ของขวัญ โดย ภูปรดา
เขียนโดย ภูระรินภูปรดากุล
วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.10 น.
แก้ไขเมื่อ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 10.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความลุงแก้วแบกกล้วยน้ำว้าเครือใหญ่ เดินมาเงียบๆ พร้อมกับเจ้าอุ้มหลานชายของแกที่แบกต้นกล้วยยาวเท่าตัวคนมาด้วย ดำไม่ได้ระวังตัวจึงชนกับลุงแก้วทันที “ฟ้าพังทลาย!!” ลุงแก้วอุทานออกมาเมื่อดำชนแกเข้าเต็มแรง เด็กสาวล้มลงนั่งกองอยู่ที่พื้นข้างๆ กล้วยน้ำว้าเครือนั้น
“เออสิพ่อ!! ทลายไปทั้งฟ้า แล้วลุงทิ้งกล้วยลงมาทำไมเนี่ย!?” ลุงแก้วสูงกว่าดำพอสมควร แกจึงยังยืนอยู่ได้
“โอย ตกใจน่ะสิแม่ ขออภัย!! แก่แล้วงกๆ เงิ่นๆ เจ็บตรงไหนบ้างแม่คุณ? ”
ดำลุกขึ้นปัดแข้งปัดขาเอาเศษดินออกจากตัวเอง ก่อนจะมองไปที่ต้นกล้วยที่อีกคนแบกอยู่ “ไม่เจ็บหรอกเรื่องเล็กลุง ว่าแต่ว่าโค่นมันทำไม? เสียดายของนะลุงแก้ว”
“แก่เกินแกงแล้วพี่ดำ ไว้จะเอามาลงให้ใหม่” เจ้าอุ้มตอบแทน
ดำเข้าใจและในใจยังคิดอะไรบางอย่างได้อีก “เออลุง….อะไรอยู่เหนือหัวเราขึ้นไปหนึ่งศอกจ๊ะ?”
“ถามมาได้! ตัวเองเตี้ย อะไรก็สูงกว่าทั้งนั้นแหละ” เจ้าอุ้มหัวเราะร่วน
ลุงแก้วก้มลงไปเก็บเครือกล้วยของแกด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง กล้วยสุกหลายลูกหลุดออกจากเครือจากการปะทะเมื่อครู่ “โอย เสียดายจริง เอาไปทำกล้วยบวชชีเย็นนี้คงจะได้อยู่ เก็บๆ ช่วยกันเก็บ”
“อ้าวๆ ยังจะห่วงกินอยู่นั่นแหละ ตอบมาสิ!!” ดำถอนใจใหญ่
“รุกขเทวดาไง มีวิมานอยู่บนต้นไม้ เรียกง่ายๆ ก็นางไม้นี่แหละ” คนตอบหาได้สนใจอะไรไม่ ตอบอย่างเสียไม่ได้เท่านั้น
ดำกระพริบตาปริบๆ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน “จริงเหรอลุง? ตกลงอยู่บนต้นไม้หรืออยู่เหนือหัวเรากันแน่?” หญิงสาวมองหน้าคนเล่าอย่างทึ่งในความรู้อันลึกลับของแก
“เขาเรียกรุกขภูมิ เป็นภพภูมิที่อยู่เหนือหัวเรา ก็เทวดาดีๆ นี่แหละ ท่านมีวิมานแปะอยู่ตามต้นไม้ เป็นเทวดาชั้นดี เป็นหนึ่งภพภูมิที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งคือ ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นนี้ก็จะมีเทวดาอยู่เต็มไปหมด แบ่งตามบุญกรรมเป็นขั้นๆ ไป แบ่งเป็นภูมินั้นภูมินี้ตามบารมีท่าน เรื่องแค่นี้ไม่รู้เด็กพวกนี้!” ลุงแก้วบ่นอุบอีกยาวเฟื้อย จนคนฟังจับใจความไม่ได้
“อ้าว!! ก็บ้านฉันอยู่ในสวน ไม่ได้อยู่บนคาคบไม้เหมือนนกนี่ จะได้รู้จักรุกขเทวดา เกิดมาก็กินลูกกินราก กินใบกินเถา ก็ใช้ก็สอยไป ตายก็ปลูกใหม่ ไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลานี่ จะสนใจอะไรล่ะ?” หล่อนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ก่อนจะรีบเดินหนีไปเสีย
สิ่งที่เจ้าฝางพูด ท่าทางจะไม่ได้พูดจาเลอะเทอะแน่นอน เด็กที่ไหนจะพูดจาประหลาดได้ขนาดนั้น ในหัวของดำสับสน คำถามและคำตอบเมื่อครู่วิ่งผ่านเร็วเหลือเกิน “งั้นนก…..ก็เหมือนรุกขเทวดาสิวะ อยู่บนต้นไม้!!!” หล่อนเอามือทาบอกราวกับได้รับรู้ความลับของผู้อื่น “แต่….กินเทวดาไปหลายตัวแล้วนะชาตินี้ น่าจะไม่ใช่ ใครพูดต้องถามคนนั้นสิน่า เจ้าฝางรู้ดีที่สุด ไว้เจ้าฝางสร่างไข้ก่อนเถอะ จะได้รู้แจ้งเห็นจริงกันซะที” เมื่อดำหาเหตุผลให้ตนเองได้สำเร็จ ก็เดินเข้าสวนไปทำงานของตัวเองต่อไป
ตะวันใกล้ตกดินเต็มที วันนี้ยังเป็นวันสงกรานต์ หลายครอบครัวทยอยออกจากวัดเพื่อกลับเข้าบ้านด้วยเรือ แถบนี้มีคลองสายเดียว อีกฝั่งเป็นถนนที่มีความเจริญพอสมควรแล้ว คนส่วนใหญ่ยังเดินทางด้วยเรือเพราะคลองยังมีน้ำอยู่มาก บ้างก็ใช้เรือยนต์ บ้างก็แจวกันเองไม่รีบร้อน อิงกาลยืนมองอยู่ที่ระเบียงหลังตึกเงียบๆ คลองหลังบ้านดูร่มเย็น แม้มีเสียงพูดคุยดังมาตามสายน้ำ แต่ก็ไม่ได้ทำเจ้าตัวตื่นจากภวังค์ได้ เด็กชายคิดไกลไปถึงวันพระที่กำลังจะมาถึง หากหลับไปอีกคราวนี้ จะได้พบสิ่งใด? คนที่อยากพบเหลือเกินจะมาให้เห็นหรือไม่? ยากนักที่จะหาคำตอบจากสิ่งที่คนตัวเล็กๆ ไม่มีวันรู้ล่วงหน้า สิ่งเดียวที่รู้สึกชัดคือ “รอเสมอ”
พุ่มต้นกรรณิการ์ที่ทอดยาวอีกฝั่งของบริเวณบ้านส่งกลิ่นหอมมาตามสายลมจนถึงที่นี่ เด็กชายถูกปลุกด้วยกลิ่นของมัน ด้วยความกระหายใคร่รู้เขาจึงวิ่งเพื่อไปที่รั้วหน้าบ้านทันที
แม่เล่าเสมอว่า กรรณิการ์เป็นไม้มงคล มันถูกปลูกไว้ตามความเชื่อของคนโบราณ สิ่งใดที่เป็นมงคลและแม่เห็นว่าดี เขาก็ชอบใจเช่นกัน เด็กชายหวังจะได้เห็นดอกตูมที่กำลังจะบานสยายกลีบลงมาปกคลุมก้านหลอดสีส้มรำไรนั่น ในยามเย็นและกลางคืนมีสิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติเกิดขึ้นทุกวัน เช่นการบานของดอกไม้บางชนิด แต่คนทั่วไปมักหลงลืม ด้วยหลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งสังเคราะห์ที่เกิดขึ้นตามคำสั่งของมนุษย์มากกว่า
“ไปไหนอิง?” เสียงบิดาถามเมื่อเห็นเขาวิ่งลงมาจากบันได
“ริมรั้วครับ จะไปดูดอกกรรณิการ์”
“อย่าไปนานนักนะ ฟ้ามืดแล้ว ยุงชุม”
“ครับผม” เด็กชายตอบทั้งๆ ที่ไม่ได้หยุดวิ่งเลย อิงกาลในขณะที่วิ่งดูไม่เหมือนเพื่อนในวัยเดียวกัน เขาถูกอบรมให้เป็น “นาย” ของทุกคนมาตั้งแต่เกิด ท่าทางของเด็กชายจึงผิดแผกจากคนวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด กางเกงแพรสีเข้มและเสื้อผ้าป่านคอกลมสีนวลแขนสั้นทำให้เขาดูเป็นหนุ่มน้อยผู้สง่างาม
เขาอมยิ้มเมื่อมองเห็นพุ่มไม้สีเขียวแกมด้วยช่อดอกกรรณิการ์ที่ปลายกิ่ง คนสวนที่บ้านตัดแต่งต้นไม้เป็นระยะเพื่อไม่ได้มันสูงมากนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามตามธรรมชาติลดลงไป เด็กชายเอามือไปจับที่ช่อหนึ่ง ดอกสีขาวและก้านสีส้มของมันในเวลานี้งดงามนัก เขากวาดตามองไปรอบๆ รั้วและประตูไม้สีหมากสุกด้วยความเพลิดเพลินใจ เสียงอะไรบางอย่างปะทะกับประตูไม้ดังขึ้นราวกับพายุลูกเห็บกำลังสาดเข้ามา! เด็กชายเดินไปเกาะที่ประตูรั้วหน้าบ้านแล้วแนบหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงยังดังมาอีกเป็นระลอกที่สอง เขาจึงใช้มือแง้มประตูใหญ่ที่ไม่ได้ลงสลักประตูไว้ แล้วลากประตูให้เปิดออกจนสามารถมองเห็นตัวบ้านได้ครึ่งหนึ่ง “ใคร?!!”
“โสนเอง!!!”
อิงกาลหันขวับมาดูข้างตัวทันที เด็กหญิงกระโจนเข้ามาเกาะที่แขนของเขาราวกับหายตัวมา เธอคงจะเข้ามาทางประตูเล็กโดยที่อิงกาลไม่ทันได้สังเกต ร่างเล็กนั้นมีดวงตาดำขลับ ผมยาวถูกมัดเกล้าเป็นมวยไว้เบื้องหลังมีดอกจำปีสีเหลืองนวลสองดอกเสียบอยู่ราวกับสาวแรกรุ่น
“คุณโสน” มีชื่ออันไพเราะว่าสุนทรีย์ ชื่อเล่นของเธอออกเสียงเพียงคำเดียว ไม่ได้ออกเสียงอย่างที่เรียกดอกโสน ไม่มีความหมายใดๆ ในชื่อเล่นที่ถูกเรียกขานมาตั้งแต่เกิด เธอเป็นหลานสาวของหลวงพ่อนนท์ บ้านของเธออยู่ห่างจากที่นี่ไม่มาก อายุห่างกันเพียง 2 ปี เด็กหญิงมาที่บ้านบ่อยๆ พร้อมกับพี่เลี้ยง “มาทำไมค่ำๆ มืดๆ ทำไมไม่เรียกดีๆ ทำไมต้องขว้าง?” เด็กชายดุอีกคนราวกับผู้ใหญ่ดุเด็กเล็กๆ
โสนทำหน้างงพร้อมกับหันไปหาพี่เลี้ยงที่มาด้วย “แกขว้างเหรอ?!” พี่เลี้ยงของโสนส่ายหน้า ท่าทางกลัวเจ้านายตัวน้อยเหลือเกิน “เปล่าค่ะ ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็คุณโสนบอกให้แอบๆ มา”
อิงกาลเชื่ออีกคนสนิทใจ “แล้วใครทำ? พี่ได้ยินเหมือนคนปาอะไรมาใส่ประตู” เด็กชายเดินออกไปนอกประตูมองหาทันที หน้าประตูบ้านไม่มีใคร หากแต่ภาพไม่ไกลที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวเห็นเป็นคนสามคนกำลังเดินมาทางนี้ อิงกาลจ้องพวกเขาไม่วางตา จนมองเห็นได้ชัดในไม่ช้า
ผู้หญิงทั้งสามคนห่มสไบจีบแพรสีเหลืองนวลทับเสื้อแขนกระบอกเข้ารูปสีขาว นุ่งผ้าถุงสีขาวกรอมเท้า สีขาวนั้นสว่างจ้าในยามที่ฟ้ากำลังค่อยๆ มืดลง มีคนหนึ่งหาบสาแหรกเปล่ามาด้วย อีกสองคนเดินตามหลัง อิงกาลมองคนที่หาบสาแหรกหวายคู่นั้นด้วยความสนใจ เหตุใดสาแหรกและไม้คานของหล่อนจึงมีสีสันงดงามประหลาดตา ต่างกับของผู้ดีและชาวสวนในแถบนี้ที่เด็กชายเคยเห็น มันดูราวกับเป็นสีทอง แต่บางวูบก็เป็นเพียงหวายธรรมดา “จะไปวัดกันเหรอครับ?”
ทั้งสามคนหยุดเดิน ก่อนที่หนึ่งในคนที่เดินมือเปล่าจะเอ่ย “ไปวัดมา ไม่ใช่จะไปวัด” เด็กชายพยักหน้ารับ เขาคงตื่นเต้นจนหลงทิศนั่นเอง “บ้านพี่อยู่แถวนี้เหรอครับ ทำไมไม่เคยเห็น?”
“อยู่เรือนเจ้าฝาง ท้ายน้ำโน่น” น้ำเสียงคนของพูดมีความประหลาดอย่างบอกไม่ถูก อิงกาลได้ยินคล้ายกับมันดังมาจากที่ไกลๆ ไพเราะหวานหู แต่ทว่าเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก เด็กชายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“แถวนี้มีบ้านเจ้านายด้วยเหรอคะ? ไม่เห็นจะรู้จัก” โสนถามขึ้นบ้าง ในใจเธอนึกอิจฉาสตรีผู้งดงามเหล่านี้ พวกหล่อนยืนนิ่งๆ ยังสวย! “ผู้ดี……หาต้องเป็นเจ้าคนนายคนไม่ งามข้างใน อย่างไรเสียก็งาม” หญิงสาวคนเดิมตอบ ก่อนจะเดินนำหน้าทุกคนไปทันที
“ผู้ดีก็มีแต่บ้านนี้และบ้านโสนเท่านั้นแหละ!” เด็กหญิงย่นจมูกใส่ไล่หลังผู้เดินจากไป อิงกาลยืนนิ่งมองผู้หญิงกลุ่มนั้นเดินไปไม่ละสายตา ภาพนั้นไกลออกไปเรื่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนจะขาดใจทันที ทรุดตัวลงคุกเข่า สีหน้าซีดเผือด เหงื่อไหลออกมาราวกับถูกกระหน่ำด้วยสายฝน “พี่อิง! เป็นอะไร? ช่วยด้วย!!!” โสนร้องเรียกคนบนตึกทันที พี่เลี้ยงของเด็กหญิงวิ่งเข้าไปในตึกตามคนมาช่วย
เจ้าฝาง เจ้าฝาง เจ้าฝาง.....เสียงหวานนุ่มของหญิงสาวผู้นั้นยังดังวนเวียนอยู่ในหูของอิงกาล อะไรบางอย่างราวกับเป็นหอกแหลมคมทิ่มมาที่หัวใจ แม้อยากพูดเพียงใด แต่ปากนั้นไร้ซึ่งถ้อยคำ หากจะหลับ….ขอให้ได้ไปท้ายน้ำ เรือนเจ้าฝาง! จิตคิดได้เพียงเท่านั้น ดีกว่าไร้ทิศทาง อิงกาลสั่งความคิดตัวเองครั้งสุดท้าย ขอให้ลูกได้เจอ!!
ฝางนั่งกินขนมถ้วยฟูอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งสีหมากสุก กระจกมีร่องรอยเก่าแก่จากกาลเวลาอยู่หลายจุด โดยมีญาติผู้พี่ยืนหวีผมให้ด้วยความทะนุถนอม “มะกรูดนี่เข้าท่า ผมหงอกเห็นทีจะหาเจ้าฝางไม่เจอไปอีกนาน”
“ฝางไม่เคยมีผมหงอก พี่ดำมีไหม ถอนให้เอาไหม?”
“ริจะมาถอนหงอกให้กันซะแล้ว! ยังไม่มีหรอก! พี่ดำยังสาวยังแส้ ออกเรือนเมื่อไหร่ค่อยมาถามกันใหม่นะ เออ! ว่าแต่อะไรเอ่ยอยู่บนหัวเราแค่ศอกเดียว?” คนถามอมยิ้มราวกับกำลังล่อเหยื่อ
เด็กหญิงเงยหน้ามาสบตานิ่งเพียงครู่เดียว ก่อนจะมองไปที่จานขนมตรงหน้า ริมฝีปากบางชะลอการเคี้ยวขนมลง “ทรายเต็มเรือน หาใครเคลื่อนกลับวัดไม่” ดำกระพริบตาปริบๆ พลางวางหวีลงที่โต๊ะเครื่องแป้งอย่างช้าๆ หล่อนกลืนน้ำลายลงคอ หายใจหอบ ค่อยๆ ลดตัวนั่งลงที่พื้น มองไปที่กระจกเห็นคนตัวเล็กก้มหน้าไม่สบตาใคร “ที่ไหนหรือ…..เอ่อ……ที่ไหนคะ?”
“เรือนฝางนี่แหละ วันล่องก็แล้ว วันเนาก็ไม่ไป เหตุใดมิยอมปล่อยวาง” ฝางกระพริบตาช้า จริตของคนตัวเล็กแตกต่างไปจากที่เคยเห็น
“ทราย…..ทรายวัดของเรา ก่อกันตั้งแต่วันที่ 13 แล้ว….เอ่อ….ค่ะ” ดำพยายามอธิบายให้ใครฟังก็ไม่รู้! ปากคอหล่อนสั่นไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่คิดจะหนี
“มิได้ขนกันวันเนาหรอกหรือ? ขนทรายคืนวัดสร้างกุศลเพื่อชดใช้เวรกรรมทั้งที่พลั้งเผลอแลตั้งใจ ข้าเฝ้าเพียรถามผู้ใดก็หาได้ยินไม่ ด้วยมันหยาบช้ากิเลสหนา ศีลพร่องร่องแร่ง อีกพวกก็บารมีไม่มี”
“โอ้! คือว่าคือ” ดำยิ้มเจื่อน ความเป็นไปได้น้อยเหลือเกินที่คนเอ่ยออกมาจะเป็น “เจ้าฝาง” คนนี้ เด็กสาวรีบพนมมือแต้ รวบชายผ้าถุงให้เรียบร้อย กลั้นน้ำตาไว้อย่างอดทน นึกเสียว่าดูหนังดูละคร แต่น้องเราทิ้งไม่ได้! โดนด่าอีกต่างหาก เจ็บปวดสิ้นดี “เอ่อ…..คนมันถือเอาฤกษ์สะดวกของตัวด้วยเจ้าค่ะ บ้านนี้ก็มีแต่เด็กกับคนแก่ ว่าแต่เจ้าฝางเห็นทีจะไม่อยู่แล้ว ขนมถ้วยฟูคงไม่อร่อย…..ส่วนท่าน….ท่านคงมาจากที่อื่น” คนถามพยายามระงับความกลัวไว้สุดกำลัง ความอยากรู้เรื่องอื่นในตอนนี้มีไม่มากเท่า “ห่วงน้อง” ฝางเชิดหน้าขึ้นสูง สีหน้าของเจ้าตัวเรียบเฉย หากแต่ดูสง่างามผิดธรรมดา “อยู่กันเต็มเรือน เดินเข้าเดินออกไม่มีค่ำเช้า หาได้มีผู้ใดอาสาไม่ ต้องให้กำราบ ให้ลาก ให้จูง พวกเจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่!?”
ดำน้ำตาคลอ เมื่อเห็นว่าฝางไม่มีทางพูดเรื่องแบบนี้เป็นแน่ “ตะ...เต็มเรือน? ตรงไหนเหรอคะ? จะได้ไปบอกไปกล่าวได้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำค่ะ”
“ในสวน ประตู ท่าน้ำ แลพื้นดิน จนมาถึงเรือน แทบจะเดินชนกัน ความดีไม่มีใครจะสร้างศาลพระภูมิให้” ฝางยังพูดจาเยือกเย็น เด็กหญิงมองในกระจกไม่สบตาดำแม้แต่นิดเดียว
“อ้าว! ไม่ใช่อยู่บนต้นไม้เหรอคะ? รุกขเทวดาน่ะเจ้าค่ะ” ดำเสียงดังเพราะลืมตัว ความรู้ที่ตาแก้วเล่าทำไมไม่เหมือนที่ “บางสิ่งที่มองไม่เห็น” กำลังเทศน์ให้ฟังอยู่
“พวกในภูมิเทวดาไม่มีบารมีเท่าท่านในรุกขภูมิดอก บารมีไม่มากพอที่ใครจะกราบไหว้ก็จะเป็นเยี่ยงนี้ จะพูดจากับผู้ใดก็ไม่มีใครได้ยิน เว้นแต่ผู้มีจิตบริสุทธิ์หรือศีลสมบูรณ์จึงจะพอสื่อสารกันได้ชั่วครู่ชั่วยาม”
“กราบได้เจ้าค่ะ กราบได้ สร้างได้ จะเอาแบบไหนได้หมดเลยนะคะ ขอให้บ้านเราไม่ถูกขายไปก็พอ หวยเหยไม่เอาก็ได้ค่ะ ดำจะจัดให้เอง”
ร่างเล็กหันหน้าออกจากกระจก มาสบตาดำที่นั่งอยู่เบื้องล่าง “แต่…..จะสะดวกหรือไม่ หากจะไปเรือนกรรณิการ์?” ฝางดูเหมือนจะไม่ได้สนใจฟังคำพูดของดำเลยแม้แต่นิดเดียว
“แต่ว่า….มันมืดแล้ว แล้วก็…..มันอยู่ไหนก็ไม่รู้ค่ะ!” น้ำตาของคนพูดเกินจะกลั้นไว้ได้อีกแล้ว มันไหลอาบแก้มของดำทันที
“ได้พบกันเมื่อไปวัดกลับมา….ห่วงหาเหลือเกิน”
“ใครหรือเจ้าคะ?” เสียงอะไรบางอย่างกระแทกพื้นดังลั่น! ดำเงยหน้าขึ้นไปมองพลางมือสั่น “พี่บัว!” จานขนมถ้วยฟูถูกฟาดคว่ำลงพื้นเรือน ขนมถ้วยฟูสีเขียว สีขาวและสีชมพูของเจ้าฝางกลิ้งเกลื่อนพื้น
“เล่นอะไรกัน!? เลิกกินแล้วไปเข้านอนเดี๋ยวนี้เลย!!” บัวสั่ง สีหน้าของพี่บัวดำดูไม่ออกว่ากลัวหรือโกรธ พอมองเจ้าฝางก็เห็นเด็กหญิงกระพริบตาปริบๆ มองไปที่มารดา “ยังกินไม่หมดเลยแม่!”
บัวหายใจหอบ ไม่ยอมพูดกับลูกแม้แต่คำเดียว “ดำ! เก็บ!”เด็กสาวไม่รอให้สั่งรอบที่สอง หล่อนคลานไปเก็บกวาด แล้วดึงแขนน้องหลบไปทันที
“โอ๊ย!! จะบ้าตาย อะไรกันเนี่ย!” ดำตะโกนเสียงดังพลางกระทืบเท้ารัวเมื่อหนีออกมาที่ห้องครัวแล้ว ฝางมองหน้าเธอด้วยความสงสัย “แม่เป็นอะไรเหรอพี่ดำ กินยังไม่อิ่มเลย ทำไมต้องให้รีบเข้านอนละจ๊ะ?”
“ถามพี่แล้วพี่จะถามใครล่ะ? ว่าแต่เราพูดอะไรออกมา รู้ตัวไหม?!”
“รู้สิ” เด็กหญิงตอบหน้าตาเฉย
“จริงเหรอ!? ไหนบอกมาซิ จำอะไรได้บ้างแม่นางเอกละคร เล่นซะเนียนเลย!”
“รู้ว่า….จะมีศาลพระภูมิ แล้วก็อยากไปไหนสักที่ แต่ไม่…….ไป” เด็กหญิงพูดช้า
“แล้วทำไมไม่ไปล่ะฝาง?”
“ไม่อยากอยู่…..บนแผ่นดินเดียวกันเลย” เด็กหญิงเบือนหน้าหนี ราวกับคนมีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ในใจ
คนฟังยิ้มเจื่อน รู้สึกเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ “จ้ะแม่….ไม่เป็นไรจ้ะแม่คุณ และแม่คุณจ๋า อีดำเกิดมาต่ำต้อยทะเล่อทะล่า กรวดหินดินทรายไม่เคยไปขนเข้าวัด ล้างบาปล้างชั่วที่เดินเหยียบย่ำออกมา วันเนายังกล้าหาเรื่องทะเลาะกับคนแก่ คงได้เจอแต่เรื่องอัปมงคลทั้งปีแน่ๆ” คนพูดรู้สึกอับจนหนทาง วันนี้ทั้งวันเจอแต่เรื่องประหลาด หาก “แม่คุณ” ที่อยู่ในตัวเจ้าฝางเมื่อครู่มีจริง แม่ก็คงมาเตือนที่ไม่ไปทำบุญกันวันนี้ พรุ่งนี้หมายมั่นตั้งใจจะตื่นก่อนนก ไปขนทรายให้ได้สักกระสอบ แล้วทำบุญล้างซวย แม้จะรู้ว่าสายเกินไปแล้ว เรื่องสร้างศาลพระภูมิได้พูดออกไปแล้ว หากไม่ทำสงสัยชาตินี้ไม่ได้ตายดีเป็นแน่ แต่ที่จะตายแน่ๆ คือ จะไปพูดกับพี่บัวยังไงดีเล่าดำ?!!!
อิงกาลหลับไปแล้ว คุณนายไหมทองผู้เป็นมารดาให้กินยาเม็ดลูกกลอนฟ้าทะลายโจรลดไข้ไปเพราะตัวของเขาร้อนเหลือเกิน “ไข้แดดกระมัง ถึงได้ล้มพับไป ไม่ใช่วันพระ วันโกน ไปเล่นน้ำสงกรานต์มา ไม่แปลกหรอก” วิชาญสามีของคุณนายไหมทองปลอบหล่อน
“ก็จริงค่ะ ฉันถึงได้ให้ยาสมุนไพรไป ยาฝรั่งกินมากๆ ก็กลัวสะสมในตัว ยิ่งตัวร้อนบ่อยๆ ไม่เหมือนคนปกติ เดี๋ยวก็คงดีขึ้นค่ะ พ่อจ๊ะ! เห็นแม่โสนเล่าว่ามีผู้หญิงแต่งชุดขาวห่มสไบสีเหลืองๆ เดินผ่านไปท้ายน้ำ ลูกสาวบ้านไหนกันนะ? นางพี่เลี้ยงก็บอกว่าสวยนัก ตั้งสามคนเชียว” คนพูดเบาใจเรื่องลูก จึงได้ถามเรื่องใหม่
“ใครจะไปรู้!” คนตอบหัวเราะ “เรื่องของเด็กๆ อย่าไปสนใจมากเลยแม่ สงกรานต์คนเขาจะแต่งตัวสวยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นอนเถอะ”
สายตาของคุณนายไหมทองยังสื่อความหมาย แม้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา คำว่า “สวย” ของแม่โสนและพี่เลี้ยงเมื่อค่ำ สะกิดใจหล่อนอย่างยิ่ง พวกหล่อนเป็นใครกัน? จะหาบสาแหรกเปล่ามาทำไมกัน? ทุกบทสนทนาเมื่อค่ำยังวนเวียนอยู่ในใจเหมือนกองไฟที่ยังกรุ่น
“สาแหรกงามเชียวค่ะคุณ อย่างกับทอง!” พี่เลี้ยงของแม่โสนเล่าออกรส “เห็นว่าอยู่เรือนเจ้าฝางท้ายน้ำค่ะ” ทำไมคุณนายไหมทองจะไม่รู้ว่าเรือนนั้นเป็นของผู้ใด และไม่มีสาวแรกรุ่นที่งดงามได้ขนาดนั้นถึงสามคนแน่นอน!
“ใครเป็นคนพูดคุยกับพวกหล่อน?”
“พี่อิงค่ะ พี่อิงจ้องอย่างกับคนตัวโตๆ เลย พี่อิงเจ้าชู้ ตาวาวเชียวค่ะ” แม่โสนเล่าหน้างอ
“ไปเอามาจากไหนแม่โสน? ใครที่ไหนเจ้าชู้?”
“คุณพ่อค่ะ คุณพ่อทำเหมือนพี่อิงเลยค่ะ ทำกับพวกสาวๆ ในครัว” เด็กหญิงตอบไปตามประสาเด็ก บิดาของแม่โสนขึ้นชื่อนักในเรื่องเจ้าชู้ แม้เป็นเพียงญาติห่างๆ แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์มาตลอด คุณนายไหมทองอมยิ้มกับท่าทางฉลาดของแม่โสน แม้ในใจจะมีแต่คำถามซ่อนอยู่ แปลกนักอยู่ดีๆ มีคนแปลกหน้ามาเดินผ่านเรือนได้อย่างไร? ตอนนี้แม้ลูกชายของเธอจะดูปกติ แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อาจคาดเดาได้ เธอสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก
แสงไฟในบ้านดับลงหมดแล้วในยามนี้ จะมีก็เพียงแต่กลีบดอกกรรณิการ์งามที่ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยปกคลุมก้านดอกสีส้มสดใส ส่งกลิ่นหอมหวานแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ใครบางคนเดินอยู่ในความมืด จะมีก็แต่เพียงดวงจันทร์รำไรไกลๆ นั่นเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้มองเห็น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ