ชมพูนาคี
9.7
เขียนโดย หิ่งห้อยใต้เงาจันทร์
วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 13.17 น.
10 ตอน
3 วิจารณ์
14.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2562 14.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ความสูญเสีย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ท้าวนาคินพร้อมเหล่าบุตรชายหนุ่มฉกรรจ์ทั้ง 30 คนกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปตามคำชี้บอกทางจากปากของนางสุวรรณมาลีนาคี ผู้เป็นบุตรีด้วยใจที่ร้อนรนยิ่งนัก ด้วยเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับชมพูนาคีบุตรีคนสุดท้องของตน
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องแสบแก้วหูของสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่เหนือยอดไม้สูง
"แว๊ก แว๊ก แว๊ก"
นาคหนุ่มที่จำแลงกายเป็นมนุษย์หลายคนกำลังเหนี่ยวคันธนูเล็งลูกศรไปตามเสียงที่ได้ยิน ทันทีที่เห็นต้นกำเนิดเสียงอันแสบแก้วหูนั่น มันคือนกที่มีขนาดลำตัวใหญ่โตมาก มันตัวใหญ่เท่ากับบ้านของพวกมนุษย์เลยก็ว่าได้
"อย่ายิง!" ท้าวนาคินสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงอันดังและแข็งกร้าว
"นกตัวนั้นมันไม่ได้มีอันตรายอะไรกับพวกเรา มันแค่จะบินไปกินลูกหว้าที่ต้นโน้นเท่านั้นเอง" ท้าวนาคินอธิบายพร้อมชี้นิ้วให้บุตรดูต้นหว้าที่กำลังพูดถึง
"ต้นหว้านี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ เพราะยางของมันตกลงไปในน้ำจะกลายเป็นทองคำทันที แต่พวกเจ้าอย่าเกิดความโลภ ลงไปงมเอาทองนั่นขึ้นมาหล่ะ เพราะในน้ำนั่นมีปลายักษ์รักษาอยู่ น้ำที่พวกเจ้าเห็นคือทะเลสีทันดร ขนาดปลาตัวเล็กที่สุดซึ่งคือปลาติรปิงคล ยังขนาดลำตัวยาวตั้ง 50 โยชน์เลย ส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดนี่คือปลามรปิงคล มันมีขนาดลำตัวยาวถึง 5,000 โยชน์เลยทีเดียว" ท้าวนาคินอธิบายต่อ
"โอ้โฮ...!" นาคหนุ่มตนหนึ่งเผลออุทานออกมาด้วยเสียงอันดังด้วยความประหลาดใจ จนนาคหนุ่มหลายตนตกใจ พอตั้งสติได้ ต่างก็หัวเราะไปตามๆ กัน กลบความตึงเครียดไปได้ขณะหนึ่ง
"ท่านพ่อๆ! ดูโน่น" นาคหนุ่มตนหนึ่งชี้นิ้วบอกให้บิดาและพี่น้องของตนมองตามตำแหน่งที่เขาเห็น
"ข้าเห็นต้นไม้ประหลาดอีกแล้ว มีหญิงสาวถูกจับมัดไว้ที่นั่นด้วย" นาคหนุ่มรีบพูดด้วยความตกใจจนเสียงตะกุกตะกัก
"นั่นคือต้นนารีผล และหญิงสาวที่เจ้าบอกว่าถูกมัดไว้นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงผลไม้ของต้นนารีผลเท่านั้นเอง" ท้าวนาคินอธิบาย
"ต้นนารีผลเกิดจากอำนาจบันดาลของพระอิศวรผู้สร้างโลก พระองค์ทรงใช้ต้นนารีผลป้องกันภัยให้พระนางมัทรีพ้นภัยจากบรรดาเหล่าฤาษีที่มีตบะแก่กล้า ซึ่งพากันเหาะเหินมาแอบมองเพื่อชื่นชมความงามของพระนางมัทรีที่ตามเสด็จพระเวสสันดรมาบำเพ็ญเพียรยังป่าหิมพานต์แห่งนี้ ด้วยพระอิศวรไม่อยากให้เหล่าฤาษีสร้างความรำคาญให้แก่พระเวสสันดรกับพระนางมัทรี พระองค์จึงสร้างต้นนารีผลขึ้นมา เพื่อพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีจะได้อยู่ในดินแดนแห่งนี้ด้วยความสงบสุขต่อไป" ท้าวนาคินอธิบายต่อ
"แล้วต้นนารีผลนี่ป้องกันภัยให้พระนางมัทรีได้อย่างไรขอรับท่านพ่อ" นาคหนุ่มตนหนึ่งอดสงสัยไม่ได้เลยถามบิดาผู้รอบรู้ทั้งสามโลกต่อ
"เมื่อใดที่ฤาษีเหาะมาเห็นต้นนารีผลนี้ ตบะแก่กล้าที่บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปีก็จะเสื่อมสลายไป ทำให้เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้อีก ด้วยถูกตัณหา ราคะเข้าครอบงำ ฤาษีต่างพากันแย่งชิงผลของต้นนารีผลไปเพื่อเสพสังวาสตามสัญชาติญาณเดิมของสัตว์โลกทั่วไป" ท้าวนาคินอธิบายเสริม
ขณะที่เหล่านาคหนุ่มกำลังตั้งใจฟังบิดาเล่าเรื่องต้นนารีผลอย่างตั้งใจอยู่นั้น พลันโสตประสาทหูก็กระทบเข้ากับเสียงหนึ่งซึ่งไพเราะมาก เสียงนั้นไพเราะจนถึงขั้นทำให้นาคทุกตนยืนนิ่งตะลึงงันเหมือนหุ่นปั้นก็ไม่ปาน เสียงนี้ไพเราะกว่าเสียงใดในโลก ยากที่จะหาเสียงใดในโลกมนุษย์ทัดเทียมได้
"มันคือเสียงนกกรวิก"
เมื่อเสียงนั้นผ่านไป ท้าวนาคินจึงบอกบุตรเบาๆ ในลำคอ เหมือนกำลังพึ่งตื่นจากฝันหวาน
ยังไม่ทันที่สติของนาคทุกตนกลับมาทำงานตามปกติหลังจากเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงอันไพเราะของนกกรวิกมากนัก พลันอาการของนาคทุกตนต่างตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยินตามมาด้วยอาการตรงกันข้ามอย่างสุดขีด เสียงนี้มันดังราวกับจะแยกภูเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ พลังเสียงแฝงไว้ซึ่งอำนาจ ชวนให้ขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ได้ยินต่างหวาดกลัวจนสลบไป หรือไม่ก็อุจจาระแตก ปัสสาวะแตกกันเลยทีเดียว เช่นเดียวกับเหล่าบรรดานาคทุกตนต่างสลบไปเพราะเสียงนั่น
จนกระทั่งเสียงนั่นผ่านเลยไป จึงทำให้นาคทุกตนต่างรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย
"เสียงของเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง...ไกรสรสีหะ...ข้าพึ่งเห็นอานุภาพของเสียงนั่นก็คราวนี้เอง" ท้าวนาคินพึมพำในลำคอเบาๆ
"เสียงอะไรขอรับท่านพ่อ มันดังมากจนน่าสยดสยอง" นาคหนุ่มระล่ำระลักถามบิดาด้วยอาการสั่นเทา เพราะยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"นั่นคือเสียงของไกรสรสีหะ เป็นราชสีห์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง" ท้าวนาคิน บอกลูกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยเพราะความตกใจยังไม่จางหายไป
ท้าวนาคินเรียกสติเหล่าบุตรกลับมาโดยให้ใช้น้ำจากสระอโนดาตมาล้างหน้า และลูบตามแขนขา เพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับมา จากนั้นต่างพากันเดินทางต่อด้วยสายตาระแวดระวังภัย แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง ขนาดท้าวนาคินผู้รอบรู้ในสามโลกยังเพรี่ยงพร้ำ ดั่งหลักธรรมที่ว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ทำให้ท้าวนาคินพาบรรดาเหล่านาคินหนุ่มหลงเข้าไปสู่ดินแดนเสื่อมมนต์ ซึ่งเป็นดินแดนอาถรรพณ์ ที่มนตราทุกชนิดจะเสื่อมลง ณ ดินแดนนี้ ทำให้เหล่านาคทุกตนแปลสภาพกลับไปสู่ร่างเดิมของตนทันที
"แย่แล้วท่านพ่อ!" นาคทุกตนต่างอุทานขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจสุดขีด
"ตั้งสติไว้บุตรข้า พากันรีบหาที่ซ่อนกำบังกาย แล้วรีบออกไปจากดินแดนเสื่อมมนต์นี่โดยเร็ว!" ท้าวนาคินสั่งกำชับลูกด้วยเสียงอันดัง
"ข้าได้กลิ่นพวกนาคอยู่ใกล้ๆ แถวนี้นะ" ครุฑนิสัยอันธพาลตนหนึ่งบอกกับเหล่าสมุนของมัน
"โน่นไงพวกนาค พวกมันอยู่ริมสระอโนดาตนั่น" สมุนตนหนึ่งชี้บอกหัวหน้าเพื่อเอาหน้า
"อ้อ...อยู่นั่นเอง พวกเจ้าจะได้อิ่มท้องไปหลายเพลาก็คราวนี้หล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" หัวหน้าครุฑอันธพาลหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ
ไม่ทันที่เหล่านาคจะได้ตั้งตัว เหล่าครุฑอันธพาลก็โฉบลูกๆ ของท้าวนาคินไปกินเกือบหมด
"ลูกพ่อ!" ท้าวนาคินอุทานออกมาเสียงดังด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือจากหัวใจที่ปวดร้าว ใจแทบแตกสลายตายตามลูกไป แต่ยังมีโชคอยู่บ้างที่สุคินนาคายังปลอดภัย แล้วรีบพาบิดาไปหลบซ่อนในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่
ท้าวนาคินร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจที่สูญเสียบุตรไปโดยมิได้ร่ำลากัน มีเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นเพื่อเรียกสติท้าวนาคินให้กลับมา
"ความพลัดพรากก็เป็นทุกข์"
"อยากได้สิ่งใด แล้วไม่ได้ดั่งใจ นั่นก็เป็นทุกข์"
ท้าวนาคินและสุคินนาคาต่างอยู่ในร่างมนุษย์ในถ้ำแห่งนี้ พากันก้มกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความเคารพนอบน้อม พร้อมทั้งสะกดกั้นความเสียใจไว้ เสียงสะอื้นไห้ไหลลงไปในลำคอเป็นระลอกคลื่นลงไปลูกแล้วลูกเล่ากว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานาน
"พยายามสงบสติอารมณ์เถิดอุบาสกทั้งสอง การพลัดพรากย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การตายก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกันที่ใครๆ ก็ไม่สามารถหนีพ้นได้" พระปัจเจกพุทธเจ้าเปิดพระโอษฐ์กล่าววาจาเพียงเท่านี้ก็ปิดพระโอษฐ์ลง แล้วหลับตานั่งบำเพ็ญเพียรต่อไปด้วยอาการสงบ
น้ำเสียงที่แฝงด้วยความเมตตานั้นเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ช่วยผ่อนคลายความทุกข์โศกของท้าวนาคินและสุคินนาคาให้เบาบางลงได้ในที่สุด
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องแสบแก้วหูของสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่เหนือยอดไม้สูง
"แว๊ก แว๊ก แว๊ก"
นาคหนุ่มที่จำแลงกายเป็นมนุษย์หลายคนกำลังเหนี่ยวคันธนูเล็งลูกศรไปตามเสียงที่ได้ยิน ทันทีที่เห็นต้นกำเนิดเสียงอันแสบแก้วหูนั่น มันคือนกที่มีขนาดลำตัวใหญ่โตมาก มันตัวใหญ่เท่ากับบ้านของพวกมนุษย์เลยก็ว่าได้
"อย่ายิง!" ท้าวนาคินสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงอันดังและแข็งกร้าว
"นกตัวนั้นมันไม่ได้มีอันตรายอะไรกับพวกเรา มันแค่จะบินไปกินลูกหว้าที่ต้นโน้นเท่านั้นเอง" ท้าวนาคินอธิบายพร้อมชี้นิ้วให้บุตรดูต้นหว้าที่กำลังพูดถึง
"ต้นหว้านี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ เพราะยางของมันตกลงไปในน้ำจะกลายเป็นทองคำทันที แต่พวกเจ้าอย่าเกิดความโลภ ลงไปงมเอาทองนั่นขึ้นมาหล่ะ เพราะในน้ำนั่นมีปลายักษ์รักษาอยู่ น้ำที่พวกเจ้าเห็นคือทะเลสีทันดร ขนาดปลาตัวเล็กที่สุดซึ่งคือปลาติรปิงคล ยังขนาดลำตัวยาวตั้ง 50 โยชน์เลย ส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดนี่คือปลามรปิงคล มันมีขนาดลำตัวยาวถึง 5,000 โยชน์เลยทีเดียว" ท้าวนาคินอธิบายต่อ
"โอ้โฮ...!" นาคหนุ่มตนหนึ่งเผลออุทานออกมาด้วยเสียงอันดังด้วยความประหลาดใจ จนนาคหนุ่มหลายตนตกใจ พอตั้งสติได้ ต่างก็หัวเราะไปตามๆ กัน กลบความตึงเครียดไปได้ขณะหนึ่ง
"ท่านพ่อๆ! ดูโน่น" นาคหนุ่มตนหนึ่งชี้นิ้วบอกให้บิดาและพี่น้องของตนมองตามตำแหน่งที่เขาเห็น
"ข้าเห็นต้นไม้ประหลาดอีกแล้ว มีหญิงสาวถูกจับมัดไว้ที่นั่นด้วย" นาคหนุ่มรีบพูดด้วยความตกใจจนเสียงตะกุกตะกัก
"นั่นคือต้นนารีผล และหญิงสาวที่เจ้าบอกว่าถูกมัดไว้นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงผลไม้ของต้นนารีผลเท่านั้นเอง" ท้าวนาคินอธิบาย
"ต้นนารีผลเกิดจากอำนาจบันดาลของพระอิศวรผู้สร้างโลก พระองค์ทรงใช้ต้นนารีผลป้องกันภัยให้พระนางมัทรีพ้นภัยจากบรรดาเหล่าฤาษีที่มีตบะแก่กล้า ซึ่งพากันเหาะเหินมาแอบมองเพื่อชื่นชมความงามของพระนางมัทรีที่ตามเสด็จพระเวสสันดรมาบำเพ็ญเพียรยังป่าหิมพานต์แห่งนี้ ด้วยพระอิศวรไม่อยากให้เหล่าฤาษีสร้างความรำคาญให้แก่พระเวสสันดรกับพระนางมัทรี พระองค์จึงสร้างต้นนารีผลขึ้นมา เพื่อพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีจะได้อยู่ในดินแดนแห่งนี้ด้วยความสงบสุขต่อไป" ท้าวนาคินอธิบายต่อ
"แล้วต้นนารีผลนี่ป้องกันภัยให้พระนางมัทรีได้อย่างไรขอรับท่านพ่อ" นาคหนุ่มตนหนึ่งอดสงสัยไม่ได้เลยถามบิดาผู้รอบรู้ทั้งสามโลกต่อ
"เมื่อใดที่ฤาษีเหาะมาเห็นต้นนารีผลนี้ ตบะแก่กล้าที่บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปีก็จะเสื่อมสลายไป ทำให้เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้อีก ด้วยถูกตัณหา ราคะเข้าครอบงำ ฤาษีต่างพากันแย่งชิงผลของต้นนารีผลไปเพื่อเสพสังวาสตามสัญชาติญาณเดิมของสัตว์โลกทั่วไป" ท้าวนาคินอธิบายเสริม
ขณะที่เหล่านาคหนุ่มกำลังตั้งใจฟังบิดาเล่าเรื่องต้นนารีผลอย่างตั้งใจอยู่นั้น พลันโสตประสาทหูก็กระทบเข้ากับเสียงหนึ่งซึ่งไพเราะมาก เสียงนั้นไพเราะจนถึงขั้นทำให้นาคทุกตนยืนนิ่งตะลึงงันเหมือนหุ่นปั้นก็ไม่ปาน เสียงนี้ไพเราะกว่าเสียงใดในโลก ยากที่จะหาเสียงใดในโลกมนุษย์ทัดเทียมได้
"มันคือเสียงนกกรวิก"
เมื่อเสียงนั้นผ่านไป ท้าวนาคินจึงบอกบุตรเบาๆ ในลำคอ เหมือนกำลังพึ่งตื่นจากฝันหวาน
ยังไม่ทันที่สติของนาคทุกตนกลับมาทำงานตามปกติหลังจากเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงอันไพเราะของนกกรวิกมากนัก พลันอาการของนาคทุกตนต่างตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยินตามมาด้วยอาการตรงกันข้ามอย่างสุดขีด เสียงนี้มันดังราวกับจะแยกภูเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ พลังเสียงแฝงไว้ซึ่งอำนาจ ชวนให้ขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ได้ยินต่างหวาดกลัวจนสลบไป หรือไม่ก็อุจจาระแตก ปัสสาวะแตกกันเลยทีเดียว เช่นเดียวกับเหล่าบรรดานาคทุกตนต่างสลบไปเพราะเสียงนั่น
จนกระทั่งเสียงนั่นผ่านเลยไป จึงทำให้นาคทุกตนต่างรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย
"เสียงของเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง...ไกรสรสีหะ...ข้าพึ่งเห็นอานุภาพของเสียงนั่นก็คราวนี้เอง" ท้าวนาคินพึมพำในลำคอเบาๆ
"เสียงอะไรขอรับท่านพ่อ มันดังมากจนน่าสยดสยอง" นาคหนุ่มระล่ำระลักถามบิดาด้วยอาการสั่นเทา เพราะยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"นั่นคือเสียงของไกรสรสีหะ เป็นราชสีห์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง" ท้าวนาคิน บอกลูกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยเพราะความตกใจยังไม่จางหายไป
ท้าวนาคินเรียกสติเหล่าบุตรกลับมาโดยให้ใช้น้ำจากสระอโนดาตมาล้างหน้า และลูบตามแขนขา เพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับมา จากนั้นต่างพากันเดินทางต่อด้วยสายตาระแวดระวังภัย แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง ขนาดท้าวนาคินผู้รอบรู้ในสามโลกยังเพรี่ยงพร้ำ ดั่งหลักธรรมที่ว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ทำให้ท้าวนาคินพาบรรดาเหล่านาคินหนุ่มหลงเข้าไปสู่ดินแดนเสื่อมมนต์ ซึ่งเป็นดินแดนอาถรรพณ์ ที่มนตราทุกชนิดจะเสื่อมลง ณ ดินแดนนี้ ทำให้เหล่านาคทุกตนแปลสภาพกลับไปสู่ร่างเดิมของตนทันที
"แย่แล้วท่านพ่อ!" นาคทุกตนต่างอุทานขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจสุดขีด
"ตั้งสติไว้บุตรข้า พากันรีบหาที่ซ่อนกำบังกาย แล้วรีบออกไปจากดินแดนเสื่อมมนต์นี่โดยเร็ว!" ท้าวนาคินสั่งกำชับลูกด้วยเสียงอันดัง
"ข้าได้กลิ่นพวกนาคอยู่ใกล้ๆ แถวนี้นะ" ครุฑนิสัยอันธพาลตนหนึ่งบอกกับเหล่าสมุนของมัน
"โน่นไงพวกนาค พวกมันอยู่ริมสระอโนดาตนั่น" สมุนตนหนึ่งชี้บอกหัวหน้าเพื่อเอาหน้า
"อ้อ...อยู่นั่นเอง พวกเจ้าจะได้อิ่มท้องไปหลายเพลาก็คราวนี้หล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" หัวหน้าครุฑอันธพาลหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ
ไม่ทันที่เหล่านาคจะได้ตั้งตัว เหล่าครุฑอันธพาลก็โฉบลูกๆ ของท้าวนาคินไปกินเกือบหมด
"ลูกพ่อ!" ท้าวนาคินอุทานออกมาเสียงดังด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือจากหัวใจที่ปวดร้าว ใจแทบแตกสลายตายตามลูกไป แต่ยังมีโชคอยู่บ้างที่สุคินนาคายังปลอดภัย แล้วรีบพาบิดาไปหลบซ่อนในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่
ท้าวนาคินร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจที่สูญเสียบุตรไปโดยมิได้ร่ำลากัน มีเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นเพื่อเรียกสติท้าวนาคินให้กลับมา
"ความพลัดพรากก็เป็นทุกข์"
"อยากได้สิ่งใด แล้วไม่ได้ดั่งใจ นั่นก็เป็นทุกข์"
ท้าวนาคินและสุคินนาคาต่างอยู่ในร่างมนุษย์ในถ้ำแห่งนี้ พากันก้มกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความเคารพนอบน้อม พร้อมทั้งสะกดกั้นความเสียใจไว้ เสียงสะอื้นไห้ไหลลงไปในลำคอเป็นระลอกคลื่นลงไปลูกแล้วลูกเล่ากว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานาน
"พยายามสงบสติอารมณ์เถิดอุบาสกทั้งสอง การพลัดพรากย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การตายก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกันที่ใครๆ ก็ไม่สามารถหนีพ้นได้" พระปัจเจกพุทธเจ้าเปิดพระโอษฐ์กล่าววาจาเพียงเท่านี้ก็ปิดพระโอษฐ์ลง แล้วหลับตานั่งบำเพ็ญเพียรต่อไปด้วยอาการสงบ
น้ำเสียงที่แฝงด้วยความเมตตานั้นเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ช่วยผ่อนคลายความทุกข์โศกของท้าวนาคินและสุคินนาคาให้เบาบางลงได้ในที่สุด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ