King of love ผมนะเหรอภรรยา (เมีย)...ราชาปีศาจ
8.3
เขียนโดย Byตั้งโอ๋
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.09 น.
14 ตอน
2 วิจารณ์
15.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560 14.43 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) ตอนที่14 เศษเสี้ยวของความทรงจำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่14เศษเสี้ยวของความทรงจำ
“ยอดดวงใจของข้า ข้ารักเจ้ามากเหลือเกิน” เสียงหวานทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับน้ำผึ้งหยาดเยิ้มทำให้สีหน้าคนฟังนั้นแต่งแต้มไปด้วยเม็ดสีแดงระเรือง
“ตัวข้าเองนั้นก็รักท่านเช่นกัน คาวิน ของข้า” เสียงเล็กหวานตอบกลับอย่างเอียงอาย ก่อนที่ทั้งสองจะมอบจุมพิตหอมหวานดุดดังน้ำผึ้งพระจันทร์ให้แก่กัน
ภาพความสุขนี้ค่อยๆ แทนที่ด้วยดวงตาอันโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองตามด้วยเสียงตัดพ้อว่ากล่าวก่อนจะกลายเป็นภาพการสู้รบของชายหนุ่มสองคน ห่างไปไม่ไกลก็ปรากฏร่างเล็กที่สวยดุจดังสตรียืนน้ำตานองหน้าราวกับกำลังอ้อนวอนให้ทั้งสองต่างหยุดฟาดฟัน
“ฮึก!!!!! ฝันอีกแล้ว” ร่างเล็กสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้า และร่างกายมากมายราวกับพึ่งไปวิ่งระยะไกลมา
กี่ครั้งกันที่ฝันถึงแต่เรื่องราวเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาพยายามจะไม่คิดอะไรตามที่ใครคนนั้นบอกแต่ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาฝันถึงมันตลอด ถึงจะบอกว่าเพราะอ่านเรื่อง ตราบสิ้นดวงหฤทัย ไป แต่ทุกครั้งที่นอนเขาไม่เคยนึกถึงมันเลยออกจะลืมมันไปแล้วเสียด้วยซ้ำแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแต่ละฉากแต่ละตอนที่ปรากฏในความฝันนั้นช่างเหมือนกับในหนังสือนั้นมากเหลือเกิน แล้วไอ้ความรู้สึกหน่วงในอกนี้อีก ทำไมกันตัวเขาสับสนเหลือเกินเหตุใดจะต้องรู้สึกสุขและเศร้าใจไปพร้อมกันเมื่อนึกถึงความฝันนี้ทำไมกัน เท้าเปื่อยเปล่าคู่น้อยค่อยๆเลื่อนลงจากเตียงนอนก่อนจะพาร่างอันผอมบางหมายมุ่งจะไปยังห้องอาบน้ำ
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงของใครอีกคนที่พึ่งเดินเข้ามาเรียกให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงก่อนจะพยักหน้าที่ดูอิดโรยออกไป คนตัวใหญ่เลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นคนร่างเล็กดูไร้เรียวแรง
“เจ้าไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าซีดๆ” เสียงทุ่มนั้นเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย
“ผมไม่ได้เป็นอะไรแค่รู้สึกมึนหัวนะ คงจะนอนเยอะไปหน่อย” คนถูกถามว่าขึ้นคนฟังก็คิดตาม มันก็จริงวันนี้คนรักของเขาตื่นสายกว่าทุกวันคงเพราะนอนมากไปจริงๆ กระมัง
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” เสียงเล็กฟังดูเหนื่อยหน่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินจากไปโดยไม่รอคำกล่าวจากอีกคน
อัสบัสมองร่างเล็กที่เดินโซซัดโซเซเข้าห้องอาบน้ำไปอย่างกังวลตลอดอาทิตย์ที่ผ่านคนรักของเขามักดูแปลกไปซึ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ยิ่งคนตัวเล็กเล่าถึงความฝันที่ฝันวนไปซ้ำมามันก็ยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมคนตัวเล็กถึงเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไปฝันซ้ำไปซ้ำมา แต่ความรู้สึกเขามันบอกว่าไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่บอกปัดคนรักไปว่าไม่มีอะไรคงเพราะคิดมากไปเองทั้งที่ใจลึกๆแล้วตัวเขานั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่มันต้องมีอะไรสักอย่างซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน คงต้องคอยระวังให้มากขึ้น
ณ ท้องพระโรงเหล่าข้าทาลบริวารต่างมารวมตัวกันเพราะผู้เป็นประมุขหรือก็คือราชาปีศาจของโลกปีศาจแห่งนี้ได้นัดหมายให้มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียงรวมทั้งมิคาร์เอลผู้เป็นน้องคงยกเว้นก็แต่ราชินีแห่งโลกปีศาจที่ไม่ได้รับเชิญใช่ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหากแต่เพราะเกี่ยวข้องเต็มๆ เขาถึงไม่สามารถให้คนรักเข้ามาในที่นี้ได้ ไม่อยากให้ได้รับรู้อะไรที่ทำให้รู้สึกขุ่นมัวแม้จะเป็นเรื่องของตนเองก็ตาม
ทั่วทั้งบริเวณของท้องพระโรงนั้นต่างปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบหากแต่รังสีความตึงเครียดนั้นแผ่กระจายไปทุกอณูบริเวณ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับมันจะพันกันจนเป็นปมขึ้นมาไม่ปานก่อนวาดมือช้าๆ กลางอากาศก็ปรากฏเป็นจอภาพขนาดใหญ่กลางท้องพระโรงบุคคลในจอนั้นหาใช่ใครอื่นใด คนๆนั้นก็คือองครักษ์คนสนิทที่ไม่ได้พบหน้ากันมาสักระยะหนึ่งแล้ว
“ฝาบาทมีเหตุอันใดพ่ะย่ะค่ะถึงได้ติดต่อเร่งด่วนถึงเพียงนี้” บุคคลในจอถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นนาย ก่อนจะคอยชำเลื่องมองด้านหลังตนเองอย่างเป็นห่วง
คนเป็นนายสงสัยในการกระทำของคนสนิทก่อนจะเพ่งมองในจอภาพก็พบว่าด้านหลังองครักษ์นั้นมีใครคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอนที่มีใบหน้าละมาดคล้ายคลึงกับคนรักของเขา ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใครแต่นั้นก็ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับสีหน้าของคนบนเตียงที่แม้จะหลับสนิทแต่กลับดูซีดเซียวไร้เม็ดสีบนใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถามคนสนิทออกไป
“เขาเป็นอะไรทำไมใบหน้าถึงดูซีดเซียวขนาดนั้น” ถามออกไปทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีว่าคงจะไม่สบายเป็นแน่แท้ พอมาเห็นอย่างนี้ก็ทำให้นึกถึงใครอีกคนที่เมื่อตอนสายก็ดูซีดเซียวเช่นกันตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็หารู้ไม่
“พอดีข้าวจ้าวไม่สบายนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” คนถูกถามตอบออกไปด้วยสายตาห่วงใยก่อนจะหันไปยกผ้าห่มที่ร่อนลงให้คลุมคนบนเตียงอย่างทะนุถนอม การกระทำเหล่านั้นเรียกเสียงฮือฮาของผู้คนในท้องพระโรงได้เป็นอย่างดีคงเพราะมันเป็นเรื่องแปลกที่ได้เห็นองครักษ์ของราชาผู้ที่ได้ฉายาว่าปีศาจน้ำแข็งผู้มีใบหน้านิ่งราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกหากแต่บัดนี้ใบหน้าอ่อนโยนนั้นมันช่างแปลกไปจริงๆ
“พวกเจ้าเงียบเดี๋ยวนี้” เสียงเย็นเอ่ยขึ้นมาก่อนที่ทุกอย่างในท้องพระโรงจะเงียบลงราวกับที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย คนเป็นหัวข้อก็ไม่ได้นึกสนใจแต่อย่างใด ก็แค่เขาเปลี่ยนไปเพราะคนที่นอนป่วยคนนี้มันจะแปลกตรงไหนกัน
“ยังไงก็ดูแลเขาให้ดีข้าไม่อยากให้ข้าวสวยเป็นกังวล ที่ข้าติดต่อไปก็เรื่องข้าวสวยนี้แหละ” ทุกคนต่างนิ่งฟังผู้เป็นนายอย่างตั้งอกตั้งใจคงเพราะเป็นเรื่องของผู้เป็นนายของตนที่ล้วนแล้วจะเป็นที่รักของทุกคน
“ช่วงนี้ทางฝั่งอาเทอร์เงียบไปข้าว่ามันแปลกๆ และที่สำคัญข้าวสวยก็แปลกไปเช่นกัน พวกเจ้ารู้ดีถึงตำนานของสามผู้สร้างโลกนี้ใช่หรือไม่ และข้าวสวยเองก็เป็นผู้สืบทอดตราหยาดน้ำแห่งจันทรา และข้าที่เป็นผู้สืบทอดตราแสงแห่งราวินทรา ในคำทำนายมันบอกไว้ว่า ยามใดที่มวลหยาดน้ำไหลมาบรรจบไอแสง เหล่ามวลความรักจักบังเกิด สุขนั้นทั่วอาณาราช พลันวิบัติจักเคลื่อนไปทั่วแคว้นแดน”
“ท่านพี่ ท่านหมายความว่า...” มิคาร์เอลที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกกลัว
“ใช่มันเป็นยังที่พวกเจ้าคิด โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเหล่าพวกเราชาวอาณาปีศาจเหลือเกิน การมาเยือนของข้าวสวยมันคือโชคชะตาที่พวกเราต้องพบเจอ และผู้ที่จะจบทุกอย่างนี้ก็มีเพียงแค่คนเดียวก็คือตัวเขา แม้จะไม่รับรู้อะไรแต่เขาคือผู้แบกรับทุกอย่าง ตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ใดคือผู้ครองราหูทมิฬ” ดวงตาสีแดงนั้นดูหม่อนลงทุกครายามนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“แล้วอาเทอร์ละท่านพี่” มิคาร์เอลเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อนึกถึงคนที่ก่อความวุ่นวายในช่วงนี้ ถึงจะบอกว่าช่วงนี้แต่จะให้พูดว่าไงดีละมันหนักขึ้นช่วงนี้ละกระมังเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรมากนักแค่พยายามจะกัดกินพื้นที่ให้ปกคลุมไปด้วยความมืดของความชั่วร้ายแต่เดี๋ยวนี้มันเล็งเป้ามาที่พี่สะใภ้ และก่อกวนราษฎรมากขึ้น
“เรื่องของอาเทอร์ก็ต้องระวังเพราะเป้าหมายก็คือข้าวสวยเช่นกัน พี่คงต้องฝากเจ้านะมิคาร์เอล” คนถูกฝากฝังพยักหน้ารับอย่างยินดี
“ฝาบาทผู้ที่ครองราหูทมิฬในหนังสือ ตราบสิ้นดวงหฤทัย มีบอกลักษณะไว้ไม่ใช่หรือพะยะค่ะ” เสียงที่ดังจากจอภาพเอ่ยขึ้นมาเรียกความสนใจให้ผู้เป็นราชาได้อย่างท่วมท้น
“ใช่! ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน ลืมมันไปเสียสนิทว่ามันไม่ใช่แค่นิยายประรำประรา” ใช่! มันไม่ใช่นิยายประรำประราอย่างที่เขาบอกคนรักไปหากแต่เป็นเรื่องราวความจริงที่ได้เกิดขึ้นเมื่อเนินนานมาแล้ว ทำไมเขาถึงลืมเรื่องนี้ไปนะ กี่ครั้งที่จับมันขึ้นมาอ่าน กี่ครั้งที่ต้องรู้สึกเจ็บในอกเมื่อถึงบทสิ้นสุด เขายังจำได้ดีความรู้สึกนั้น เรื่องราวในหนังสือหน้าสุดท้ายมันช่างแสนเศร้า เพราะมันเศร้าเขาเลยเป็นคนตัดมันออกไปด้วยมือของเขาเองเมื่อครั้งยังเยาว์มันเลยกลายเป็นเรื่องราวที่ไร้ตอนจบมาจนถึงทุกวันนี้
มาถึงตรงนี้มันก็ทำให้เขานึกคิดอะไรขึ้นได้ทำไมกัน ทั้งที่รู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลกับเรื่องราวที่คนรักฝันแต่กลับไม่นึกเอะใจไม่นึกสงสัยให้มันมากกว่านี้ ทำไมกัน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะข้าวสวยคือผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราสินะ ดูเหมือนเรื่องวุ่นๆ จะเข้ามาอีกมากเลยทีเดียว
“ยอดดวงใจของข้าเจ้าเห็นนั้นหรือไม่หมู่ดาวที่รายล้อมจันทราดวงนั้น รู้ไหมดวงดาวเหล่านั้นมันเปรียบดั่งข้าที่ค่อยโอบล้อมรอบดวงจันทราดวงนี้ไว้ไม่มีคราใดที่จะทิ้งเจ้าให้อยู่เพียงผู้เดียว” ร่างสูงใหญ่โอบกอดร่างเล็กไว้ท่ามกลางใต้แสงจันทราที่ถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ดาวนับหมื่นแสนล้านดวงอย่างรักใคร่ คนในอ้อมกอดได้แต่ซบลงกับอกแข็งแรงเพื่อซึมซับรับกลิ่นความอบอุ่นที่กระจัดกระจายไปตามมวลอากาศ
แม้ยามค่ำคืนจะหนาวเย็นเพียงใดหากแต่เราทั้งสองต่างโอบกอดกันไว้ เชื่อว่าความหนาวเหน็บจะไม่มาทำลายพวกเขาอย่างเด็ดขาด เพราะความอบอุ่นที่แผดซ่านออกมานั้นมันโอบล้อมไปทั่วจนสัมผัสถึงความหนาวเย็นไม่ได้แม้แต่น้อยนิด
ภาพบรรยากาศความสุขนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบของคนสองคนที่ต่างห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด เสียงโลหะกระทบดังสนั่นไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ต่างฝ่ายผลัดกันรับผลัดสู้อย่างไม่มีใครยอมใคร
“พวกเจ้าหยุดเถอะข้าขอร้อง...ฮึก” เสียงเล็กปนสะอื้นตะโกนขึ้นแข่งกับเสียงของคมดาบที่กำลังฟาดฟันอยู่ ดูเหมือนเสียงนั้นจะเรียกให้สายตาของคนตัวใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักหันมามองอย่างห่วงใย ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากสู้รบกับคนตรงหน้าที่เป็นดั่งเพื่อนรักเช่นนี้แต่เพราะอีกฝ่ายไม่คิดเช่นเดียวกับเขาจึงทำได้แค่สู้ตอบรับโดยระวังอยู่ตลอดรู้ดีว่าเพื่อนนั้นกำลังอารมณ์ขุ่นมัวจนมองไม่เห็นอะไรถูกโทสะเข้าครอบงำจนมืดบอด ตอนนี้เขาทำได้แค่รับมือคนตรงหน้าเพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรคนตรงหน้าก็ไม่รับฟังเขาเลย เวลาผ่านมานานเท่าไรแล้วนะที่พวกเขาแตกหักกัน นานเท่าไรแล้วที่ต้องหันปลายดาบเข้าใส่กัน เมื่อไรมันจะจบเสียที เวลานี้ทั่วทุกถิ่นนั้นต่างร้อนเป็นไฟโลกที่สวยงามแสนสงบนั้นหายไปด้วยฝีมือของพวกเขาที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมาและมันกำลังจะพังพินาศด้วยฝีมือของพวกเขาอีกเช่นกัน
“รามิฬ เจ้าใจเย็น เจ้าไม่เห็นหรือไรว่าบัดนี้โลกเรานั้นร้อนเป็นไฟเช่นไร เจ้าอยากให้มันพังพินาศลงด้วยนามมือของเจ้าหรือไร” เสียงแกร่งเอ่ยออกมาทั้งที่ในมือยังคงถือดาบเพื่อรับกับคมดาบของอีกคน
“เจ้าอย่ามาทำพูดดีไปคาวินข้าไม่สนว่าโลกมันจะเป็นอย่างไรในเมื่อใจข้าไม่สุขอย่าหวังเลยว่าผู้ใดจะสุข”
“เจ้าควรจะทำใจยอมรับมัน เจ้าก็รู้ดีว่าความรู้สึกนั้นมันไม่อาจห้ามกันได้”
“อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย ใช่ความรู้สึกมันห้ามไม่ได้ เหมือนกับข้าที่ตอนนี้ไม่อาจห้ามใจให้ไม่ฆ่าเจ้าได้อย่างไรคาวิน” ว่าจบร่างสูงก็พุ่งปลายดาบแหลมคมเข้าหาอย่างหวังพลิชีวิตของอีกคน
“ไม่นะ!!!!!”
ฮึก!!!!!! พรึบ!!
แฮ่กๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงหอบหายใจดังไปทั่วทั้งห้องนอนขนาดใหญ่ เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้า และร่างกายต่างไหลมาเป็นทางยาวจนทั้งตัวเปียกชุ่ม เอาอีกแล้วสินะฝันอีกแล้วกี่วันกันแล้วที่ฝันถึงแต่คนพวกนั้นหนึ่งวัน สองวัน หรือสามวัน ไม่สีสองอาทิตย์กว่าได้แล้วละที่ฝันซ้ำไปซ้ำมาแต่เรื่องพวกนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฝันตลอด เรื่องราวมันเพิ่มมากขึ้นทุกวันแม้มันจะไม่ปะติปะต่อกันจนเป็นเรื่องราวแต่เพราะฝันมาหลายครั้งเหลือเกินจนตัวเขาพอจะจับต้นชนปลายเรื่องราวได้บ้างแต่ก็ยังงงอยู่ดี คิดไปก็เท่านั้นเพราะยังไงเขาก็ไม่ได้คำตอบ
ร่างเล็กค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงนอนก่อนจะเดินออกจากห้องหวังจะไปรับบรรยากาศภายนอกให้รู้สึกดีสักหน่อย นอนตอนกลางวันนี้มันทำให้เขารู้สึกมืนหัวไม่น้อยเลย ยิ่งช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรมักจะง่วงนอนบ่อยๆ ทั้งที่ไม่ค่อยอยากนอนแท้ๆ เขาไม่อยากฝัน
“ไพทรีพาผมไปเดินเล่นหน่อยสิ พึ่งตื่นแล้วมันมืนหัวยังไงก็ไม่รู้” เดินออกมาหน้าห้องก็เอ่ยบอกคนสนิททันที ตั้งแต่วันนั้นไพทรีก็ดีกับเขามาตลอด คอยดูแลเขาอย่างดีจนบางครั้งก็รู้สึกแกล้งใจถึงจะบอกว่าเป็นหน้าที่ก็เถอะแต่ไม่ชินสักทีทั้งที่มาอยู่ที่นี้นานมากแล้วกี่เดือนแล้วนะตัวเขาก็จำไม่ได้เหมือนกันคงเพราะไม่เคยสนใจที่จะนับมันแล้วกระมัง
“พระองศ์ดูหน้าซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่าเพคะ” ไพทรีถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นนาย
“เปล่านะ ผมสบายดีแค่มืนหัวนิดหน่อยคงเพราะพึ่งตื่นนอนเมื่อกี้ ไปเดินเล่นในสวนกันเถอะ” คนเป็นนายว่าก่อนจะเอ่ยชวนอีกครั้งแล้วเดินนำออกไป แม้จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่เห็นคนเป็นนายดูท่าทางไม่ดีแต่เมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นอะไรไพทรีก็ได้แต่ทำใจยอมรับ
ร่างเล็กในชุดสีขาวเดินมาหยุดตรงสวนกุหลายสีฟ้าที่กลายเป็นที่ประจำไปเสียแล้ว มือเล็กกางออกรับสายลมที่พัดมาก่อนจะสูดดมกลิ่นกุหลาบที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ เขาชอบมากที่สุดเลยกลิ่นนี้นะมันหอม และสดชื่นดีในความคิดของเขา แต่ทำไมตอนนี้เขารู้สึกว่ากลิ่นนี้มันน่าปวดหัวจัง มือเล็กรีบเอามือมาปิดจมูกทันทีที่ได้กลิ่น เขารู้สึกว่ามันเหม็นๆ จนเขาจะอ้วก ทำไมกันทั้งที่จะออกมารับอากาศสดชื่นแท้ๆ
“พระองศ์! เป็นอะไรไปเพคะ” ไพทรีเห็นท่าทีของนายแปลกไปเลยเข้าไปถามไถ่อย่างห่วงใย
“ผมเหม็นกลิ่นกุหลาบ เหม็นมากเลยเหม็นจนจะอ้วก” ว่าขึ้นทั้งๆ ที่มือเล็กยังปิดจมูกไว้
“อย่างนั้นเรากลับตำหนักกันดีกว่าเพคะ สีหน้าดูไม่สู้ดีเลย” ไพทรีว่า คนป่วยก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับเพราะถ้าขืนให้เขาอ้าปากพูดคงได้ปล่อยของออกมาเป็นแน่ ระหว่างทางไพทรีคอยประครองข้าวสวยอยู่ตลอดเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะเป็นอะไรไป แต่ดูเหมือนพอเดินห่างจากสวนกุหลาบอาการดูดีขึ้น
“ข้าวสวยเป็นอะไรไป” เสียงของประมุขเหล่าปีศาจถามขึ้นเมื่อเดินมาพบคนรักพอดี ทั้งที่ตั้งใจจะไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ท้ายประสาทแต่เหมือนมันจะไม่สำคัญเท่ากับคนตรงหน้าที่ดูซีดเซียวแถมยังต้องให้ไพทรีประครองอีก
“ฝาบาท คือราชินีทรงเหม็นกลิ่นดอกกุหลาบเพคะ” ไพทรีตอบไปทั้งมือยังคงประครองผู้เป็นนายอยู่
“เหม็นกลิ่นกุหลาบ??” อัสบัสพูดขึ้นอย่างสงสัยก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรในเมื่อคนรักเขาชอบกลิ่นกุหลาบนั้นจะตายไป หลังจากนั้นมือใหญ่ค่อยๆ ยื่นไปรับร่างของคนรักมาประครองไว้เอง
“คุณผมหิว” คนป่วยที่เงียบอยู่พูดขึ้นมาเรียกความงุนงงให้กับคนเป็นสามี และคนสนิทเป็นอย่างมากก็ตอนนี้พึ่งจะบ่ายเองคนตัวเล็กหิวแล้วหรือทั้งที่เมื่อเที่ยงพึ่งจะกินไปแล้วก็งีบหลับ
“หือ? หิวหรืองั้นกลับตำหนักกัน ไพทรีเดี๋ยวเจ้าให้คนยกของว่างไปให้ข้าวสวยที่ห้อง” ถึงจะสงสัยแต่อัสบัสก็ยังคงตามใจคนรักเห็นป่วยหรอกนะเลยไม่อยากขัดใจ ส่วนเรื่องตรวจท้ายประสาทก็เอาไว้ทีหลังแล้วกัน อัสบัสพาคนรักมาถึงตำหนักดูสีหน้าข้าวสวยดีขึ้นมากเหมือนจะหายเสียแล้วด้วย ครู่หนึ่งไพทรี และคนอื่นๆ ก็ยกของว่างมาให้คนเป็นราชินีที่บ่นว่าหิวอยู่ไม่ขาดปาก
“ว้าวๆๆๆๆ พุดดิ้งๆ ล่ะ ทานละนะครับ” คนหิวเมื่อเห็นของกินมาวางอยู่ตรงหน้าก็ไม่รอช้ารีบหยิบขึ้นมาชื่นชม และเอาเข้าปากทันทีเรียกรอยยิ้มให้คนมองได้ไม่น้อย เคยมีที่ไหนละที่เจ้าตัวจะทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ให้เขาเห็น
“กินดีๆ เจ้าจะรีบทำไม” อัสบัสดุเบาๆ เมื่อเห็นว่าคนรักรีบกินจนมันเลอะแก้มไปหมด ทางคนถูกดุก็หน้างอปากแบะขึ้นมาทันที แค่กินเลอะนิดหน่อยทำไหมต้องดุกันด้วย
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็มันจริงดูสิกินเลอะเหมือนเด็ก” ว่าไปอีกครั้งพร้อมกับใช่ปลายนิ้วเช็ดตรงข้างแก้มที่ติดเศษพุดดิ้ง
“ไม่เหมือนเด็กสักหน่อย” คนถูกดุเถียงขึ้นปากเล็กแบะเตรียมปล่อยโฮ น้อยใจเรื่องแค่นี้ทำไมต้องดุไอ้เขาควายบ้าๆๆ
“เฮ้ย! ไม่เด็กๆ กินต่อเถอะประเดี๋ยวมันจะไม่อร่อย” อัสบัสตกใจที่เห็นคนเถียงแบะปากเตรียมปล่อยโฮ ก่อนจะบอกให้คนตัวเล็กกินต่อ เจอข้าวสวยโหมดนี้เขาก็ไปไม่เป็นเหมือนกันปกติจะดื้อแต่นี้พูดนิดหน่อยหน้างอปากแบะเสียแล้วคนรักเขาเป็นอะไรไป กว่าจะจบวันเล่นเอาคนเป็นราชาเหนื่อยก็คนเป็นภรรยาเล่นอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนตามไม่ทัน
....................................
มาแล้วค่ะตอนที่ 14 มาแบบรัวๆๆหลังจากหายหัวไปหลายวัน ฝากผลงานด้วยนะคะ
“ยอดดวงใจของข้า ข้ารักเจ้ามากเหลือเกิน” เสียงหวานทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับน้ำผึ้งหยาดเยิ้มทำให้สีหน้าคนฟังนั้นแต่งแต้มไปด้วยเม็ดสีแดงระเรือง
“ตัวข้าเองนั้นก็รักท่านเช่นกัน คาวิน ของข้า” เสียงเล็กหวานตอบกลับอย่างเอียงอาย ก่อนที่ทั้งสองจะมอบจุมพิตหอมหวานดุดดังน้ำผึ้งพระจันทร์ให้แก่กัน
ภาพความสุขนี้ค่อยๆ แทนที่ด้วยดวงตาอันโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองตามด้วยเสียงตัดพ้อว่ากล่าวก่อนจะกลายเป็นภาพการสู้รบของชายหนุ่มสองคน ห่างไปไม่ไกลก็ปรากฏร่างเล็กที่สวยดุจดังสตรียืนน้ำตานองหน้าราวกับกำลังอ้อนวอนให้ทั้งสองต่างหยุดฟาดฟัน
“ฮึก!!!!! ฝันอีกแล้ว” ร่างเล็กสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้า และร่างกายมากมายราวกับพึ่งไปวิ่งระยะไกลมา
กี่ครั้งกันที่ฝันถึงแต่เรื่องราวเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาพยายามจะไม่คิดอะไรตามที่ใครคนนั้นบอกแต่ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาฝันถึงมันตลอด ถึงจะบอกว่าเพราะอ่านเรื่อง ตราบสิ้นดวงหฤทัย ไป แต่ทุกครั้งที่นอนเขาไม่เคยนึกถึงมันเลยออกจะลืมมันไปแล้วเสียด้วยซ้ำแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแต่ละฉากแต่ละตอนที่ปรากฏในความฝันนั้นช่างเหมือนกับในหนังสือนั้นมากเหลือเกิน แล้วไอ้ความรู้สึกหน่วงในอกนี้อีก ทำไมกันตัวเขาสับสนเหลือเกินเหตุใดจะต้องรู้สึกสุขและเศร้าใจไปพร้อมกันเมื่อนึกถึงความฝันนี้ทำไมกัน เท้าเปื่อยเปล่าคู่น้อยค่อยๆเลื่อนลงจากเตียงนอนก่อนจะพาร่างอันผอมบางหมายมุ่งจะไปยังห้องอาบน้ำ
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงของใครอีกคนที่พึ่งเดินเข้ามาเรียกให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงก่อนจะพยักหน้าที่ดูอิดโรยออกไป คนตัวใหญ่เลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นคนร่างเล็กดูไร้เรียวแรง
“เจ้าไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าซีดๆ” เสียงทุ่มนั้นเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย
“ผมไม่ได้เป็นอะไรแค่รู้สึกมึนหัวนะ คงจะนอนเยอะไปหน่อย” คนถูกถามว่าขึ้นคนฟังก็คิดตาม มันก็จริงวันนี้คนรักของเขาตื่นสายกว่าทุกวันคงเพราะนอนมากไปจริงๆ กระมัง
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” เสียงเล็กฟังดูเหนื่อยหน่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินจากไปโดยไม่รอคำกล่าวจากอีกคน
อัสบัสมองร่างเล็กที่เดินโซซัดโซเซเข้าห้องอาบน้ำไปอย่างกังวลตลอดอาทิตย์ที่ผ่านคนรักของเขามักดูแปลกไปซึ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ยิ่งคนตัวเล็กเล่าถึงความฝันที่ฝันวนไปซ้ำมามันก็ยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมคนตัวเล็กถึงเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไปฝันซ้ำไปซ้ำมา แต่ความรู้สึกเขามันบอกว่าไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่บอกปัดคนรักไปว่าไม่มีอะไรคงเพราะคิดมากไปเองทั้งที่ใจลึกๆแล้วตัวเขานั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่มันต้องมีอะไรสักอย่างซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน คงต้องคอยระวังให้มากขึ้น
ณ ท้องพระโรงเหล่าข้าทาลบริวารต่างมารวมตัวกันเพราะผู้เป็นประมุขหรือก็คือราชาปีศาจของโลกปีศาจแห่งนี้ได้นัดหมายให้มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียงรวมทั้งมิคาร์เอลผู้เป็นน้องคงยกเว้นก็แต่ราชินีแห่งโลกปีศาจที่ไม่ได้รับเชิญใช่ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหากแต่เพราะเกี่ยวข้องเต็มๆ เขาถึงไม่สามารถให้คนรักเข้ามาในที่นี้ได้ ไม่อยากให้ได้รับรู้อะไรที่ทำให้รู้สึกขุ่นมัวแม้จะเป็นเรื่องของตนเองก็ตาม
ทั่วทั้งบริเวณของท้องพระโรงนั้นต่างปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบหากแต่รังสีความตึงเครียดนั้นแผ่กระจายไปทุกอณูบริเวณ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับมันจะพันกันจนเป็นปมขึ้นมาไม่ปานก่อนวาดมือช้าๆ กลางอากาศก็ปรากฏเป็นจอภาพขนาดใหญ่กลางท้องพระโรงบุคคลในจอนั้นหาใช่ใครอื่นใด คนๆนั้นก็คือองครักษ์คนสนิทที่ไม่ได้พบหน้ากันมาสักระยะหนึ่งแล้ว
“ฝาบาทมีเหตุอันใดพ่ะย่ะค่ะถึงได้ติดต่อเร่งด่วนถึงเพียงนี้” บุคคลในจอถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นนาย ก่อนจะคอยชำเลื่องมองด้านหลังตนเองอย่างเป็นห่วง
คนเป็นนายสงสัยในการกระทำของคนสนิทก่อนจะเพ่งมองในจอภาพก็พบว่าด้านหลังองครักษ์นั้นมีใครคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอนที่มีใบหน้าละมาดคล้ายคลึงกับคนรักของเขา ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใครแต่นั้นก็ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับสีหน้าของคนบนเตียงที่แม้จะหลับสนิทแต่กลับดูซีดเซียวไร้เม็ดสีบนใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถามคนสนิทออกไป
“เขาเป็นอะไรทำไมใบหน้าถึงดูซีดเซียวขนาดนั้น” ถามออกไปทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีว่าคงจะไม่สบายเป็นแน่แท้ พอมาเห็นอย่างนี้ก็ทำให้นึกถึงใครอีกคนที่เมื่อตอนสายก็ดูซีดเซียวเช่นกันตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็หารู้ไม่
“พอดีข้าวจ้าวไม่สบายนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” คนถูกถามตอบออกไปด้วยสายตาห่วงใยก่อนจะหันไปยกผ้าห่มที่ร่อนลงให้คลุมคนบนเตียงอย่างทะนุถนอม การกระทำเหล่านั้นเรียกเสียงฮือฮาของผู้คนในท้องพระโรงได้เป็นอย่างดีคงเพราะมันเป็นเรื่องแปลกที่ได้เห็นองครักษ์ของราชาผู้ที่ได้ฉายาว่าปีศาจน้ำแข็งผู้มีใบหน้านิ่งราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกหากแต่บัดนี้ใบหน้าอ่อนโยนนั้นมันช่างแปลกไปจริงๆ
“พวกเจ้าเงียบเดี๋ยวนี้” เสียงเย็นเอ่ยขึ้นมาก่อนที่ทุกอย่างในท้องพระโรงจะเงียบลงราวกับที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย คนเป็นหัวข้อก็ไม่ได้นึกสนใจแต่อย่างใด ก็แค่เขาเปลี่ยนไปเพราะคนที่นอนป่วยคนนี้มันจะแปลกตรงไหนกัน
“ยังไงก็ดูแลเขาให้ดีข้าไม่อยากให้ข้าวสวยเป็นกังวล ที่ข้าติดต่อไปก็เรื่องข้าวสวยนี้แหละ” ทุกคนต่างนิ่งฟังผู้เป็นนายอย่างตั้งอกตั้งใจคงเพราะเป็นเรื่องของผู้เป็นนายของตนที่ล้วนแล้วจะเป็นที่รักของทุกคน
“ช่วงนี้ทางฝั่งอาเทอร์เงียบไปข้าว่ามันแปลกๆ และที่สำคัญข้าวสวยก็แปลกไปเช่นกัน พวกเจ้ารู้ดีถึงตำนานของสามผู้สร้างโลกนี้ใช่หรือไม่ และข้าวสวยเองก็เป็นผู้สืบทอดตราหยาดน้ำแห่งจันทรา และข้าที่เป็นผู้สืบทอดตราแสงแห่งราวินทรา ในคำทำนายมันบอกไว้ว่า ยามใดที่มวลหยาดน้ำไหลมาบรรจบไอแสง เหล่ามวลความรักจักบังเกิด สุขนั้นทั่วอาณาราช พลันวิบัติจักเคลื่อนไปทั่วแคว้นแดน”
“ท่านพี่ ท่านหมายความว่า...” มิคาร์เอลที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกกลัว
“ใช่มันเป็นยังที่พวกเจ้าคิด โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเหล่าพวกเราชาวอาณาปีศาจเหลือเกิน การมาเยือนของข้าวสวยมันคือโชคชะตาที่พวกเราต้องพบเจอ และผู้ที่จะจบทุกอย่างนี้ก็มีเพียงแค่คนเดียวก็คือตัวเขา แม้จะไม่รับรู้อะไรแต่เขาคือผู้แบกรับทุกอย่าง ตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ใดคือผู้ครองราหูทมิฬ” ดวงตาสีแดงนั้นดูหม่อนลงทุกครายามนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“แล้วอาเทอร์ละท่านพี่” มิคาร์เอลเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อนึกถึงคนที่ก่อความวุ่นวายในช่วงนี้ ถึงจะบอกว่าช่วงนี้แต่จะให้พูดว่าไงดีละมันหนักขึ้นช่วงนี้ละกระมังเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรมากนักแค่พยายามจะกัดกินพื้นที่ให้ปกคลุมไปด้วยความมืดของความชั่วร้ายแต่เดี๋ยวนี้มันเล็งเป้ามาที่พี่สะใภ้ และก่อกวนราษฎรมากขึ้น
“เรื่องของอาเทอร์ก็ต้องระวังเพราะเป้าหมายก็คือข้าวสวยเช่นกัน พี่คงต้องฝากเจ้านะมิคาร์เอล” คนถูกฝากฝังพยักหน้ารับอย่างยินดี
“ฝาบาทผู้ที่ครองราหูทมิฬในหนังสือ ตราบสิ้นดวงหฤทัย มีบอกลักษณะไว้ไม่ใช่หรือพะยะค่ะ” เสียงที่ดังจากจอภาพเอ่ยขึ้นมาเรียกความสนใจให้ผู้เป็นราชาได้อย่างท่วมท้น
“ใช่! ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน ลืมมันไปเสียสนิทว่ามันไม่ใช่แค่นิยายประรำประรา” ใช่! มันไม่ใช่นิยายประรำประราอย่างที่เขาบอกคนรักไปหากแต่เป็นเรื่องราวความจริงที่ได้เกิดขึ้นเมื่อเนินนานมาแล้ว ทำไมเขาถึงลืมเรื่องนี้ไปนะ กี่ครั้งที่จับมันขึ้นมาอ่าน กี่ครั้งที่ต้องรู้สึกเจ็บในอกเมื่อถึงบทสิ้นสุด เขายังจำได้ดีความรู้สึกนั้น เรื่องราวในหนังสือหน้าสุดท้ายมันช่างแสนเศร้า เพราะมันเศร้าเขาเลยเป็นคนตัดมันออกไปด้วยมือของเขาเองเมื่อครั้งยังเยาว์มันเลยกลายเป็นเรื่องราวที่ไร้ตอนจบมาจนถึงทุกวันนี้
มาถึงตรงนี้มันก็ทำให้เขานึกคิดอะไรขึ้นได้ทำไมกัน ทั้งที่รู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลกับเรื่องราวที่คนรักฝันแต่กลับไม่นึกเอะใจไม่นึกสงสัยให้มันมากกว่านี้ ทำไมกัน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะข้าวสวยคือผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราสินะ ดูเหมือนเรื่องวุ่นๆ จะเข้ามาอีกมากเลยทีเดียว
“ยอดดวงใจของข้าเจ้าเห็นนั้นหรือไม่หมู่ดาวที่รายล้อมจันทราดวงนั้น รู้ไหมดวงดาวเหล่านั้นมันเปรียบดั่งข้าที่ค่อยโอบล้อมรอบดวงจันทราดวงนี้ไว้ไม่มีคราใดที่จะทิ้งเจ้าให้อยู่เพียงผู้เดียว” ร่างสูงใหญ่โอบกอดร่างเล็กไว้ท่ามกลางใต้แสงจันทราที่ถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ดาวนับหมื่นแสนล้านดวงอย่างรักใคร่ คนในอ้อมกอดได้แต่ซบลงกับอกแข็งแรงเพื่อซึมซับรับกลิ่นความอบอุ่นที่กระจัดกระจายไปตามมวลอากาศ
แม้ยามค่ำคืนจะหนาวเย็นเพียงใดหากแต่เราทั้งสองต่างโอบกอดกันไว้ เชื่อว่าความหนาวเหน็บจะไม่มาทำลายพวกเขาอย่างเด็ดขาด เพราะความอบอุ่นที่แผดซ่านออกมานั้นมันโอบล้อมไปทั่วจนสัมผัสถึงความหนาวเย็นไม่ได้แม้แต่น้อยนิด
ภาพบรรยากาศความสุขนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบของคนสองคนที่ต่างห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด เสียงโลหะกระทบดังสนั่นไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ต่างฝ่ายผลัดกันรับผลัดสู้อย่างไม่มีใครยอมใคร
“พวกเจ้าหยุดเถอะข้าขอร้อง...ฮึก” เสียงเล็กปนสะอื้นตะโกนขึ้นแข่งกับเสียงของคมดาบที่กำลังฟาดฟันอยู่ ดูเหมือนเสียงนั้นจะเรียกให้สายตาของคนตัวใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักหันมามองอย่างห่วงใย ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากสู้รบกับคนตรงหน้าที่เป็นดั่งเพื่อนรักเช่นนี้แต่เพราะอีกฝ่ายไม่คิดเช่นเดียวกับเขาจึงทำได้แค่สู้ตอบรับโดยระวังอยู่ตลอดรู้ดีว่าเพื่อนนั้นกำลังอารมณ์ขุ่นมัวจนมองไม่เห็นอะไรถูกโทสะเข้าครอบงำจนมืดบอด ตอนนี้เขาทำได้แค่รับมือคนตรงหน้าเพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรคนตรงหน้าก็ไม่รับฟังเขาเลย เวลาผ่านมานานเท่าไรแล้วนะที่พวกเขาแตกหักกัน นานเท่าไรแล้วที่ต้องหันปลายดาบเข้าใส่กัน เมื่อไรมันจะจบเสียที เวลานี้ทั่วทุกถิ่นนั้นต่างร้อนเป็นไฟโลกที่สวยงามแสนสงบนั้นหายไปด้วยฝีมือของพวกเขาที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมาและมันกำลังจะพังพินาศด้วยฝีมือของพวกเขาอีกเช่นกัน
“รามิฬ เจ้าใจเย็น เจ้าไม่เห็นหรือไรว่าบัดนี้โลกเรานั้นร้อนเป็นไฟเช่นไร เจ้าอยากให้มันพังพินาศลงด้วยนามมือของเจ้าหรือไร” เสียงแกร่งเอ่ยออกมาทั้งที่ในมือยังคงถือดาบเพื่อรับกับคมดาบของอีกคน
“เจ้าอย่ามาทำพูดดีไปคาวินข้าไม่สนว่าโลกมันจะเป็นอย่างไรในเมื่อใจข้าไม่สุขอย่าหวังเลยว่าผู้ใดจะสุข”
“เจ้าควรจะทำใจยอมรับมัน เจ้าก็รู้ดีว่าความรู้สึกนั้นมันไม่อาจห้ามกันได้”
“อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย ใช่ความรู้สึกมันห้ามไม่ได้ เหมือนกับข้าที่ตอนนี้ไม่อาจห้ามใจให้ไม่ฆ่าเจ้าได้อย่างไรคาวิน” ว่าจบร่างสูงก็พุ่งปลายดาบแหลมคมเข้าหาอย่างหวังพลิชีวิตของอีกคน
“ไม่นะ!!!!!”
ฮึก!!!!!! พรึบ!!
แฮ่กๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงหอบหายใจดังไปทั่วทั้งห้องนอนขนาดใหญ่ เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้า และร่างกายต่างไหลมาเป็นทางยาวจนทั้งตัวเปียกชุ่ม เอาอีกแล้วสินะฝันอีกแล้วกี่วันกันแล้วที่ฝันถึงแต่คนพวกนั้นหนึ่งวัน สองวัน หรือสามวัน ไม่สีสองอาทิตย์กว่าได้แล้วละที่ฝันซ้ำไปซ้ำมาแต่เรื่องพวกนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฝันตลอด เรื่องราวมันเพิ่มมากขึ้นทุกวันแม้มันจะไม่ปะติปะต่อกันจนเป็นเรื่องราวแต่เพราะฝันมาหลายครั้งเหลือเกินจนตัวเขาพอจะจับต้นชนปลายเรื่องราวได้บ้างแต่ก็ยังงงอยู่ดี คิดไปก็เท่านั้นเพราะยังไงเขาก็ไม่ได้คำตอบ
ร่างเล็กค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงนอนก่อนจะเดินออกจากห้องหวังจะไปรับบรรยากาศภายนอกให้รู้สึกดีสักหน่อย นอนตอนกลางวันนี้มันทำให้เขารู้สึกมืนหัวไม่น้อยเลย ยิ่งช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรมักจะง่วงนอนบ่อยๆ ทั้งที่ไม่ค่อยอยากนอนแท้ๆ เขาไม่อยากฝัน
“ไพทรีพาผมไปเดินเล่นหน่อยสิ พึ่งตื่นแล้วมันมืนหัวยังไงก็ไม่รู้” เดินออกมาหน้าห้องก็เอ่ยบอกคนสนิททันที ตั้งแต่วันนั้นไพทรีก็ดีกับเขามาตลอด คอยดูแลเขาอย่างดีจนบางครั้งก็รู้สึกแกล้งใจถึงจะบอกว่าเป็นหน้าที่ก็เถอะแต่ไม่ชินสักทีทั้งที่มาอยู่ที่นี้นานมากแล้วกี่เดือนแล้วนะตัวเขาก็จำไม่ได้เหมือนกันคงเพราะไม่เคยสนใจที่จะนับมันแล้วกระมัง
“พระองศ์ดูหน้าซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่าเพคะ” ไพทรีถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นนาย
“เปล่านะ ผมสบายดีแค่มืนหัวนิดหน่อยคงเพราะพึ่งตื่นนอนเมื่อกี้ ไปเดินเล่นในสวนกันเถอะ” คนเป็นนายว่าก่อนจะเอ่ยชวนอีกครั้งแล้วเดินนำออกไป แม้จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่เห็นคนเป็นนายดูท่าทางไม่ดีแต่เมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นอะไรไพทรีก็ได้แต่ทำใจยอมรับ
ร่างเล็กในชุดสีขาวเดินมาหยุดตรงสวนกุหลายสีฟ้าที่กลายเป็นที่ประจำไปเสียแล้ว มือเล็กกางออกรับสายลมที่พัดมาก่อนจะสูดดมกลิ่นกุหลาบที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ เขาชอบมากที่สุดเลยกลิ่นนี้นะมันหอม และสดชื่นดีในความคิดของเขา แต่ทำไมตอนนี้เขารู้สึกว่ากลิ่นนี้มันน่าปวดหัวจัง มือเล็กรีบเอามือมาปิดจมูกทันทีที่ได้กลิ่น เขารู้สึกว่ามันเหม็นๆ จนเขาจะอ้วก ทำไมกันทั้งที่จะออกมารับอากาศสดชื่นแท้ๆ
“พระองศ์! เป็นอะไรไปเพคะ” ไพทรีเห็นท่าทีของนายแปลกไปเลยเข้าไปถามไถ่อย่างห่วงใย
“ผมเหม็นกลิ่นกุหลาบ เหม็นมากเลยเหม็นจนจะอ้วก” ว่าขึ้นทั้งๆ ที่มือเล็กยังปิดจมูกไว้
“อย่างนั้นเรากลับตำหนักกันดีกว่าเพคะ สีหน้าดูไม่สู้ดีเลย” ไพทรีว่า คนป่วยก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับเพราะถ้าขืนให้เขาอ้าปากพูดคงได้ปล่อยของออกมาเป็นแน่ ระหว่างทางไพทรีคอยประครองข้าวสวยอยู่ตลอดเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะเป็นอะไรไป แต่ดูเหมือนพอเดินห่างจากสวนกุหลาบอาการดูดีขึ้น
“ข้าวสวยเป็นอะไรไป” เสียงของประมุขเหล่าปีศาจถามขึ้นเมื่อเดินมาพบคนรักพอดี ทั้งที่ตั้งใจจะไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ท้ายประสาทแต่เหมือนมันจะไม่สำคัญเท่ากับคนตรงหน้าที่ดูซีดเซียวแถมยังต้องให้ไพทรีประครองอีก
“ฝาบาท คือราชินีทรงเหม็นกลิ่นดอกกุหลาบเพคะ” ไพทรีตอบไปทั้งมือยังคงประครองผู้เป็นนายอยู่
“เหม็นกลิ่นกุหลาบ??” อัสบัสพูดขึ้นอย่างสงสัยก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรในเมื่อคนรักเขาชอบกลิ่นกุหลาบนั้นจะตายไป หลังจากนั้นมือใหญ่ค่อยๆ ยื่นไปรับร่างของคนรักมาประครองไว้เอง
“คุณผมหิว” คนป่วยที่เงียบอยู่พูดขึ้นมาเรียกความงุนงงให้กับคนเป็นสามี และคนสนิทเป็นอย่างมากก็ตอนนี้พึ่งจะบ่ายเองคนตัวเล็กหิวแล้วหรือทั้งที่เมื่อเที่ยงพึ่งจะกินไปแล้วก็งีบหลับ
“หือ? หิวหรืองั้นกลับตำหนักกัน ไพทรีเดี๋ยวเจ้าให้คนยกของว่างไปให้ข้าวสวยที่ห้อง” ถึงจะสงสัยแต่อัสบัสก็ยังคงตามใจคนรักเห็นป่วยหรอกนะเลยไม่อยากขัดใจ ส่วนเรื่องตรวจท้ายประสาทก็เอาไว้ทีหลังแล้วกัน อัสบัสพาคนรักมาถึงตำหนักดูสีหน้าข้าวสวยดีขึ้นมากเหมือนจะหายเสียแล้วด้วย ครู่หนึ่งไพทรี และคนอื่นๆ ก็ยกของว่างมาให้คนเป็นราชินีที่บ่นว่าหิวอยู่ไม่ขาดปาก
“ว้าวๆๆๆๆ พุดดิ้งๆ ล่ะ ทานละนะครับ” คนหิวเมื่อเห็นของกินมาวางอยู่ตรงหน้าก็ไม่รอช้ารีบหยิบขึ้นมาชื่นชม และเอาเข้าปากทันทีเรียกรอยยิ้มให้คนมองได้ไม่น้อย เคยมีที่ไหนละที่เจ้าตัวจะทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ให้เขาเห็น
“กินดีๆ เจ้าจะรีบทำไม” อัสบัสดุเบาๆ เมื่อเห็นว่าคนรักรีบกินจนมันเลอะแก้มไปหมด ทางคนถูกดุก็หน้างอปากแบะขึ้นมาทันที แค่กินเลอะนิดหน่อยทำไหมต้องดุกันด้วย
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็มันจริงดูสิกินเลอะเหมือนเด็ก” ว่าไปอีกครั้งพร้อมกับใช่ปลายนิ้วเช็ดตรงข้างแก้มที่ติดเศษพุดดิ้ง
“ไม่เหมือนเด็กสักหน่อย” คนถูกดุเถียงขึ้นปากเล็กแบะเตรียมปล่อยโฮ น้อยใจเรื่องแค่นี้ทำไมต้องดุไอ้เขาควายบ้าๆๆ
“เฮ้ย! ไม่เด็กๆ กินต่อเถอะประเดี๋ยวมันจะไม่อร่อย” อัสบัสตกใจที่เห็นคนเถียงแบะปากเตรียมปล่อยโฮ ก่อนจะบอกให้คนตัวเล็กกินต่อ เจอข้าวสวยโหมดนี้เขาก็ไปไม่เป็นเหมือนกันปกติจะดื้อแต่นี้พูดนิดหน่อยหน้างอปากแบะเสียแล้วคนรักเขาเป็นอะไรไป กว่าจะจบวันเล่นเอาคนเป็นราชาเหนื่อยก็คนเป็นภรรยาเล่นอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนตามไม่ทัน
....................................
มาแล้วค่ะตอนที่ 14 มาแบบรัวๆๆหลังจากหายหัวไปหลายวัน ฝากผลงานด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ