เพชรเปื้อนดิน

-

เขียนโดย วาฬดิน

วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.42 น.

  5 ตอน
  1 วิจารณ์
  7,086 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2561 04.55 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ลูบคม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

        เจ้าของความเห็นใช้ชื่อว่า “คนเก่ง ฟ้าประทาน”

        พิชิตหรี่ตาลง เอียงคอน้อยๆใช้นิ้วลูบที่ปลายคางอันเรียบเนียนปราศจากหนวดเคราของเขาด้วยความฉงนสนเท่ห์ พยายามหาความเชื่อมโยงระหว่างเขากับบุคคลผู้นี้ ซึ่งเขาก็มั่นใจเต็มร้อยว่าเขากับนาย “คนเก่ง ฟ้าประทาน” ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างแน่นอน แล้วนี่อะไร อยากจะ “ลองของ” กันอย่างนั้นหรือ ใครกันแน่ที่จะถูก “ลอง” และระหว่างเขากับนายคนนี้ก็เห็นๆกันอยู่ว่าใครที่มี “ของ” ต้องยอมรับว่าถ้อยคำของชายปริศนาคนนี้สร้างความรู้สึกแสบๆคันๆให้เขาอย่างบอกไม่ถูก ประหนึ่งเหมือนดังพยัคฆ์ที่ถูกแมวบ้านเอาอุ้งเล็บอันน้อยๆตะปบท้าทาย ตัวเขามีดีกรีเป็นถึงนักแข่งอาชีพ ผ่านประสบการณ์แข่งขันในรายการต่างๆมาก็มาก เลือดในกายทุกหยดของเขาย่อม “ไหลแรง” กว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว และในเมื่อเขาเองก็เพิ่งจะได้เป็นเจ้าของยอดอาชาอย่างเจ้าฮุสวาน่า ไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อยที่เขาจะต้องปฏิเสธเทียบเชิญอันเป็นการดูหมิ่นดูแคลนเขาถึงเพียงนี้ และหากแม้ว่าเขาปฏิเสธไปด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ก็มิเท่ากับว่าเขาเป็นกลายไอ้ขี้ขลาดทั้งๆที่มีของดีอยู่ในมือหรอกหรือ ด้วยอำนาจทิฐิอันแรงกล้านี้เองทำให้เขาตัดสินใจติดต่อกับชายที่ใช้ชื่อว่า “คนเก่ง ฟ้าประทาน” เป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติม

        จากการสนทนาส่วนตัวกับชายปริศนา พิชิตจึงได้ทราบว่า เก่ง หรือ คนเก่ง ฟ้าประทาน เป็นคนจังหวัดอุตรดิตถ์ ชายผู้นี้รักในการขี่รถสไตล์เอ็นดูโร่เป็นอย่างมากเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นหลงไหลเลยทีเดียว เก่งและสหายรู้ใจอีกคนนามว่า ดนัย จะตระเวนขึ้นเหนือล่องใต้ไปตามภูมิภาคต่างๆเพื่อสรรค์หาความท้าทายใหม่ๆอยู่เสมอ และในครั้งนี้พวกเขามีแผนจะเดินทางไปสำรวจยอดเขาสูงที่ได้ชื่อว่ามีเส้นทางโหดหินที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “สุสานเอ็นดูโร่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูที่ฝนโปรยปรายเช่นนี้ เส้นทางที่อันตรายอยู่แล้วก็ยิ่งทวีความโหดร้ายขึ้นอีกหลายเท่าตัว แวบแรกที่พิชิตได้ยินชื่อของสถานที่อันเป็นที่หมายในครั้งนี้ก็บังเกิดอาการขนลุกซู่ขึ้นมา มันคือสถานที่ที่ใช้จัดงานแข่งขันที่เขาเพิ่งได้ลงชื่อสมัครเข้าร่วมไปเมื่อครู่นี้เอง

        “ทางมันเป็นแบบไหนเหรอครับ เขาโกรกอะไรเนี่ย”

        “ก็ทางขึ้นเขาปกตินั่นแหละมั้ง ผมก็ได้ยินแต่เขาเล่ามา ไม่เคยไปเหมือนกัน”

        “แล้วที่เขาเล่ามามันเป็นยังไง”

        “ทางซิงเกิลแทร็ค 13 กิโล ใช้เวลา 9 ชั่วโมง”

        “ห๊ะ!! นี่หมายความว่าเราจะค่อยๆคลานกันไปได้ชั่วโมงละกิโลกว่าๆเองออกเหรอ พูดเป็นเล่น”

        “ก็ผมบอกแล้วว่าฟังเขาเล่ามา เราขับกันจริงๆอาจจะไม่ถึง 9 ชั่วโมงก็ได้”

        “แล้วส่วนมากเค้าเอารถอะไรไปกันครับ”

        “ก็ทั่วไปแหละ เคแอลเอ็กซ์บ้าง ซีอาร์เอฟบ้าง ซุปเปอร์คัพก็มี”

        “รถอย่างผมนี่ไปได้อยู่ใช่มั้ยครับ”

        “ระดับฮุสวาน่าผมว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ถ้าคนขับเอามันอยู่”

       

        พิชิตหน้าชาเหมือนถูกตบฉาดใหญ่ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยถูกใครสบประมาทขนาดนี้มาก่อน อีกฝ่ายนั้นกล่าวด้วยอาการนิ่งเฉยเหมือนพูดออกมาลอยๆไม่ได้มีท่าทีพิรุธ แต่เขากลับรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง นายเก่งคนนี้ช่างปากเปราะเราะรายนัก คงจะนึกว่าตัวเองแน่เสียเต็มประดาถึงได้พูดจาดูถูกดูหมิ่นคนอื่นอย่างนี้ เขาได้แต่กลั้นลมหายใจเพื่อควบคุมสติเอาไว้ แล้วชวนคุยถึงเรื่องแผนการเดินทางแทน

แผนการของเก่งคือ เขาและดนัยเพื่อนสนิท จะออกเดินทางในช่วงเย็นวันศุกร์ที่กำลังจะถึงหรืออีก 3 วันข้างหน้านี้ เพื่อไปสมทบกับสมาชิกอีก 2 คนที่เหลือ ซึ่งรับหน้าที่เป็นคนนำทาง หนึ่งในนั้นเป็นบุตรของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เพิ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ภายหลังจากพักผ่อน 1 คืนบริเวณปากทางขึ้นเขาโกรก ทั้งหมดจะเริ่มเดินทางขึ้นเขาในรุ่งเช้าของวันเสาร์ โดยจะเตรียมเสบียงอาหารและสัมภาระสำหรับค้างแรมบนยอดเขา 1 คืน และจะกลับลงมาในเช้าของวันอาทิตย์ ซึ่งพิชิตเองก็รู้สึกว่าแผนการนี้มันค่อนข้าง “หลวม” อย่างไรบอกไม่ถูก มันแทบไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยนอกจากการขับรถขึ้นไปค้างแรมแล้วกลับลงมา ดูเป็นการเสียเวลาชอบกล แต่ก็ถือเสียว่าเป็นการไปสำรวจเส้นทางก่อนการแข่งซึ่งอาจนำความได้เปรียบมาสู่เขาก็เป็นได้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่เขาอยากจะเห็นฝีมือของนายเก่งคนนี้ ที่บังอาจมาลูบคมเขาอย่างไม่เกรงใจ

 

 

ท้องฟ้าบนยอดเขาโกรกยามนี้มืดสนิทลงแล้ว ไฟกองใหญ่ถูกสุมขึ้นบริเวณกึ่งกลางแคมป์ที่มีรถกระบะโฟร์วีลไดรฟ์ของดนัยจอดขวางทางลมอยู่ อากาศนั้นหนาวเย็นจับจิตยิ่งกว่าตอนช่วงก่อนหัวค่ำเสียอีก หากมิได้มีกองไฟกองนี้คอยให้ความอบอุ่น เห็นทีว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้ยากเย็นเป็นแน่ แววนั่งกอดเข่าทั้งสองข้างใช้ผ้านวมอย่างหนาที่เตรียมมาห่อหุ้มร่างกายจนโผล่เหลือออกมาแต่ใบหน้า หล่อนนั่งเบียดชิดติดกับกองไฟจนน่ากลัวว่าเปลวไฟจะลามเลียมาจนไหม้ถึงผ้าห่มแต่เจ้าตัวก็ยังคงบ่นว่าหนาวอยู่ พลางชำเลืองมองสองชายหนุ่มที่กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมที่พักให้พร้อมรับมือความหนาว พิชิตนำผ้าใบมาขึงเป็นฉากกั้นทางลมไว้ ส่วนดนัยนั้นนำข้าวของที่ไม่ได้ใช้วางเสริมเป็นกำแพงไว้อีกชั้นหนึ่ง หล่อนมองไปรอบๆบริเวณพร้อมกับตั้งคำถามมากมายในใจ เหตุใดพวกเขาถึงมีความสุขกับการทำสิ่งเหล่านี้กันนะ มันไม่มีอะไรเลยนอกจากความลำบากลำบนหาความสะดวกสบายไม่ได้ แต่แววตาของเขาทั้งคู่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความสุข เหมือนกับในยามที่หล่อนกำลังเดินเลือกซื้อสินค้าในแผนกเครื่องสำอางค์ในห้างสรรพสินค้าอย่างไรอย่างนั้น   

ตลอดช่วงหัวค่ำนี้ ทั้งสองชายสนทนากันไม่ได้หยุดปากอาจเป็นเพราะไม่ได้พบกันนานถึง 4 ปี ที่ผ่านมาดนัยไม่เคยเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งอดีตให้ภรรยาของเขาฟังเลย แววเพียงทราบว่า พวกเขา 5 คนได้มาที่นี่และเกิดเหตุอะไรสักอย่างทำให้พวกเขากลับลงไปไม่ได้ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ 1 ใน 5 คนนั้นมีผู้หญิงอยู่ด้วยคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หล่อนฝังใจอยากจะมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง ว่าอะไรกัน ที่ทำให้พวกเขาไม่ได้กลับลงไป หรือจริงๆแล้วเรื่องทั้งหมดนั้นถูกกุขึ้นเพื่อปิดบังความจริงบางอย่าง ความจริงที่หล่อนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองพร้อมที่จะรับรู้หรือไม่

“ได้ข่าวว่าครั้งนั้น มีผู้หญิงขึ้นมาด้วยเหรอคะ คุณพิชิต” แววเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยิงคำถามลอยๆไปยังชายผู้นั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของหล่อนอย่างไม่ตั้งตัว

“อ...อ๋อ ใช่ครับ”

“เห็นมั้ยล่ะ อย่างที่ผมบอกเป๊ะเลย เดี๋ยวพี่ต้องโดนสอบสวน” ผู้เป็นสามีฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบหมดทุกซี่

“เงียบไปเลย คุณน่ะ” น้ำเสียงของหล่อนเฉียบขาดทำเอาดนัยหุบยิ้ม แต่หันไปลอบส่งสายตาขันๆกับพิชิตแทน

“เค้าเป็นเพื่อนคุณพิชิตเหรอคะ หรือเป็นเพื่อนคุณเก่ง”

“ไม่ใช่ทั้งคู่เลยครับ”

“อ้าว”

“เธอเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้จักใครซักคนเหมือนกัน”        กล่าวจบพิชิตก็นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง แววตาของเขาเศร้าลง ท่าทางของเขาดูกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย แต่แล้วก็เห็นเขาสูดลมหายใจลึกแล้วพรรณนาออกมา

 

วันนั้นพิชิตขับรถกระบะบรรทุกมอเตอร์ไซค์มาถึงจุดนัดพบเป็นคนแรก ขณะนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มเศษ ฝนเจ้ากรรมก็ดันกระหน่ำลงมาจนมืดฟ้ามัวดิน พิชิตตัดสินใจหันหัวรถไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่กำบังและนอนรออยู่ในรถโดยหวังว่ามันจะซาลงโดยเร็ว ในระหว่างกำลังเคลิ้มๆอยู่นั้น เขาก็พลันเห็นแสงไฟจากหน้ารถใกล้เข้ามา ในทีแรกเข้าใจว่าน่าจะเป็นรถของเก่งและดนัยที่เพิ่งเดินทางมาถึง แต่ดวงไฟนั้นมีแค่ดวงเดียว น่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ของคนในพื้นที่เสียมากกว่า ดวงไฟนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวฝ่าสายฝนไปยังด้านหลังของเขาและหายลับไปที่มุมมืดจนเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความมืดสนิทตามเดิม จะผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ เขาก็ต้องสะดุ้งพรวดขึ้นจากเสียงเคาะกระจกดัง กึกกึก ที่ฝั่งคนขับพร้อมกับลำแสงไฟฉายที่วูบวาบไปมา เขาพยายามจะเพ่งมองผ่านกระจกที่ขณะนั้นเต็มไปด้วยเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมากระทบ และเห็นร่างนั้นถอยห่างออกไปพร้อมกับโบกลำไฟฉายด้วยท่าทีเร่งรีบ ถึงแม้จะยังคงสับสน แต่พิชิตรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาตัดสินใจสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วใส่เกียร์ถอย เคลื่อนตัวไปตามแสงของไฟฉายที่ยังคงวูบวาบอยู่ในกระจกมองหลัง และเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก็เกิดแสงสว่างวาบลงมาจากท้องฟ้าราวกับจะเปลี่ยนเป็นเวลากลางวัน พร้อมกับเสียงดังกึกก้องกัมปนาท

“เปรี้ยง!!”

ประกายไฟลุกจ้ากระจายไปทั่วบริเวณ ส่วนยอดของต้นไม้ต้นนั้นถูกพลังจากธรรมชาติปลิดมันออกจากลำต้นแล้วโยนลงมาที่พื้น ราวกับฝ่ามือที่เด็ดยอดอ่อนของต้นถั่วเขียว เพียงแต่ว่า ต้นถั่วเขียวต้นนี้ ยอดของมันขนาดใหญ่พอๆกับรถกระบะของเขาเลยทีเดียว พิชิตนั้นอุทานออกมาฟังไม่ได้ศัพท์ด้วยความตกใจสุดขีด

  

         

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา