวนหล่อนคุยเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ซึ่งระหว่างเขากับหล่อนตอนนี้ อยู่ห่างกันเพียงแค่ศอกเดียว และถูกกั้นไว้ด้วยผนังผ้าร่มบางๆเท่านั้น
“แก้วค่ะ”
หญิงสาวตอบกลับมา พร้อมกับเสียงดังสวบสาบดังจากภายในเต๊นท์
“มืดจังเลย รู้งี้ผมน่าจะเอาไฟฉายมาด้วย”
“จริงๆก็มีนะ แต่คุณเพิ่งขับรถทับมันพังไปเมื่อกี้”
“ห๊ะ! จริงเหรอครับ”
“ตอนนี้คุณก็งมอะไรๆไปก่อนละกัน”
“โธ่...แล้วกัน ผมทำให้คุณต้องเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอีกแล้ว”
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
“ผมกำลังผูกเปลให้คุณไง!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ