ของขวัญ โดย ภูปรดา
7.0
เขียนโดย ภูระรินภูปรดากุล
วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.10 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
6,772 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560 10.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพ.ศ ๒๕๒๒ ปีมะแม
“ฝนมาเจ้าข้า…..” เสียงพึมพำเบาๆ ดังออกมาจากผ้าห่มแพรสีนวลราวกับกำลังกระซิบบอกกล่าวใครบางคน “ฝนมาล้างเรือน ฝนดีฝนร่วง ฝนจากเมืองสวรรค์” แผงขนตายาวดำขลับกระพริบถี่เมื่อเจ้าตัวเปิดผ้าห่มแง้มออกมาดูท้องฟ้า ลมหอบเอากลิ่นดินคลุ้งขึ้นมาบนเรือน เสียงฝีเท้าของใครบางคนสะเทือนเข้ามาในห้อง เห็นชัดว่าคนที่กำลังวิ่งร้อนรนนัก ร่างเล็กยังเปล่งวาจาไม่ขาดระยะราวกับกำลังสวดมนต์ “ฝนมาเจ้าข้า…..”
“บ่นอะไรลูก? มาแต่เช้าเลยฝน! พรรษานี้เห็นทีจะชุ่มฉ่ำ ยังไม่พฤษภาเลยมาเร็วจริง” บัวปิดประตูหน้าต่างพลางหันมาดูคนตัวเล็กในผ้าห่มด้วยความเป็นห่วง
”หนาวไหมลูก?” เสียงฝนตกลงมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังจ้องไล่หลังมนุษย์ผู้เดินดินให้รีบหลบเข้าใต้ชายคา
“หนาว ฝนมาเจ้าข้า ฝนมาล้างเรือน….”เสียงลูกรักขาดหายไปก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่ม เด็กหญิงนั่งพับเพียบจ้องเขม็งไปที่มารดา “แม่...พรรษาแปลว่าอะไร?” คนตัวเล็กผมยาวดำขลับคลุมแผ่นหลัง ชุดนอนกระโปรงยาวตัวโคร่ง สีขาวสะอาดตาขับดวงหน้าเจ้าตัวให้สดใส เด็กหญิงดึงชายแขนเสื้อที่รัดข้อมืออยู่อย่างหลวมๆ ปิดมือไว้ ด้วยรู้สึกถึงความเย็นรอบกายมากขึ้นเรื่อยๆ
“พูดไม่เพราะ….ไม่เล่า” บัวอมยิ้มพลางส่ายหน้า
เจ้าตัวย่นคิ้วทันที “พรรษาแปลว่าอะไรคะแม่?”
“แปลว่าฤดูฝนลูก” บัวตอบเมื่อมานั่งลงบนเตียงพลางพับผ้าห่มอยู่ใกล้ๆ ลูกสาว “พรรษา….เป็นช่วงฤดูกาลหนึ่ง คือ ฤดูฝน หรือเราเรียกกันว่าหน้าฝน เขาใช้พูดถึงวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่งด้วยเรียกว่าวันเข้าพรรษา ก็คือวันที่พระท่านเริ่มจะต้องจำพรรษาอยู่ที่วัดหรือที่ใดที่หนึ่ง ตลอดสามเดือนในฤดูฝน แปลว่า ท่านจะไม่ไปนอนค้างที่อื่นเลย” บัวพยายามเล่าให้เข้าใจง่ายที่สุด ลูกสาวคนเดียวของเธออายุแปดขวบ บางอย่าง “ฝาง” เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ แต่บางคำก็ยากเกินกำลัง เพราะโลกของคนตัวเล็กมีอยู่ไม่กี่สถานที่
“พระต้องอยู่วัดตลอดเลยเหรอ? ไม่อยากกลับบ้านเหรอ….คะ? ” เจ้าตัวเติมคำหลังให้ทีหลัง เพราะเห็นสายตาของแม่ชำเลืองมา
“ไปที่อื่นได้แต่ไม่นอนค้างคืน ท่านคงไม่อยากกลับบ้านหรอก แม่ว่าท่านจะตั้งใจเรียนพระธรรมวินัย เรียนหนังสือไงลูก” บัวลุกขึ้นไปจัดเตียงนอนให้ลูกรัก แม้ปากพูดแต่มือก็ไม่ได้หยุดทำงาน คนตัวเล็กดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เล่าให้ฟัง
“จะสระผม ไปวัดกับแม่นะคะ” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่อง ทำให้คนเป็นแม่ต้องหันไปดูหน้า
“จะไปทำไม? ทำไมฝางถึงอยากจะไปวัดล่ะลูก? วันนี้ฝนตก ย่ำพื้นเฉอะแฉะจะลำบากเอา ไว้คราวหน้าค่อยไปกับแม่ก็แล้วกันนะจ๊ะ” บัวดึงผ้าปูที่นอนให้เรียบตึงก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอน
“จะไป!!” ฝางยืนกราน บัวหันมาสบตาลูกเมื่อกำลังจะปิดประตูห้อง เด็กแปดขวบเห็นฝนแล้วอยากออกจากบ้านเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้ลูกสาว ของเธอดู “นิ่ง” และฉายรังสีประหลาดออกมาหลายครา “เจ้าข้า” นั่นแหละหนึ่ง สองจะสระผมในวันฝนตกทั้งๆ ที่ฝางเกลียดความเย็นยิ่งกว่าอะไร
“ลูกเพิ่งสระผมเมื่อวาน ไม่ต้องสระอีกก็ได้” บัวพยายามปัดคำถามในหัวออกไปให้หมดด้วยความนิ่งและไม่สนใจคำขอของฝาก
“อยากสระค่า ไม่เป็นไร ขอไปด้วยคน วันนี้วันพระ” ฝางไม่รอให้แม่ตอบ เจ้าตัววิ่งออกไปจากห้องนอนทันที เจ้าฝางรู้ได้ยังไงว่าวันนี้วันพระ? ประหลาดอีกแล้ว! แม้บัวจะสงสัยแต่ก็ปล่อยให้ผ่านไปแล้วจึงรีบไปเตรียมตัว
บัวและลูกสาวอยู่กับคนงานในสวนไม่กี่คน พ่อของลูกป่วยและเสียชีวิตไปตั้งแต่ลูกเพิ่งจะสี่ขวบ หลายปีที่ต้องอดทนและต่อสู้เพียงลำพัง บัวก็มีแต่ศาสนาและลูกเป็นที่พึ่งทางใจ เธอไปวัดบ่อยๆ แต่ไม่ได้พาลูกสาวไปด้วยทุกครั้ง นานๆ ให้ไปด้วยสักทีก็ดีเหมือนกัน
ฝนหยุดตกแล้วเมื่อสองแม่ลูกกำลังเดินย่ำอย่างช้าๆ ไปตามถนน ฝางพยายามเหยียบพื้นดินที่คิดเอาเองว่าแข็งที่สุดแล้ว แต่เจ้าตัวก็ติดหล่มเสียหลายที ต้องเขี่ยโคลนออกจากรองเท้าแตะที่ใส่อยู่เรื่อยๆ ร่างเล็กถือแค่ถุงหิ้วพลาสติกที่มีดอกบัวตูมห่อใบบัวอยู่ช่อหนึ่ง เธอพยายามทรงตัวรักษามันไว้ด้วยเกรงว่าจะช้ำ เด็กหญิงก้มดูมันเป็นระยะ ก่อนจะหยุดเดินเอาเสียดื้อๆ!
ภาพเลือนรางของคนจำนวนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่อย่างรวดเร็วในแอ่งน้ำบนถนนที่ปลายเท้าของเธอ ภาพนั้นเปลี่ยนแปลงไปเมื่อกระพริบตา เด็กหญิงพยายามจับจ้องไม่วางตา ภาพที่เห็นเล็กราวกับดอกบัวตูมที่มองเห็นจากที่ไกลๆ “ทำไม….คนตัวเล็กจัง?” เด็กหญิงพึมพำอยู่เบาๆ ไม่นานนักแสงตะวันในเงาน้ำก็สะท้อนใส่ดวงตา ฝางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าทันที ไม่มี! ไม่มีพระอาทิตย์! มีเพียงหมอกหนาปกคลุมอยู่รอบกาย ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสว่างหลังฝนตก ฝางกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ มือซ้ายเกาศีรษะเบาๆ เมื่อมองไปที่ท้องฟ้าและในน้ำสลับกันไปมา เท้าเล็กๆ ตั้งใจก้าวให้เร็วขึ้น สมองของเด็กหญิงออกคำสั่งอยู่เงียบๆ “ไม่รู้…ไม่เห็น"
หลังพระให้พรจบแล้ว พระสงฆ์ส่วนใหญ่เดินลงจากศาลาไป เหลือเพียงหลวงพ่อนนท์เจ้าอาวาสที่ยังนั่งสนทนาอยู่กับญาติโยม แม่บัวก็นั่งถามสารทุกข์สุกดิบกับคนรู้จักอย่างเป็นกันเอง เสียงคนเจรจากันหลากหลายเรื่องราว แต่เด็กหญิงไม่ได้ตั้งใจฟังใครสักคน ฝางจ้องภาพวาดที่ฝาผนังอยู่เงียบๆ แม้ไม่เข้าใจความหมายของภาพวาด แต่ในหัวกำลังนึกถึงคำว่า “พรรษา” ที่แม่เล่าเมื่อเช้า สามเดือนจะยาวนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่วันนี้เป็นวันพระเด็กหญิงรู้เท่านี้ ความรู้นี้ผุดขึ้นมาเองราวกับฝังแน่นอยู่ในสมองมาช้านาน ดวงตาใสซื่อคู่งามกระพริบถี่ ภาพวาดฝาผนังตรงหน้าเริ่มเลือนราง ดอกบัวในสระน้ำนั้นเคลื่อนที่ขึ้นลงเล่นระดับ ดอกในตมผุดขึ้น ดอกที่บานร่วงลงน้ำ น้ำในนั้นหมุนวนจนน่ากลัว อะไรบางอย่างสีชมพูอ่อนๆ วิ่งผ่านสายตา ฝางรู้สึกถึงความพลิ้วไหวสวยงามนั้นไม่นาน ก่อนที่กลิ่นหอมฟุ้งจะวิ่งเข้ามาปะทะคนทั้งศาลา!“ธูปอันใดหอมจริงหลวงพ่อ?”
“พูดจาเหมือนคนสมัยก่อนนะท่านขม” หลวงพ่อพูดพลางอมยิ้ม
“บรรยากาศมันพาไปขอรับ กระผมนิยมความงามของสิ่งที่เรียกว่าโบราณ แม้ยังหนุ่มแน่นเหลือเกิน” เจ้าตัวกล่าวถึงตัวเองด้วยความรู้สึกภาคภูมินัก เขาหัวเราะร่วนอย่างเปิดเผย “ท่านขม” ที่หลวงพ่อนนท์เรียกนั้นใส่เสื้อเชิ้ตสีเขียวปีกแมลงทับมันวาวไปทั้งตัว แม้จะอายุเพียง 25 ปี แต่ท่าทางและการพูดจาของเขา ทำให้รู้สึกราวกับเป็นเจ้าขุนมูลนายผู้น่าเกรงขาม “นายขม” จึงได้กลายเป็น “ท่านขม” ของทุกคนที่รู้จักเขา แม้จะพูดจาประหลาดและออกจะ“ล้น” อยู่เสมอแต่ชายหนุ่มก็เป็นที่ยอมรับในเรื่องความมีน้ำใจต่อเพื่อนบ้าน ฐานะของเขาก็ไม่ธรรมดา ไร่นานับร้อยไร่และร้านค้าใหญ่ๆ ในจังหวัดเป็นของเขาแน่นอนในวันหน้า ด้วยบิดาเป็นผู้มีอันจะกินมาตั้งแต่เกิด
“หอมจริงๆ นะขอรับ หอมมากๆ ธูปกลิ่นอะไรขอรับ?” ชายหนุ่มยังสงสัย พนมมือแต้รอรับคำตอบอย่างตั้งใจ
“ลมเพลมพัดมา ฝนตกก็ลอยมา คงเป็นดอกไม้แถวๆ นี้ปนๆ กันมา ไม่ใช่กลิ่นธูปหรอกพ่อ จริงไหมเจ้าฝาง?” หลวงพ่อหันมาถามคนตัวเล็ก เด็กหญิงตื่นจากภวังค์ในบัดดล! “ไม่รู้ ไม่เห็นค่ะ” เจ้าตัวปฏิเสธหน้าตื่น
“เห็นอะไรลูก?” บัวรีบถามเพราะเห็นลูกสาวมีสีหน้าไม่ดี ฝางสบตาแม่แต่ไม่ได้ตอบคำถาม เด็กหญิงหัน ไปมองหลวงพ่อตรงหน้าแล้วนั่งนิ่ง
“เอาน่าโยมบัว อย่าไปซักเขาเลย เขามาไกล ไกลมาก กว่าจะมาถึงวันนี้ไกลโขอยู่ มาดี มาทำบุญร่วมกันนะ” หลวงพ่อก้มต่ำ ไม่ได้สบตาผู้ใด
“เจ้าข้า” เสียงเล็กๆ ดังออกมาจากปากฝาง พลางหยิบขนมถ้วยฟูในจานข้างๆ ตัวใส่ปาก สีหน้าของฝางเย็นชาไม่ได้สนใจใคร และไม่มีใครสนใจเธออีก
คำพูดของหลวงพ่อทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยบุญขึ้นมาทันใด แม้ไม่รู้อะไรกันนัก แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่ามีบางอย่างผิดแผกไป หาคำอธิบายใดๆ ไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ จึงได้แต่พึมพำคาดเดากันเบาๆ ไม่นานนักหลวงพ่อก็หันไปกราบพระพุทธรูปก่อนจะเดินลงจากศาลาไป
“แม่บัว! หลวงพ่อกล่าวประหลาดนักจริงไหม?”
“ฉันว่าพ่อขมกล่าวประหลาดมากกว่า พูดจาเหมือนคนปกติไม่ได้หรือพ่อ?” บัวอารมณ์ดี เย้าชายหนุ่มเล่นด้วยความเอ็นดู
“กระผมพิจารณาด้วยปัญญาแล้วเห็นว่า มันต้องมีอะไรแฝงในคำกล่าวของท่าน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งจริงๆ นะแม่บัว ไอ้ลมเพลมพัดที่ท่านกล่าวนั้น เกรงจะเป็นของสูง ไม่เช่นนั้นคงไม่หอมหวานเยี่ยงนี้”
บัวหัวเราะลั่น “ฝนตกมันก็พัดพากลิ่นนั้นกลิ่นนี้มาปกติแหละพ่อ”
ฝางนั่งฟังแม่กับนายขมคุยกันอยู่เงียบๆ เด็กหญิงเห็นเขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ดูเด่นในสังคมนี้ เสื้อผ้าของเขาเหมือนลูกกวาดสีสวย มีบางอย่างโดดเด่นขึ้นมาในตัวเขา ฝางแอบตั้งคำถามอยู่ในใจเมื่อมองเขา ทำไมจมูกจึงได้กว้างใหญ่นัก เมื่อเทียบกับดวงตาเล็กๆ คู่นั้น? หางตาของเจ้าตัวค้อนขวับราวกับหญิงสาวแรกรุ่น
ลมแรงพัดมาบนศาลาอีกครา ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว! ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มใครบางคนแนบอกวิ่งขึ้นมาบนศาลา เสียงร้องไห้ของผู้หญิงข้างๆ ฟังดูเจ็บปวดรวดร้าว “หลวงพ่อๆๆ อยู่ไหนคะ?! ช่วยด้วย!!!” เด็กวัดคนหนึ่งวิ่งไปหาคนทั้งคู่ทันที ก่อนจะพากันวิ่งลงไปที่กุฏิของหลวงพ่อ
“อะไรกันนั่น มีใครรู้บ้างขอรับ?” พ่อลูกกวาดสีเขียวออกโรงถามเป็นคนแรก ฝางหันไปมองเขาทันที “คนร้องไห้ นายขมไม่เคยเห็นเหรอ?”
“ไม่เอาเจ้าฝาง! พูดกับผู้ใหญ่ไม่เพราะเลยลูก เรียกพี่ขมสิจ๊ะหรือไม่ก็ท่านขม เอาใหม่นะลูก”บัวเตือน
“ฝางหิวน้ำ” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องทันที แล้วลุกพรวดไปหาน้ำดื่มอีกทาง
แม่บัวถอนหายใจพลางส่ายหน้า “ขอโทษนะพ่อขม น้องยังเล็กนัก ปกติก็ไม่พูดคะขากับแม่ เถรตรงเหมือนพ่อไม่มีผิด ออกจากโผงผางไปหน่อย ฉันพยายามสอนให้พูดเพราะๆ นะ แต่แม่ก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง คราวหน้าคงต้องลงไม้ลงมือบ้างแล้ว อย่าถือสาน้องเลยนะพ่อ”
“ไม่เป็นไรขอรับแม่บัว น้องยังเล็กจริงๆ แล้วก็ดูท่าทางจะชอบขนมถ้วยฟูมาก เห็นกินแบบไม่กลัวติดคอเอาเสียเลย กินได้งามมากขอรับ” นายขมหัวเราะลั่น เขามีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง คือ มองเรื่องตรงหน้าให้เป็นเรื่องรื่นรมย์ได้เสมอ คงเพราะชีวิตเกิดมามั่งมีและเป็นคน “ดี” ทำให้มีจิตใจกว้างขวางและเมตตาต่อผู้อื่นเสมอ “เจ้าฝางนี่งามจริงๆ ขอรับ แค่คำว่าฝางก็ตราตรึงแล้ว แก่นฝางสินะขอรับ สีสดงดงาม ย้อมผ้าไหมงามหยดย้อย”
แม่บัวหัวเราะลั่นอีกครั้ง ไม่เคยเห็นใครชมความงามและนามของลูกได้ไพเราะขนาดนี้มาก่อน แม้จะพูดจาประหลาดๆ ก็เถอะ “ใช่แล้วพ่อขม….ไม้ฝาง แก่นฝางนั่นแหละ พ่อเขาชอบมากเลยได้ชื่อนี้ ไม่มีชื่อยาวๆ อย่างคนอื่น เรียกอย่างนี้อย่างเดียว” ฝางเดินกลับมาตอนไหนไม่มีใครทันได้สังเกต เธอยืนชี้มือไปทางประตูศาลา “ไปเล่นข้างล่างได้ไหมแม่? ไม่นานหรอก”
“ได้สิ แม่ไปช่วยเขาเก็บของทางโน้นแล้วจะไปหาที่หน้าโบสถ์ ฝางรอตรงนั้นนะ”
“ค่า!” เด็กหญิงอมยิ้มอย่างเป็นสุขทันที
“นั่นแน่! เจ้าฝางก็พูดเพราะๆ เป็นเหมือนกันนี่ขอรับ” นายขมเย้าน้องเล่น
“ใช่สิ และอย่าใช้คำว่าตราตรึงกับเรา!” เด็กหญิงพูดแล้วเดินจากไปทันที
“อะไรนะขอรับ?! แม่บัวขอรับ กระผมมิได้หูฝาดใช่ไหม?!” นายขมพยายามเรียกแม่บัวที่เดินนำหน้าออกไปก่อนแล้วโดยที่หล่อนไม่ทันได้สนใจเขาและเจ้าฝาง
เด็กหญิงได้ยินเขาพูดได้อย่างไรกัน?!! เมื่อสักครู่เจ้าฝางเดินไปไกล ไม่มีทางได้ยินคำชมของเขาเป็นแน่แท้และนายขมต้องอ้าปากค้างเมื่อมองไปอีกทาง!
ฝางกำลังเดินลงจากศาลาด้วยปลายเท้า เงาจางของสไบจีบสีกลีบบัวพลิ้วไหวราวกับความฝันหมุนวนเคลื่อนไหวเพียงกระพริบตา ผ้านุ่งทิพย์จีบหน้านางสีแดงเลือดนกเหลือบทองและเครื่องทรงชฎาระยิบระยับโดดเด่น ผมยาวดำขลับคลุมแผ่นหลังถูกร้อยรัดไว้ด้วยสร้อยประดับทับทิมสีแดง เผยให้เห็นแผ่นหลังนวลผ่องสว่างจ้า ร่างนั้นค่อยๆ หมุนวนปรากฏสะท้อนให้นายขมเห็นจนเต็มตา! ร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามอ่อนช้อยตอนนี้นั้นหาใช่เจ้าฝาง! เมื่อร่างนั้นหันหลังให้นายขม เด็กหญิงซ่อนยิ้มไว้ในหน้า หากแต่กิริยาไม่ใช่ของเจ้าตัว!
ฝางเดินเร็วกว่าที่ตัวเองรู้ จนมาหยุดอยู่ริมหน้าต่างกุฏิของหลวงพ่อ เด็กหญิงยืนอยู่เงียบๆ ไม่ได้พยายามมองเข้าไปข้างใน ไม่นานนักเจ้าตัวก็หันหลังให้หน้าต่าง แววตาของเด็กหญิงไร้ความหมาย เสียงร้องไห้ของผู้หญิงคนนั้นยังดังอยู่ “ดิฉันสงสารลูกเหลือเกิน ถ้าไม่หลับก็ร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจตาย หาสาเหตุไม่เจอ นี่สลบไปตั้งแต่เมื่อคืน ทำอย่างไรก็ไม่ตื่นค่ะหลวงพ่อ”
“ก็เหมือนทุกที เดี๋ยวเขาก็ตื่นเอง จะร้องไห้ทำไมล่ะโยม?” หลวงพ่อถามหน้านิ่ง ท่านหลับตาลง ไม่ได้เพ่งไปยังคนที่กำลังทุกข์
“มันไม่มีทางช่วยเขาได้เลยหรือเจ้าคะ? วันพระทีไรเป็นอย่างนี้ตลอด คราวนี้เป็นเร็วกว่าทุกที วันโกนก็เป็นแล้วค่ะ หมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก่อนจะสลบเขาตีอกชกตัวเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ ป่านนี้ก็ยังไม่ตื่น ดิฉันใจไม่ดีเลยต้องพามาหาหลวงพ่อ”
ท่านลืมตาขึ้นมามองเด็กชายที่กำลังหลับใหลตรงหน้าอย่างเมตตา “อิงกาล…..เคราะห์กรรมใดที่แบกมา ถึงเวลาก็ต้องชดใช้ มีเริ่มต้นมีจุดจบ แผ่เมตตาทุกลมหายใจ ความโกรธแค้นจะบางเบา เราเขาจะหลุดพ้น” เสียงนั้นดังราวกับท่านตะโกนก้องเข้าใส่หูอีกคนที่อยู่นอกกุฏิ แม้จะพยายามอุดหูตัวเองแต่ก็ยังได้ยินชัด สองมือเล็กๆ ของคนข้างนอกปาดน้ำตา ก่อนจะเดินหนีทันที!
“เจ้าฝาง? ไปทำอะไรตรงนั้นหรือ?” นายขมยืนกอดอกขวางทางอยู่
“ไม่ได้ไปไหนนี่” คนตอบหน้านิ่ง เด็กหญิงกำมือทั้งสองข้างแน่นไม่รู้ตัว
“แล้วที่ไปยืนริมหน้าต่างนั่นใครกันหรือ?” คนถามจ้องเขม็งหนักขึ้น นายขมจ้องมือทั้งสองนั้นอย่างสงสัย เด็กหญิงทำหน้างง ก่อนจะวิ่งไปเก็บดอกพิกุลที่ร่วงอยู่เต็มพื้นดินไม่พูดไม่จา
“อ้าว! เลยไม่พูดเลย พี่ขมเก้อเลยนะขอรับ ทำไมเป็นอย่างนี้ นี่เราเป็นอะไรไป ตาฝาดเห็นนางฟ้านางสวรรค์หรือนี่? ”
“บางอย่างก็ไม่ควรรู้” เสียงนี้แทรกผ่านลมเย็นๆ มาแต่ไกล คนที่ได้ยินคงมีแต่เพียงคนตัวเล็กๆ ที่กำลังนั่งเก็บดอกพิกุลอย่างบรรจง
“แต่…..หนูไม่รู้ว่าร้องไห้ทำไม แล้วคนข้างในทำไมไม่ยอมตื่น เขาจะตายไหม?” ฝางพูดกับดอกพิกุลในมือที่เก็บขึ้นมา ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ลมหอบฝุ่นปะทะหน้าฝางวูบใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นยืนหันไปมองต้นพิกุลใหญ่ที่ยืนต้นงามสง่าอยู่ บางอย่างซ่อนอยู่ในต้นไม้ใหญ่ ในอากาศ ในความทรงจำ ความรู้นี้ผุดขึ้นในวูบหนึ่งของความคิดฝาง ก่อนเธอจะปล่อยมันไปด้วยความไม่รู้
คืนนี้ฝางเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน แม้จะเป็นวันหยุด ร่างกายแขนขาดูจะไม่ทำตามคำสั่งในหัว เด็กหญิงรู้สึกง่วงผิดปกติ มือเล็กๆ ก้มกราบที่หมอนเหมือนทุกครั้ง “พ่ออยู่บนฟ้า ฝางจะไปหาเหมือนทุกวัน กราบพระกราบเทวดาค่ะ” คำพูดเหล่านี้แม่สอนมาตั้งแต่ยังเด็ก และเด็กหญิงก็เชื่อว่าพ่ออยู่ไม่ไกลนัก เธอจึงสามารถไปหาได้ทุกวันแค่เพียงนอนหลับ ในความฝันฝางเอ่ยถามตามใจตัว “แม่….อิงกาลแปลว่าอะไร?” ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจกอดรัดเธอไว้อย่างประหลาดเมื่อเอ่ยออกมา
“ไปเอามาจากไหน? แม่ก็เรียนมาน้อย ชื่อคนหรือเปล่าไม่แน่ใจ” เสียงของมารดาตอบกลับมาในความฝัน เด็กหญิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ฝางหลับตาพริ้มด้วยใจเป็นสุข
“ฝนมาเจ้าข้า…..” เสียงพึมพำเบาๆ ดังออกมาจากผ้าห่มแพรสีนวลราวกับกำลังกระซิบบอกกล่าวใครบางคน “ฝนมาล้างเรือน ฝนดีฝนร่วง ฝนจากเมืองสวรรค์” แผงขนตายาวดำขลับกระพริบถี่เมื่อเจ้าตัวเปิดผ้าห่มแง้มออกมาดูท้องฟ้า ลมหอบเอากลิ่นดินคลุ้งขึ้นมาบนเรือน เสียงฝีเท้าของใครบางคนสะเทือนเข้ามาในห้อง เห็นชัดว่าคนที่กำลังวิ่งร้อนรนนัก ร่างเล็กยังเปล่งวาจาไม่ขาดระยะราวกับกำลังสวดมนต์ “ฝนมาเจ้าข้า…..”
“บ่นอะไรลูก? มาแต่เช้าเลยฝน! พรรษานี้เห็นทีจะชุ่มฉ่ำ ยังไม่พฤษภาเลยมาเร็วจริง” บัวปิดประตูหน้าต่างพลางหันมาดูคนตัวเล็กในผ้าห่มด้วยความเป็นห่วง
”หนาวไหมลูก?” เสียงฝนตกลงมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังจ้องไล่หลังมนุษย์ผู้เดินดินให้รีบหลบเข้าใต้ชายคา
“หนาว ฝนมาเจ้าข้า ฝนมาล้างเรือน….”เสียงลูกรักขาดหายไปก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่ม เด็กหญิงนั่งพับเพียบจ้องเขม็งไปที่มารดา “แม่...พรรษาแปลว่าอะไร?” คนตัวเล็กผมยาวดำขลับคลุมแผ่นหลัง ชุดนอนกระโปรงยาวตัวโคร่ง สีขาวสะอาดตาขับดวงหน้าเจ้าตัวให้สดใส เด็กหญิงดึงชายแขนเสื้อที่รัดข้อมืออยู่อย่างหลวมๆ ปิดมือไว้ ด้วยรู้สึกถึงความเย็นรอบกายมากขึ้นเรื่อยๆ
“พูดไม่เพราะ….ไม่เล่า” บัวอมยิ้มพลางส่ายหน้า
เจ้าตัวย่นคิ้วทันที “พรรษาแปลว่าอะไรคะแม่?”
“แปลว่าฤดูฝนลูก” บัวตอบเมื่อมานั่งลงบนเตียงพลางพับผ้าห่มอยู่ใกล้ๆ ลูกสาว “พรรษา….เป็นช่วงฤดูกาลหนึ่ง คือ ฤดูฝน หรือเราเรียกกันว่าหน้าฝน เขาใช้พูดถึงวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่งด้วยเรียกว่าวันเข้าพรรษา ก็คือวันที่พระท่านเริ่มจะต้องจำพรรษาอยู่ที่วัดหรือที่ใดที่หนึ่ง ตลอดสามเดือนในฤดูฝน แปลว่า ท่านจะไม่ไปนอนค้างที่อื่นเลย” บัวพยายามเล่าให้เข้าใจง่ายที่สุด ลูกสาวคนเดียวของเธออายุแปดขวบ บางอย่าง “ฝาง” เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ แต่บางคำก็ยากเกินกำลัง เพราะโลกของคนตัวเล็กมีอยู่ไม่กี่สถานที่
“พระต้องอยู่วัดตลอดเลยเหรอ? ไม่อยากกลับบ้านเหรอ….คะ? ” เจ้าตัวเติมคำหลังให้ทีหลัง เพราะเห็นสายตาของแม่ชำเลืองมา
“ไปที่อื่นได้แต่ไม่นอนค้างคืน ท่านคงไม่อยากกลับบ้านหรอก แม่ว่าท่านจะตั้งใจเรียนพระธรรมวินัย เรียนหนังสือไงลูก” บัวลุกขึ้นไปจัดเตียงนอนให้ลูกรัก แม้ปากพูดแต่มือก็ไม่ได้หยุดทำงาน คนตัวเล็กดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เล่าให้ฟัง
“จะสระผม ไปวัดกับแม่นะคะ” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่อง ทำให้คนเป็นแม่ต้องหันไปดูหน้า
“จะไปทำไม? ทำไมฝางถึงอยากจะไปวัดล่ะลูก? วันนี้ฝนตก ย่ำพื้นเฉอะแฉะจะลำบากเอา ไว้คราวหน้าค่อยไปกับแม่ก็แล้วกันนะจ๊ะ” บัวดึงผ้าปูที่นอนให้เรียบตึงก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอน
“จะไป!!” ฝางยืนกราน บัวหันมาสบตาลูกเมื่อกำลังจะปิดประตูห้อง เด็กแปดขวบเห็นฝนแล้วอยากออกจากบ้านเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้ลูกสาว ของเธอดู “นิ่ง” และฉายรังสีประหลาดออกมาหลายครา “เจ้าข้า” นั่นแหละหนึ่ง สองจะสระผมในวันฝนตกทั้งๆ ที่ฝางเกลียดความเย็นยิ่งกว่าอะไร
“ลูกเพิ่งสระผมเมื่อวาน ไม่ต้องสระอีกก็ได้” บัวพยายามปัดคำถามในหัวออกไปให้หมดด้วยความนิ่งและไม่สนใจคำขอของฝาก
“อยากสระค่า ไม่เป็นไร ขอไปด้วยคน วันนี้วันพระ” ฝางไม่รอให้แม่ตอบ เจ้าตัววิ่งออกไปจากห้องนอนทันที เจ้าฝางรู้ได้ยังไงว่าวันนี้วันพระ? ประหลาดอีกแล้ว! แม้บัวจะสงสัยแต่ก็ปล่อยให้ผ่านไปแล้วจึงรีบไปเตรียมตัว
บัวและลูกสาวอยู่กับคนงานในสวนไม่กี่คน พ่อของลูกป่วยและเสียชีวิตไปตั้งแต่ลูกเพิ่งจะสี่ขวบ หลายปีที่ต้องอดทนและต่อสู้เพียงลำพัง บัวก็มีแต่ศาสนาและลูกเป็นที่พึ่งทางใจ เธอไปวัดบ่อยๆ แต่ไม่ได้พาลูกสาวไปด้วยทุกครั้ง นานๆ ให้ไปด้วยสักทีก็ดีเหมือนกัน
ฝนหยุดตกแล้วเมื่อสองแม่ลูกกำลังเดินย่ำอย่างช้าๆ ไปตามถนน ฝางพยายามเหยียบพื้นดินที่คิดเอาเองว่าแข็งที่สุดแล้ว แต่เจ้าตัวก็ติดหล่มเสียหลายที ต้องเขี่ยโคลนออกจากรองเท้าแตะที่ใส่อยู่เรื่อยๆ ร่างเล็กถือแค่ถุงหิ้วพลาสติกที่มีดอกบัวตูมห่อใบบัวอยู่ช่อหนึ่ง เธอพยายามทรงตัวรักษามันไว้ด้วยเกรงว่าจะช้ำ เด็กหญิงก้มดูมันเป็นระยะ ก่อนจะหยุดเดินเอาเสียดื้อๆ!
ภาพเลือนรางของคนจำนวนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่อย่างรวดเร็วในแอ่งน้ำบนถนนที่ปลายเท้าของเธอ ภาพนั้นเปลี่ยนแปลงไปเมื่อกระพริบตา เด็กหญิงพยายามจับจ้องไม่วางตา ภาพที่เห็นเล็กราวกับดอกบัวตูมที่มองเห็นจากที่ไกลๆ “ทำไม….คนตัวเล็กจัง?” เด็กหญิงพึมพำอยู่เบาๆ ไม่นานนักแสงตะวันในเงาน้ำก็สะท้อนใส่ดวงตา ฝางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าทันที ไม่มี! ไม่มีพระอาทิตย์! มีเพียงหมอกหนาปกคลุมอยู่รอบกาย ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสว่างหลังฝนตก ฝางกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ มือซ้ายเกาศีรษะเบาๆ เมื่อมองไปที่ท้องฟ้าและในน้ำสลับกันไปมา เท้าเล็กๆ ตั้งใจก้าวให้เร็วขึ้น สมองของเด็กหญิงออกคำสั่งอยู่เงียบๆ “ไม่รู้…ไม่เห็น"
หลังพระให้พรจบแล้ว พระสงฆ์ส่วนใหญ่เดินลงจากศาลาไป เหลือเพียงหลวงพ่อนนท์เจ้าอาวาสที่ยังนั่งสนทนาอยู่กับญาติโยม แม่บัวก็นั่งถามสารทุกข์สุกดิบกับคนรู้จักอย่างเป็นกันเอง เสียงคนเจรจากันหลากหลายเรื่องราว แต่เด็กหญิงไม่ได้ตั้งใจฟังใครสักคน ฝางจ้องภาพวาดที่ฝาผนังอยู่เงียบๆ แม้ไม่เข้าใจความหมายของภาพวาด แต่ในหัวกำลังนึกถึงคำว่า “พรรษา” ที่แม่เล่าเมื่อเช้า สามเดือนจะยาวนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่วันนี้เป็นวันพระเด็กหญิงรู้เท่านี้ ความรู้นี้ผุดขึ้นมาเองราวกับฝังแน่นอยู่ในสมองมาช้านาน ดวงตาใสซื่อคู่งามกระพริบถี่ ภาพวาดฝาผนังตรงหน้าเริ่มเลือนราง ดอกบัวในสระน้ำนั้นเคลื่อนที่ขึ้นลงเล่นระดับ ดอกในตมผุดขึ้น ดอกที่บานร่วงลงน้ำ น้ำในนั้นหมุนวนจนน่ากลัว อะไรบางอย่างสีชมพูอ่อนๆ วิ่งผ่านสายตา ฝางรู้สึกถึงความพลิ้วไหวสวยงามนั้นไม่นาน ก่อนที่กลิ่นหอมฟุ้งจะวิ่งเข้ามาปะทะคนทั้งศาลา!“ธูปอันใดหอมจริงหลวงพ่อ?”
“พูดจาเหมือนคนสมัยก่อนนะท่านขม” หลวงพ่อพูดพลางอมยิ้ม
“บรรยากาศมันพาไปขอรับ กระผมนิยมความงามของสิ่งที่เรียกว่าโบราณ แม้ยังหนุ่มแน่นเหลือเกิน” เจ้าตัวกล่าวถึงตัวเองด้วยความรู้สึกภาคภูมินัก เขาหัวเราะร่วนอย่างเปิดเผย “ท่านขม” ที่หลวงพ่อนนท์เรียกนั้นใส่เสื้อเชิ้ตสีเขียวปีกแมลงทับมันวาวไปทั้งตัว แม้จะอายุเพียง 25 ปี แต่ท่าทางและการพูดจาของเขา ทำให้รู้สึกราวกับเป็นเจ้าขุนมูลนายผู้น่าเกรงขาม “นายขม” จึงได้กลายเป็น “ท่านขม” ของทุกคนที่รู้จักเขา แม้จะพูดจาประหลาดและออกจะ“ล้น” อยู่เสมอแต่ชายหนุ่มก็เป็นที่ยอมรับในเรื่องความมีน้ำใจต่อเพื่อนบ้าน ฐานะของเขาก็ไม่ธรรมดา ไร่นานับร้อยไร่และร้านค้าใหญ่ๆ ในจังหวัดเป็นของเขาแน่นอนในวันหน้า ด้วยบิดาเป็นผู้มีอันจะกินมาตั้งแต่เกิด
“หอมจริงๆ นะขอรับ หอมมากๆ ธูปกลิ่นอะไรขอรับ?” ชายหนุ่มยังสงสัย พนมมือแต้รอรับคำตอบอย่างตั้งใจ
“ลมเพลมพัดมา ฝนตกก็ลอยมา คงเป็นดอกไม้แถวๆ นี้ปนๆ กันมา ไม่ใช่กลิ่นธูปหรอกพ่อ จริงไหมเจ้าฝาง?” หลวงพ่อหันมาถามคนตัวเล็ก เด็กหญิงตื่นจากภวังค์ในบัดดล! “ไม่รู้ ไม่เห็นค่ะ” เจ้าตัวปฏิเสธหน้าตื่น
“เห็นอะไรลูก?” บัวรีบถามเพราะเห็นลูกสาวมีสีหน้าไม่ดี ฝางสบตาแม่แต่ไม่ได้ตอบคำถาม เด็กหญิงหัน ไปมองหลวงพ่อตรงหน้าแล้วนั่งนิ่ง
“เอาน่าโยมบัว อย่าไปซักเขาเลย เขามาไกล ไกลมาก กว่าจะมาถึงวันนี้ไกลโขอยู่ มาดี มาทำบุญร่วมกันนะ” หลวงพ่อก้มต่ำ ไม่ได้สบตาผู้ใด
“เจ้าข้า” เสียงเล็กๆ ดังออกมาจากปากฝาง พลางหยิบขนมถ้วยฟูในจานข้างๆ ตัวใส่ปาก สีหน้าของฝางเย็นชาไม่ได้สนใจใคร และไม่มีใครสนใจเธออีก
คำพูดของหลวงพ่อทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยบุญขึ้นมาทันใด แม้ไม่รู้อะไรกันนัก แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่ามีบางอย่างผิดแผกไป หาคำอธิบายใดๆ ไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ จึงได้แต่พึมพำคาดเดากันเบาๆ ไม่นานนักหลวงพ่อก็หันไปกราบพระพุทธรูปก่อนจะเดินลงจากศาลาไป
“แม่บัว! หลวงพ่อกล่าวประหลาดนักจริงไหม?”
“ฉันว่าพ่อขมกล่าวประหลาดมากกว่า พูดจาเหมือนคนปกติไม่ได้หรือพ่อ?” บัวอารมณ์ดี เย้าชายหนุ่มเล่นด้วยความเอ็นดู
“กระผมพิจารณาด้วยปัญญาแล้วเห็นว่า มันต้องมีอะไรแฝงในคำกล่าวของท่าน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งจริงๆ นะแม่บัว ไอ้ลมเพลมพัดที่ท่านกล่าวนั้น เกรงจะเป็นของสูง ไม่เช่นนั้นคงไม่หอมหวานเยี่ยงนี้”
บัวหัวเราะลั่น “ฝนตกมันก็พัดพากลิ่นนั้นกลิ่นนี้มาปกติแหละพ่อ”
ฝางนั่งฟังแม่กับนายขมคุยกันอยู่เงียบๆ เด็กหญิงเห็นเขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ดูเด่นในสังคมนี้ เสื้อผ้าของเขาเหมือนลูกกวาดสีสวย มีบางอย่างโดดเด่นขึ้นมาในตัวเขา ฝางแอบตั้งคำถามอยู่ในใจเมื่อมองเขา ทำไมจมูกจึงได้กว้างใหญ่นัก เมื่อเทียบกับดวงตาเล็กๆ คู่นั้น? หางตาของเจ้าตัวค้อนขวับราวกับหญิงสาวแรกรุ่น
ลมแรงพัดมาบนศาลาอีกครา ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว! ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มใครบางคนแนบอกวิ่งขึ้นมาบนศาลา เสียงร้องไห้ของผู้หญิงข้างๆ ฟังดูเจ็บปวดรวดร้าว “หลวงพ่อๆๆ อยู่ไหนคะ?! ช่วยด้วย!!!” เด็กวัดคนหนึ่งวิ่งไปหาคนทั้งคู่ทันที ก่อนจะพากันวิ่งลงไปที่กุฏิของหลวงพ่อ
“อะไรกันนั่น มีใครรู้บ้างขอรับ?” พ่อลูกกวาดสีเขียวออกโรงถามเป็นคนแรก ฝางหันไปมองเขาทันที “คนร้องไห้ นายขมไม่เคยเห็นเหรอ?”
“ไม่เอาเจ้าฝาง! พูดกับผู้ใหญ่ไม่เพราะเลยลูก เรียกพี่ขมสิจ๊ะหรือไม่ก็ท่านขม เอาใหม่นะลูก”บัวเตือน
“ฝางหิวน้ำ” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องทันที แล้วลุกพรวดไปหาน้ำดื่มอีกทาง
แม่บัวถอนหายใจพลางส่ายหน้า “ขอโทษนะพ่อขม น้องยังเล็กนัก ปกติก็ไม่พูดคะขากับแม่ เถรตรงเหมือนพ่อไม่มีผิด ออกจากโผงผางไปหน่อย ฉันพยายามสอนให้พูดเพราะๆ นะ แต่แม่ก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง คราวหน้าคงต้องลงไม้ลงมือบ้างแล้ว อย่าถือสาน้องเลยนะพ่อ”
“ไม่เป็นไรขอรับแม่บัว น้องยังเล็กจริงๆ แล้วก็ดูท่าทางจะชอบขนมถ้วยฟูมาก เห็นกินแบบไม่กลัวติดคอเอาเสียเลย กินได้งามมากขอรับ” นายขมหัวเราะลั่น เขามีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง คือ มองเรื่องตรงหน้าให้เป็นเรื่องรื่นรมย์ได้เสมอ คงเพราะชีวิตเกิดมามั่งมีและเป็นคน “ดี” ทำให้มีจิตใจกว้างขวางและเมตตาต่อผู้อื่นเสมอ “เจ้าฝางนี่งามจริงๆ ขอรับ แค่คำว่าฝางก็ตราตรึงแล้ว แก่นฝางสินะขอรับ สีสดงดงาม ย้อมผ้าไหมงามหยดย้อย”
แม่บัวหัวเราะลั่นอีกครั้ง ไม่เคยเห็นใครชมความงามและนามของลูกได้ไพเราะขนาดนี้มาก่อน แม้จะพูดจาประหลาดๆ ก็เถอะ “ใช่แล้วพ่อขม….ไม้ฝาง แก่นฝางนั่นแหละ พ่อเขาชอบมากเลยได้ชื่อนี้ ไม่มีชื่อยาวๆ อย่างคนอื่น เรียกอย่างนี้อย่างเดียว” ฝางเดินกลับมาตอนไหนไม่มีใครทันได้สังเกต เธอยืนชี้มือไปทางประตูศาลา “ไปเล่นข้างล่างได้ไหมแม่? ไม่นานหรอก”
“ได้สิ แม่ไปช่วยเขาเก็บของทางโน้นแล้วจะไปหาที่หน้าโบสถ์ ฝางรอตรงนั้นนะ”
“ค่า!” เด็กหญิงอมยิ้มอย่างเป็นสุขทันที
“นั่นแน่! เจ้าฝางก็พูดเพราะๆ เป็นเหมือนกันนี่ขอรับ” นายขมเย้าน้องเล่น
“ใช่สิ และอย่าใช้คำว่าตราตรึงกับเรา!” เด็กหญิงพูดแล้วเดินจากไปทันที
“อะไรนะขอรับ?! แม่บัวขอรับ กระผมมิได้หูฝาดใช่ไหม?!” นายขมพยายามเรียกแม่บัวที่เดินนำหน้าออกไปก่อนแล้วโดยที่หล่อนไม่ทันได้สนใจเขาและเจ้าฝาง
เด็กหญิงได้ยินเขาพูดได้อย่างไรกัน?!! เมื่อสักครู่เจ้าฝางเดินไปไกล ไม่มีทางได้ยินคำชมของเขาเป็นแน่แท้และนายขมต้องอ้าปากค้างเมื่อมองไปอีกทาง!
ฝางกำลังเดินลงจากศาลาด้วยปลายเท้า เงาจางของสไบจีบสีกลีบบัวพลิ้วไหวราวกับความฝันหมุนวนเคลื่อนไหวเพียงกระพริบตา ผ้านุ่งทิพย์จีบหน้านางสีแดงเลือดนกเหลือบทองและเครื่องทรงชฎาระยิบระยับโดดเด่น ผมยาวดำขลับคลุมแผ่นหลังถูกร้อยรัดไว้ด้วยสร้อยประดับทับทิมสีแดง เผยให้เห็นแผ่นหลังนวลผ่องสว่างจ้า ร่างนั้นค่อยๆ หมุนวนปรากฏสะท้อนให้นายขมเห็นจนเต็มตา! ร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามอ่อนช้อยตอนนี้นั้นหาใช่เจ้าฝาง! เมื่อร่างนั้นหันหลังให้นายขม เด็กหญิงซ่อนยิ้มไว้ในหน้า หากแต่กิริยาไม่ใช่ของเจ้าตัว!
ฝางเดินเร็วกว่าที่ตัวเองรู้ จนมาหยุดอยู่ริมหน้าต่างกุฏิของหลวงพ่อ เด็กหญิงยืนอยู่เงียบๆ ไม่ได้พยายามมองเข้าไปข้างใน ไม่นานนักเจ้าตัวก็หันหลังให้หน้าต่าง แววตาของเด็กหญิงไร้ความหมาย เสียงร้องไห้ของผู้หญิงคนนั้นยังดังอยู่ “ดิฉันสงสารลูกเหลือเกิน ถ้าไม่หลับก็ร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจตาย หาสาเหตุไม่เจอ นี่สลบไปตั้งแต่เมื่อคืน ทำอย่างไรก็ไม่ตื่นค่ะหลวงพ่อ”
“ก็เหมือนทุกที เดี๋ยวเขาก็ตื่นเอง จะร้องไห้ทำไมล่ะโยม?” หลวงพ่อถามหน้านิ่ง ท่านหลับตาลง ไม่ได้เพ่งไปยังคนที่กำลังทุกข์
“มันไม่มีทางช่วยเขาได้เลยหรือเจ้าคะ? วันพระทีไรเป็นอย่างนี้ตลอด คราวนี้เป็นเร็วกว่าทุกที วันโกนก็เป็นแล้วค่ะ หมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก่อนจะสลบเขาตีอกชกตัวเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ ป่านนี้ก็ยังไม่ตื่น ดิฉันใจไม่ดีเลยต้องพามาหาหลวงพ่อ”
ท่านลืมตาขึ้นมามองเด็กชายที่กำลังหลับใหลตรงหน้าอย่างเมตตา “อิงกาล…..เคราะห์กรรมใดที่แบกมา ถึงเวลาก็ต้องชดใช้ มีเริ่มต้นมีจุดจบ แผ่เมตตาทุกลมหายใจ ความโกรธแค้นจะบางเบา เราเขาจะหลุดพ้น” เสียงนั้นดังราวกับท่านตะโกนก้องเข้าใส่หูอีกคนที่อยู่นอกกุฏิ แม้จะพยายามอุดหูตัวเองแต่ก็ยังได้ยินชัด สองมือเล็กๆ ของคนข้างนอกปาดน้ำตา ก่อนจะเดินหนีทันที!
“เจ้าฝาง? ไปทำอะไรตรงนั้นหรือ?” นายขมยืนกอดอกขวางทางอยู่
“ไม่ได้ไปไหนนี่” คนตอบหน้านิ่ง เด็กหญิงกำมือทั้งสองข้างแน่นไม่รู้ตัว
“แล้วที่ไปยืนริมหน้าต่างนั่นใครกันหรือ?” คนถามจ้องเขม็งหนักขึ้น นายขมจ้องมือทั้งสองนั้นอย่างสงสัย เด็กหญิงทำหน้างง ก่อนจะวิ่งไปเก็บดอกพิกุลที่ร่วงอยู่เต็มพื้นดินไม่พูดไม่จา
“อ้าว! เลยไม่พูดเลย พี่ขมเก้อเลยนะขอรับ ทำไมเป็นอย่างนี้ นี่เราเป็นอะไรไป ตาฝาดเห็นนางฟ้านางสวรรค์หรือนี่? ”
“บางอย่างก็ไม่ควรรู้” เสียงนี้แทรกผ่านลมเย็นๆ มาแต่ไกล คนที่ได้ยินคงมีแต่เพียงคนตัวเล็กๆ ที่กำลังนั่งเก็บดอกพิกุลอย่างบรรจง
“แต่…..หนูไม่รู้ว่าร้องไห้ทำไม แล้วคนข้างในทำไมไม่ยอมตื่น เขาจะตายไหม?” ฝางพูดกับดอกพิกุลในมือที่เก็บขึ้นมา ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ลมหอบฝุ่นปะทะหน้าฝางวูบใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นยืนหันไปมองต้นพิกุลใหญ่ที่ยืนต้นงามสง่าอยู่ บางอย่างซ่อนอยู่ในต้นไม้ใหญ่ ในอากาศ ในความทรงจำ ความรู้นี้ผุดขึ้นในวูบหนึ่งของความคิดฝาง ก่อนเธอจะปล่อยมันไปด้วยความไม่รู้
คืนนี้ฝางเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน แม้จะเป็นวันหยุด ร่างกายแขนขาดูจะไม่ทำตามคำสั่งในหัว เด็กหญิงรู้สึกง่วงผิดปกติ มือเล็กๆ ก้มกราบที่หมอนเหมือนทุกครั้ง “พ่ออยู่บนฟ้า ฝางจะไปหาเหมือนทุกวัน กราบพระกราบเทวดาค่ะ” คำพูดเหล่านี้แม่สอนมาตั้งแต่ยังเด็ก และเด็กหญิงก็เชื่อว่าพ่ออยู่ไม่ไกลนัก เธอจึงสามารถไปหาได้ทุกวันแค่เพียงนอนหลับ ในความฝันฝางเอ่ยถามตามใจตัว “แม่….อิงกาลแปลว่าอะไร?” ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจกอดรัดเธอไว้อย่างประหลาดเมื่อเอ่ยออกมา
“ไปเอามาจากไหน? แม่ก็เรียนมาน้อย ชื่อคนหรือเปล่าไม่แน่ใจ” เสียงของมารดาตอบกลับมาในความฝัน เด็กหญิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ฝางหลับตาพริ้มด้วยใจเป็นสุข
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ