MAYA มายา
เขียนโดย โชฒิกากราณ์
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 16.50 น.
แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 18.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) เรื่องเล่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“จากนี้ โฉมจะดูแลฝันเองนะ เธอจะต้องหาย” จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำอยู่โรงพยาบาลแห่งนี้ พูดพลางลูบศีรษะที่ถูกพันไว้ด้วยแถบผ้าสีขาวจนถึงใบหน้า มีเพียงดวงตาหนึ่งข้างที่ไม่ได้ถูกปิดจ้องมายังจิตแพทย์หญิงอย่างสื่อความหมาย ร่างกายที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวทำให้เธอนอนแน่นิ่งอย่างน่าเวทนา
“สามปีแล้วนะโฉม ที่เรายังตามหาเด็กคนนั้นไม่เจอ” หญิงกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นแม่พูดขึ้นจากด้านหลัง น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและทุกข์ใจ เมื่อเห็นสภาพของลูกสาวอีกคนที่อนาคตกำลังจะสดใสกลับต้องดับวูบไปต่อหน้า และยังไม่สามารถจับผู้กระทำผิดมารับโทษได้ สามปีตั้งแต่เกิดเรื่อง เธอยอมเสียทรัพย์สินจำนวนมากเพื่อตามเรื่องอันโหดร้ายนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถสาวถึงผู้กระทำผิดได้ เพราะสถานที่เกิดเหตุไม่มีร่องรองของบุคคลที่สอง สามหรือสี่ นอกจากตัวของผู้ถูกกระทำเอง และเจ้าตัวก็กลายมาเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่สามารถให้ข้อมูล หรือแม้แต่ขยับร่างกายใดๆ ได้ทำให้คดีนี้ถูกยืดมาตลอด
“คุณอายุทธ์ท่านยังคงตามเรื่องของฝันอยู่ ตราบใดที่โฉมมีลมหายใจ โฉมต้องตามหาคนที่ทำร้ายฝันมารับโทษให้ได้ค่ะ” โฉมฉายโอบกอดมารดาด้วยความห่วงใย เธอผู้ซึ่งเป็นพี่ใหญ่รวมถึงหัวหน้าครอบครัวแล้วในตอนนี้ เธอต้องดูแลสองชีวิตที่เหลือให้ดีที่สุด
“โฉมกลับไปพักก่อนเถอะนะ ช่วงเย็นเราจะดูคุณสุดฝันให้”
“ขอบใจนะมินตรา” โฉมฉายกล่าวตอบบุคคลที่เดินอยู่ข้างกาย มินตราคือพาร์ทเนอร์คนแรกของเธอนับตั้งแต่ที่เธอได้เข้ามาประจำอยู่ที่นี่ บนบอร์ดและเว็บไซต์ของโรงพยาบาลจะมีรูปมินตราอยู่เสมอ เสมือนว่าเธอพ่วงด้วยตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์ให้กับโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย ความสวยและความสามารถทำให้เธอโดดเด่นกว่าใคร มากกว่าโฉมฉายเองที่เป็นรองจากเธอเสมอในสายตาคนอื่น มากเกินไปจนทำให้บางทีที่นึกอิจฉาคนอยู่ข้างๆ แต่เพราะอยู่ด้วยกันในทุกวัน เกือบทุกเวลา ทำให้มินตราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของโฉมฉายและเป็นที่แน่นอนว่า ทุกๆ คนในโรงพยาบาลต้องรู้จักมินตราในนามของลูกสาวเจ้าของเอ็มวายแห่งนี้
“จริงๆ แล้ววันนี้แกกลับไปดูแม่เถอะ ท่านไม่สบายไม่ใช่หรือไง คืนนี้เราเฝ้าน้องแกให้เอง ไม่ต้องห่วง” มินตราพูดขึ้นพลางหั่นสเต็กเนื้อเข้าปากอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณสุดาก็ขอลาแบบนี้ แกจะไหวรึไง” โฉมฉายถามขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพยาบาลผู้ช่วยของพวกเธอขอลาป่วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมว่าพักหลังมานี้สุดาถึงลาบ่อยนัก
“ไม่เป็นไรหรอก มินเป็นหมอนะโฉม” มินตรายิ้มให้เพื่อนรักที่อยู่ตรงหน้า เมื่อรู้ว่าโฉมฉายกำลังกังวลใจเธอก็พยายามเปลี่ยนบทสนทนาเป็นหัวข้ออื่นในทันที
ก็แค่คืนนี้ที่เธอต้องห่างจากแฝดผู้น้องในตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา ขอแค่ว่า
คืนนี้มันจะผ่านไปได้ด้วยดี อย่างในทุกคืน…
หญิงสาวในชุดเดรสสั้นสีขาวเดินเข้ามาโรงพยาบาลอย่างปรกติในเช้าวันรุ่งขึ้น มารดาผู้เป็นที่รักอาการดีขึ้นมากนั่นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเธอ หวังว่าวันนี้จะได้ยินเรื่องที่น่ายินดีจากผู้เป็นเพื่อนของเธอด้วยเช่นกัน โฉมฉายเดินเข้าห้องพักและเร่งเปลี่ยนชุดโดยไว เสื้อกาวน์สีขาวที่ถูกซักจนสะอาดแล้วแขวนไว้ในตู้ มันถูกสวมลงบนตัวของหญิงสาว เธอเตรียมข้อมูลการทำงานวันนี้สักพักก่อนจะรุดออกไปยังห้องคนไข้อันเป็นที่รักของเธอ เสียงทักทายจากบุคคลากรที่เดินผ่านไปมาแลกด้วยรอยยิ้มที่สดใสเป็นการตอบกลับ
ไฟสีฟ้าอ่อนในห้องผู้ป่วยเปิดอยู่ ละอองน้ำจากเครื่องพ่นไอน้ำในห้องทำให้บรรยากาศเย็นลง กลิ่นอโรม่าจากสมุนไพรที่วางอยู่บนหัวเตียงนั้นทำให้ภายในห้องรู้สึกสดชื่นขึ้น โฉมฉายมองไปยังคนไข้ เธอยังคงนอนนิ่งเหมือนอย่างในทุกวัน
“วันนี้คุณแม่ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะฝัน แม่บอกว่าจะมาเยี่ยมฝันวันนี้ด้วย แต่โฉมอยากให้แม่พักให้หายก่อน แม่คิดถึงฝันนะรู้ไหม” โฉมฉายลูบหัวผู้เป็นน้องอย่างเบามือ เธอทำเช่นนี้ในทุกวัน ถึงคนตรงหน้าจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็เชื่อว่าน้องสาวฝาแฝดจะรับรู้ในทุกการกระทำของเธอ
“เมื่อคืนโฉมไม่ได้มาหา ขอโทษด้วยนะ” เสียงไอน้ำที่ดังแข่งกับลมหายใจของคนในห้องเริ่มดังขึ้นเมื่อคนในห้องคนหนึ่งเกือบลืมหายใจ
“โฉม” เสียงแหบกร้านที่คำพูดเหมือนถูกบีบออกจากลำคอของคนที่นอนอยู่บนเตียง ความดีใจและตกใจในคราวเดียว เป็นผลให้โฉมฉายเกิดสภาวะช็อคชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ เรียกสติให้ให้กลับมา น้ำเปล่าถูกป้อนให้คนที่นอนอยู่บนเตียง สุดฝันดูดน้ำจากหลอดอย่างยากลำบาก ปากของเธอขยับเหมือนกำลังพยายามจะพูดบางสิ่ง
“ดีจัง ดีจังเลยโฉม” เสียงแหบพยายามเปล่งออกมาอีกครั้ง
“ใช่ฝัน ดีมากเลย” โฉมฉายยิ้มร่า ไม่ลืมที่จดบันทึกประจำวันลงบนบอร์ดของเธอที่ถือติดมือมาด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่สุดฝันพูดได้ มันยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ที่เธอเคยไม่อยากได้ โฉมฉายกดกริ่งในห้องสักพักพยาบาลที่เธอคุ้นหน้าก็รุดเข้ามา
“คุณดา โฉมนึกว่าคุณยังลาอยู่ซะอีก”
“มะ… มาแล้วล่ะค่ะหมอ” สุดาพยาบาลผู้ช่วยยิ้มแห้งๆ ให้กับคนตรงหน้า ปลายตามองไปยังเตียงของคนไข้อย่างหวาดๆ
“ให้อาหารและทานยาตามปรกตินะคะ สุดฝันเธอพูดได้แล้วล่ะค่ะ โฉมขอไปประชุมกับหมอมินก่อนแล้วประมาณบ่ายโมงจะเข้ามานะคะ”
“พูดได้ พูดได้แล้วหรอคะ” สุดาตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปรับเป็นปรกติเมื่อนึกได้ว่าอยู่ในอาการไม่สำรวมนัก โฉมฉายยิ้มอย่างยินดี เมื่อเห็นท่าทีของคนตรงหน้า ที่คงตกใจและดีใจไม่น้อยกว่าเธอแน่ๆ
“หมอมินน่าจะอยู่ในห้องพักสินะคะ” โฉมฉายพูดพลางเขียนข้อมูลลงบอร์ดที่ถืออยู่ในมืออีกครั้ง
“ไม่มีนะคะ ดาเห็นชุดของคุณหมอมินตราไม่อยู่ที่ตะกร้าซัก คิดว่าคงมาพร้อมคุณหมอโฉมซะอีกค่ะ”
“เมื่อคืนหมอมินอยู่เวรเฝ้าสุดฝันแทนโฉมค่ะ โฉมนึกว่าเธอจะไปพักแล้วซะอีก” โฉมฉายฉุกคิดโดยไม่ได้สังเกตอาการของพยาบาลสาวตรงหน้า ที่บัดนี้เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดออกบนหน้าผากนั้น น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบากเมื่อถูกบุคคลที่นอนอยู่บนเตียงจ้องตาแข็งอย่างน่ากลัว
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากบุคคลที่กำลังพยายามติดต่อพาร์ทเนอร์ของตนเองอยู่
“ไปอยู่ไหนนะมิน” โฉมฉายพูดขึ้นพลางกัดเล็บด้วยท่าทีที่เป็นกังวล เสียงเพลงรอสายยังคงดังอยู่แล้วดับไปเมื่อไม่มีคนรับ เธอติดต่อมินตราไม่ได้หลังจากที่ออกตามหาที่ห้องพักแต่กลับไม่พบ หากแต่ข้าวของสำคัญอย่างเช่นกระเป๋าเงินยังคงอยู่ รวมถึงชุดลำลองยังคงแขวนไว้ในตู้อย่างดี ทำให้เดาได้ว่ามินตราไม่ได้กลับบ้านหรือออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน สิ่งที่ทำให้โฉมฉายเริ่มกังวลมากขึ้นคือการที่ไม่สามารถติดต่อกับมินตราได้ และไม่มีใครพบเธอตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้
ความวุ่นวายเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อแสงตะวันเริ่มตกดิน ร้อนถึงหูประธานโรงพยาบาลผู้เป็นพ่อของจิตแพทย์สาวที่หายไป ทำให้มีตำรวจหลายนายรวมถึงนักสืบมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ บุคคลากรทุกโซนถูกเรียกตัวเพื่อสอบปากคำ รวมถึงโฉมฉายด้วย
ถึงจะมีเหตุการณ์คนหายเกิดขึ้น แต่การทำงานของเหล่าบุคคลากรก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป ผู้ป่วยจะต้องมีผู้ดูแลเสมอดังนั้น แพทย์และพยาบาลจึงต้องผลัดเปลี่ยนกันเพื่อไปพบกับตำรวจ โฉมฉายเมื่อสิ้นสุดการให้ปากคำกับตำรวจ เธอจึงมุ่งไปยังชั้นพิเศษเพื่อผลัดเวรกับพยาบาลผู้ช่วย หากแต่ลิฟต์ยังไม่ทันที่จะเปิด เธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบสุดาที่กำลังรอลิฟต์ด้วยสีหน้าที่แตกตื่น
“คะ คะ คุณ” ทันทีที่โฉมฉายเดินออกจากลิฟต์สุดาก็เข้ามาประชิดตัวในทันที เสียงที่เปล่งออกมามันทำให้คนที่รอฟังไม่สามารถจับใจความได้
“มีอะไรคะคุณสุดา”
“เธอเดิน ธะ… เธอกำลังเดินอยู่ในห้อง” สุดาพูดพลางกระตุกแขนจิตแพทย์สาวอย่างลนลาน โฉมฉายจ้องไปยังห้องนั้น ก่อนจะวิ่งไปด้วยความรู้สึกดีใจ ทิ้งสุดามองตามหลังด้วยความหวาดระแวงก่อนจะตัดสินใจกดลิฟต์ด้วยมือที่สั่นเพื่อพาตัวเธอเองออกไปจากตรงนี้ มือลูบต้นคอพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ นึกถึงต้นเหตุของรอยแดงจางๆที่ปรากฏอยู่รอบๆคอของตนจากน้ำมือของบุคคลอันตรายที่อยู่ในห้องนั้น!
ประตูห้องหมายเลข VIPC998 ถูกเปิดออกในทันที คนในห้องหันมองบุคคลที่กำลังยืนค้างอยู่หน้าประตู ริมฝีปากอันแห้งแตกยกยิ้มขึ้นเป็นการทักทาย
“เธอเดิน เธอเดินได้จริงๆ” โฉมฉายมองดูผู้ป่วยที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ บุคคลที่อยู่ในชุดสีเทาภายใต้เสื้อผ้านั้นถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวเดินเข้ามาหาเธอเมื่อเห็น เสียงที่แหบแห้งเปล่งออกมาให้ได้ยินอีกครั้ง
“เราน่ะ ทำได้มากกว่านี้อีกนะ” รอยยิ้มของโฉมฉายค่อยๆ จางลง เมื่อเธอมองไม่เห็นแววตาของคนตรงหน้า ภายใต้ดวงตาข้างเดียวที่ถูกเปิดอยู่นั้น มันเต็มไปด้วยความมืดที่ไม่มีแสงสว่าง
“แม่ต้องดีใจแน่ๆ ที่ฝันดีขึ้นขนาดนี้”
“มันจะดีขึ้นอีกถ้าเราได้หน้าของเราคืนมา” เสียงแหบตอบกลับมาในทันที และนั่นมันทำให้โฉมฉายตกใจ และเริ่มรู้สึกกลัว
“ได้ทุกอย่างที่เราเคยมี เคยได้ เคยรู้สึก”
“หน้าแบบนี้ ร่างกายแบบนี้ แบบที่เราเคยมี” สุดฝันใช้นิ้วมือลูบไล้ใบหน้าของคนที่ยืนนิ่ง ดวงตาเริ่มกระตุกวูบเมื่อรู้สึกถึงความไม่ปรกติ
“มันเป็นของเรา เอาคืนมา เอาคือเรามาเดี๋ยวนี้!”
“โอ๊ย! ฝันโฉมเจ็บ” ผมที่ถูกมัดรวบเอาไว้ของโฉมฉายถูกกระชากโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว หน้าเงยขึ้นตามแรงของผู้กระทำ ใบหน้าที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวนั้นเลื่อนเข้ามาชิดกับใบหน้าของเธอ ใบหน้าของทั้งสองถูกสะท้อนออกมาจากกระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัวที่ถูกเปิดออก
“ดูสิ เราเหมือนกันเลย” สุดฝันพูดพลางยิ้ม เอียงคอไปมาโดยที่บังคับใบหน้าอีกคนให้ทำตามเธอด้วย โฉมฉายเหยหน้าด้วยความเจ็บ พยายามจะพูดอะไรแต่เหมือนสมองของเธอมันถูกทับไปด้วยความกลัว
“ไม่เหมือน หน้า ทำไม ทำไม ทำไม…” สุดฝันหุบยิ้มในทันทีเมื่อเพ่งมองใบหน้าของตัวเอง เธอเหวี่ยงโฉมฉายลงกับพื้น ก่อนจะจับใบหน้าตัวเองพลางพูดในประโยคซ้ำๆ มือทั้งสองข้างพยายามแกะผ้าที่ปิดออกอย่างแรง โฉมฉายรีบลุกขึ้นห้ามแต่ก็ไม่สามารถต้านแรงที่เหมือนไร้สติของสุดฝันได้ ไม่นานใบหน้านั้นก็ปรากฏต่อสายตาของตน ตาข้างซ้ายบูดบวมจนปิด ใบหน้าที่มีรอยเย็บและร่องรอยของการผ่าตัดที่ไม่สำเร็จ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวขรุขระอย่างเช่นปีศาจที่น่ากลัว สุดฝันมองตัวเองอยู่ไม่นานนักมือทั้งสองก็เริ่มหยิกลงที่ใบหน้าของตน ก่อนจะขูดมันด้วยเล็บเต็มแรง
“ทำไมมันไม่ได้ผล! ทำไม ทำไม! ทำไม!!”
“หยุดนะฝัน!!!” โฉมฉายพยามห้าม แต่ก็เหมือนไม่สามารถต้านแรงของเธอได้ โฉมฉายวิ่งไปยังโทรศัพท์ที่อยู่ไม่ไกลเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ในทันทีที่หยิบโทรศัพท์ได้ก็ถูกคนในห้องจับแขนอย่างแรง
“โฉมอยากช่วยเราใช่ไหม ใช่ไหมช่วยเราด้วย นะ นะ” เสียงแหบดังขึ้นสีหน้าเหมือนออดอ้อนนั้นทำให้โฉมฉายสับสน เธอรู้สึกสงสารคนตรงหน้าและรู้สึกกลัวในเวลาเดียวกัน
“เราเจ็บ เจ็บปวด เราทรมานเหลือเกินพี่ของเรา พาเราให้พ้นจากคำสาปนี้ที” สุดฝันทรุดลงทำให้ผู้เป็นพี่ทรุดลงตามอย่างช้าๆ ในใจเจ็บปวดเมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน ความโกรธและความไม่ยุติธรรมที่มีอยู่ตลอดระยะเวลาหลายปีมันเริ่มซึมออกมาจากจิตใจจนรู้สึกได้
“โฉมช่วยฝันแน่นอน ฝันไม่ต้องห่วง” โฉมฉายพูดขึ้นพยายามทำให้คนตรงหน้าสงบลง เนื้อบนใบหน้าของสุดฝันเปิดออกเป็นบางจุด เลือดและน้ำเหลืองไหลลงมาอย่างไม่น่าดู
“โฉมพูดแล้วนะ โฉมพูดว่าจะช่วยเรา”
“เราสัญญานะฝัน เราช่วยฝันทุกอย่างถ้าเราช่วยได้ โฉมรักฝันมากนะและเธอจะต้องหายดี เราสัญญา”
“โฉมจะทำให้แผลให้ฝันนะ ฝันจะได้สวยๆ ไง” โฉมฉายพยักหน้าลูบหัวน้องสาวของเธออย่างรักใคร่ เมื่อสุดฝันเริ่มเคลิ้มตามและผ่อนแรงลง
“สวยๆ เหมือนโฉมหรอ”
“ใช่ เหมือนเราไง” โฉมฉายพูดอย่างใจเย็น พยายามปลอบคนตรงหน้าใจเย็นด้วยเช่นกัน
“’งั้นไปกับเรานะ”
“ไป… ไปสิ ไปสิฝัน”
สุดฝันยิ้มร่าเมื่อคนตรงหน้าตอบตกลง ก่อนจะกระชากคนตรงหน้าให้ไปกับเธออย่างไม่ทันตั้งตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนสมองไม่ตอบสนองต่อการกระทำ เมื่อระเบียงห้องถูกเปิดออก ลมพัดผ่านใบหน้า แต่ไม่สามารถพัดความกลัวที่อยู่ในใจของโฉมฉายไปได้เมื่อในใจนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และลมหายใจต้องหอบหนักขึ้นจนเหมือนจะทะลุออกมาเมื่อถูกฉุดลงไปยังอากาศ ด้วยความสูงจากชั้นยี่สิบ ทำให้โฉมฉายรับรู้ถึงลมหายใจสุดท้ายที่กำลังถามหาเธออยู่
กลิ่นชื้นของดินกระทบกับจมูกของหญิงสาวทำให้เปลือกตาสวยค่อยๆ เปิดออก…
นี่เรายังไม่ตาย หรอกหรอ…
“โฉม” เสียงคุ้นหูของใครบางคนแล่นเข้าสู่โสตประสาท เมื่อหันไปเจอบุคคลที่เอ่ยนาม ดวงตาก็ตื่นขึ้นพร้อมกับหัวเริ่มเจ็บจี๊ด
“มินตรา เธอ…” โฉมฉายพูดไม่ออกเมื่อเห็นสภาพของพาร์ทเนอร์ของตนเองที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลจนไม่เหลือเค้าเดิม
“เธอบ้าไปแล้ว ฮือ…” มินตราร้องไห้ออกมาอย่างไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้ แววตาเต็มไปด้วยความกลัวและความสิ้นหวัง โฉมฉายมองไปรอบๆ โถงยาวที่ถูกปูด้วยอิฐสีแดงก้อนเล็กๆ มันเหมือนกับคุกเก่าทั้งอับชื้น และเหม็นสาบ
“ไม่เป็นไรนะมิน เราออกไปจากที่นี่กัน”
“มินไม่ไหวแล้วโฉม ฮึก” น้ำตาที่ไหลลงมามันทำให้หัวใจของโฉมฉายอ่อนลง มินตราในตอนนี้น่าสงสารเหลือเกิน
“ทุกคนเป็นห่วงมินมากนะ อดทนหน่อยนะโฉมจะพามินออกไปเอง”
“มินไปไม่ได้โฉม ฮึก… มินทำอะไรผิดหรอ ทำไมต้องเป็นมิน” มือที่เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลจับแขนนั้นไม่ยอมปล่อย
“มิน…”
“เรา… ไปจากที่นี่ไม่ได้โฉม” สรรพนามที่เปลี่ยนไปของมินตราทำให้โฉมฉายใจหล่นวูบ
“ใช่ๆ ไปไม่ได้นะ ยังสนุกอยู่เลย” เสียงแหบพร่าที่ขัดขึ้น ทำให้โฉมฉายหันมาโดยทันที
“ฝัน”
“ก็ใช่น่ะสิ จะเรียกทำไมนักหนา” คนมาใหม่จิ๊ปากอย่างรำคาญ ก่อนจะจ้องไปยังคนที่ยังคงร้องไห้อยู่
“เรายังเล่นกันไม่เสร็จเลยนะ จะรีบไปไหนล่ะ 001” สุดฝันยิ้มพลางยืนมือจับตัวมินตราก่อนมันจะถูกปัดออกโดยแฝดผู้พี่
“เล่นอะไรฝัน เธอทำอะไรมินตรา พาเรากลับไปเดี๋ยวนี้!” โฉมฉายทำเสียงแข็ง แต่ก็ถูกตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะที่แหลม
“กลับไปหรอ… กลับไปไม่ได้หรอก เธอมาอยู่ที่นี่แล้วเธอน่ะ กลับไปไหน ไม่ได้แล้ว”
“มาเล่นกันนะ เธอน่ะเป็นคนไข้ เดี๋ยวเราเป็นหมอเอง”
“เอาล่ะ… ใครอยากเป็น 001”
“อ่า… พี่ของเรา ได้สิ… คนไข้ของเรา 001 กินยาได้แล้วนะ”
เสียงแหบดังก้องอยู่ในหูของผู้ฟัง สมองที่เริ่มขาวโพลนมันไม่สามารถโต้ตอบอีกฝ่ายได้ ก่อนทุกอย่างจะดับลงเหมือนกับเรื่องเล่าของฉากนี้ได้จบลงตาม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ