The sidekick : ขอโทษทีพอดีผมไม่ใช่ฮีโร่ ( yaoi )
-
เขียนโดย farm111
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.40 น.
7 ตอน
1 วิจารณ์
8,754 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560 20.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) Mission 1 : กฎการเป็นคนธรรมดา คืออยู่ให้ห่างคนไม่ธ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMission 1 : กฎการเป็นคนธรรมดา คืออยู่ให้ห่างคนไม่ธรรมดาให้มากที่สุด
ถ้าผมอยู่ในโลกที่ผู้คนต่างก็ไม่มีพลังพิเศษอะไรแต่กลับนิยมเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ซะจนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ แล้วมีคนถามผมว่าถ้าเข้าไปอยู่ในโลกของฮีโร่เหล่านั้นได้ ผมจะเลือกมีบทบาทอะไร คำตอบของผมคงเป็น ขอเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องวุ่นวายและตายช้าที่สุด...หรือพูดง่ายๆก็คือผมขอเป็นชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ในที่ห่างไกลพวกฮีโร่ให้มากที่สุด...อะไรนะ ตัวเอกของเรื่องต่างหากที่มีโอกาสตายน้อยที่สุดงั้นเหรอ? อืม ถ้าเป็นตัวเอกชีวิตมันไม่มีทางหาความสงบสุขได้จริงไหม อีกอย่างผมไม่ได้แคร์เรื่องความตายสักเท่าไหร่ ยังไงสักวันคนเราก็ต้องตายอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ตายในเหตุการณ์ล้างโลกอะไรพวกนั้นมันก็ไม่แปลกอะไรจริงไหม เอาจริงๆมีเพื่อนร่วมตายเยอะแยะมันก็ไม่เลวร้ายหรอก
แต่เมื่อพิจารณาถึงโลกที่ผมอยู่ โลกที่เด็กแรกเกิดทุกคนจะถูกตรวจสอบพันธุกรรมเพื่อหาว่ามีพลังแฝงอยู่ในตัวหรือไม่ และหากตรวจพบว่ามีพลังแล้วล่ะก็เมื่อถึงเวลาก็จะถูกจับยัดเข้าโรงเรียนอบรมเป็นฮีโร่อย่างไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วละก็ ชีวิตของผมมันคงจะหาความสงบสุขอะไรไม่ได้ ในเมื่อผลตรวจพันธุกรรมของผมในวัยสามชั่วโมงมันออกมาเป็นบวก ในโลกของผมคนราวๆ 1% นั้นเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษ บอกเป็นเปอร์เซนมันเหมือนจะไม่เยอะใช่ไหม แต่เมื่อลองเอาไปคูณกับจำนวนประชากรแล้วละก็...มากเกินพอที่จะทำให้โลกมันวุ่นวายละนะ ยังดีที่พลังส่วนมากไม่ต่างอะไรกับขยะ ที่อย่างดีก็แค่พอจะเอาออกมาโชว์เรียกเสียงฮือฮาในงานปาร์ตี้ได้ก็แค่นั้น
การมีพลังไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือเป็นความลับ ภาพของคุณป้าข้างบ้านยืนหน้าประตูแล้วใช้พลังจิตยกถุงขยะมาทิ้งก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป นั่นเป็นเพราะจำนวนของผู้มีพลังที่มีมากจนภาครัฐหมดปัญญาจะควบคุม ดังนั้นหากคุณมีแค่พลังกระจอกๆอย่างพลังจิตที่ยกของหนักได้ไม่เกินสองกิโล หรือคุยกับแมลงสาปรู้เรื่องแล้วละก็ หลังจากจบจากโรงเรียนฮีโร่ คุณก็สามารถออกมาใช้ชีวิตธรรมดาๆ เพียงแค่ต้องไปรายงานตัวอย่างสม่ำเสมอ ส่วนพวกมีพลังระดับระเบิดภูเขาเผากระท่อมงั้นเหรอ? พวกนั้นเรียนแผนการเรียนฮีโร่จบมาถ้าไม่ดีแตกไปเป็นวายร้ายซะก่อนส่วนมากก็ทำงานกับหน่วยงานความมั่นคงต่างๆนั่นแหละ น้อยมากที่จะออกมาเป็นฮีโร่อิสระ เพราะถ้าไม่มีคนคอยคุ้มครองแล้วละก็อาชีพฮีโร่เนี่ยมันเป็นอะไรที่อันตรายได้ไม่คุ้มเสียที่สุดเลยล่ะ
พูดถึงโรงเรียนฮีโร่มาก็หลายครั้ง คุณอาจจะสงสัยว่าโรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนแบบไหน ถ้าให้อธิบายง่ายๆก็โรงเรียนทั่วไปที่เพิ่มการฝึกการกู้โลก พร้อมหลักสูตรล้างสมองให้ผู้มีพลังทุกคนเป็นคนดีไม่ใช้พลังในทางที่ไม่ควรนั่นแหละ โดยในโรงเรียนจะมีอยู่สองแผนการเรียนคือแผนการเรียนฮีโร่ และแผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่ แผนการเรียนฮีโร่มันก็ตรงตัวนั่นแหละว่าฝึกการเป็นฮีโร่ ส่วนแผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่อย่างผมงั้นเหรอ...พูดง่ายๆก็พวกพลังไม่ถึงขั้นนั้นแหละ
เอาจริงๆพวกที่เรียนจบจากแผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่เนี่ย ส่วนมากก็ไปใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดานักหรอก ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะแรงงานมันล้นตลาดไง คุณคิดว่าโลกนี้ต้องการฮีโร่เยอะมากมายขนาดไหน...คำตอบก็คือไม่เยอะมากมายเท่าที่เกิดมาหรอก ดังนั้นผู้ช่วยจะมีเยอะมากมายมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงไหม ไม่นับเรื่องที่พวกแผนฮีโร่ระดับต่ำๆผันตัวเองมาเป็นผู้ช่วย หรือพวกฮีโร่ที่ได้กันเองเลยทำงานเป็นคู่ไม่ต้องการผู้ช่วยนะ ดังนั้นประชากรส่วนใหญ่ของแผนผู้ช่วยฮีโร่จึงจบออกไปเรียนมหาลัยทำงานปกติทั่วไปแค่มีความเข้าใจเรื่องระบบการทำงานของฮีโร่มากกว่าคนทั่วไปและช่วยอำนวยความสะดวกได้ก็แค่นั้นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะในหมู่พวกผู้ช่วยด้วยกันก็มีบางกลุ่มที่เป็นที่ต้องการอยู่ อย่างเช่นพวกแผนกสนับสนุน พวกนี้อาจจะมีพลังไม่มากพอหรือเหมาะจะเป็นฮีโร่ด้วยตนเองเลยต้องมาเป็นผู้ช่วย เอาง่ายๆถ้าคุณมีพลังคุยกับต้นไม้ใบหญ้า หรือรักษาแผลได้คงไม่มีใครอยากส่งคุณออกไปสู้จริงไหม พวกนี้มักจะจับคู่กับฮีโร่แล้วทำงานเบื้องหลังพวกรวบรวมข้อมูล คอยดูแลรักษาฮีโร่ไป อีกแผนกที่เชิดหน้าชูตาแผนการเรียนผู้ช่วยคือแผนกนวัตกรรม พวกนี้ส่วนมากจบไปก็ไปเป็นนักประดิษฐ์อุปกรณ์ให้ฮีโร่ ไม่ก็เทิร์นโปรเป็นฮีโร่ซะเอง แต่ได้ยินมาว่ามีบางคนจบไปเปิดบริษัทใหญ่โตก็มีเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นสายงานที่มีอนาคตไกลเลยล่ะ
ส่วนผมนะเหรอ? แผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่ แผนกทั่วไป ก็ไม่อยากพูดหรอกนะว่าคือพวกระดับ ต่ำในต่ำ เพราะเอาจริงๆนานๆทีก็มีคนเจ๋งๆหลงเข้ามาเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าระดับพลังโดยทั่วไปของแผนกนี้ก็คือจุดไฟที่ปลายนิ้วได้นิ้วเดียวนั้นแหละ แผนกนี้คือแผนกที่จบออกไปทำงานทั่วไปมากที่สุด ดังนั้นผมที่ใฝ่ฝัน และคลั่งไคล้การใช้ชีวิตอย่างสงบจึงมุ่งมั่นที่จะเข้าเรียนในแผนการเรียนนี้
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าที่ตรงนี้ว่างไหมครับ”
ผมเงยหน้ามองที่มาของเสียง ผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มแกมแดง หน้าตาน่าจะเรียกได้ว่าดีเกินค่ามาตรฐานคนหนึ่งยิ้มให้พร้อมชี้มายังเก้าอี้ว่างข้างๆที่ผมใช้วางกระเป๋าอยู่ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าห้องประชุมปฐมนิเทศออกจะกว้างทำไมเขาถึงต้องเจาะจงมานั่งข้างๆผมด้วย ผมเลื่อนสายตาลงมองเข็มกลัดที่ติดอยู่ที่อกเสื้อของอีกฝ่าย...แผนการเรียนฮีโร่...ถึงว่าสิพวกฮีโร่เนี่ยมีแต่ปัญหาจริงๆ ผมเก็บความหงุดหงิดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าขึ้นจากเก้าอี้ตัวข้างๆและหยิบเอาหูฟังไร้สายขึ้นมาเสียบเอาไว้พร้อมลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณครับ...อ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ..”
ผมเหลือบมองสีหน้าเหลอหลาของเขาด้วยหางตาก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาและเร่งเสียงเพลงให้ดังกลบเสียงเรียกของเขาจากนั้นก็เดินออกมาเพื่อไปหาที่นั่งที่ห่างไกลจากพวกฮีโร่มากกว่านี้...นี่ผมทำตัวไร้มนุษย์สัมพันธ์มากเกินไปรึเปล่า? ก็น่าจะละนะ...เล่นทำหน้าหงอยซะขนาดนั้นมันก็น่าสงสารหน่อยๆ...แต่เอาเถอะ อยู่ใกล้พวกฮีโร่เกินไปไม่มีเรื่องดีหรอก ทำแบบนี้ดีแล้วละ...ผมคิดว่างั้นนะ
TBC
ถ้าผมอยู่ในโลกที่ผู้คนต่างก็ไม่มีพลังพิเศษอะไรแต่กลับนิยมเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ซะจนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ แล้วมีคนถามผมว่าถ้าเข้าไปอยู่ในโลกของฮีโร่เหล่านั้นได้ ผมจะเลือกมีบทบาทอะไร คำตอบของผมคงเป็น ขอเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องวุ่นวายและตายช้าที่สุด...หรือพูดง่ายๆก็คือผมขอเป็นชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ในที่ห่างไกลพวกฮีโร่ให้มากที่สุด...อะไรนะ ตัวเอกของเรื่องต่างหากที่มีโอกาสตายน้อยที่สุดงั้นเหรอ? อืม ถ้าเป็นตัวเอกชีวิตมันไม่มีทางหาความสงบสุขได้จริงไหม อีกอย่างผมไม่ได้แคร์เรื่องความตายสักเท่าไหร่ ยังไงสักวันคนเราก็ต้องตายอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ตายในเหตุการณ์ล้างโลกอะไรพวกนั้นมันก็ไม่แปลกอะไรจริงไหม เอาจริงๆมีเพื่อนร่วมตายเยอะแยะมันก็ไม่เลวร้ายหรอก
แต่เมื่อพิจารณาถึงโลกที่ผมอยู่ โลกที่เด็กแรกเกิดทุกคนจะถูกตรวจสอบพันธุกรรมเพื่อหาว่ามีพลังแฝงอยู่ในตัวหรือไม่ และหากตรวจพบว่ามีพลังแล้วล่ะก็เมื่อถึงเวลาก็จะถูกจับยัดเข้าโรงเรียนอบรมเป็นฮีโร่อย่างไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วละก็ ชีวิตของผมมันคงจะหาความสงบสุขอะไรไม่ได้ ในเมื่อผลตรวจพันธุกรรมของผมในวัยสามชั่วโมงมันออกมาเป็นบวก ในโลกของผมคนราวๆ 1% นั้นเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษ บอกเป็นเปอร์เซนมันเหมือนจะไม่เยอะใช่ไหม แต่เมื่อลองเอาไปคูณกับจำนวนประชากรแล้วละก็...มากเกินพอที่จะทำให้โลกมันวุ่นวายละนะ ยังดีที่พลังส่วนมากไม่ต่างอะไรกับขยะ ที่อย่างดีก็แค่พอจะเอาออกมาโชว์เรียกเสียงฮือฮาในงานปาร์ตี้ได้ก็แค่นั้น
การมีพลังไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือเป็นความลับ ภาพของคุณป้าข้างบ้านยืนหน้าประตูแล้วใช้พลังจิตยกถุงขยะมาทิ้งก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป นั่นเป็นเพราะจำนวนของผู้มีพลังที่มีมากจนภาครัฐหมดปัญญาจะควบคุม ดังนั้นหากคุณมีแค่พลังกระจอกๆอย่างพลังจิตที่ยกของหนักได้ไม่เกินสองกิโล หรือคุยกับแมลงสาปรู้เรื่องแล้วละก็ หลังจากจบจากโรงเรียนฮีโร่ คุณก็สามารถออกมาใช้ชีวิตธรรมดาๆ เพียงแค่ต้องไปรายงานตัวอย่างสม่ำเสมอ ส่วนพวกมีพลังระดับระเบิดภูเขาเผากระท่อมงั้นเหรอ? พวกนั้นเรียนแผนการเรียนฮีโร่จบมาถ้าไม่ดีแตกไปเป็นวายร้ายซะก่อนส่วนมากก็ทำงานกับหน่วยงานความมั่นคงต่างๆนั่นแหละ น้อยมากที่จะออกมาเป็นฮีโร่อิสระ เพราะถ้าไม่มีคนคอยคุ้มครองแล้วละก็อาชีพฮีโร่เนี่ยมันเป็นอะไรที่อันตรายได้ไม่คุ้มเสียที่สุดเลยล่ะ
พูดถึงโรงเรียนฮีโร่มาก็หลายครั้ง คุณอาจจะสงสัยว่าโรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนแบบไหน ถ้าให้อธิบายง่ายๆก็โรงเรียนทั่วไปที่เพิ่มการฝึกการกู้โลก พร้อมหลักสูตรล้างสมองให้ผู้มีพลังทุกคนเป็นคนดีไม่ใช้พลังในทางที่ไม่ควรนั่นแหละ โดยในโรงเรียนจะมีอยู่สองแผนการเรียนคือแผนการเรียนฮีโร่ และแผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่ แผนการเรียนฮีโร่มันก็ตรงตัวนั่นแหละว่าฝึกการเป็นฮีโร่ ส่วนแผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่อย่างผมงั้นเหรอ...พูดง่ายๆก็พวกพลังไม่ถึงขั้นนั้นแหละ
เอาจริงๆพวกที่เรียนจบจากแผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่เนี่ย ส่วนมากก็ไปใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดานักหรอก ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะแรงงานมันล้นตลาดไง คุณคิดว่าโลกนี้ต้องการฮีโร่เยอะมากมายขนาดไหน...คำตอบก็คือไม่เยอะมากมายเท่าที่เกิดมาหรอก ดังนั้นผู้ช่วยจะมีเยอะมากมายมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงไหม ไม่นับเรื่องที่พวกแผนฮีโร่ระดับต่ำๆผันตัวเองมาเป็นผู้ช่วย หรือพวกฮีโร่ที่ได้กันเองเลยทำงานเป็นคู่ไม่ต้องการผู้ช่วยนะ ดังนั้นประชากรส่วนใหญ่ของแผนผู้ช่วยฮีโร่จึงจบออกไปเรียนมหาลัยทำงานปกติทั่วไปแค่มีความเข้าใจเรื่องระบบการทำงานของฮีโร่มากกว่าคนทั่วไปและช่วยอำนวยความสะดวกได้ก็แค่นั้นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะในหมู่พวกผู้ช่วยด้วยกันก็มีบางกลุ่มที่เป็นที่ต้องการอยู่ อย่างเช่นพวกแผนกสนับสนุน พวกนี้อาจจะมีพลังไม่มากพอหรือเหมาะจะเป็นฮีโร่ด้วยตนเองเลยต้องมาเป็นผู้ช่วย เอาง่ายๆถ้าคุณมีพลังคุยกับต้นไม้ใบหญ้า หรือรักษาแผลได้คงไม่มีใครอยากส่งคุณออกไปสู้จริงไหม พวกนี้มักจะจับคู่กับฮีโร่แล้วทำงานเบื้องหลังพวกรวบรวมข้อมูล คอยดูแลรักษาฮีโร่ไป อีกแผนกที่เชิดหน้าชูตาแผนการเรียนผู้ช่วยคือแผนกนวัตกรรม พวกนี้ส่วนมากจบไปก็ไปเป็นนักประดิษฐ์อุปกรณ์ให้ฮีโร่ ไม่ก็เทิร์นโปรเป็นฮีโร่ซะเอง แต่ได้ยินมาว่ามีบางคนจบไปเปิดบริษัทใหญ่โตก็มีเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นสายงานที่มีอนาคตไกลเลยล่ะ
ส่วนผมนะเหรอ? แผนการเรียนผู้ช่วยฮีโร่ แผนกทั่วไป ก็ไม่อยากพูดหรอกนะว่าคือพวกระดับ ต่ำในต่ำ เพราะเอาจริงๆนานๆทีก็มีคนเจ๋งๆหลงเข้ามาเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าระดับพลังโดยทั่วไปของแผนกนี้ก็คือจุดไฟที่ปลายนิ้วได้นิ้วเดียวนั้นแหละ แผนกนี้คือแผนกที่จบออกไปทำงานทั่วไปมากที่สุด ดังนั้นผมที่ใฝ่ฝัน และคลั่งไคล้การใช้ชีวิตอย่างสงบจึงมุ่งมั่นที่จะเข้าเรียนในแผนการเรียนนี้
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าที่ตรงนี้ว่างไหมครับ”
ผมเงยหน้ามองที่มาของเสียง ผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มแกมแดง หน้าตาน่าจะเรียกได้ว่าดีเกินค่ามาตรฐานคนหนึ่งยิ้มให้พร้อมชี้มายังเก้าอี้ว่างข้างๆที่ผมใช้วางกระเป๋าอยู่ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าห้องประชุมปฐมนิเทศออกจะกว้างทำไมเขาถึงต้องเจาะจงมานั่งข้างๆผมด้วย ผมเลื่อนสายตาลงมองเข็มกลัดที่ติดอยู่ที่อกเสื้อของอีกฝ่าย...แผนการเรียนฮีโร่...ถึงว่าสิพวกฮีโร่เนี่ยมีแต่ปัญหาจริงๆ ผมเก็บความหงุดหงิดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าขึ้นจากเก้าอี้ตัวข้างๆและหยิบเอาหูฟังไร้สายขึ้นมาเสียบเอาไว้พร้อมลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณครับ...อ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ..”
ผมเหลือบมองสีหน้าเหลอหลาของเขาด้วยหางตาก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาและเร่งเสียงเพลงให้ดังกลบเสียงเรียกของเขาจากนั้นก็เดินออกมาเพื่อไปหาที่นั่งที่ห่างไกลจากพวกฮีโร่มากกว่านี้...นี่ผมทำตัวไร้มนุษย์สัมพันธ์มากเกินไปรึเปล่า? ก็น่าจะละนะ...เล่นทำหน้าหงอยซะขนาดนั้นมันก็น่าสงสารหน่อยๆ...แต่เอาเถอะ อยู่ใกล้พวกฮีโร่เกินไปไม่มีเรื่องดีหรอก ทำแบบนี้ดีแล้วละ...ผมคิดว่างั้นนะ
TBC