King of love ผมนะเหรอภรรยา (เมีย)...ราชาปีศาจ

8.3

เขียนโดย Byตั้งโอ๋

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.09 น.

  14 ตอน
  2 วิจารณ์
  15.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560 14.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ความสับสนที่รู้สึกดี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 9 ความสับสนที่รู้สึกดี
 
แม้สายลมเย็นๆ จะพัดผ่านมาให้ได้ชุ่มชื่นหัวใจแล้วพาลพัดผ่านไปแต่ก็ไม่ได้พัดพาความสับสนภายในจิตใจให้ออกไปเลยแม้แต่น้อย มันยังคงตราตรึงอยู่ในทุกห้วงความนึกคิดของความรู้สึกที่นับวันยิ่งกัดกินจิตใจให้ไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นทุกที
ข้าวสวยที่ยืนรับสายลมเย็นๆ ตรงหน้าต่างบานงามหรูหรา สายตาทอดไปยังสวนกุหลาบที่กำลังแบ่งบานสะพรั่งอย่างงดงามกิ่งดอกโอนเอนไปตามแรงลมอ่อนๆ ราวกับมันกำลังเต้นรำอย่างเริงร่าต่างกับใจของเขาที่สับสน ว้าวุ่น และร้อนรนเหลือเกิน
 
ความรู้สึกมากมายก่อตัวขึ้นภายในจิตใจทั้งเรื่องที่เข้าใจและไม่เข้าใจกับความรู้สึกเหล่านี้ ตัวของเขาเป็นอะไรไปทำไมใจถึงสับสนและวุ่นวายมากขนาดนี้ยิ่งนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ผ่านพบเจอก็ยิ่งทำให้ใจว้าวุ่น ใจที่คิดว่าแข็งตอนนี้กลับอ่อนล้าเหลือหลาย ไม่เข้าใจจริงๆทั้งที่คอยบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าจะไม่มีใจให้เขาผู้นั้น แต่มาวันนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใจต้องการอย่างนั้นจริงหรือไม่เพราะแค่เห็นคนอื่นใดเข้ามาเกี่ยวพันกับเขาก็ทำให้ใจว้าวุ่น และหงุดหงิดทุกคลา ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาเราสองคนแทบจะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันเลยซึ้งมันทำให้ข้าวสวยวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ทั้งที่ควรจะดีใจแต่ทำไมเวลานี้ถึงรู้สึกเศร้าใจ และโหยหาอ้อมกอดอบอุ่นของอัสบัสมากถึงขนาดนี้ แม้จะได้พบเจอแต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็มิอาจหายไปมันต้องการมากกว่าพบกัน อย่างให้เป็นเหมือนวันก่อนๆ ที่ผ่านมา ทำไมกันนะทำไมถึงเป็นแบบนี้ไม่เข้าใจจิตใจตัวเองเหลือเกิน
 
“พระองค์เพคะ ลมแรงมากแล้วหม่อมฉันว่าออกห่างจากหน้าต่างดีกว่านะเพคะ ประเดี๋ยวทรงประชวรเอาเสียได้” เสียงคำกล่าวที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยดังขึ้นทำให้ข้าวสวยที่ตกอยู่ในภวังค์ต้องสะดุ้งหันมองตามเสียงซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นใด ไพทรี คนรับใช้สนิทที่ค่อยดูแลข้าวสวยมาตลอดหลายวัน
 
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก สบายดีออก” ข้าวสวยตอบกลับพร้อมกลับรอยยิ้มติดเศร้าก่อนจะหันไปเอามือวางลงบนขอบหน้าต่างกับใจที่เหม่อลอยตัวของข้าวสวยเองก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมจิตใจถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้
 
“ไม่ได้หรอกเพคะ หากพระองค์ทรงเป็นอะไรไปองค์ราชาคงลงโทษหม่อมฉันเป็นแน่เพคะ”
 
“ไพทรีก็แค่กลัวถูกลงโทษสินะถึงได้ดูแลผมนะ” ข้าวสวยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดน้อยใจ
 
“เปล่านะเพคะ หม่อมฉันกลัวองค์ราชาจะไม่ให้หม่อมฉันมาดูแลพระองค์ต่างหากเพคะ” ไพทรีรีบพูดแก้ทันที ข้าวสวยหันมายิ้มให้กับไพทรีที่ตอนนี้สีหน้าเป็นกังวลเขาแค่แกล้งหยอกเล่นนิดหน่อยเองแท้ๆ
 
“ผมก็แค่ล้อเล่นนะ คิคิ” ว่าอย่างอารมณ์ดีแต่ก็ได้เพียงไม่นานรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไปกลับมาเหม่อลอยอีกครั้ง ไพทรีที่ยืนมองอยู่รู้ดีว่าผู้เป็นนายของตัวเองไม่ร่าเริงเลยตลอดหลายวันมานี้ซึ่งตัวไพทรีเองก็พอจะรู้ถึงสาเหตุของอาการนี้แต่ดูเหมือนผู้เป็นนายของเขาจะไม่ได้รับรู้เลยทั้งที่เป็นใจของตัวเองแท้ 'เป็นเจ้านายที่ใจแข็งจริงๆขนาดความรู้สึกตัวเองยังไม่ยอมรับเลย เชื่อว่าในบางเรื่องพระองค์รู้ดีเพคะแต่พระองค์ไม่ยอมเปิดใจที่จะยอมรับมัน หม่อมฉันเริ่มเป็นห่วงองค์ราชาเสียแล้วสิ ยังไงก็สู้ๆ เข้าละองค์ราชาของหม่อนฉัน ส่วนพระองค์ก็ทรงรู้ใจของตัวเองให้ได้เร็วๆ เถอะเพคะจะได้มีความสุขกัน’ ไพทรีได้แต่คิดและภาวนาให้นายทั้งสองได้ค้นพบคำตอบที่อยู่ในใจในเร็ววัน
 
“พระองค์เพคะออกห่างจากหน้าต่างเถอะนะเพคะ” ไพทรียังคงร้องเรียกผู้เป็นนายแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด ยังคงแสดงสายตาเหม่อลอยทอดยาวไปไกลจนไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ใด
 
“พระองค์เพคะหากประชวรจะทรงโดนองค์ราชาดุเอานะเพคะ” ร้องเรียกอีกครั้งแต่ครั้งนี้ต้องอ้างชื่อนายใหญ่ขึ้นมาซึ่งมันได้ผลข้าวสวยที่เหม่อลอยอยู่เมื่อได้ยินก็หันมากล่าวทันควัน
 
“เขาไม่สนหรอกว่าผมจะเป็นอะไร ตอนนี้เขาต้องดูแลน้องชายของเขาคงไม่ว่างมาสนผมหรอก” น้ำเสียงติดประชดประชันปะปนไปด้วยความน้อยใจ เพราะตลอดสองสามวันที่ผ่านมาทั้งข้าวสวย และอัสบัสแทบจะไม่ได้พูดคุยกันแต่ก็มีพบเจอบ้าง ทางอัสบัสก็มาหาข้าวสวยที่ตำหนักแต่ก็มาแค่ครั้งเดียวเนื่องจากว่าตั้งแต่วันที่คนชื่อ มิคาร์เอล หรือน้องชายของอัสบัสกลับมานั้นทั้งสองห่างกันตลอด แถมข้าวสวยยังต้องย้ายไปนอนอีกตำหนักด้วยสาเหตุที่ว่าอยากจะอยู่ด้วยกันตามประสาพี่น้องที่ไม่ได้พบเจอกันนานจากปากของมิคาร์เอล
 
“ทำไมพระองค์ทรงคิดเช่นนั้นเพคะ หม่อนฉันเห็นองค์ราชาออกจะเป็นห่วงพระองค์ ยังทรงถามหม่อมฉันอยู่เสมอว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไรบ้าง” ไพทรีพูดปลอบใจผู้เป็นนายที่ดูยังไงก็รู้ว่าทรงน้อยใจพระสวามีของตนเองมากแค่ไหน ถึงปากจะพลามบอกว่าไม่สน ดีแล้วที่ไม่มีใครมารบกวนทั้งยังบอกว่าไม่มีทางรัก ไม่มีทางมีใจให้กับคนที่พรากเขามาจากบ้านเกิดเมืองนอนอย่างแน่นอน แต่สายตากับการกระทำที่แสดงออกมานั้นมันบ่งบอกชัดเจนว่าทรงมีใจและทรงหึงหวงผู้เป็นสวามีมากแค่ไหน ซึ่งทุกคนต่างสัมผัสได้ด้วยกันทั้งนั้นก็จะมีแต่ตัวพระองค์เองที่ยังคงไม่รู้ใจตัวเอง คนเป็นบ่าวก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้กับผู้เป็นนายทั้งสอง
 
“ไพทรีไปเดินเล่นในสวนกันนะ ผมอยากไป” ข้าวสวยไม่อยากนึกถึงอัสบัสเพราะมันทำให้หัวใจของเขาว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลยหันมาช่วยไพทรีไปเดินเล่นในสวนแทนมันอาจจะทำให้ความว้าวุ่นในใจลดน้อยลงก็เป็นได้
 
“ไม่ได้หรอกเพคะ พระราชาทรงสั่งห้ามไว้ไม่ใช่หรือเพคะ แต่ถ้าทรงอยากจะไปจริงๆ คงต้องไปขออนุญาตองค์ราชาเสียก่อนเพคะ” เมื่อได้ฟังคนชวนถึงกับหุบยิ้มลงทันทีเพราะข้าวสวยรู้สึกไม่พร้อมที่จะเจอหน้าอัสบัสในเวลานี้เลยแค่นี้ในใจก็สับสน และว้าวุ่นมากเต็มที
 
“ไม่ต้องหรอกอัสบัสไม่มีเวลาว่างหรอก ผมไม่อยากกวนความสุขของใคร ไปเถอะไม่ต้องสนอัสบัสหรอกเขาว่าอะไรเดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง” จบก็ออกเดินทันทีโดยไม่รอฟังคำกล่าวใด ทางไพรีเมื่อเห็นผู้เป็นนายไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเดินตามไปอย่างจำยอม
 
ข้าวสวยเดินผ่านตำหนักต่างๆ หลายตำหนักพบเหล่าข้าทาส บริวารมากมายที่เคาพรเขาตลอด แม้จะถูกกระทำเช่นนี้ทุกวันก็ไม่เคยชินเลยสักครั้งที่ให้ใครๆ มาก้มหัวเคารพทั้งที่เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ คงต้องปล่อยมันไปให้เป็นไปตามที่มันอยากจะเป็น
 
การที่ได้ออกมาเดินตามพระราชวังมันทำให้ข้าวสวยมีความสุขเป็นอย่างมากช่วยลดเรื่องว้าวุ่นในใจได้เป็นอย่างดี มองต้นไม้ดอกไม้ที่แบ่งบานอย่างเพลิดเพลิน แต่ความสุขก็มีได้ไม่นานสิ่งกวนใจก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อภาพตรงหน้ามันทำให้เขาต้องหงุดหงิด ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีกับน้องชายสามีที่ยืนพูดคุยกันอยู่หน้าตำหนักที่ไม่ห่างจากข้าวสวยมากนัก ดูทั้งสองคนมีความสุขเป็นอย่างมากหยอกล้อกันสนุกสนาน รอยยิ้มที่แทบจะไม่เคยเห็นบนใบหน้าอัสบัสนั้นกลับเกิดขึ้นได้ง่ายดายเมื่ออยู่กับมิคาร์เอลผู้เป็นน้องชาย ข้าวสวยได้แต่ทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเดินเลี้ยวไปอีกทางทั้งๆ ที่ตนแรกตั้งใจจะเดินไปทางตรงแต่เมื่อมันมีสิ่งที่ทิ่มตาตำใจก็ต้องยอมเลี่ยงไปอีกทางเพราะไม่อยากจะเห็นสองพี่น้องที่ดูรักกันปานจะกลืนกิน
 
ทางอัสบัสที่ยืนพูดคุยอยู่กับมิคาร์เอลก็เหลือบไปเห็นข้าวสวยกำลังเดินมาแล้วก็เลี้ยวไปอีกทางหนึ่งก็รีบเดินตามทันทีโดยไม่ได้รอ มิคาร์เอล ข้าวสวยเมื่อเห็นว่าอัสบัสกำลังเดินตามก็รีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้น แต่ก็สู้ขายาวของอัสบัสไม่ได้
 
“เจ้าจะไปไหน” อัสบัสที่เดินตามมาจนทันก็ถามขึ้นทันที แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากบุคคลด้านหน้าเลย ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินไม่สนอะไร
 
หมับ!
 
“ข้าถามว่าเจ้าจะไปไหน” คว้าแขนเล็กไว้จนข้าวสวยต้องหยุดเดินหันมามองอย่างไม่พอใจแต่ก็ยังคงไม่ตอบอะไร เพราะรู้สึกไม่พอใจอัสบัสในหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องน้องชายทั้งเรื่องที่ทิ้งให้ข้าวสวยต้องอยู่คน ข้าวสวยรู้สึกหงุดหงิด และน้อยใจทุกครั้งที่เจอหน้าอัสบัสในหลายวันที่ผ่านมานี้มันสับสนจริงๆ และหงุดหงิดมากด้วยซ้ำแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแค่น้อยใจที่อัสบัสไม่เป็นอย่างเดิมไม่ค่อยดูแลเอาใจเขาอย่างเดิม
 
ภายในจิตใจมันสับสนมากเหลือเกินบอกกับใจตัวเองตลอดว่าจะไม่มีวันหลงรักผู้ชายคนนี้แต่ตอนนี้เป็นอะไรไปแค่เขาไม่สนก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้ แค่เห็นเขายิ้มให้ใครก็ทำให้พาลหงุดหงิด
 
“เจ้าจะไปไหน ตอบข้ามา” อัสบัสถามขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากภรรยาที่ตอนนี้หน้ามุ่ยแก้มป่องซึ่งอัสบัสรู้ได้ทันทีว่า ข้าวสวยกำลังไม่พอใจ
 
“ผมจะไปไหนมันก็เรื่องของผมไม่เกี่ยวกับคุณ”
 
“นี้เจ้า! ทำไมจะไม่เกี่ยวในเมื่อเจ้าคือเมียของข้า”
 
“ผมนะเหรอ? ใครจะเป็นเมียปีศาจอย่างคุณกันเหล่า” ข้าวสวยตอบเป็นเชิงถาม มือก็พยามยามสลัดให้หลุดจากการจับกุมจากมือใหญ่
 
“พูดแบบนี้ต้องให้ข้าทบทวนความจำเจ้าหรือไม่ถึงจะนึกออกว่าเราเป็นอะไรกันมีอะไรลึกซึ้งแค่ไหน” อัสบัสพูดด้วยใบหน้าแพรวพราว ข้าวสวยเมื่อได้ยินก็ชะงักทันทีก่อนจะก้าวถอยหลัง และพยายามเอามือออกจากการจับกุมแต่ทำเท่าไรก็ไม่หลุด อัสบัสก็ก้าวตามมาตลอด ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องมองอย่างโลมเลียข้าวสวยรู้ได้ทันทีว่าอีกคนคิดอะไร
 
“ไอ้เขาควายโรคจิต ปล่อยผมนะ” เมื่อไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ว่า ถึงวันนี้อัสบัสจะไม่มีเขาควายบนหัวแต่ข้าวสวยก็ยังคงเรียกอย่างนั้นเพราะมันกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งของอัสบัสสำหรับข้าวสวยไปเสียแล้ว
 
“ใครโรคจิตกัน หึหึ ตกลงบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าจะไปไหน” ยังคงเงียบไม่มีเสียงตอบรับจากคนตรงหน้าอัสบัสเลยถามขึ้นอีกครั้ง
 
“บอกมาเดียวนี้ว่าเจ้าจะไปไหน ไม่บอกเจ้าถูกลงโทษเป็นแน่”
 
ยังคงไร้เสียงตอบรับจากคนตรงหน้าอัสบัสเลยจัดการลงโทษตามที่พูดไว้หากแต่บทลงโทษนั้นเป็นจูบที่ร้อนแรง และยาวนานให้กับข้าวสวยที่ตอนนี้คงจะตกใจเอามากไม่คิดว่าบทลงโทษจะบ้าบอขนาดนี้ ได้แต่ผลักดันอกแกร่งให้ออกห่างแต่ไม่เป็นผลเลย สายตาพยายามกวาดมองคนมอบจูบร้องแรงนี้เพื่อขอให้ปลดปล่อย แต่ก็ต้องตกใจจนหน้าขึ้นสีร้อนผาไปด้วยความอายเมื่อเห็นไพทรีกับมิคาร์เอลที่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ยืนมองมาอย่างยิ้มๆ แต่เมื่อสติกลับมาก็หันมาใช่สองมือทุบลงบนอกแกร่งอีกครั้งเพราะข้าวสวยเริ่มรู้สึกจะหายใจลำบากมากยิ่งขึ้นทางอัสบัสเหมือนจะรับรู้ก็ค่อยๆ ปล่อยคนรักให้เป็นอิสระ
 
ข้าวสวยรีบโกยอากาศเข้าทันที ร่างกายรู้สึกหอบเหนื่อยอย่างมากแถมยังรู้สึกอายมิคาร์เอลกับไพทรีที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ
 
“บอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าจะไปไหน” อัสบัสถาม ข้าวสวยดูเลอะละคิดว่าจะตอบดีหรือไม่แต่เพื่อความปลอดภัยขอร่างกายก็ตัดสินใจบอกออกไป
 
“ผมจะไปเดินเล่นในสวน”
 
“ท่านพี่สะใภ้จะไปเดินในสวนหรือข้าไปด้วยได้หรือไม่”
 
มิคาร์เอลที่ยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้น เพราะมันเป็นโอกาสที่เขาจะได้ทำความรู้จักกับพี่สะใภ้ของเขาเอง
 
“ไม่ได้มันไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้า อาจจะมีพวกปีศาจมาลอบทำร้ายเจ้าได้” อัสบัสพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ถ้าไม่ติดว่ามีงานที่ต้องเคลียร์อัสบัสคงจะอนุญาตเพราะเขาคงพาข้าวสวยไปเองแต่นี้เขาไม่ว่างมันเสี่ยงเกินไป
 
“แต่ผมอยากไป ผมเบื่อเข้าใจไหม”
 
“ค่อยไปวันอื่นวันนี้ข้าต้องเคลียร์งาน”
 
“มันก็เรื่องของคุณ แต่ผมจะไป” ข้าวสวยพูดอย่างไม่ยอม ก็เขาอยากไปวันนี้จะให้ไปวันอื่นได้ไง
 
“ให้ท่านพี่สะใภ้ไปเถอะท่านพี่ ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวข้าดูแลให้เองไม่ต้องห่วง” มิคาร์เอลพูดขึ้นเพราะถ้ารอทั้งสองตกลงกันคงจะไม่จบ และอีกอย่างอยากจะหาเวลาพูดคุยกับข้าวสวยตามลำพังบ้าง อยากจะรับรู้ถึงเรื่องต่างๆ ของพี่สะใภ้ที่ท่านพี่ของตนเองหลงนักหลงหนา ใครไม่รู้แต่มิคาร์เอลรู้ดีว่าอัสบัสรักข้าวสวยมากแค่ไหน
 
สองสามวันที่กลับมาอัสบัสพูดถึงเรื่องต่างๆ ของข้าวสวยให้เขาฟังมากมาย มิคาร์เอลยอมรับเลยว่าข้าวสวยเป็นเหมือนแสงสว่างจริงๆ ขนาดจิตใจที่มืดมิดแสนเยือกเย็นของอัสบัสข้าวสวยยังสามารถทำลายมันได้พี่ชายของเขาเปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน จากที่ดูเย็นชาเยือกเย็นตอนนี้กลับดูอบอุ่น ยิ่งสายตาที่มองพี่สะใภ้นั้นแขวงไปด้วยความห่วงใยและความรักที่จนอัสดิบัสแอนด์ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ดูอ่อนลงทันทีเมื่ออยู่ใกล้ภรรยาตนเอง ‘อนาคตกลัวเมียสินะแบบนี้ หึหึ’
 
“ไม่เป็นไร ผมไม่อยากรบกวนมิคาร์เอลหรอก”
 
“ไม่รบกวนข้าหรอกพี่สะใภ้ ข้าเต็มใจ อีกอย่างข้าอยากคุยกับท่านกลับมาสองสามวันแล้วข้ายังไม่ได้พูดคุยกับท่านแบบจริงจังเลย แถมยังเอาท่านพี่มาอยู่กับข้าตลอดอีก ให้ข้าไปด้วยเถอะนะ” มิคาร์เอลว่าขึ้นเพราะตั้งแต่กลับมายังไม่ได้พูดคุยกับพี่สะใภ้เลย แถมดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าของเขาด้วยยิ่งเวลาที่พี่สะใภ้เจอเขาอยู่กับพี่ชายก็จะแสดงสีหน้าไม่พอใจทุกครั้ง
 
“ก็ได้ ไปด้วยกันก็ได้ คุณจะอนุญาตได้หรือยัง” ข้าวสวยบอก มิคาร์เอลก่อนจะหันไปถามอัสบัสที่ยืนหน้าเครียดอยู่
 
“แต่....อืม...ก็ได้” อัสบัสต้องยอมตกลงเพราะสายตาที่มองมาหาเขาราวกับจะกัดกินสองคู่ของผู้ที่เป็นภรรยา และน้องชาย
 
“งั้นไปกันเถอะท่านพี่สะใภ้”
 
อัสบัสมองผู้คนรักกับน้องชายของตนเดินออกไปก็รู้สึกเศร้าใจนิดๆ เพราะตัวอัสบัสเองรู้สึกเป็นห่วงผู้เป็นภรรยา และก็อยากจะไปเดินเล่นด้วยเช่นเดียวกันหากแต่ต้องทำงานที่ติดค้างอยู่มากมาย
 
"ไพทรีดูแลสองคนนั้นให้ดี" อัสบัสสั่งไพทรีที่กำลังจะเดินตามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงติดห่วงใย
 
"เพคะฝาบาท"
 
หลังจากแยกตัวออกมาจากอัสบัสแล้วทั้งข้าวสวยและ มิคาร์เอลต่างไม่ได้ผู้คุยอะไรกันจนข้าวสวยเองรู้สึกอึดอัดทางมิคาร์เอลก็เช่นเดียวกันทั้งที่มีเรื่องอยากจะคุยกับพี่สะใภ้เยอะแยะแต่พอถึงเวลาที่ได้คุยกลับพูดไม่ออกตัวมิคาร์เอลรู้สึกถึงบางสิ่งที่อยู่ในตัวของ ข้าวสวยที่มันให้ความรู้สึกน่าเกลงขาม และความอบอุ่นที่บอกไม่ถูกทั้งที่การกระทำหรือการแสดงออกของข้าวสวยนั้นปกติติดจะดูอ่อนแอเสียด้วยซ้ำแต่กลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่นมากเหลือเกินเมื่อได้มองผู้เป็นพี่สะใภ้
 
"ท่านพี่สะใภ้มาอยู่ที่นี้ก็นานแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง" เป็น มิคาร์เอลที่เอ่ยถามขึ้นมาเพราะตลอดทางมันเงียบจนอึดอัดต้องหาอะไรมาคุยอีกอย่างจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น
 
"อย่าเรียกผมอย่างนั้นเลยมันแปลกๆ นะผมว่า" ข้าวสวยว่าขึ้นเพราะรับไม่ได้จริงๆกับคำเรียกเช่นนี้มันฟังดูพิลึกเกินไปเขาเป็นผู้ชายจะมากเรียกว่าพี่สะใภ้มันออกจะดูแปลกเกินไปรับไม่ได้จริงๆ ถึงแม้จะเป็นความจริงก็ตาม
 
"อ้าว! ถ้าไม่ให้ข้าเรียกว่าท่านพี่สะใภ้จะให้ข้าเรียกท่านว่าอะไรกันก็ในเมื่อท่านเป็นท่านพี่สะใภ้ของข้าจริงๆ" มิคาร์เอลพูดขึ้นอย่างสงสัยพร้อมกับท่าทางที่เอานิ้วชี้จิ่มคางแล้วเอียงคอบวกกับหน้าตาที่ติดสงสัยนั้นข้าวสวยมองดูแล้วมันน่ารักมากแบ๊วได้อีกเห็นแบบนี่ก็พาลให้คิดถึงใครคนสำคัญที่อยู่ไกลกันมิคาร์เอลกับข้าวจ้าวมีท่าทีคลายกันมากเหลือเกิน
 
"เรียกว่าพี่สวยเหมือนน้องชายพี่ก็ได้" ข้าวสวยว่าพร้อมกับร้อยยิ้มที่ดูอบอุ่น
 
"พี่สวยรึ...?..มันก็ดูแปลกๆ นะข้าไม่เคยได้ยินคำเรียกว่าพี่เฉยๆ...?..เอะ! ท่านมีน้องชายด้วยหรือ??" มิคาร์เอลว่าอย่างสงสัยแต่ก็เอะใจกับคำว่าน้องชาย
 
"มันไม่แปลกหรอกที่โลกของผมเขาก็เรียกกันแบบนี้ทั้งนั้นส่วนเรื่องน้องชายก็มีจริงนะนิสัยเขาคลายกับมิคาค์เอลมากเลยนะ ร่าเริงช่างพูดเหมือนกันแต่น้องผมเขาซื่อกว่ามิคาร์เอลเยอะตามคนไม่ค่อยจะทันนะ" รู้สึกว่าจะคุยกับมิคาร์เอลได้ดีกว่าช่วงแรกๆ ที่พบกันเพราะทุกครั้งข้าวสวยจะรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจอย่างไม่รู้สาเหตุทั้งที่มิคาร์เอลไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ นึกแล้วรู้สึกโมโหตัวเองจริงๆ เลย
 
"งั้นข้าเรียกท่านว่าพี่สวยก็ได้ ข้าอยากเห็นน้องชายท่านจังยิ่งรู้ว่านิสัยคล้ายกันข้ายิ่งอย่างเจอยิ่งนัก" มิคาร์เอลว่า
 
"ผมก็เหมือนกันอยากเจอมากๆ สักวันก็คงได้เจอกันแหละนะ ยังดีที่รีฟเฟอร์ไปอยู่ค่อยดูแลให้เลยไม่ต้องเป็นหว่งมากนัก" ใบหน้าลดความกังวลลงที่มีรีฟเฟอร์ค่อยดูแลข้าวจ้าวอยู่แต่ทางมิคาร์เอลกลับทำสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินคำว่ารีฟเฟอร์
 
"รีฟเฟอร์ที่เป็นองครักษ์ของท่านพี่นะหรือพี่สวย" ใบหน้าตกใจของมิคาร์เอลพูดขึ้นอย่างสงสัย
 
"ก็ใช่นะสิ ทำไมเหรอ" สงสัยอะไรกันทำไมต้องตกใจกันด้วยนะก็แค่รีฟเฟอร์ไปดูแลข้าวจ้าวแค่นั้นเอง
 
"พี่สวยพูดจริงหรือนี่รีฟเฟอร์เนี้ยนะไปดูแลคนอื่นข้าละไม่อยากเชื่อคนเย็นชาที่รู้จักแต่การต่อสู้จะไปดูแลคนอื่น ข้านึกภาพไม่ออกจริงๆ รู้สึกสงสารน้องชายพี่สวยขึ้นมาเสียไม่ได้"
 
"พี่เห็นรีฟเฟอร์ดูแลข้าวจ้าวดีมากเลนะ ดูเหมือนเขาจะดูแลข้าวจ้าวได้ดีกว่าพีเสียอีกเห็นมีความสุขกันดีนะ ไอ้เขาคะ...เอ่อ อัสบัสก็เหมือนจะเคยสงสัยเหมือนมิคาร์เอลแปลกทั้งพี่ทั้งน้องจริงๆเลย ยิ่งตอนรีฟเฟอร์ยิ้มนะก็ทำอย่างกับว่าเจอของแปลกอย่างนั้นแหละแค่ยิ้มออกมาแท้ๆ" ข้าวสวยว่าขึ้นอย่างยึดยาวปนสงสัยอย่างมากสรรพนามที่เคยใช่ก็เปลี่ยนไปอย่าไม่รู้ตัว
 
"ก็มันแปลกจริงนี่พี่สวยรีฟเฟอร์เคยยิ้มกับเขาซะที่ไหนละเกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นเลยน้องชายพี่ข้าขอนับถือเลยทำเจ้าชายน้ำแข็งยิ้มได้"
 
"ขนาดนั้นเชียว" มิคาร์เอลก็พยักหัวงึกๆ เป็นการตอบ ทั้งสองต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานระหว่างทางเดินมายังสวนรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย และสนิทมากยิ่งขึ้น ข้าวสวยก็ดูจะมีความสุขมากเพราะยิ้ม และหัวเราะตลอดเห็นได้ชัดว่าอาการเกร็งหายไปมีแต่ความสนิทที่แสดงออกมาราวกับว่ารู้จักกันมาเนินนานคำพูดคำจาก็ดูเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น ยอมรับเลยว่าชอบมิคาร์เอลมากๆ ช่างสรรหาเรื่องราวต่างๆมาเล่าให้เขาฟังจนเพลินไปเลยเดินมาถึงสวนตอนไหนยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
 
"พี่สวยรักท่านพี่ของข้าไหม" มิคาร์เอลถามขึ้นโดยไม่ได้หันมองข้าวสวยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับต้นไม้ดอกไม้อย่างนึกสนุก ทางข้าวสวยเมื่อได้ยินคำถามถึงกับตกใจขึ้นมา ไม่รู้จะตอบคำถามของมิคาร์เอลอย่างไรดีเพราะตัวของข้าวสวยเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับอัสบัสกันแน่
 
"เอ่อ คือ เอ่อ"
 
"ว่าไงพี่สวย รักท่านพี่ของข้าหรือไม่ข้าอยากรู้ บอกข้าเถอะข้าไม่บอกท่านพี่หรอก" มิคาร์เอลถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าข้าวสวยไม่ตอบสักทีเอาแต่อ่ำอึ่งอยู่
 
"เอ่อ คือ เอ่อ เฮ้อออ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน" ข้าวสวยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจตอบออกไปเพราะทนต่อสายตาใสซื่อแกมกดดันของคนที่รอคำตอบไม่ไหว
 
"อ้าว! ทำไมพี่สวยถึงไม่รู้ละใจตัวเองแท้ๆ" คนฟังว่าขึ้น
 
"พี่ไม่รู้จริงๆ พี่ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเหมือนกันมาอยู่ที่นี้ก็นานแล้วเจออะไรมากมายมันเลยทำให้พี่สับสน และอีกอย่างพี่ไม่รู้ว่าความรักมันเป็นยังพี่ไม่เคยรู้สึกถึงมัน มันจะเหมือนกับความรักที่พี่มีให้ข้าวจ้าว ให้กับพ่อแม่ของพี่หรือเปล่า" คนถูกถามตอบอย่างใคร่สงสัยเพราะข้าวสวยไม่เข้าใจถึงความรักนั้นจริงๆ ตลอดมาเคยแต่รู้สึกรัก และห่วงใยคนในครอบครัวเพียงเท่านั้น
"มันไม่เหมือนกันหรอกพี่สวย รักที่มีให้กับครอบครัวกับคนรักนะมันต่างกันแต่มันก็คล้ายๆ กัน คือยังไงดีละ อืม ? ใช่ความรู้สึกมันต่างกัน ข้าเปลี่ยนคำถามใหม่ดีกว่า พี่สวยเกลียดหรือไม่ชอบท่านพี่หรือไม่"
 
"ไม่ ไม่ๆๆ นะพี่ไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบอัสบัสหรอกถึงตอนแรกจะไม่ชอบก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดอะไรนะ" ข้าวสวยรีบตอบขึ้นมาทันทีเพราะกลัวมิคาร์เอลจะคิดไปเองว่าข้าวสวยไม่ชอบพี่ชายเขาแต่ที่พูดไปมันก็คือความจริงข้าวสวยไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดอัสบัสเลยแม้แต่น้อยอาจจะมีไม่พอใจบ้างบางเรื่องเพียงเท่านั้น
 
"พี่สวยก็ไม่ได้เกลียดท่านพี่แต่ทำไมถึงไม่รักท่านพี่ของข้าละ ท่านพี่ออกจะรักพี่สวยมาก ยอมพี่สวยสุดๆ เลย เมื่อก่อนท่านพี่นะเป็นที่เรียกว่าเลือดเย็น และเย็นชาสุดๆ ไปเลย เพราะเป็นแบบนั้นถึงได้ดูแลโลกปีศาจให้อยู่ดีมาตลอด แต่พอมีพี่สวยเข้ามาท่านพี่ดูอ่อนโยนมากขึ้นดูจากสายตาก็รู้แล้ว"
 
"พี่เห็นอัสบัสชอบบังคับพี่จะตาย" ข้าวสวยยังไม่วายต้องขัดขึ้นมาเมื่อนึกถึงการกระทำของอัสบัส
 
"เพราะท่านพี่เป็นห่วงพี่สวยต่างหาก เชื่อข้าสิว่าท่านพี่รักท่านจริงๆ พี่สวยอาจไม่เชื่อที่ข้าพูดแต่ข้าอยากให้ลองมองดูให้ดีๆ ไม่ใช่ตานะแต่ให้ใช้ใจของพี่สวยดูแล้วพี่สวยจะรู้คำตอบของทุกคำถามที่อยู่ในใจ ข้าว่าเลิกคุยเรื่องนี้ดีกว่าไปดูดอกไม้กัน" ข้าวสวยได้แต่ครุ่นคิดถึงคำพูดของมิคาร์เอล 'ใช้ใจมองหรือ?' ถึงจะยังไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ก็จะลองดูเผื่อบางทีความสับสนในใจอาจจะหายไปก็เป็นได้ แต่ก็แปลกถึงจะรู้สึกว่าใจสับสนแต่ส่วนลึกในจิตใจกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
 
กลิ่นหอมของดอกไม้ สายลมที่พัดเข้ามามันช่างทำให้รู้สึกดีเหลือเกินอยากให้อัสบัสมาด้วยจังจะได้รับบรรยากาศดีๆ ไม่ต้องทำหน้าอย่างกับแบกโลกทั้งใบเอาไว้อยู่ เอะ! คิดถึงไอ้เขาควายนั้นทำไมกัน ว่าแล้วข้าวสวยก็สลัดความคิดทิ้งทันทีหันมาสนใจกับมวลดอกไม้ต้นไม้ต่อเหลือบมองทางมิคาร์เอลก็อดยิ้มไม่ได้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นช่างสวยงามจริงๆ เลย
วันนี้ข้าวสวยรู้สึกว่าตนเองมีความสุขมากแม้ในใจจะยังมีเรื่องให้สับสนแต่มันก็ไม่ได้บั่นถอนความสุขลงเลย แต่หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำนั้นอยู่สายตาของคนในมุมมืดอยู่ตลอดเวลา
 
มิคาร์เอลรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองอยู่แต่มันมาจากสองทาง และแน่ใจว่าจะต้องไม่มาดีแน่นอนจึงกะจะชวนข้าวสวยกลับแต่ดูเหมือนจะช้าไปเมื่อลูกธนูดอกใหญ่พุ่งมาทางพี่สะใภ้
 
"พี่สวยระวัง!!!"
 
เสียงร้องตะโกนของมิคาร์เอลเรียกให้ข้าวสวยที่ยืนชมดอกกุหลาบสีฟ้าอยู่ต้องหันมองไปตามเสียงอย่างตกใจแต่เมื่อหันไปกลับต้องตกใจยิ่งกว่า ความสงสัยที่มีพลันหายไปหมดสิ้นเมื่อเห็นว่าลูกธนูปลายแหลมกำลังพุ่งมาทางตนเอง เร็วเท่าความคิดร่างกายตอบสนองอย่างอัตโนมัติให้หลบธนูปลายแหลมที่พุ่งเข้ามาแต่ก็ไม่อาจพ้นวิถีของธนูนั้นได้ทำให้ปลายแหลมคมปักลงบนแขนขวาแต่นับว่าโชคดีที่แค่ถากไปแต่ก็ทำให้ได้บาดแผลที่ใหญ่เอาการ เลือดสีแดงฉาดไหลเป็นทางยาวตามแนวแขนเรียวที่โผล่พ้นเสื้อระดับข้อศอก
 
มิคาร์เอลรีบเข้ามาประครองร่างของผู้เป็นพี่สะใภ้ทันทีก่อนจะส่งให้กับไพทรีที่รีบกุจอเข้ามา เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารดังไปทั่วทั้งบริเวณ มิคาร์เอลมองรอบๆ ตัวอย่างระวังพลางเพล่งไปทางที่ลูกธนูออกมาซึ่งเป็นทางต้นไม้สูงมากมายพลางหันมองมุมตำหนักตรงมุมมืดอย่างระแวงก่อนจะเอ่ยสั่งเหล่าทหาร
 
"ไปตามท่านพี่มา อารักขาพี่สวยให้ดี ที่เหลือไปดูตรงแนวต้นไม้สูงนั้น" เมื่อสิ้นเสียงเหล่าทหารก็ทำตามอย่างรู้หน้าที่ว่าใครควรประจำส่วนใด มิคาร์เอลเหลือบมองข้าวสวยที่อยู่ในอ้อมแขนของไพทรีเป็นระยะอดเป็นห่วงไม่ได้เพราะใบหน้าสวยงามนั้นเริ่มซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่มีเวลาให้มากนักเมื่อธนูปลายแหลมนับสิบพุ่งประดาเข้ามาพร้อมกันเหล่าทหารเข้าลอบรอบเป็นกำปังให้กับผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชินีของพวกเขาอย่างไม่เกลงกลัวต่อความตายแต่ก็ต้องโล่งใจเมื่อออร่าสีชมพูแพร่เป็นบริเวณกว้างมาปกคลุมทุกร่างไว้จนธนูที่พุ่งเข้าชนแตกหักไปหมดไม่ต้องสงสัยให้ยากว่าออร่าสวยงามนั้นมาจากที่ใดเพราะแสงแพร่กระจายออกมาจากมือคู่สวยของมิคาร์เอล
 
ข้าวสวยรู้สึกเจ็บต้องบริเวณบาดแผลมากเหลือเกินใจหนึ่งก็รู้สึกคิดถึงอัสบัสขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดทั้งที่มีทหารลายล้อมจนไม่ต้องกลัวอะไรแต่ทำไมถึงไม่รู้สึกปลอดภัยเหมือนตอนที่มีอัสบัสอยู่ ร่างกายก็รู้สึกอ่อนล้าเต็มที 'อยากเจอเหลือเกิน'
เสียงเหล่าฝีเท้าของทหารมากมายอลวลกับการหาตัวผู้ปองร้ายอย่างวุ่นวายก่อนจะตามมาด้วยเสียงต่อสู้ที่ดังจนคนฟังอย่าง ข้าวสวยรู้สึกกลัวยิ่งนัก คนที่เฝ้านึกหาก็ยังไม่มาสักที ทางมิคาร์เอลก็ค่อยลอบมองไปรอบบริเวณอย่างหวาดระแวงเพราะไม่รู้พวกที่หมายทำร้ายพี่สะใภ้นั้นอยู่ทางทิศใดบ้าง ทางแนวต้นไม้สูงก็ยังคงมีเสียงต่อสู้ให้ได้ยิน
 
"ท่านมิคาร์เอลพวกที่ลอบทำร้ายราชินีเป็นปีศาจวานรของพวกอาเทอร์พ่ะย่ะค่ะ" เสียงรายงานจากนายทหารดังขึ้นจนมิคาร์เอลต้องขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล พวกอาเทอร์เริ่มเคลื่อนไหวแล้วหรือกล้ามากที่บังอาจมาเยียบถึงราชวังได้ มิคาร์เอลนึกแล้วก็รู้สึกโมโหพร้อมกับใจที่เป็นห่วง เพราะหากพวกอาเทอร์กล้าบุกถึงราชวังแสดงว่ามันต้องวางแผนที่จะกำจัดท่านพี่สะใภ้อย่างจริงจังเป็นแน่ หลังจากนี้เรื่องวุ่นวายคงจะมีตามมาไม่น้อยไหนจะพวกอาเทอร์ไหนจะพวกปีศาจชั้นต่ำที่หลงกลไปกับอุบายโง่ๆ ของพวกอาเทอร์นั้นอีก ไม่มีเวลาให้ มิคาร์เอลตกอยู่ภวังค์ได้นานเมื่ออยู่ๆ ร่างปีศาจวานรสองสามตนกระโจนออกมาจากแนวต้นไม้สูงพุ่งมาทางมิคาร์เอลที่มีข้าวสวยอยู่ในวงล้อมของทหารด้านหลังของตน
 
ดวงไฟสีชมพูกลมพุ่งออกจะมือมิคาร์เอลดวงแล้วดวงเหล่าไปกระทบร่างปีศาจวานรนั้นเหล่าทหารที่ลายล้อมอยู่ตรงข้าวสวยก็แบ่งออกไปสู้รบกับปีศาจวานรล่มตายลงจนหมด มิคาร์เอลจึงละมือจากตรงหน้า เท้ามุ่งไปทางพี่สะใภ้ของตนที่ตอนนี้ดูจะอิดโรยมากเหลือเกินแต่เมื่อหันหลังได้เพียงไม่กี่ก้าวเสียงดังก้องจากผู้เป็นพี่ชายที่มาใหม่ทำให้ต้องหันไปมอง
 
"มิคาร์เอลระวัง!!!!"
 
เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเห็นร่างปีศาจวานรยักษ์ใหญ่พร้อมกับดาบแหลมใหญ่ในมือกำลังพุ่งเข้ามา อัสบัสเมื่อเห็นว่าน้องชายกำลังอยู่ในอันตรายก็ปล่อยดวงไฟสีขาวดวงโตใส่ร่างปีศาจวานรนั้นทันทีแต่ดูเหมือนจะช้ากว่าดวงไฟสีดำทมิฬที่พุ่งมาจากมุมมืดของตำหนัก มิคาร์เอลรีบหันมองตามทิศทางที่มาของดวงไฟสีดำในทันที ช่วงแวบนึ่งก็สบเข้ากับสายตาเยือกเย็นแต่ในความเยือกเย็นมิคาร์กลับสัมผัสได้ถึงความโหยหาความเศร้าจากดวงตาคู่นั้นอีกด้วยแต่ไม่มีเวลาให้ได้พิจารณ์นานไปกว่านี้เพราะทันทีที่สบสายตาร่างของคนในมุมมืดนั้นก็หายไป
 
"มิคาร์เอลเจ้าเป็นอะไรหรือไม่" เสียงร้องถามของอัสบัสทำให้ มิคาร์เอลต้องละสายตาจากมุมมืดมาทางพี่ชายของตนเองที่กำลังเข้ามาประครองร่างของข้าวสวย
 
"อัสบัส!" ข้าวสวยเมื่อเห็นร่างของผู้เป็นสามีก็ร้องเรียกขึ้นมาทันที แขนเรียวละจากการจับกุมของไพทรีรีบพุ่งเข้ากอดผู้เป็นสามีโดยเร็วดวงตาสวยนั้นก็เอ่อนองไปด้วยหยาดน้ำตา
 
"คุณหายไปไหนมา ทำไมมาช้า ฮือ ฮือ รู้ไหมว่าผมกลัวแค่ไหน ฮือ ฮือ ไอ้เขาควายบ้า ฮือ ฮือ ไอ้บ้า ฮือ ฮือ" ทั้งคำถามทั้งคำต่อว่ามาพร้อมกับน้ำตาประดังเข้าหาร่างใหญ่มือเรียวทุบลงบนอกแกร่งอย่างอยากระบาย
 
อัสบัสไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่กอดร่างที่สั่นเทาของข้าวสวยเอาไว้แนบอกพรมจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มอย่างปลอบประโลม รู้สึกโมโหตัวเองเหลือเกินที่ปล่อยให้คนรักต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายนี้ยิ่งเห็นรอยเลือดที่แขนขวายิ่งทำให้ปวดใจมากเหลือเกิน 'ไม่เอาแล้วจะไม่มีทางปล่อยให้คนๆ นี้ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว' ตอนได้รู้ข่าวว่าข้าวสวยถูกลอบทำร้ายจิตใจของเขาก็แสนจะปวดร้าวเร่งรีบมาจนสุดกำลัง ภายในจิตใจกลัวเหลือเกินเกิดมาไม่เคยกลัวสิ่งใดแต่ในเวลานี้อัสบัสผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชาของเหล่าปีศาจกลับกลัวที่จะต้องสูญเสียข้าวสวยไป หากไม่มีข้าวสวยอัสบัสนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรเขาคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่นอนถ้าหัวใจของเขาดวงนี้หายหรือเป็นอะไรไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา