ชมพูนาคี

9.7

วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 13.17 น.

  10 ตอน
  3 วิจารณ์
  14.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2562 14.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ความสูญเสีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                ท้าวนาคินพร้อมเหล่าบุตรชายหนุ่มฉกรรจ์ทั้ง 30 คนกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปตามคำชี้บอกทางจากปากของนางสุวรรณมาลีนาคี  ผู้เป็นบุตรีด้วยใจที่ร้อนรนยิ่งนัก  ด้วยเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับชมพูนาคีบุตรีคนสุดท้องของตน

 

                ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องแสบแก้วหูของสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่เหนือยอดไม้สูง

 

                "แว๊ก แว๊ก แว๊ก"

 

                นาคหนุ่มที่จำแลงกายเป็นมนุษย์หลายคนกำลังเหนี่ยวคันธนูเล็งลูกศรไปตามเสียงที่ได้ยิน  ทันทีที่เห็นต้นกำเนิดเสียงอันแสบแก้วหูนั่น  มันคือนกที่มีขนาดลำตัวใหญ่โตมาก  มันตัวใหญ่เท่ากับบ้านของพวกมนุษย์เลยก็ว่าได้

 

                "อย่ายิง!"  ท้าวนาคินสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงอันดังและแข็งกร้าว

 

                "นกตัวนั้นมันไม่ได้มีอันตรายอะไรกับพวกเรา  มันแค่จะบินไปกินลูกหว้าที่ต้นโน้นเท่านั้นเอง"  ท้าวนาคินอธิบายพร้อมชี้นิ้วให้บุตรดูต้นหว้าที่กำลังพูดถึง

 

                "ต้นหว้านี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ  เพราะยางของมันตกลงไปในน้ำจะกลายเป็นทองคำทันที  แต่พวกเจ้าอย่าเกิดความโลภ ลงไปงมเอาทองนั่นขึ้นมาหล่ะ  เพราะในน้ำนั่นมีปลายักษ์รักษาอยู่  น้ำที่พวกเจ้าเห็นคือทะเลสีทันดร  ขนาดปลาตัวเล็กที่สุดซึ่งคือปลาติรปิงคล ยังขนาดลำตัวยาวตั้ง 50 โยชน์เลย  ส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดนี่คือปลามรปิงคล  มันมีขนาดลำตัวยาวถึง 5,000 โยชน์เลยทีเดียว"  ท้าวนาคินอธิบายต่อ

 

                "โอ้โฮ...!"  นาคหนุ่มตนหนึ่งเผลออุทานออกมาด้วยเสียงอันดังด้วยความประหลาดใจ  จนนาคหนุ่มหลายตนตกใจ  พอตั้งสติได้  ต่างก็หัวเราะไปตามๆ กัน กลบความตึงเครียดไปได้ขณะหนึ่ง

 

                "ท่านพ่อๆ! ดูโน่น"  นาคหนุ่มตนหนึ่งชี้นิ้วบอกให้บิดาและพี่น้องของตนมองตามตำแหน่งที่เขาเห็น

 

                "ข้าเห็นต้นไม้ประหลาดอีกแล้ว  มีหญิงสาวถูกจับมัดไว้ที่นั่นด้วย"  นาคหนุ่มรีบพูดด้วยความตกใจจนเสียงตะกุกตะกัก

 

               "นั่นคือต้นนารีผล  และหญิงสาวที่เจ้าบอกว่าถูกมัดไว้นั้น  แท้จริงแล้วเป็นเพียงผลไม้ของต้นนารีผลเท่านั้นเอง"  ท้าวนาคินอธิบาย

 

               "ต้นนารีผลเกิดจากอำนาจบันดาลของพระอิศวรผู้สร้างโลก  พระองค์ทรงใช้ต้นนารีผลป้องกันภัยให้พระนางมัทรีพ้นภัยจากบรรดาเหล่าฤาษีที่มีตบะแก่กล้า  ซึ่งพากันเหาะเหินมาแอบมองเพื่อชื่นชมความงามของพระนางมัทรีที่ตามเสด็จพระเวสสันดรมาบำเพ็ญเพียรยังป่าหิมพานต์แห่งนี้  ด้วยพระอิศวรไม่อยากให้เหล่าฤาษีสร้างความรำคาญให้แก่พระเวสสันดรกับพระนางมัทรี  พระองค์จึงสร้างต้นนารีผลขึ้นมา  เพื่อพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีจะได้อยู่ในดินแดนแห่งนี้ด้วยความสงบสุขต่อไป"  ท้าวนาคินอธิบายต่อ

 

                "แล้วต้นนารีผลนี่ป้องกันภัยให้พระนางมัทรีได้อย่างไรขอรับท่านพ่อ"  นาคหนุ่มตนหนึ่งอดสงสัยไม่ได้เลยถามบิดาผู้รอบรู้ทั้งสามโลกต่อ

 

               "เมื่อใดที่ฤาษีเหาะมาเห็นต้นนารีผลนี้  ตบะแก่กล้าที่บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปีก็จะเสื่อมสลายไป  ทำให้เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้อีก  ด้วยถูกตัณหา  ราคะเข้าครอบงำ  ฤาษีต่างพากันแย่งชิงผลของต้นนารีผลไปเพื่อเสพสังวาสตามสัญชาติญาณเดิมของสัตว์โลกทั่วไป"  ท้าวนาคินอธิบายเสริม

 

               ขณะที่เหล่านาคหนุ่มกำลังตั้งใจฟังบิดาเล่าเรื่องต้นนารีผลอย่างตั้งใจอยู่นั้น  พลันโสตประสาทหูก็กระทบเข้ากับเสียงหนึ่งซึ่งไพเราะมาก  เสียงนั้นไพเราะจนถึงขั้นทำให้นาคทุกตนยืนนิ่งตะลึงงันเหมือนหุ่นปั้นก็ไม่ปาน  เสียงนี้ไพเราะกว่าเสียงใดในโลก  ยากที่จะหาเสียงใดในโลกมนุษย์ทัดเทียมได้ 

 

               "มันคือเสียงนกกรวิก" 

 

               เมื่อเสียงนั้นผ่านไป  ท้าวนาคินจึงบอกบุตรเบาๆ ในลำคอ  เหมือนกำลังพึ่งตื่นจากฝันหวาน

 

               ยังไม่ทันที่สติของนาคทุกตนกลับมาทำงานตามปกติหลังจากเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงอันไพเราะของนกกรวิกมากนัก  พลันอาการของนาคทุกตนต่างตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยินตามมาด้วยอาการตรงกันข้ามอย่างสุดขีด  เสียงนี้มันดังราวกับจะแยกภูเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ พลังเสียงแฝงไว้ซึ่งอำนาจ  ชวนให้ขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก  เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ได้ยินต่างหวาดกลัวจนสลบไป  หรือไม่ก็อุจจาระแตก  ปัสสาวะแตกกันเลยทีเดียว  เช่นเดียวกับเหล่าบรรดานาคทุกตนต่างสลบไปเพราะเสียงนั่น

 

               จนกระทั่งเสียงนั่นผ่านเลยไป  จึงทำให้นาคทุกตนต่างรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย

 

               "เสียงของเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง...ไกรสรสีหะ...ข้าพึ่งเห็นอานุภาพของเสียงนั่นก็คราวนี้เอง"  ท้าวนาคินพึมพำในลำคอเบาๆ

 

               "เสียงอะไรขอรับท่านพ่อ  มันดังมากจนน่าสยดสยอง"  นาคหนุ่มระล่ำระลักถามบิดาด้วยอาการสั่นเทา  เพราะยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

               "นั่นคือเสียงของไกรสรสีหะ  เป็นราชสีห์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง"  ท้าวนาคิน บอกลูกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  ด้วยเพราะความตกใจยังไม่จางหายไป

 

               ท้าวนาคินเรียกสติเหล่าบุตรกลับมาโดยให้ใช้น้ำจากสระอโนดาตมาล้างหน้า  และลูบตามแขนขา  เพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับมา  จากนั้นต่างพากันเดินทางต่อด้วยสายตาระแวดระวังภัย  แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง  ขนาดท้าวนาคินผู้รอบรู้ในสามโลกยังเพรี่ยงพร้ำ  ดั่งหลักธรรมที่ว่า  ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน  ทำให้ท้าวนาคินพาบรรดาเหล่านาคินหนุ่มหลงเข้าไปสู่ดินแดนเสื่อมมนต์  ซึ่งเป็นดินแดนอาถรรพณ์  ที่มนตราทุกชนิดจะเสื่อมลง ณ ดินแดนนี้  ทำให้เหล่านาคทุกตนแปลสภาพกลับไปสู่ร่างเดิมของตนทันที

 

               "แย่แล้วท่านพ่อ!"  นาคทุกตนต่างอุทานขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจสุดขีด

 

               "ตั้งสติไว้บุตรข้า  พากันรีบหาที่ซ่อนกำบังกาย  แล้วรีบออกไปจากดินแดนเสื่อมมนต์นี่โดยเร็ว!"  ท้าวนาคินสั่งกำชับลูกด้วยเสียงอันดัง

 

                "ข้าได้กลิ่นพวกนาคอยู่ใกล้ๆ แถวนี้นะ"  ครุฑนิสัยอันธพาลตนหนึ่งบอกกับเหล่าสมุนของมัน  

 

                "โน่นไงพวกนาค  พวกมันอยู่ริมสระอโนดาตนั่น"  สมุนตนหนึ่งชี้บอกหัวหน้าเพื่อเอาหน้า

 

                "อ้อ...อยู่นั่นเอง  พวกเจ้าจะได้อิ่มท้องไปหลายเพลาก็คราวนี้หล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"  หัวหน้าครุฑอันธพาลหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ

 

                ไม่ทันที่เหล่านาคจะได้ตั้งตัว  เหล่าครุฑอันธพาลก็โฉบลูกๆ ของท้าวนาคินไปกินเกือบหมด  

 

                "ลูกพ่อ!"  ท้าวนาคินอุทานออกมาเสียงดังด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือจากหัวใจที่ปวดร้าว  ใจแทบแตกสลายตายตามลูกไป  แต่ยังมีโชคอยู่บ้างที่สุคินนาคายังปลอดภัย  แล้วรีบพาบิดาไปหลบซ่อนในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่

 

                ท้าวนาคินร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจที่สูญเสียบุตรไปโดยมิได้ร่ำลากัน  มีเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นเพื่อเรียกสติท้าวนาคินให้กลับมา

 

                "ความพลัดพรากก็เป็นทุกข์"

 

                "อยากได้สิ่งใด  แล้วไม่ได้ดั่งใจ  นั่นก็เป็นทุกข์"

 

               ท้าวนาคินและสุคินนาคาต่างอยู่ในร่างมนุษย์ในถ้ำแห่งนี้  พากันก้มกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความเคารพนอบน้อม  พร้อมทั้งสะกดกั้นความเสียใจไว้  เสียงสะอื้นไห้ไหลลงไปในลำคอเป็นระลอกคลื่นลงไปลูกแล้วลูกเล่ากว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานาน

 

                "พยายามสงบสติอารมณ์เถิดอุบาสกทั้งสอง  การพลัดพรากย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  การตายก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกันที่ใครๆ ก็ไม่สามารถหนีพ้นได้"  พระปัจเจกพุทธเจ้าเปิดพระโอษฐ์กล่าววาจาเพียงเท่านี้ก็ปิดพระโอษฐ์ลง  แล้วหลับตานั่งบำเพ็ญเพียรต่อไปด้วยอาการสงบ

 

                น้ำเสียงที่แฝงด้วยความเมตตานั้นเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ  ช่วยผ่อนคลายความทุกข์โศกของท้าวนาคินและสุคินนาคาให้เบาบางลงได้ในที่สุด 

 

  

                

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา