ของขวัญ โดย ภูปรดา

7.0

วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.10 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,891 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 10.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“อิง….ดื่มน้ำหน่อยนะลูก” คุณนายไหมทองถามยกแก้วน้ำให้ลูกชายดื่ม เขาดูอ่อนเพลียหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาได้ไม่กี่ชั่วโมง เด็กชายวัยสิบปีมองหน้าผู้เป็นมารดา “คุณแม่พาไปวัดมาหรือเปล่าครับ?”

“ใช่  ลูกรู้ได้ยังไง?”

“เหมือนฝัน เหมือนเห็น ลูกก็ไม่รู้ เห็นพระประธานแล้วก็……หน้าโบสถ์มีคนเก็บดอกพิกุลอยู่ด้วย คุณแม่รู้ไหมว่าเป็นใคร?”

“ไม่รู้สิ ทำไมหรือ?”

“เหมือนเคยเห็น อิงอยากตื่นขึ้นไปหา แต่ลุกไม่ไหวครับ”

“ทำไมอยากรู้ล่ะลูก?” เธอถามไปอย่างนั้นเอง รู้อยู่แล้วว่าลูกชายไม่ปกติสายตาของคุณนายไหมทองดูผ่อนคลายลงเมื่อเห็นลูกพูดจาได้ การตื่นของ “อิงกาล”เป็นเหมือนของขวัญในชีวิตของเธอ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก อาการหลับยาวนานของลูกเป็นมาตั้งแต่แปดขวบ ทุกครั้งก่อนที่จะหลับไป อาการดิ้นทุรนทุราย ตัวร้อน เจ็บปวดที่เจ้าตัวแสดงออกมา เป็นความทุกข์แสนสาหัสของพ่อแม่ เมื่อตื่นขึ้นคำถามของเขาจะพรั่งพรูตามมาเสมอ เหมือนคนที่รับรู้ทุกอย่างเมื่อหลับใหล

“เอาเถอะ! แล้วแม่จะไปถามให้ เผื่อว่าเขาจะเกี่ยวข้องอะไรกับการป่วยของลูกนะ” เธอปลอบตัวเองและลูกชายไปพร้อมๆ กัน “ลูกแม่จะได้หายเป็นปกติ จะได้ไม่ทรมานอีกนะ”

เด็กชายพยักหน้ารับ ร่างกายที่อ่อนแรงดึงเขาให้หลับใหลไปอีกครั้ง หมอกควันบางๆ ลอยล่อง กลิ่นบางอย่างหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ แพรพรรณสีสดใส อัญมณีหลากสีระยิบระยับไร้ที่มาสะท้อนเข้าตา! อิงกาลสะดุดตาหญิงงามผิวผ่องคนหนึ่ง หล่อนนั่งพับเพียบอยู่ มองปราดๆ เห็นเพียงว่านุ่งผ้าถุงจีบหน้ากรอมเท้าสีแดงลิ้นจี่และห่มสไบจีบสีเขียวอ่อน แสงที่มองเห็นจนแสบตานั้นทำให้เขาต้องหรี่ตามอง หล่อนมองมาที่เขาแล้วหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหว หากแต่หูทั้งสองของอิงกาลได้ยินชัด “กิเลสดุจธุลีฟุ้งอยู่รอบตน อย่าได้เพ่นพ่านให้แปดเปื้อนผู้ใด กลับไป!” เด็กชายถูกแรงบางอย่างผลักกระเด็นหลุดจากภวังค์! ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เอ่ยปาก

 

ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังก่อกองทรายอยู่ตรงลานดินกลางวัด แม้ร่างกายเปียกปอนหากแต่ทุกคนดูมีความสุข อิงกาลนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับรองแขกหน้ากุฏิของหลวงพ่อ เขานั่งมองภาพนั้นอยู่เงียบๆ วันนี้มีหมอกจางไร้แสงแดด เขากระพริบตาถี่เพราะภาพผู้คนมากมายวิ่งผ่านตาราวกับความฝัน มันทำให้รู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ในใจหวังจะได้เห็นใครสักคนที่อยากพบมายืนให้เห็นที่ใต้ต้นพิกุล แต่ก็ยังไม่สะดุดตาผู้ใด ความทรงจำของเขาไม่แน่ชัด ยากจะยืนยันกับตัวเองว่าคนที่ได้เห็นเป็นใคร

 คุณแม่ฝากเขาไว้ที่กุฏิของหลวงพ่อ รอให้เพื่อนพ้องของเด็กชายมากันพร้อมหน้าแล้วจึงจะออกไปเล่นน้ำสงกรานต์กัน นอกจากคนในครอบครัวแล้ว “หลวงพ่อนนท์” ก็เป็นญาติอีกหนึ่งคนที่เขาพึ่งพาได้ ท่านเป็นญาติของคุณแม่ “ทุกข์ไปทำไม? ถึงเวลาก็มาเอง ไม่ว่าอะไรก็ตาม” ท่านเดินเข้ามาหาเขาพลางมองไปยังลานวัด

เด็กชายยิ้มจางให้ “ไม่รู้ครับหลวงพ่อ ไม่รู้อะไรสักอย่าง” วาจาและกิริยาของเขาเรียบร้อย สงบเสงี่ยมราวกับผู้ใหญ่ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ท่าทางของเขาเหมือนคุณนายไหมทองมารดาผู้งามสง่า

“ความไม่รู้นั่นแหละดี รู้มากก็ทุกข์มาก”

”ครับ แต่หลวงพ่อครับวันพระที่ผ่านมามีใครมาตรงต้นพิกุลไหมครับ?”

“เยอะแยะ ญาติโยม เป็ดไก่ หมูหมา” ท่านหัวเราะออกมาเบาๆ เด็กชายอมยิ้ม เจ้าตัวนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะถามอะไรอีก เพราะมันจริงอย่างที่หลวงพ่อว่า มีคนมากมายเดินผ่านตรงนั้นเหมือนในตอนนี้ “เฮ้ย!!!” เสียงใครบางคนร้องทัก พอหันมาอีกทีอิงกาลก็โดนน้ำสาดเข้าใส่โครมใหญ่ เจ้าตัวไม่ทันได้ระวังตัว จึงหนีไม่พ้นเด็กวัดและเพื่อนๆ ที่กำลังวิ่งกรูเข้ามาหา เด็กชายหัวเราะร่าแล้ววิ่งตามพวกเขาไป

“รู้” แล้ว “วาง” ไว้ตรงนั้น “ไม่รู้” ก็ต้อง “วาง” ไว้ตรงนั้น หากทำอย่างนี้ได้ทุกครั้ง คงไม่ต้องมาตามหากันให้ทุกข์ทรมานนะโยม หลวงพ่อนนท์ปรารภอยู่เพียงในใจ ไร้ซึ่งคำถาม ไร้ซึ่งสิ่งติดค้างในใจใดๆ มีเพียงเสียงเอ่ยออกมาเบาราวกับลมหายใจของท่าน "จาตุมหาราชิกา"

 

“แม่จ๋า….วันสงกรานต์เราไม่ออกไปข้างนอกกันเหรอจ๊ะ?” ฝางถามขณะที่กำลังยืนดูแม่หยดน้ำอบไทยลงในขันเงินใบใหญ่ แม่ลอยดอกมะลิลาดอกเล็กๆ ลงไปในน้ำอย่างเบามือ กลิ่นน้ำอบหอมฟุ้ง ดอกมะลิสีขาวทำให้น้ำในขันดูงดงามขึ้นอย่างประหลาด

“ไปไม่ได้ เดี๋ยวจะเปียกเอา ฝางไม่ชอบไม่ใช่หรือ? มันเย็นมากนะลูก ตัวเปียกนานๆ ไม่ดีหรอกหรืออยากเล่นน้ำกับเพื่อนๆ?”

“ไมได้อยากเล่นน้ำ อยากไปวัดจ้ะ”

“โอ๊ย! นั่นแหละ คนไปก่อกองทรายกันเยอะมากๆ เราสรงน้ำพระในบ้านก็พอแล้วลูก เขาสาดน้ำกันทุกคน เดี๋ยวหนูจะไม่สบาย” บัวปลอบลูกพลางยิ้ม

 เด็กหญิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกด้วยยอมจำนนในเหตุผลของมารดา ฝางเดินออกมาที่ชาน อมยิ้มเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ “จริง” ของแม่บัว น้ำทำให้ฝางเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกได้เสมอ แม้น้ำอุ่นที่แม่ต้มให้อาบทุกวันก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มาก ทุกครั้งที่น้ำผ่านร่างกาย เธอรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย ปลาอยู่ในน้ำตลอดเวลาได้ยังไงกันนะ? หนาวขนาดนั้น มันไม่มีผ้าห่มหรือเสื้อผ้าอุ่นๆ เลยด้วยซ้ำ เด็กหญิงคิดวกไปวนมาเช่นนี้เสมอเมื่อนึกถึงปลาในบ่อ  หลายครั้งที่อยากเทน้ำอุ่นที่ตัวเองอาบลงไปช่วยบรรเทาความหนาวเย็นให้ปลาแต่แม่ไม่ยอมให้ทำ วันหนึ่งเมื่อครั้งยังเด็ก ฝางเคยพยายามจะถือขันน้ำอุ่นเดินไปที่บ่อมาแล้ว “จะแกงกันในบ่อเลยหรือ? มันอยู่ได้ลูก อย่าห่วง เขาเกิดมาเพื่อเป็นอย่างที่เขาเป็น  ไม่ได้หนาวจนทนไม่ได้ อีกเดี๋ยวก็ต้องกลายเป็นอาหาร ถ้าฝางเอาน้ำอุ่นมาแช่กันก็ตายก่อนถึงเวลา”

“เราไม่ฆ่าไม่ได้เหรอคะแม่? แม่ไม่กินปลาได้ไหม?”

“ได้สิ! แต่เขาเกิดมาเป็นอาหารนี่นา เขามีประโยชน์กับคนอื่น บางทีก็เลี่ยงการกินไม่ได้ ถ้าไม่ให้กินสัตว์เป็นอาหาร แม่จะไม่เว้นว่าจะไม่กินปลาเท่านั้น แม่จะไม่กินสัตว์ทุกอย่างเลย ดีไหมลูก?” แม่มักจะให้เหตุผลที่เด็กหญิงฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็เชื่อว่ามันจะดีถ้าทำตามที่แม่บอก การไม่ขัดขืนจึงถือเป็นคำตอบ

ฝางเลือกเดินลงไปที่บันไดด้านหลังเรือน แล้วนั่งดูดอกบัวในอ่างดินเผาขนาดใหญ่ตรงชานพักเท้าที่ปลายบันได ลมเย็นๆ พัดผ่านกายอีกครั้ง แต่เจ้าตัวยังเพลิดเพลินอยู่กับดอกบัวแสนสวยยามบ่ายคล้อยตรงหน้า กลิ่นหอมฟุ้งอย่างประหลาดพัดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดด้วยความรู้สึกพอใจ “หอมจัง…..”

 “รามือ…..ได้บ้างหรือไม่เจ้าข้า?” เสียงอ่อนหวานลอยมาตามสายลม ฝางกลั้นลมหายใจหยุดฟังชั่วครู่ พลางมองหาที่มาของเสียง “รามือ…ได้บ้าง….หรือไม่เจ้าข้า?” เสียงนั้นเบาราวกับเสียงลมหายใจของฝางในตอนนี้ และกล่าวซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายครั้ง มันดังอยู่ในหัวหรือได้ยินชัดเต็มสองหูของตัวเองฝางก็ไม่อาจบอกได้ ด้วยไม่มีพยานรู้เห็นอยู่รอบๆ กายเลย

“ถามใครคะ?” เจ้าตัวหลุดปากตั้งคำถามออกไป มองซ้ายมองขวาอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่เห็นใครสักคน เด็กหญิงตัดสินใจในทันทีเมื่อได้สติ เธอรีบหันหลังจะลุกวิ่งขึ้นบันได หากแต่ไม่ทัน!

 ผ้านุ่งยาวจีบหน้านางสีแดงลิ้นจี่เหลือบทองสวยแปลกตากระจายกลิ่นหอมฟุ้งอยู่เบื้องหน้า คนก้มมองลงมางดงามหมดจดราวกับภาพวาด ผมยาวดำมันขลับคลอเคลียบ่างาม ร่างบางสง่างามนั้นสว่างจ้าราวกับดวงตะวัน “เจ้าฝางเจ้าข้าอยู่เจรจากันก่อนเถิด” ฝางพนมมือขึ้นทันที ปากคอซีดราวกับคนจะเป็นลม ในหัวของเด็กหญิงคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ก่อนจะวูบหลับไปในทันที กลิ่นนั้นยังคงกรุ่นอยู่ในสมอง ฝางลืมตา มือคว้าหาผ้ามาห่มกาย คนยื่นชายผ้าห่มให้มองมา แววตาเมตตายิ่งนัก หากแต่ไม่ใช่คนในเรือนเรา“แม่!!!” ฝางร้องจ้า น้ำตาพรั่งพรูออกมาทันที

“อย่าได้อึงไปเลยเจ้าข้า ข้ามาไกล แต่มิใช่คนอื่นคนไกล เจ้าฝางรู้จักเทวภูมิหรือไม่? มีจาตุมหาราชิกาภูมิเป็นสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง แลชั้นอื่นเบื้องบนอีกห้า ไกลออกไปนักหนาแม่เคยได้ยินหรือไม่?” ริมฝีปากบางเปื้อนยิ้ม ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยน งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“ไม่…..ไม่รู้จัก พี่เป็นผีเหรอ!?”

คนฟังหัวเราะเบา “ไม่ใช่เจ้าข้า หากแต่เคยอุบัติขึ้นมาใกล้แท่นบรรทมตามบุญกรรมที่ทำมา ข้าดูแลเครื่องทรงขององค์เทวานายตัว ครานั้นหาได้มีวิมานของตนไม่ จำมิได้หรือเจ้าข้า?”

“พูดอะไรเหรอ? เป็นนางฟ้าเป็นเทวดาเหรอ?” เด็กหญิงตาโต ลุกขึ้นนั่งเมื่อรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น ม่านน้ำตายังบดบังอยู่บ้าง ฝางเช็ดมันเพื่อให้ตัวเองมองเห็นภาพได้ชัดขึ้น

“ตัวเจ้านั้นเคยจุตินามว่า อุรณา เป็นฝ่ายสีตวลาหกเทพ บันดาลให้เกิดความหนาวเย็น”

“ไม่เข้าใจค่ะ!!” เด็กหญิงดึงผ้าห่มมากอดแน่น ผู้หญิงคนนี้พูดจาประหลาดเหลือเกิน ฝางหลับตาปี๋! เมื่อรู้สึกว่าคุยกันไม่รู้เรื่องอีกแล้ว!

“เหตุใดปิดหูปิดตา? มิยอมฟังความอันใด เจ้าลงมาจุติใหม่หาใช่ความผิดไม่” คนพูดยิ้มสวย กลิ่นหอมแปลกหวานอบอวลออกมาจากตัวหล่อนฟุ้งไปทั่วห้อง ฝางมองไปที่หล่อนด้วยความรู้สึกหลากหลาย บางอย่างในตอนนี้ผิดปกตินักสำหรับฝาง “แม่” หายไป ที่นี่เหมือนไม่ใช่บ้านของเรา ทั้งๆ ที่อยู่บนเตียงนอนของตัวเองแท้ๆ คนมองอยู่ดูจะเข้าใจเพราะตั้งใจมาเจรจา “ความหนาวเหน็บเท่านั้นจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย ได้โปรดหยุดฟังข้า” อากาศเย็นปะทะกายของทั้งสอง สะท้อนให้ฝางได้เห็นที่มาของตน เมื่อครั้งจุติเป็นเทวดาผู้บันดาลให้อากาศเย็นได้ดังใจปรารถนา  ส่วน “นาง” ผู้งดงามนั้นเป็น “อุปัตติเทพ” ผู้ถือกำเนิดด้วยการอุบัติขึ้นมา มีกายทิพย์ เกิดเป็นวัยหนุ่มสาว ขึ้นมาโดยไม่ผ่านการปฏิสนธิเหมือนมนุษย์ทั่วไป บัดนี้บริวารและนายเก่าได้พบกันอีกครา แม้วิมานเดิมจะสูญสิ้นไปตามกาลแห่งบุญกรรมแล้ว ฝางรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกเมื่อภาพที่ได้เห็นค่อยๆ หายไป ปรากฏเพียงร่างของนางผู้งดงามอยู่เบื้องหน้า ประหลาดนักที่ตัวเองไม่รู้สึกทรมานกับความหนาวเย็นอย่างที่เคยเป็นมา ความสงสัยบางอย่างผุดขึ้นมาเองในความคิดของฝาง จึงได้เอ่ยปากถาม “หนูทำอะไรผิดเหรอคะพี่?”

“ไม่ได้ทำผิดเจ้าข้า เพียงบุญบารมีหมด แล้วเกิดใหม่ตามบุญกรรมที่ทำมา บัดนี้ข้าอยู่ในภูมิเทวดา ดูแลรักษาเขตบ้านแลเรือนฝางนี้เจ้าข้า” ความเข้าใจของฝางดีขึ้นด้วยการดลบันดาลของอีกคน หล่อนตั้งใจทำให้ฝางเข้าใจในภาษาของหล่อน แม้เอื้อนเอ่ยผิดแผกจากมนุษย์ไปเพียงใด ก็เข้าใจได้ราวกับคุ้นเคยมาแสนนาน คนตัวเล็กจึงคิดเร็วและถามเร็วกว่าที่เป็นมา “ชื่อหนูนี่!”  ฝางมีสีหน้าดีใจเมื่อมีคนกล่าวถึงชื่อตัวเอง

“มีฝางขึ้นอยู่มากเมื่อนานมาแล้ว จึงเรียกกันว่าเรือนฝางเจ้าข้า”

“แล้วพี่มาทำไมเหรอคะ?” 

“ด้วยข้าห่วงนักหนาเจ้าข้า มีใครบางคนมาก่อนไม่ช้าไม่นาน เจ้าฝางจำไม่ได้แต่เขารออยู่ไม่ไกลนัก” สายตาของคนเล่าเศร้าสร้อย เด็กหญิงเอื้อมมือไปจับมือหล่อน เพราะอยากสัมผัสคนที่เธอมั่นใจว่าพิเศษคนนี้นัก

“ใครคะ? หนูไม่เข้าใจ เหตุใดต้องเศร้าเมื่อกล่าวถึงเขา” หลายคำที่พูดออกไป ฝางก็ไม่รู้ตัวว่ามันเกินวัยไปแล้ว ภาษาใหม่หลุดออกมาจากปากเองราวกับใช้อยู่เป็นนิตย์

“แม้ยังไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไรเจ้าข้า ข้าอยากมาขอเตือน ชาตินี้นั้นขอให้ระวัง กรรมใหม่อย่าได้ก่อ เจ้าฝางคนดีได้โปรดเมตตา….คน…..” เสียงนางขาดหายไปพร้อมๆ กับสติที่กลับคืนมาของอีกคน ฝางเพ้อทั้งน้ำตา “หนูไม่รู้ หนูไม่เห็น หนูไม่เข้าใจ”

 “นอนข้ามวัน เหมือนลูกชายบ้านโน้นเลยค่ะพี่บัว!” คนพูดมีสีหน้าหวั่นวิตก

“ก็คนเป็นไข้ จะหลับนานบ้างจะเป็นไรไปดำ” บัวลูบหน้าลูกสาวที่รู้สึกตัวแล้วด้วยความดีใจ แต่พยายามระงับทุกอาการไว้ไม่ให้คนในบ้านแตกตื่นกับอาการของฝาง “ดำ” เป็นญาติห่างๆ ของสามีของบัว เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่ยังเล็กเพราะกำพร้าพ่อแม่จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ปีนี้เป็นสาวรุ่นวัย 18 ปีแล้ว ชื่อกับรูปลักษณ์ของเจ้าตัวห่างกันลิบลับ ผิวพรรณของดำขาวผ่องไม่แพ้ใคร หล่อนเป็นคนจิตใจดี แต่ก็มีความล้นทั้งความคิดและคำพูดอยู่เสมอ

“จริงเหรอคะพี่บัว? ดำว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง เขาลือกันไปทั่วว่าลูกชายคุณนายไหมทองผีเข้าทุกวันโกนวันพระ บางทีสองวันรวดทีเดียว” คนเล่าดูจะเชื่อ “คำเขาลือ” อย่างนั้นไปเต็มหัวใจแล้ว

“ได้ยินเขาลือเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจ แต่รู้แน่ๆ ว่าเขาจ้องที่ดินบ้านเราอยู่”

“พี่บัวเคยบอกแล้วว่าไม่ขายนี่นา ยังไม่เลิกถามอีกเหรอ?”

“ห่างกันแค่ไม่กี่สวน เขาก็คงอยากขยายความมั่งมี ช่างเถอะ!” บัวตัดบทเพราะไม่อยากเอามาเป็นอารมณ์ หลายครั้งที่นายหน้าของบ้านนั้นพยายามมาเจรจาขอซื้อที่ดินและบ้านของเธอ ตอนนี้ที่ดินรอบๆ แถวนี้เป็นของเขาแล้วทั้งสิ้น เหลือก็แต่เพียงบ้านสวนเล็กๆ ของเธอที่ยังไม่ได้ขายไป สมบัติชิ้นสุดท้ายของสามี เธอจะยกให้ใครเพียงเพราะเงินได้อย่างไร ลำบากแค่ไหนก็จะพยายามรักษาไว้

ฝางลุกขึ้นนั่งนิ่งเมื่อรู้สึกว่าสบายตัวมากขึ้น ร่างเล็กรับรู้ได้ถึงไอร้อนในกายของตนอยู่บ้าง รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เหตุใดตอนนี้ความร้อนจึงกลายเป็นศัตรู ทั้งๆ ที่เธอเกลียดความเย็นจับใจ  เมื่อทิ้งความสงสัยตามประสาเด็กไปแล้วฝางรีบเล่าทันที “เทวดามาแม่!” แววตาของเจ้าตัวสดใสขึ้นทันที

 “เหรอ?! อยู่ตรงไหนล่ะลูก?”

“อยู่ที่เตียงนี่แหละ ผมยาว”

“ทำไมเรียกเทวดา ไม่ใช่นางฟ้าหรอกเหรอจ๊ะ?”

“ไม่รู้สิ ฝางก็จำไม่ได้” คนเล่าเงียบไปดื้อๆ บัวส่ายหน้าอย่างเอ็นดู อย่างน้อยลูกตื่นขึ้นมาก็พูดเรื่องที่เป็นมงคล นางฟ้าของแม่ก็มีแต่ฝาง ขอให้ลูกพบพานแต่เรื่องดีๆ เท่านั้น เกิดมากำพร้าพ่อหนักหนาพอแล้ว

“แม่ร้องไห้ทำไม?” คนตัวเล็กยังมีแก่ใจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของมารดา

“ไม่ใช่ แม่แสบตา ไม่ได้เป็นอะไรลูก!” บัวรีบแก้ตัว

เด็กหญิงกระพริบตาปริบๆ ด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่แม่พูด “แม่ตัวโต ไม่ร้องไห้นะจ๊ะ” รอยยิ้มของเจ้าตัวปลอบประโลมหัวใจแม่ได้ดีนัก บัวมองลูกด้วยความละอาย ก่อนจะยิ้มตอบ

“แม่…. มีคนรอฝาง ขอไปหาเขาได้ไหมคะ?”

“ใคร? ทีไหนกันลูก?”

“เหนือหัวเราขึ้นไปเพียงศอกเดียว”เด็กหญิงพูดหน้าตาเฉย

บัวเอามือทาบอก ไร้วาจา!

“ผีที่ไหนล่ะนั่น!?” ดำถามขึ้นมาทันที เสียงตีเข้าที่เนื้อดังตามมาทันทีเช่นกัน

 “นี่! ผีเหรอ พูดว่าผีเหรอ!”

 คนถูกตีลูบแขนป้อยๆ “ไม่เห็นต้องตีเลยพี่บัวก็ ใครจะมาอยู่เหนือหัวคน เจ้าฝางก็พูดน่ากลัวนี่นา แล้วดูพูดจาเข้า ภาษาคนปกติที่ไหน!”

“ไปเอามาจากไหนลูก?  ไม่พูดอีกนะ ไม่พูดอีก ไม่มีผี ไม่มีเทวดานางฟ้าที่ไหนทั้งนั้น! ” บัวกอดลูกไว้แนบอก ดำเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งออกจากห้องนอน ลงจากเรือนไปทันที

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา