ของขวัญ โดย ภูปรดา

7.0

วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.10 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,782 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 10.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พ.ศ. ๒๓๖๐ ปีฉลู

วิมานแก้วประกายทองสุกปลั่งดั่งเนรมิต ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยปรากฏชัดเหนือยอดกรรณิการ์ แสงกระจ่างสาดส่องลงมาเบื้องล่างราวกับบันไดแก้ว ไม่นานนักจึงเผยให้เห็นรูปงามของรุกขเทวานาม “อจลา” เขาเดินวนอยู่หน้าวิมานตน มองหาใครบางคนรอบๆ กาย  

ในความมืดเบื้องหน้า เรือนนี้หาใช่ตึกใหญ่ของคุณนายไหมทองไม่ หากแต่เป็นเรือนไทยของ “แม่จวง” สตรีม่ายผู้มีฐานะในแถบคลองสายนี้  เทวบุตรอจลาสถิตอยู่ในรั้วบ้านนี้มาช้านาน โลกของมนุษย์เงียบสงบไปนานแล้ว แต่เขายังอยู่เพื่อรอ “นาง” ปรากฏกาย

กลิ่นหอมรัญจวนอวลมาจากฝั่งคลอง เสียงหัวร่อต่อกระซิกของกลุ่มหญิงสาวดังใกล้เข้ามา องค์อจลายิ้มกระจ่างเมื่อมองเห็นใบหน้านวลเบื้องหน้า “อังควิภา” เนรมิตตนให้เห็นแปลกตากว่าที่เคย หล่อนห่มสไบเฉียงจีบสีโศกทิ้งชายไว้เบื้องหลัง นุ่งโจงกระเบนสีม่วงอ่อน ผมปีกแลกันไรผมวงหน้าโค้งรับขับใบหน้านวล จอนหูคู่งามทัดหูคลอเคลียแก้ม ด้านหลังยาวประบ่า นางงดงามแม้ไร้เครื่องถนิมพิมพาภรณ์  มือของนางถือดอกบัวตูมหลายดอก เหล่าสหายนางสวรรค์มีดอกไม้หลากหลายพันธุ์ติดไม้ติดมือมาเช่นกัน  เมื่อพบองค์อจลาพวกนางก็ค่อยๆ หายวับกลับเข้าวิมานไป ทิ้งไว้แต่เพียงแสงระยิบระยับรอบองค์อังควิภา “ไปเก็บดอกไม้กันมาหรือเจ้า?”

“เจ้าข้า…….” เสียงหวานขานรับ นางยืนนิ่งพลางก้มต่ำ องค์อจลายืนยิ้มราวกับกำลังมองเห็นดอกไม้งามยามต้องแสงอาทิตย์ แม้เวลาของแผ่นดินนี้จะปกคลุมไปด้วยความมืด “เจ้าเนรมิตองค์แปลกตา หากเห็นเพียงเงาเกือบจะเข้าใจว่ามีผู้คนมาเยือนคนบนเรือน เมื่อแจ้งประจักษ์กับตาว่าเป็นเจ้า จึงได้เห็นว่างดงามเหลือจะกล่าว”

“การเข้าไปปะปนกับผู้คน จะแสดงตนอย่างเช่นที่เป็นเห็นทีจะสร้างปัญหา ข้าขอกลับสู่วิมานด้วยเกรงว่าผู้คนจะอื้ออึง แม้ไม่มีเสียงกล่าวโทษใดๆ หากแต่ดูอย่างไรก็ไม่งาม” หล่อนตัดสินใจทันควัน ไม่รอฟังคำเจรจาใดๆ ร่างบางกำลังจะเคลื่อนคล้อยขึ้นสู่เบื้องบน หากแต่ถูกรั้งไว้ราวกับสะกดกัน องค์อจลาล่องลอยมาประจันหน้าทันที! “ข้ารอ……อย่าเพิ่งกลับวิมานเลยนะเจ้า นานแล้วที่เราไม่ได้พบปะเพียงลำพัง ไม่อยากโทษชะตา แต่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดวิมานของเจ้าจึงเคลื่อนคล้อยหายไปทุกคราที่เราถวิลหา แม้เจ้ามองไม่เห็นหัวใจของเรา ก็ยังจะร้องขอให้เห็นแก่ความอดทนของเราต่อคำร่ำลือที่ไร้เสียง ขอให้เห็นแก่ความกล้าที่จะปรากฏให้นายบ่าวในวิมานอื่นดูแคลน”

ดวงตาคู่งามนั้นระยิบระยับจนทำให้อังควิภาแทบจะหมดลมไปตรงหน้า นางรู้สึกร้อนวูบไปทั่วร่าง ราวกับดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยมาอยู่ใกล้ดวงหน้า หากแม้ผู้ใดได้เห็นเช่นนางคงไม่อาจหายใจได้อย่างปกติเป็นแน่ องค์อจลางดงามเกินปากกล่าว อำนาจบางอย่างแผ่ไปทั่วร่าง ฤาอำนาจนั้นอาจเป็นเวทมนตร์จากถ้อยคำที่หวานล้ำผิดธรรมดา!

 “หากอยู่นานไป เห็นทีดอกบัวจะโรยราไร้ความงามเจ้าข้า แม้เนรมิตได้เอง ก็หาได้เหมือนธรรมชาติไม่” นางหาเหตุเพื่อให้ตัวเองได้หายใจ หากอยู่ต่อไปเกรงภาพดวงตาคู่นี้คงติดตามจนยากจะลบเลือน นี่มิใช่ครั้งแรกที่ถูกจู่โจม แต่องค์อจลาแจ้งความในใจชัดแจ้งมาช้านาน

 “ข้าจะหาดอกบัวงามมาทดแทนให้ จะยอมรับความอดสูในความไม่งามจากคำติฉินของทุกวิมานไว้เพียงลำพัง มิให้สะเทือนถึงเจ้า คนบนเรือนก็ไม่มีวันได้เห็นเพลานี้ อย่ากังวลไปเลย อยู่ด้วยกันสักครู่เถิดเจ้า แม่จวงบนเรือนเอนหลังไปแล้ว เห็นว่าคุมพวกบ่าวทำความสะอาดเรือน ด้วยจะมีญาติมาเยี่ยมเยือนในไม่ช้านี้ เพลานี้ข้าจึงไม่มีกิจอันใดให้กังวล ห่วงก็แต่ความร้อนรุ่มในใจตน เมื่อไม่ได้พบเจ้ามาช้านาน” อจลาเป็นรุกขเทวาและเป็นดั่งเทวดาประจำตัวของแม่จวง หญิงม่ายผู้สูญเสียสามีไปเมื่อคราวเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ โชคดีที่บุตรตรีของท่านยังอยู่ข้างกาย

อังควิภาสบตาเขา ใจนางสงบเยือกเย็น “ผู้ใดเจ้าข้า?” คำถามของนางผุดขึ้นกลางอกด้วยรู้สึกว่าการยืนฟังคำอ้อนวอนนั้น จะทำให้หัวใจหลงใหลในกายงามและวาจาของเขา เปลี่ยนเรื่องเสียจะดีกว่า

อจลามีคำถามในแววตา เหตุใดนางจึงใส่ใจคนอื่นมากกว่าผู้ภักดีตรงหน้า เราอยู่ในขอบรั้วเดียวกันมาแสนนาน เขาหวังจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอนางหลายครา หากแต่นางทำเหมือนไม่รับรู้ “เหตุใดมนุษย์จึงสำคัญนักเจ้า?” เขาตัดพ้อ

อังควิภาก้มต่ำ ด้วยจำนนที่อีกคนไม่ได้หลงทางแม้แต่นิดเดียว “เพราะทุกชีวิต…….ไม่ว่าจะอยู่แห่งใด สักวันล้วนต้องล้มหายตายจากไป เราก็เห็นกันมา พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลง เหตุใดข้าจักอยากรู้ไม่ได้ว่าคนที่กำลังจะย่างขึ้นเรือนมาคือผู้ใด?” เธอไม่ได้เจตนาจะยั่วให้โกรธา หากแต่สายน้ำที่เพิ่งแปลงกายไปพบพานมา ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในโลกของมนุษย์ทุกครั้งไป นางใจหายเสมอเมื่อก้าวออกจากวิมานแห่งตน เวลาของโลกมนุษย์เคลื่อนเร็วนัก “ข้าก็แค่อยากรู้ว่าผู้ใดจะมาเยือน” หญิงสาวอมยิ้มอย่างงดงาม แววตาของเจ้าตัวขี้เล่นไม่ใช่น้อย อาการค้อนขวับตอนนี้กับกิริยาที่เย็นชาเมื่อครู่เปลี่ยนไปเร็วราวกับลมหายใจ บางอย่างหาก “อยากรู้” มีหรือที่ฤทธาของนางจะทำไม่ได้ หากแต่เจ้าตัวตั้งใจเฉไฉไปด้วยจริตของสตรีเท่านั้นเอง

“หากเจ้าไม่รีบร้อน จะได้เห็นพร้อมกัน เจ้าเตรียมดอกไม้เพื่อการใด?” อจลาเปลี่ยนเรื่องด้วยจนใจไม่แพ้กัน

“ภพภูมินี้ หาได้มีแต่ดอกกรรณิการ์ที่หอมหวานงดงามเพียงอย่างเดียวไม่” อังควิภานิ่งสงบอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเยือกเย็นราวกับคนไร้ซึ่งไมตรี

“เหตุใดตอบไม่ตรงคำถาม?”

“แม้วิมานเราจะอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่อังควิภาหาใช่บริวารของท่านไม่ ป่วยการจะมาเจรจากันด้วยเรื่องอันหาแก่นสารมิได้ แล้วให้เทวาที่คาคบไม้อื่นหรือวิมานอื่นๆ มาแอบดู!” คนพูดไม่รอให้ผู้ใดได้เจรจาอีก นางหายวับไปกับตา เทวดาชายและหญิงในรุกขภูมิที่แฝงเร้นดูอยู่ก็วูบหายเข้าไปยังวิมานของตนในพริบตาเช่นกัน!

สายตาของผู้ที่ยืนอยู่เดียวดายนัก อาจมีเพียงดวงจันทร์ที่มองเห็นกันในตอนนี้เท่านั้นที่จะเข้าใจหัวใจขององค์อจลา เจ้าจะหาแผ่นดินที่จะรอดพ้นสายตาและคำติฉินนินทาได้อย่างไรอังควิภา?

 

“คุณแม่....ลมแรงนักเจ้าค่ะ” แม่จีบลูกสาวคนเดียวของแม่จวงเจ้าของเรือนดึงผ้าห่มมาคลุมกาย

“หรือจะมีฝนคืนนี้? อากาศเย็นผิดปกตินะแม่จีบ แต่ช่างมันเถิดลูก หลังโรคห่าครานั้นแม่ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวในสิ่งใดอีกแล้ว หนักหนาเหลือเกิน” คนเอ่ยสะอื้นในอก เมื่อเอ่ยถึงวันวาน

“ธรรมชาติยากจะควบคุมนักเจ้าค่ะ เกิดอะไรขึ้นมากมายเหลือเกินในเวลาไม่กี่ปี” เสียงหวานเอ่ยเบาในความมืด แม่จวงเจ้าของเรือนกรรณิการ์หาได้มองเห็นแววตาของลูกรักไม่ นอนอยู่เคียงกันอย่างนี้มาหลายปีตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อได้ยินคำของลูก หล่อนก็รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที รู้สึกสังหรณ์ใจอยู่เงียบๆ แต่ไม่ปรารถนาจะเอ่ยอะไร ลูกรักเป็นสาวรุ่นขนาดนี้ แม่จวงยังไม่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวแยกห้อง หวงแหนนักหนาราวกับไข่ในหิน แต่ “ธรรมชาติ” จะนำสิ่งใดมาสู่เรือนในวันหน้าก็สุดรู้ “หลับเสียเถิด มีอะไรต้องทำอีกมาก เตรียมขนม ส้มสูกลูกไม้ไว้เป็นของฝากด้วยนะลูก”

“เจ้าค่ะ ยังพอมีเวลาเตรียมตัว ลูกจะหลับเดี๋ยวนี้” รอบกายในยามนี้เงียบสงัดนัก สายน้ำที่ไหลทอดผ่านกาลเวลาจากต้นน้ำ ไปยังท้ายน้ำของคลองสายนี้ มีแต่คำว่า “เปลี่ยนแปลง” อยู่ทุกลมหายใจ

 

ร่างเล็กกระตุกเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความหนาวเย็นรอบกาย ชายสไบแพรจีบสีแดงฝางถูกปัดไปมารอบกายฝาง “อันน์” ดูแลฝางและผู้คนในบ้านมาช้านาน เฝ้ามองดูมนุษย์อยู่ในฌานของนางอย่างห่วงใย ด้วยฤทธาของนางหากต้องการดลบันดาลสิ่งใด มีหรือจะเป็นไปไม่ได้ แม้เมื่อมีเคราะห์กรรมใดๆ หากแม้พอช่วยเหลือได้ก็ดลจิตดลใจให้เลือกทางที่ถูก ให้คิดทางที่ดีได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละชีวิตด้วย จะไปก้าวล่วงทั้งหมดมิได้  วันนี้แม้จะทำให้นายเก่าจะได้เห็นภพชาติของตัวเอง แต่อันน์ก็ไม่ได้หวังว่าเจ้าฝางจะจำได้ทั้งหมด ชาติที่ได้เห็นในความฝันเมื่อครู่ เป็นเพียงชาติแรกที่ฝางควรต้องได้เห็นอีกครั้ง หากว่ามันจะช่วยเจ้าตัวได้

คืนนี้ฝางมานอนที่ห้องของดำ คนข้างๆ หลับสนิท แม้มือเล็กๆ ของฝางดึงเสื้อของดำ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ญาติผู้พี่ตื่นขึ้นมาได้เลย “แม่.. แม่….แม่” เด็กหญิงละเมอเรียกหามารดาอย่างลืมตัว “ไม่! ไม่!” ฝางพูดจาขาดๆ หายๆ อะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเด็กหญิง  อันน์ลุกขึ้นออกมายืนอยู่ข้างๆ เตียง ก่อนจะเอ่ย “ตื่นเถิดเจ้าข้า เมฆฝนกำลังมา ถึงเวลาต้องเดินทาง” คนตัวเล็กยังหลับตา แต่ลุกขึ้นนั่งแล้วเดินลงมาจากเตียงราวกับรู้สึกตัว! “อย่าได้กลัวความหนาวเหน็บเลยเจ้าฝาง แม่เคยเป็นองค์อังควิภาผู้งดงาม แม่เคยเป็นองค์อุรณาสีตวลาหกเทพนะเจ้าข้า ความเย็นทำอะไรท่านไม่ได้ แต่ความร้อนรุ่มในใจ อาจเผาไหม้ได้ทั้งโลกา”

สายตาของอันน์เศร้าสร้อยยิ่งนัก แม้เจ้าฝางจะได้เคยเสวยบุญเนื่องด้วย “บุญเหนือบาป” คราวที่จุติจากรุกขเทวาองค์อังควิภามาเป็นอุรณาสีตวลาหกเทพแห่งความเย็นแล้ว แต่การเป็นมนุษย์ไม่ได้นับหนึ่งใหม่เพียงการเติบโตของสังขารเท่านั้น หากแต่ “กรรมเก่า” ที่เจ้าตัวเคยได้กระทำไว้ในชาติก่อนหน้านี้  ยังติดตามมาราวกับเป็นเงาเช่นกัน เมื่อสิ้นบุญจากความเป็นเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์นามเจ้าฝางก็ถึงคราวต้องชดใช้เวรกรรมที่ได้กระทำไว้ในบัดดล นับหนึ่งเพื่อชดใช้ตั้งแต่วันที่ได้เกิด!

“ไปเรือนกรรณิการ์กันนะเจ้าข้า ไปดูอีกสักคราด้วยตาตนเอง” ร่างงามระหงนุ่งผ้าจีบหน้านางสีเขียวใบไม้ แรงลมพัดสไบจีบสีแดงฝางลอยล่อง นางจูงมือฝางเดินฝ่าฝาเรือนด้วยการดลบันดาล ลมแรงหอบสุดท้ายเคลื่อนย้ายร่างเล็กไปตามชะตา

 

ร่างของฝางล้มลงหน้าดงต้นกรรณิการ์ทั้งๆ ที่ยังหลับ เจ้าตัวรู้สึกเย็นที่ใบหน้าเมื่อน้ำค้างบนยอดหญ้าสัมผัสผิว “เรือนนี้เจ้าข้า มีคน……ตาย” อันน์เอ่ยเบาๆ อยู่ในความมืด

เด็กหญิงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน“พี่นี่เอง นางฟ้า” ฝางยิ้มตาหยีให้ด้วยความคุ้นเคย เธอคิดว่าตัวเองอยู่ในความฝัน เจ้าตัวมองไปรอบๆ กายด้วยความสนใจ แม้มันจะมืด แต่มีคนสวยยืนอยู่ข้างๆ ก็เบาใจ ไฟสลัวที่ประตูใหญ่พอทำให้มองเห็นตึกที่อยู่ไม่ไกลได้ “บ้านใหญ่จังเลย บ้านพี่เหรอคะ?”

 “มิได้เจ้าข้า เป็นบ้านของแม่จวง หากจะเรียกขานว่าบ้าน จักนับจากเขตแดนประตูนี้แลรั้วโดยรอบ ไปยังท่าน้ำริมฝั่งคลองลึกเข้าไปในนั้น ส่วนเรือนหน้าตาประหลาดนั่น.....เดิมคือเรือนไม้ของแม่จวง แต่ตอนนี้หล่อนมิได้อยู่ที่เรือนนี้เจ้าข้า”

ด้วยการดลบันดาลของคนเล่า ทำให้ฝางเข้าใจได้ว่า คำว่า “บ้าน” ที่นางฟ้าของเธอพูดถึงคือ บริเวณบ้านโดยรอบ และหลังตึกใหญ่นี้ถึงท่าน้ำริมฝั่งคลอง ส่วนตึกที่มองเห็นเคยเป็นเรือนไม้มาก่อน เด็กหญิงพยักหน้าราวกับผู้ใหญ่ แววตาไม่มีความกังวลใดๆ ฝางรู้สึกราวกับได้รับรู้เรื่องรื่นเริงใจอันรู้ได้เฉพาะตนแต่เพียงผู้เดียว

 “แม่จวงคนนั้นไปอยู่ไหนล่ะคะ?”

 “อยู่ที่วัดเจ้าข้า”

“ไปวัดทำไม? มันค่ำแล้วนะ” ฝางเกาศีรษะ

“ท่านปวารณาตัว ขออยู่ที่นั่น แต่มีคนรอเจ้าฝางอยู่บนเรือน เข้าไปหาเสียหน่อยเถอะเจ้าข้า”

ฝางถอยหลังทันที เด็กหญิงไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวพูด “ไม่ได้หรอกค่ะ! เขาจะหาว่าเป็นขโมย พี่ชื่ออะไรทำไมหนูมาอยู่ที่นี่?” น้ำเสียงของฝางเริ่มสั่น เพราะเจ้าตัวรู้สึกได้ถึงลมที่ปะทะใบหน้าในขณะนี้ มันไม่ใช่ความฝันนี่นา!

“ตัวข้าชื่ออันน์ อยู่ในภูมิเทวดาเป็นผู้ดูแลเรือนของเราแลเป็นเทวดาประจำตัวเจ้าฝางอย่างไรเล่า อย่ากลัวไปเลย หากเราไม่มีบุญกรรมร่วมกัน ยากนักจะได้พบพานในสภาพเช่นนี้ พี่พาเจ้ามาวันนี้ เพราะอยากให้จำใครบางคนได้”

ฝางยืนนิ่ง เด็กหญิงมองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง อะไรบางอย่างวูบเข้ามาในความคิด แต่ไม่ได้เอ่ยมันออกมา เธอเลือกที่จะขอร้องแทนการบอกเล่าใดๆ “กลับบ้านกันเถอะจ้ะพี่ นางฟ้าต้องตามใจหนูไม่ใช่เหรอคะ?”

 อันน์ยิ้มออกมาทันที จริตของเจ้าตัว “ลึก” เกินคนปกติจะรับรู้ แต่ไม่เกินกำลังของคนตรงหน้า “มาได้ไกลขนาดนี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้นเจ้าข้า” ฝางสบตาอันน์นิ่ง ก่อนจะหันไปที่หน้าตึก ใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว!

อิงกาลเอามือทาบอก เหงื่อไหลท่วมตัว สีหน้าของเด็กชายเหมือนคนมีพิษไข้อยู่ทั่วตัว “ดี…ใจ” เสียงเด็กชายค่อยๆ ดังออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

 “ใครเหรอคะ?!!” ฝางหันมาถามอันน์

“จำมิได้หรือเจ้าข้า? ท่านผู้นั้นคือ องค์อจลา”

“ทำไมชื่อยาวจัง?” เด็กหญิงถามหน้าซื่อ

อีกคนยังน้ำตาไหลไม่หยุด ดูเหมือนเจ้าตัวจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ ก่อนจะทรุดเข่าลงที่พื้นหน้าตึก “พี่ชื่ออิงกาล……น้องหรอกเหรอคือคนที่อยู่ใต้ต้นพิกุล” เด็กชายเริ่มมีรอยยิ้มแม้ร่างกายจะแทบหมดแรง

“ใครเป็นน้องตัว!? เราเป็นลูกคนเดียว” ฝางกอดอกพูดหน้างอ

อิงกาลรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในใจ รอยยิ้มของเขาบอกชัดว่าดีใจจนพูดไม่ออก เขามั่นใจว่าฝางคือคนที่อยู่ใต้ต้นพิกุลหน้าโบสถ์แน่นอน เพราะอะไรบางอย่างดลบันดาลทำให้เขาเห็นร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงคนนี้มาฟุบอยู่ที่ดงกรรณิการ์ในความฝัน ภาพนั้นปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา!  อิงกาลมองไปที่ดวงจันทร์ ก่อนจะพยายามลุกขึ้นแล้วก้าวออกมาจากตึก เขานั่งคุกเข่าอย่างนอบน้อมลงที่พื้นดินตรงหน้าร่างระหง ยกมือไหว้ด้วยความเคารพอย่างที่สุด “อิง….ขอบพระคุณที่กรุณา” เขาจำหล่อนได้ หล่อนเป็นคนคนเดียวกับที่คุยกับคุณโสนและบอกเขาว่าอยู่เรือนเจ้าฝาง เขาสะบัดหัวตัวเองให้มีสติเพราะภาพในภวังค์ครั้งที่หลับใหลแล้วถูกผู้หญิงแต่งชุดไทยไล่ให้กลับไปผุดขึ้นมาให้เห็นวูบหนึ่ง เขาจำได้แล้วว่าหล่อนก็เป็นคนเดียวกันนั่นเอง!

อันน์ยิ้มรับพลางพยักหน้า “หาได้ทำเพื่อใครไม่เจ้าข้า แม้คืนความทรงจำให้ใครได้ แต่หาใช่ได้ทั้งหมด ทุกอย่างเป็นชะตา กาลนี้ขอพ่อสักครา หากมีโอกาสได้โปรดบวชให้เจ้าฝาง หากพ่อจำได้….นางกล่าวอะไรไว้ในกาลก่อน”

อิงกาลนั่งนิ่ง สิ่งที่ได้รับการร้องขอประหลาดยิ่งนัก แม้สิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่จะเหลือเชื่อสำหรับใครๆ แต่ความพิเศษในตัวของอิงกาลก็ทำให้เขายอมตั้งใจฟังนางอย่างสงบ แต่จะให้รับปาก เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้

“ไม่อยากฟัง!!!” เสียงเจ้าฝางดังขึ้นทันที สีหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน มือเล็กๆ กำมือของตัวเองแน่น ก่อนจะล้มลงทั้งยืน! ภาพตรงหน้าของอิงกาลเลือนหายไปทันที อาการเจ็บปวดในอกพุ่งขึ้นราวกับใครเอาไฟมาจี้ น้ำตาของเด็กชายไหลพรากไม่รู้ตัว เขาไม่ได้ฝัน เด็กคนนั้นต้องมีตัวตน! อิงกาลพยายามออกเดินมุ่งไปที่ประตูใหญ่ แม้จะล้มลุกคลุกคลานอีกหลายรอบกว่าจะไปถึงประตู แต่เจ้าตัวก็มิได้ท้อถอย การได้พบกันเมื่อครู่ ทำให้เขามีความสุขทั้งน้ำตา สิ่งที่รู้สึกว่ารอคอยมาตลอดมาอยู่ตรงหน้า เขาจะต้องออกไปเอามาให้ได้!

“ไม่เคยเปลี่ยนเลยหนอเจ้า ร้อนรนทุรนทุรายเพราะกิเลสครอบงำ เวรกรรมหนักหนานัก” เสียงจากศาลพระภูมิเจ้าที่ของบ้านดังแว่วมาตามสายลม แต่เด็กชายไม่ได้ยิน ใจของเขาวิ่งออกไปจากประตูใหญ่เสียแล้ว

“เขาจะแก้ไขอะไรได้ไหมเจ้าคะท่าน?” บริวารของพระภูมินางหนึ่งเอ่ยถามผู้เป็นใหญ่

“หากแก้ได้จะมาไกลถึงภพนี้หรือ? ความรัก ความชัง ความพยาบาท มันล้างได้ด้วยสิ่งใดเล่า?” ไร้เสียงเจรจาใดๆ อีก มีเพียงลมเย็นยะเยือกยามราตรีกู่ก้องคล้อยตามกันมา ร่างของเด็กชายก้าวไปได้เพียงพ้นประตูก่อนจะหมดแรงลง ลมหอบใหญ่พัดเมฆฝนมา สายฝนกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าที่มืดครึ้มราวกับพิโรธนักหนา กิ่งไม้อ่อนหักโค่น ใบหญ้าลู่ลมราบเป็นหน้ากลอง!

 “คุณจีบเจ้าข้า !!!” เสียงสุดท้ายที่อิงกาลได้ยินชัดนัก หากแต่เจ้าตัวไม่รู้ที่มา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา