MAYA มายา

7.3

เขียนโดย โชฒิกากราณ์

วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 16.50 น.

  23 chapter
  1 วิจารณ์
  45.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 18.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ระแวง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

               เสียงพูดคุยอย่างออกรสออกชาติที่หญิงสาวคุ้นหูทำให้เธอยิ้มออกมา ไม่นานเสียงก็เริ่มซาลงหลังจากกลุ่มคนเหล่านั้นมองมายังผู้มาใหญ่เป็นตาเดียว

              “ตายแล้ว น้องรัน ไปไงมาไงล่ะคะเนี้ย” จุ๊จาทิ้งถั่วลิสงที่ถือไว้ก่อนจะปรี่เขามารับของที่อดีตรุ่นน้องโซนเอนำมาฝาก

              “ของฝากจากทิเบตค่ะ รันซื้อมาฝากพี่ๆ ทุกคนเลยนะ”

              “จริงๆ ไม่ต้องมีของฝงของฝากอะไรหรอกค่ะ แค่มาหาพวกพี่ก็ดีใจแล้ว”

              “งั้นแกก็ไม่ต้องเอานังจุ๊” นกวิมา พยาบาลผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่สุดพูดขึ้นเชิงหยอกเล่นพยาบาลผู้น้อง จุ๊จาเบะปากอย่างขำขัน ก่อนจะหอบของฝากไปยังจุดรวมพลโดยไม่ลืมที่จะขอบคุณรุ่นน้อง รันลณียิ้มรับ หวนนึกถึงการทำงานโซนเอที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เต็มไปความอบอุ่นและความเอ็นดูจากทุกคนในห้องนี้ ที่นี่ทำให้เธอเป็นตัวเองที่สุด ถ้าเธอรู้ว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างนี้ เธอคงปฏิเสธผู้หญิงคนนั้นในทันที

              “ไปถึงทิเบตเลยหรอ พี่ก็นึกว่าเราไปแค่วัดป่าใกล้ๆ นี่ซะอีก” นกวิมาเอ่ยปากถามขึ้น เพราะในตอนแรกพยาบาลรุ่นน้องบอกในกลุ่มไลน์เพียงว่าเธอได้ขอพักร้อนเพื่อไปปฏิบัติธรรมกับแม่ของเธอ

              “ตอนแรกก็ว่าจะไปใกล้ๆ แหละค่ะ แต่มาคิดดูอีกทีไหนๆ ก็ได้หยุดยาวแล้ว ขอไปไกลๆ บ้างก็คงจะดี” รันลณีพูดยิ้มพลางเดินมานั่งโซฟาตัวนิ่มที่เธอคุ้นเคย เสียงเจี้ยวจ้าวจากสาวๆ ที่ได้ของฝากทำให้เธออดยิ้มตามไม่ได้

              หลังจากที่ได้ฟังเรื่องที่ออกจากปากของโฉมฉายและแทนคุณในวันนั้น มันทำให้รันลณีไม่สามารถไว้ใจพวกเขาได้อีกเลย ใช่ แม้แต่แทนคุณเอง เรื่องที่ออกจากปากของคน มันจะถูกแต่งเติมลงไปยังไงก็ได้เพราะผู้ฟังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับผู้เล่า ถึงบางเรื่องมันน่าเชื่อ แต่นั่น… ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก

              รันลณีขอลาพักร้อนหนึ่งอาทิตย์ในทันทีเพื่อพาตัวเองไปยังจุดที่เธอจะสามารถฟื้นจิตใจและร่างกายให้เป็นปรกติให้ได้มากที่สุด การนั่งสมาธิและปฏิบัติธรรมในที่ที่เต็มไปด้วยความศรัทธา มันช่วยได้อย่างมาก การกลับมาของเธอบางทีอาจจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป และไม่ได้กลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับความกลัว และเธอจะต้องแก้เชือกที่มันรั้งคอของเธอไว้ให้ออกไปอย่างไวและเด็ดขาดที่สุด

 

              หลังจากที่ได้พูดคุยสังสรรค์กับบรรดารุ่นพี่ไม่นาน รันลณีก็ขอตัวกลับที่ทำงานของตนเพราะใกล้เวลาเริ่มงานแล้ว หญิงสาวเดินผ่านห้องน้ำชั้นแรกเพื่อใช้ลิฟต์เฉพาะทางด้านหลังเพื่อไปยังโซนซี บริเวณรอบค่อนข้างปลอดคนเพราะเป็นส่วนพิเศษสำหรับบุคคลากรภายในจึงทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบ และในความเงียบแม้แต่เสียงกระซิบก็ดังขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

              “คุณอย่ามาคุยเรื่องนี้กับผมอีกนะ มันจบไปแล้วไม่เข้าใจหรือยังไง”

              “ได้ไง ส่วนของฉันยังไม่ได้ มันยังไม่จบหรอกนะ” เสียงที่รู้สึกคุ้นเคยกำลังสนทนาใครบางคนอยู่ระหว่างช่องห้องเก็บของของแม่บ้านถัดจากลิฟต์ไป

              “คุณอย่าลืมนะ ว่าใครที่ทำให้คนอย่างคุณไปโซนบีได้ถ้าไม่ใช่ผม แล้วเงินแค่สองแสนคุณก็แค่ไปเอามาใหม่มันง่ายจะตาย รอบนี้ ผมไม่เอาส่วนแบ่งกับคุณก็ได้อะ”

              “อย่าคิดว่ามันมันง่ายนักสิโว้ย! คนเงินหายคิดว่าเขาจะวางไว้เรี่ยราดอีกรึไง เขาไม่ร้องเรียนโรงพยาบาลก็ดีแค่ไหนแล้วไหม และถ้าขืนโดนจับได้ขึ้นมา…”

              “ก็ไปหาคนใหม่สิโว้ย คนไข้มีเป็นร้อยไหมวะ อย่าโง่ให้มากสิยุภา คุณก็ทำมาตั้งหลายครั้งแล้วถ้ามันจะถูกจับได้มันก็โดนไปตั้งนานแล้ว คุณจะกลัวอะไร” หญิงสาวเงียบลงในหัวเริ่มคิดไม่ตก ชายหนุ่มวางมือทั้งสองข้างลงบนบ่าของหญิงสาวก่อนจะพูดออกมาอย่างใจเย็นที่สุด

              “สุดท้ายยุ ผมสัญญา ห้าแสน ถ้าได้ผมจะคืนคุณทั้งหมด ผมจะเอาแค่แสนเดียว สี่แสนเป็นของคุณ” น้ำเสียงที่เบาเข้าสู่โสตประสาทของคนตรงหน้า ก่อนจะกล่อมให้คนตรงหน้าพยักหน้าตอบรับเบาๆ

              “จะทำยังไง” หญิงสาวถามขึ้น ชายหนุ่มยกยิ้มก่อนจะยื่นบางสิ่งที่หยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน

              “จะได้หลับสบายทั้งห้อง” ยุภารับซองสีน้ำตาลเล็กๆ นั้นตอบ ชายหนุ่มจูบไปที่แก้มของเธออย่างแสดงความเป็นเจ้าของก่อนทั้งสองจะแยกกัน ชายหนุ่มเดินผ่านลิฟต์ไปอย่างสบายใจโดยไม่สังเกตลูกศรที่บ่งบอกว่ากำลังถูกใช้งานอยู่ในตอนนี้

              เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนตรงหน้าเป็นผลให้คนที่ตั้งใจมาหา ยิ้มขำออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 

 

              “ไม่คิดว่าการหนีไปพักร้อนจะทำให้คนอารมณ์ดีขนาดนี้ได้” รันลณีปิดล็อกเกอร์ของตัวเองมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังยืนกอดอกพิงประตูอยู่

              “นี่มันโซนผู้หญิงนะคะ ไม่ใช่โซนของผู้ชาย รบกวนช่วยออกไปด้วยค่ะคุณหมอ”

              “ผมก็แค่แวะมาดูว่าคุณเข้ามาทำงานรึเปล่า เพราะวันนี้คุณต้องอยู่เวรกับผม”

              “แล้วคุณโฉม?”

              “โฉมติดประชุมเคสคนไข้กับประธาน กับเรื่องงานการกุศลประจำปีของโรงพยาบาล เห็นว่ารอบนี้จะเปิดช่องขยายกับโรงพยาบาลรัฐในต่างจังหวัด ให้ผู้ป่วยที่ยากจน สามารถมารักษาหรือปรึกษากับเอ็มวายได้ฟรี” แทนคุณพูดพลางเดินออกมาพร้อมกับพยาบาลผู้ช่วยคนสวย

              “โปรเจกต์ใหญ่เลยนะ โซนล่างคนวุ่นวายน่าดู”

              “แล้วเราไม่ได้ไปเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้หรอคะ” รันลณีถามออกมาอย่างสงสัย

              “โซนพิเศษยังไงก็ยังคงเป็นโซนพิเศษ แหล่งทำเงินทำชื่อเสียงให้กับโรงพยาบาล เราไม่มีทางได้ลงไปคลุกอยู่แล้ว” แทนคุณพูดเสียงเรียบ หันมองหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างกายอย่างเฉยชา เช่นเดียวกับรันลณีที่มองกลับเขาด้วยสายตาที่เฉยชากว่า เมื่อเห็นการการกระทำที่ตอบกลับมา ทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

              “นี่คุณ ถ้าผมรู้ว่าถ้าคุณกลับมาแล้วเป็นแบบนี้นะ ผมจะไม่ให้คุณไปเลยรันลณี”

              “แปลกนะคะ” หญิงสาวชะงักการเดินพลางมองไปยังชายหนุ่มที่หยุดเดินเช่นกัน

              “ที่ผ่านมารันเป็นฝ่ายตามคุณ แต่ตอนนี้กลับเป็นคุณที่ตามรัน คุณเอาแต่หนีรัน แต่ตอนนี้รันกลับอยากหนีคุณ เพราะอะไร” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยถามขึ้น ก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงที่เย็นชา

              “เพราะผมไม่อยากให้คุณมาเกี่ยว เพราะเป็นห่วงคุณ ผมเลยต้องเอาแต่หนี แต่ถ้าตอนนี้กลับเป็นคุณที่อยากจะหนีผม นั่นเพราะคุณไม่ได้เป็นห่วงผมหรอก”

              “คุณไม่ไว้ใจผมต่างหาก” แววตาที่แปรเปลี่ยนของเขาทำให้หญิงสาวกระตุกวูบ รอยยิ้มที่ยันเหยียดขึ้นด้วยความรู้สึกเหนือกว่าของเธอหายไป

              เหมือนเป็นเธอเองที่ปัดเชือกที่เขายื่นให้ทิ้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังจะตกหน้าผา

              “บางทีผมอาจจะรู้สึกไปเอง”

              แผ่นหลังกว้างเดินลิ่วไปด้านหน้าโดยไม่มีทางหันกลับมามองคนด้านหลัง จากที่คิดว่าเธอจะเป็นคนแก้เชือกปมใหญ่ที่รั้งคอของตัวเองไว้ด้วยตัวคนเดียวนั้น เธอคิดโดยที่ไม่มองเชือกเส้นใหญ่ที่รั้งคอของเขาไว้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เขาพยายามยื้อเชือกนั้นไม่ไห้รัดเธอแน่น โดยไม่สนเชือกที่รั้งคอตัวเองจนเกือบหายใจไม่ออก เมื่อปมของเธอเริ่มคลาย เธอกลับไม่ไว้ใจคนตรงหน้า ไม่เลือกที่แม้แต่จะช่วยปลดเชือกที่รั้งคอของเขาไว้ แต่กลับอยากให้เขาตายด้วยการแก้ปมเชือกของตัวเอง

              เห็นแก่ตัวเกินไป…

              เธอเป็นคนแบบนี้เสมอมางั้นสินะ…

 

              “ใช่ รันไม่เคยเชื่อใจคุณเลย คุณจะให้รันเชื่อใจคุณได้ยังไงในเมื่อคุณไม่เคยพูดอะไรที่เกี่ยวกับตัวของคุณเลย” หญิงสาวเปิดประเด็นในทันทีที่เข้ามาในห้องคนไข้ แฟ้มบันทึกผลถูกวางลงอย่างละทิ้งหน้าที่ มองคนตรงหน้าอย่างต้องการคำตอบ

              “แยกแยะเวลาด้วยรันลณี” น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นนิ่ง เหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน

              “รันไม่สน”

              “มองที่ปลายปากกานะครับ ดีมากครั้ง ข้างซ้ายบ้างนะครับ เยี่ยมเลยครับ” เสียงนุ่มที่พูดกับคนไข้ ไม่มีท่าทีจะสนใจหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ใช่ เธอควรแยกแยะ รันลณีถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะหยิบแฟ้มบันทึกขึ้นมาด้วยสติ ทำหน้าที่ของเธออย่างรอคอยคำตอบ  

 

               เป็นเวลา บ่ายสองโมง หลังจากที่ได้มีการเทสต์และประเมินผลของคนไข้ แทนคุณเดินลิ่วไปยังห้องพักพลางปลดกระดุมกาวน์ตัวยาวไปด้วย รันลณีเช็คผลประเมินที่ตนเองบันทึกไว้อีกครั้งก่อนจะวิ่งเข้าประชิดตัวคนตัวใหญ่เพราะกลัวจะคลาดจากเขา กลัวที่จะไม่ได้พูดในหลายๆ เรื่องที่มันค้างของในหัวของเธอ

               แต่ด้วยความที่วิ่งโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังข้อมูลที่ถืออยู่ในมือทำให้ชนกับคนตัวใหญ่ที่หยุดหันมายังเธอพอดี

              วูบหนึ่งในตอนที่กำลังจะล้มลงกับพื้น รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยผู้คน เสียงพูดคุยแซ่ซ้องแล่นเข้าสู่โสตประสาท ก่อนสายตาจะมองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสีฟ้า เธอคนนั้นกอดหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในมือ และมองกลับมาก่อนจะยิ้มให้ คล้ายกับกระจกที่ส่องสะท้อนใบหน้าที่เหมือนกับตัวของเธอเอง

              เคร้ง!

 

               แฟ้มบันทึกผลตกกระทบลงกับพื้นเป็นผลให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ รู้สึกเจ็บบริเวณหน้าผาก

              “คุณเป็นอะไรรึป่าว” แทนคุณพูดพลางก้มหยิบแฟ้มบันทึกก่อนจะยื่นให้คนตรงหน้าที่ยังคงลูบหน้าผากของตัวเองป้อยๆ

              ‘คงจะเจ็บไม่น้อยเล่นวิ่งมาชนซะเต็มแรง’

               ความคิดของชายหนุ่มแล่นผ่านไปเขาลูบอกของตัวเองเบาๆ เหมือนปัดรอยกระทบเมื่อกี้ออกไปก่อนจะหันหลังให้คนตรงหน้าที่กำลังดูเหมือนยังคงมึนงงอยู่ ลิฟต์ถูกกดไปยังชั้นลอย ซึ่งเป็นห้องพักผ่อนของเหล่าบุคลากร

              ลิฟต์เปิดออกรันลณียังคงเดินตามชายหนุ่มอยู่อย่างนั้นมือก็ยังคงลูบไปที่หน้าผากของตน อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่เห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอสงสัยอะไรมากนัก มันอาจจะเป็นเธอเองในอดีต ส่วนหนึ่งของความทรงจำที่เธออาจจะจำมันไม่ได้ สิ่งที่ติดอยู่ในสมองไม่ใช่ใบหน้านั้นที่เหมือนเธอ หากแต่เป็นหนังสือเล่มที่อยู่ในมือของเธอคนนั้นต่างหาก

              ขณะที่รันลณียังคงจมอยู่กับความคิด กลิ่นหอมบางอย่างก็ดึงเธอกลับมา ท้องเริ่มประท้วงเมื่ออาหารเที่ยงของพวกมันไม่มาตามเวลาเหมือนในทุกวัน

รันลณีมองเห็นร่างสูงที่คุ้นตากำลังง่วนอยู่กับของบางอย่างที่กำลังเอาออกมาจากไมโครเวฟ ท่าทางที่ค่อนข้างไม่ถนัดกับการเข้าครัวทำให้เธอยิ้มขำ แต่มันก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าแทนคุณมีเสน่ห์ขนาดไหน

              “หมอทำเองหรอคะ” หญิงสาวถามออกไปเมื่อมองเห็นผัดไทยวางอยู่บนโต๊ะ

              “ร้านสะดวกซื้อมีขายเยอะไป อย่างผมทำไม่เป็นหรอก ยิ่งอาชีพแบบนี้แทบไม่มีเวลาแตะครัวเลย”

              “หมอแทนไม่ลงไปทานที่ห้องอาหารล่ะคะ ไม่เห็นต้องมาอุ่นอาหารกินเองเลย”

              “ผมอยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง ผมไม่ชอบที่คนมองผมเยอะๆ ในเวลาส่วนตัว อย่างตอนกินข้าว” รันลณีลอบกลืนน้ำลาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอก็ชอบมองเขาในเวลาทานข้าวอย่างคนในโรงอาหารเช่นกัน คิดดังนั้นจึงค่อยๆ พาตัวเองออกมาจากตรงนั้น เธอควรเปลี่ยนชุดแล้วไปโรงอาหารหรือไม่ก็หาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในห้องครัวไปทานในห้องพักของเธอ บางทีมันอาจจะเป็นเวลาส่วนตัวของเธอบ้างก็ได้

              “คุณกินสิ ผมอุ่นไว้ให้แล้ว”

              ประโยคสั้นๆ ที่ออกจากปากของแทนคุณ เป็นผลให้หญิงสาวชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ท้องเริ่มมวนไม่แน่ว่าเป็นการประท้วงของกระเพาะอาหารหรือคำพูดบางคำของเขากันแน่

 

               ถ้าหากบางทีที่เธอไม่เคยเชื่อใจเขา เพราะความเห็นแก่ตัวเอง

               ถ้าหากว่าเขากำลังจะซื้อใจ ด้วยการทลายกำแพงบางอย่าง

               ถ้าหากเขาอ้อนวอนสักนิด… เชือกที่รั้งคอของเขาอยู่

               เธอก็อยากที่จะ ช่วยแก้มันออก

 

              “จะได้ไม่ต้องไปนั่งทานอาหารคนเดียว” แทนคุณพูดจบก็ยกยากิอูด้งที่อุ่นแล้วของตัวเองมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะลงมือรับประทาน

              รันลณีชั่งใจสักพักก่อนจะตัดสินใจทรุดลงกับเก้าอี้ ลิ้มลองรสชาติอาหารที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะจะสังเกตได้ว่าในจานของคนตรงหน้าไม่มีไข่ต่างจากในจานของเธอ เธอยกยิ้มขึ้นสมเพชกับความรู้สึกของตัวเองที่เธอมาฉลาดอะไรในตอนนี้

              “เธอคงทำอาหารอร่อยน่าดูเลยนะคะ” แทนคุณเหลือบมองคนตรงหน้า

              “ทุกครั้งเก้าอี้ตัวนี้คงไม่ใช่รันที่นั่ง แต่เป็นคุณอัปสร เธอจะทำอาหารมาเผื่อคุณทุกวันแต่ในเมนูจะไม่มีไข่เป็นส่วนประกอบเพราะคุณไม่ชอบทาน” เขายกยิ้มน้อยๆ หลังจบประโยคจากหญิงสาว

              “อัปสรเธอรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผม ที่นี่มีความทรงจำดีๆ ระหว่างผมกับเธอ ความทรงจำสุดท้ายคือผมขอเธอแต่งงาน เธอเป็นรักที่บริสุทธิ์ของผม เพราะงั้นไม่ว่าจะทางไหนผมก็จะปกป้องเธอจนกว่าผมจะตาย เพราะถ้าผมไม่สามารถดึงเธอกลับมาได้ ผมก็พร้อมที่จะตกลงไปเพื่อปกป้องเธอ”

              สมเพช ที่บางทีเป็นเธอเองเสมอที่คิดไปข้างเดียว…

 

               เคยสังเกตบ้างไหม มองเห็นไหมเชือกที่รั้งคอของเขาไว้ มันมีสองเส้น

               เส้นที่ผูกเงื่อนจนเป็นปมแน่นยากที่จะแก้ เขาปลดมันและสวมลงบนคอของตัวเอง

               มือข้างหนึ่งพยายามปลดเชือกที่คอของเธอ หากแต่มืออีกข้างกุมมือหนึ่งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

               บางครั้งเขาปล่อยให้เชือกรัดเธอเพราะเขาต้องใช้มือนั้นเช็ดน้ำตาบนแก้มหนึ่ง

 

              “คุณทำทุกอย่างเพื่อคนรักของคุณ แล้วคุณจะให้รันเชื่อใจคุณได้ยังไง ถ้าหากสุดท้ายคุณจะกลายเป็นคนที่ทำร้ายรัน ร่วมมือกับคุณโฉมเพื่อปกป้องเธอ”

              “คุณเคยรักใครบ้างไหม รันลณี”

              คำถามที่ออกจากปากคนตรงหน้าทำให้อาหารในจานจืดลงสนิท ใจของหญิงสาวหยุดนิ่งราวกับกำลังจะหยุดเต้น

            ถ้าฉันตอบไป จะมีคำตอบจากคุณบ้างไหม…

 

              “ถ้าผมทำให้คุณไว้ใจไม่ได้ก็ไม่ต้องทำก็ได้ เพราะอย่างน้อยคุณก็เลือกที่จะเชื่อผมมากกว่าโฉม ผมทำทุกอย่างคนเดียวไม่ได้ คุณเองก็เหมือนกัน”

              “รันอยากจะไว้ใจคุณมากที่สุดไม่ใช่แค่เชื่อคุณ เพราะในเรื่องนี้ถ้าจะมีใครต้องตาย รันไม่อยากให้คนนั้นเป็นคุณ”

              “ถามใหม่สิคุณแทน ถามว่ารันเคยรักใครบ้างไหม” เสียงที่เบาออกจากปากของหญิงสาว ใจสั่นไหวเมื่อมองใบหน้าสวยนั้นหม่นลง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็หวั่นไหวก็เธอตั้งแต่แรกพบ หากแต่อีกคนที่เขามีอยู่นั้นราวกับชีวิตของเขา

              “ผมเลือกแล้ว ถ้าสุดท้ายเป็นผมที่ต้องตาย ถ้ามันทำให้อัปสรหลุดจากขุมนรกได้ ผมก็เต็มใจ”

              “แล้วคนที่ต้องตายเป็นรันเอง…”

              “ถ้าเรื่องนี้มีใครตาย คนนั้นต้องไม่ใช่คุณ รันลณี”

 

               ขอมือสักข้างของคุณได้ไหม

               ช่วยจับมือของฉันไว้ในบางครั้งที่ฉันกำลังปลดเชือกที่คอของคุณ

 

              มือบางยื่นค้างกลางอากาศ รอคอยสัมผัสการทำพันธะสัญญาจากคนตรงหน้า สัญญาว่าเธอจะไม่ตายและเขาจะไม่หักหลังเธอ ไม่นานมือบางก็ถูกประสานด้วยมือหนา สัมผัสอุ่นของแทนคุณทำให้เธอรู้สึกบางอย่างที่ซับซ้อน มันอบอุ่นและเจ็บแปลบที่ขั้วหัวใจเหมือนเป็นเครื่องยืนยันความสัมพันธ์และบทสนทนาที่คลุมเครือนี้

 

              ‘ถ้าคุณรักฉันไม่ได้ ก็อย่าปล่อยให้มือนี้มาทำลายฉัน

            เพราะฉันกลัวว่า ความรักและความเชื่อใจที่มีให้กับคุณ มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา