King of love ผมนะเหรอภรรยา (เมีย)...ราชาปีศาจ
เขียนโดย Byตั้งโอ๋
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.09 น.
แก้ไขเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560 14.43 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) กลิ่นอายของความรู้สึก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่13กลิ่นอายของความรู้สึก
สายลมที่พัดผ่านมานั้นทำให้กลีบของดอกกุหลาบสีฟ้าที่โรยราจากกิ่งก้านต่างสะบัดปลิวอย่างเริงร่าราวกับได้รับอิสระ เคลื่อนไหวไปตามทิศทางของสายลมท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยปุยเมฆขาวนวลไม่อาจบอกได้เลยว่ามันกำลังแสดงรูปร่างอะไรออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มากับสายลมนั้นอบอวนไปทั่วทั้งบริเวณมันช่างให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย บวกกับสีฟ้าสว่างของดอกกุหลาบที่อยู่ตามแปลงยาวบ้าง ซุ้มทางเดินบ้างหรือแม้แต่ซุ้มหลังคาของศาลาหลังเล็กๆ รู้สึกราวกับอยู่บนฝากฟ้าที่มองไปทางใดก็เจอแต่สีฟ้าสดใสชวนให้เคลิบเคลิ้ม ถ้าอยู่ในหนังรักที่แห่งนี้คงจะจัดเป็นฉากที่ให้ความรู้สึก โรแมนติกได้ดีมากเลยทีเดียว
ร่างเล็กยืนมองดูภาพตรงหน้าอย่างรู้สึกตื่นเต้นก่อนที่แขนเล็กทั้งสองข้างจะค่อยๆ ยกกางออกราวกับกำลังซึมซับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ และความรู้สึกอบอุ่นจากไอแดดที่แผดซ่านไปทั่วทั้งบริเวณแม้สายลมที่พัดมาจนทำให้ผ้าขาวตัวบางที่ใส่อยู่สะบัดไปตามทิศของลมนั้นชวนให้รู้สึกขนลุกชันเพราะความหนาวเย็นที่มากับสายลมก็ตาม
“ที่นี้สวยมากเลย” เสียงเล็กค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมาหลังจากชื่นชมกับความงามตรงหน้าแม้ที่ตรงนี้มันจะไม่ได้มีอะไรวิเศษมากนัก มันก็แค่สวนที่เต็มไปด้วยกุหลาบสีฟ้ามองไปก็แทบจะไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นขึ้นมาแม้แต่น้อยแต่หากได้มามองในยามนี้ในตอนที่สายลมกำลังพัดพาเหล่ากลีบสีฟ้าให้ลองลอยอยู่ท่ามกลางอากาศมากมายอย่างน่ามหัศจรรย์ และกลิ่นหอมๆ ที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณนั้นมันทำให้ที่แห่งนี้วิเศษอย่างหาไม่ได้
“โชคดีที่วันนี้ลมดี เลยทำให้สวนกุหลาบมันดูวิเศษขึ้นมา เจ้าชอบหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยตามเสียงเล็กขึ้นมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าดูหลงใหลกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก
“ชอบสิ ชอบมากเลย” ใช่เขาชอบสถานที่แห่งนี้มากมันดูวิเศษไปเลยในความคิดของเขา ใช่ว่าไม่เคยมาแต่ไม่เคยเห็นที่นี่เป็นแบบนี้ต่างหาก เขายังจำได้ดีว่าครั้งที่มาก็รู้สึกว่ามันสวยมากแม้จะมีเพียงดอกกุหลาบสีฟ้าที่เอียนเอนไปตามกระแสลมแต่วันนี้มันต่างจากวันนั้น
“เจ้าชอบมันข้าก็ดีใจแล้ว” เสียงจากคนข้างกายเอ่ยขึ้นมาทำให้ร่างเล็กต้องละสายตาจากสวนกุหลาบไปที่ใบหน้าหล่อเหลาผู้ได้ชื่อว่าสามีของเขาอย่างถูกต้องทุกอย่าง แม้การพบกันของเรานั้นมันเป็นเพราะโชคชะตาที่ไม่อาจหลบหลีกได้อย่างที่คนตรงหน้าบอกก็ตาม ซึ่งมันก็จริง เพราะตัวเขาไม่อาจหลบหลีกได้จริงๆ จากความรู้สึกไม่ยอมรับตอนนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม ตอนไหนกันนะที่ความรู้สึกของตัวเขาได้แปรเปลี่ยนไป
“ขอบคุณมากนะอัสบัส ผมชอบมากๆ เลยละ” เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนิ่งเงียบมองหน้าคนรักอยู่นาน ปากเรียวเล็กสีชมพูค่อยๆ คลียิ้มออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนคงเพราะครั้งนี้ตัวเขายิ้มออกมาจากใจจากความรู้สึกของเขาจริงๆ ทำให้คนที่มองมานั้นต้องยิ้มตามอย่างห้ามไม่ก็รอยยิ้มนี้มันช่างต่างไปจากครั้งไหนๆ
ใบหน้าคมค่อยๆ ก้มลงจนปากหนาของอัสบัสนั้นประกบเข้ากับปากเล็กสีชมพูของคนเป็นภรรยาอย่างช้าๆ ราวกับค่อยๆ ซึมซับรสชาติของกลีบปากสีสวยอย่างอ่อนโยนก่อนจะส่งเรียวลิ้นเข้าไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนอะไร เขาเข้าใจแล้วว่าไม่อาจขาดคนตรงหน้าไปได้เลย ถ้าจะให้บอกว่ามันคือความรักก็คงจะใช่สินะ เขารู้แล้วว่าเขาก็รักคนตรงหน้านี้เหมือนกัน
นานเท่าไรก็ไม่รู้ที่ทั้งสองต่างถ่ายทอดความรู้สึกผ่านจูบที่แสนหวานนี้ให้แก่กันคงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาต่างทำมันเพราะรักที่ออกมากจากหัวใจ อัสบัสค่อยๆ ถอดจูบออกมาอย่างช้าๆ ราวกับกำลังเสียดายที่ต้องแยกออกจากกันแต่ถ้าเขาไม่ถอยออกมาคนตัวเล็กตรงหน้าคงขาดอากาศหายใจเป็นแน่
หลังจากถอดจูบมือใหญ่สองข้างค่อยๆ ยกขึ้นมากุมแก้มขาวเนียนที่ขึ้นสีแดงระเรืองด้วยความอายอัสบัสมองหน้าข้าวสวยที่แอบหลบสายตาเขาอย่างเอ็นดูมันช่างดูน่ารักมากเหลือเกินจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบปากเล็กอย่างไม่เลื่อมล่ำก่อนจะตามมาด้วยจูบซับที่หน้าผากมนอย่างรักใคร่
“ข้าว่าเราไปนั่งที่ศาลากันดีกว่า ยืนนานข้ากลัวเจ้าจะเมื่อย”
“ครับ”
สองร่างต่างเดินกุมมือของกันและกันไปยังศาลาที่ตั้งอยู่กลางสวนกุหลาบที่รายล้อมไปด้วยดอกกุหลาบสีฟ้าอย่างสวยงาม ตลอดทางเดินต่างไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาข้าวสวยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กสาวที่พึ่งเคยมีความรัก เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของอัสบัสตรงๆ เพราะรู้สึกเขิน และตื่นเต้นยามที่อยู่ตรงหน้าของคนที่ชอบมันช่างเหมือนสาวน้อยจริงๆ ข้าวสวยคิด
“เจ้าจะเงียบอีกนานไหม ตั้งแต่หายป่วยเจ้าดูเงียบไป แถมชอบหลบสายตาข้า” อัสบัสเอ่ยขึ้นหลังจากมานั่งในศาลาคนรักของเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลยตั้งแต่หายป่วยอัสบัสรู้สึกว่าข้าวสวยพูดน้อยลงและชอบหลบหน้าจนพาลให้คิดว่าข้าวสวยไม่ชอบเขา แต่ก็แปลกทุกครั้งที่เขาทำอะไรข้าวสวยก็จะค่อยขันขืนตลอดแม้จะจูบเพียงเล็กน้อยแต่เดี๋ยวนี้ไม่ซึ่งมันต่างไปจากที่เคยเป็นจนทำให้อัสบัสแปลกใจไม่น้อยแต่มันก็ทำใครรู้สึกดีด้วยเช่นกัน
“อะ...เอ่อ...ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยคือยังไงละ คะ...คือแบบ แบบ” คนถูกถามสะดุ้งขึ้นทันที จะให้บอกได้ยังไงละว่าเขินไม่กล้ามองหน้านะ
“ว่ายังไง หืม หรือว่าเจ้าไม่ชอบข้าจริงๆ” อัสบัสถามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าได้แต่อ่ำอึ่งไม่ยอมตอบให้รู้เรื่องเสียที
“เปล่านะ! ใครบอกว่าไม่ชอบกันเหล่า” คนถูกกล่าวหารีบตอบกลับไปทันควัน ก่อนจะบุ้ยหน้าแก้มป่องพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“เปล่าแล้วทำไมไม่มองหน้าข้า ดูทำหน้าเข้า ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าไอ้แก้มป่องๆ ที่ทำอยู่นี้มันไม่ได้น่ากลัวเลยมันกลับดูยั่วข้าเสียมากกว่า” อัสบัสว่าก่อนจะส่งสายตาโลมเลียให้กับคนตรงหน้า
“ไอ้เขาควายโรคจิต! คิดผิดคิดถูกกันที่ไปชอบไอ้โรคจิตนี้” คนถูกแทะโลมว่ากลับไปทันควันไม่วายบ่นกับตัวเอง
“ว่าข้าโรคจิตแต่เจ้าก็ชอบข้าใช่หรือไม่ข้าได้ยินนะ” คนถูกว่ายิ้มรับหน้าบานไม่ใช่ว่าดีใจที่ถูกว่าโรคจิต แต่ดีใจที่ได้ยินคนตรงหน้าบอกว่าชอบเขาแม้จะไม่ตั้งใจบอกเขาก็ตาม อย่างไรเขาก็รอได้เสมอสำหรับคำว่ารักจากคนตรงหน้า
กี่วันกันแล้วนะที่ข้าวสวยมาอยู่ที่แห่งนี้ กี่วันกันแล้วที่เขาจากบ้านที่ตัวเองเคยอยู่มา เรื่องราวต่างๆ เข้ามาประสบกับตัวเขาเยอะแยะมากมายอย่างไม่ได้ตั้งตัวเลย แม้มันอาจจะทำให้สับสนงุนงงกับอะไรหลายๆ อย่างกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครบอกอะไรเขาเลย และการที่มีคนจ้องจะเอาชีวิตเขาก็เหมือนกัน ตัวเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมกันเขาไปทำไรให้ใครไม่พอใจถึงต้องคิดจะเอาชีวิต กี่ครั้งที่ต้องตกอยู่ในอันตราย กี่ครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่นับว่าเขาโชคดีที่ยังยืนอยู่ได้ทุกวันนี้หากไม่มีคนๆ นั้นคงจะไม่ได้ยืนมองภาพตรงนี้ภาพสวยงามราวกับสรวงสวรรค์ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เช่นนี้ และเพราะอะไรหลายๆ อย่างมันเลยทำให้ความรู้สึกที่มีต่อคนข้างกายเปลี่ยนไปไม่รู้เลยว่าความรู้สึกรักนี้มันเกิดขึ้นมาตอนไหน ตัวเขายังจำได้ดีในวันแรกที่พบเจอยังจำความรู้สึกนั้นได้ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตตัวเองจะเป็นไปในรูปแบบนี้ ไม่อาจทำใจยอมรับได้แต่แล้วทำไมตอนนี้มันถึงเปลี่ยนไปแต่ก็ช่างมันเถอะจะไปมัวหาคำตอบทำไมให้มันว้าวุ่นใจกันยังไงใจมันก็เลือกไปแล้วหาคำตอบไปก็แล้วยังไงขึ้นชื่อว่าความรู้สึกมันก็ค่อนข้างยากที่จะบรรยายแต่แปลกที่เรากลับรู้สึกว่าเราเข้าใจมันดี
“ข้าว่าเรากลับเข้าตำหนักเถอะแดดเริ่มแรงแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” หลังจากทั้งสองยืนเงียบอยู่นานอัสบัสก็เอ่ยบอกขึ้นมา แดดเริ่มแรงเขากลัวว่าคนตัวเล็กจะป่วยขึ้นมาอีกเพราะพึ่งจะหายป่วยไปได้ไม่นานไม่ยากเลยหากไข้จะมารุมเร้าเนื่องด้วยร่างกายที่ติดไม่แข็งแรงดี แม้จะอยู่ภายใต้ศาลาหลังเล็กแต่ก็ไม่อาจต้านทานรังสีจากแสงแดดได้เท่าไหร่นัก
“อืม ผมก็รู้สึกร้อนแล้วเหมือนกัน แต่ว่าลมเย็นดีจัง” คนตัวเล็กพูด เขารู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นจริงๆ แต่กระแสลมที่พัดมามันช่างทำให้รู้สึกเย็นสบายบวกกับกลิ่นของดอกกุหลาบนั้นก็ทำให้รู้สึกสดชื่นดีแม้จะรู้สึกแสบผิวเพราะไอแดดที่สาดส่องลงมาอย่างกับจะแผดเผาตัวเขา โลกปีศาจนี่ก็เกิดภาวะเรือนกระจกเหมือนกันหรือไงถึงได้ร้อนเอาๆขนาดนี้
อัสบัสได้ยินคำตอบรับกลับมาก็ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนจะจับมือเล็กที่กางออกราวกับกำลังโอบกอดกลิ่นไอของบรรยากาศในตอนนี้ คนถูกจับชะงักไปนิดก่อนจะหันมามองคนข้างๆ อย่างสงสัย
“ไปเถอะ” อัสบัสว่า คนถูกชวนก็พยักหน้าน้อยๆ ไปการตอบกลับไป เมื่อได้รับคำตอบอัสบัสก็ค่อยๆ หมุนตัวให้เดินออกมาโดยมือยังคงชักจูงให้คนตัวเล็กเดินตาม
ยามที่คนตรงหน้าก้าวเดินเส้นผมสีแดงยาวปลิวสะบัดไปกับแรงลมที่พัดผ่านมา แผนหลังใหญ่ดูแข็งแรงนั้นเอียนเองไปตามทิศทางการก้าวเดิน มือใหญ่ที่กอบกุมมือเขาอยู่นั้นมันทำให้ข้าวสวยรู้สึกอบอุ่นอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะกระชับมือของตัวเองกุมตอบรับ คนด้านหน้าชะงักนิดหน่อยก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างนึกพอใจ ตลอดทางเดินทั้งสองต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมาแต่สิ่งที่ยังสื่อต่อกันคงจะเป็นมือของทั้งคู่ที่กอบกุมกันอยู่ตลอดแม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่ทั้งสองรู้ดีว่าพวกเขาต่างกำลังมีความสุขแม้จะไม่แสดงออกมาก็ตาม
“จันทรายอดดวงใจของข้า” คำหวานถูกกล่าวออกมาจากร่างสูงใหญ่ก่อนจะค่อยกอบกุมมือเล็กขึ้นมาจุมพิตอย่างแผ่วเบา คนถูกกระทำหน้าขึ้นสีแดงระเรืองอย่างเขินอาย
“ขอบคุณที่ตอบรับความรักจากข้า” คนถูกบอกยิ้มให้หากแต่ไม่ได้ตอบการใดออกไปคงเป็นเพราะความรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป ร่างสูงใหญ่ดึงร่างเล็กมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะประทับจุมพิตลงบนหน้าผากมน คนในอ้อมกอดได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย คนตัวสูงผลักออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นกริยาของคนในอ้อมกอดมันช่างดูน่ารักเหลือเกินในความคิดของเขา มือใหญ่ข้างหนึ่งค่อยๆ ยกขึ้นมาจับค้างมนให้เลื่อนขึ้นจนเห็นใบหน้าหวานที่พยายามเบี่ยงหลบสายตา เขายกยิ้มอย่างชอบใจที่เห็นเม็ดสีแดงระเรืองบนพวงแก้มขาว ปากสีสดที่สั่นไหวนั้นมันช่างดูยั่วยวนยิ่งนักอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปครอบครองกลีบปากสีสด เขาค่อยๆลิ้มรสความหวานที่ราวกับน้ำผึ้งนั้นอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังซึมซับรสชาติเข้าไปในจิตใจก่อนจะส่งลิ้นเรียวเข้าไปหยอกล่อกับลิ้นเล็กที่ดูเงอะงะราวกับไม่รู้จะไปทิศทางใด ช่างไร้เดียงสายิ่งนักยอดดวงใจของข้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ทั้งสองดูดดื่มความหอมหวานที่ปะปนไปด้วยอณูความรู้สึกที่ต่างสื่อให้กันไปกับรสจูบหอมหวานนี้ก่อนจะผลักออกจากกันอย่างช้าๆ โดยที่หารู้ไม่เลยว่าฉากบาดตาบาดใจนี้จะทำให้เกิดรอยร้าวที่ไม่อาจต่อติดได้อีกเลย
“รามิฬ!” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อผลักออกจากรสจูบหอมหวานสายตาสวยไปสบเข้ากับดวงตาวาโรษของรามิฬที่กำลังยืนมองมาอย่าตกใจจนทำให้คนที่อยู่ข้างกันต้องหันไปมองตามสายตาของคนรักแต่ก็หาได้ตกใจไม่ คนที่เข้ามาทีหลังยืนมองทั้งสองอย่างโกรธเคือง มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
“พวกเจ้าสองคน...ไม่จริงใช่หรือไม่... บอกข้ามา บอกมาซิว่ามันไม่จริง” จากคำที่เอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบาค่อยๆ ดังขึ้นจนกลายเป็นเสียงตะคอก รู้สึกตัวชา ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจเมื่อเห็นทั้งสองต่างถ่ายถอดความรู้สึกผ่านรสจูบที่หอมหวานนั้น ในหัวมีแต่คำถาม ว่า ทำไม ทำไม
“เอ่อ...ระ...รามิฬ ฟังข้าก่อนนะ คะ...คือ...” คนตัวเล็กอยากจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะบอกออกไปอย่างไร ไม่ใช่ว่าพูดไม่ถูกแต่พูดออกมาไม่ได้ต่างหาก เพราะรู้มาตลอดว่ารามิฬคิดกับตนเช่นไร แต่จะให้ตอบออกไปก็ช่างลำบากใจเหลือเกิน
“บอกมาซิ บอกข้ามา!” เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับคำตอบรามิฬก็ถามขึ้นไปอีกครั้ง ใช่ว่าตัวเขาไม่รู้คำตอบแต่ก็อยากได้ยินจากคนตัวเล็กที่เขาเฝ้ารักมาตลอดแต่มันกลับว่างเปล่าเพราะเขาไม่ได้รับความรักตอบกลับมา กลับเป็นอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนคว้าเอาหัวใจของคนตัวเล็กไปได้โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไรกันถ้าไม่มาเห็นฉากน่าทุเรศนี้เขาก็คงจะไม่รู้คงเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่คนเดียว ทำไมกัน ทำไมกัน
“เราสองคนรักกัน เราขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้า แต่ใช่ว่าพวกข้าจะปิดบังเจ้าแค่พวกข้ายังหาช่วงเวลาดีๆ บอกเจ้าไม่ได้ก็เท่านั้น” คนตัวใหญ่ที่ยืนข้างคนตัวเล็กพูดตอบขึ้นมาแทนเพราะเห็นคนรักมีสีหน้าลำบากใจ
“ทำไม ทำไม เจ้าถึงทำเช่นนี้กับข้าคาวิน” ความรู้สึกน้อยเนื้อตำใจในเพื่อน และคนที่ตนแอบรักมันรุมปะทะเข้ามาจนรู้สึกโกรธ
“ข้าขอโทษ” คำขอโทษถูกเอ่ยขึ้นจากปากของคาวิน ก่อนหันมาโอบไหล่คนตัวเล็กที่เริ่มสั่นเพราะแรงสะอื้น
“มาริฬ ฮึก ฟังข้าก่อนนะ ฮึก คือ”
“จะให้ข้าฟังอะไร ทำไม ทำไม ไม่เป็นข้าละจันทรา ทำไมกัน ทั้งที่ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน ทำไม” เสียงพูดตัดพ้ออย่างระคนน้อยใจ ความรู้สึกเจ็บที่ดวงใจนั้นราวกับถูกมีดกรีด ในหัวรู้สึกขาวโพล่งมีแต่คำว่า ทำไม ทำไม เต็มไปหมด
“คะ ฮึก คือ”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วข้าเข้าใจ แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเจ็บมากเพียงใด ข้าเสียใจแค่ไหน คาวินทั้งที่เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบจันทราทำไม ทำไมเจ้ายังแย่งเขาไปจากข้าทำไมกัน จันทราทั้งที่ข้ารักเจ้าทำไมเจ้าถึงไม่เลือกข้ากันทำไมละ ทำไม ตอบข้ามาซิ!”
“รามิฬ ฮึก คะ....”
“หึหึ ในเมื่อข้าไม่มีความสุขก็อย่าหวังเลยว่าพวกเจ้าจะมีความสุข” รามิฬกล่าวขึ้นมาเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธยิ่งนัก ก่อนจะก้าวเดินจากไป ด้วยจิตใจที่โกรธเคือง และเขาคิดจะทำอย่างที่ลั่นวาจาจริงๆ หาได้พูดไปเพียงเพราะอารมณ์ไม่
ทางจันทราร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนไม่สามารถยืนอยู่ได้ดีที่คาวินรับร่างนั้นไว้ก่อนจะกดหัวเล็กที่สั่นเพราะแรงสะอื้นลงกับอก
“ฮึก ฮึก ๆๆๆ” เสียงสะอื้นที่เล็ดลอดมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียงเรียกให้อัสบัสที่พึ่งเดินเข้ามาหวังจะมาเรียกคนรักให้ตื่นจากการหลับเมื่อตอนบ่ายเพราะเห็นว่าเย็นมากแล้วนั้นต้องรีบสาวเท้าไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว
“ข้าวสวย ข้าวสวย เจ้าเป็นอะไร” เสียงเรียกชื่อคนรักหวังให้หลุดออกจากห้วงนิทราด้วยความห่วงใย มือหนาค่อยๆ เลื่อนไปเกลี้ยหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มขาวอย่างเบามือ ร่างเล็กๆ ยังคงสะอื้นให้อยู่ อัสบัสจึงออกแรกเขย่าร่างอย่างไม่มากนัก
“ข้าวสวย ตื่นเถอะนะ ข้าวสวย” สิ้นเสียงร่างเล็กค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อเห็นอัสบัสอยู่ตรงหน้าที่ตกใจยิ่งกว่าคือหยาดน้ำตาบนใบหน้า และแรงสะอื้นที่ยังมีอยู่
“เจ้าเป็นอะไร ฝันร้ายหรือ” อัสบัสถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงจูบกลุ่มผมอย่างต้องการปลอบประโลม คนถูกกระทำเหลือบมองตามการกระอย่างงวนงง ข้าวสวยจำได้ว่าเขานอนหลับไปเมื่อบ่ายแล้วก็ฝัน ใช่ เขาฝัน
“คุณผมฝันถึงเรื่องที่เคยอ่านจากในหอสมุดละ มันเหมือนจริงมากๆ เลยนะคุณ” ใช่สิ่งที่เขาฝันมันเหมือนจริงมากๆ รสจูบแสนหวานนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจเขาอยู่เลยมันรู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก แต่ยามที่ รามิฬมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ และโกรธเคืองนั้นมันทำให้เขารู้สึกผิดและเสียใจมาก
“เจ้าคงจะอ่านมันแล้วเก็บเอาไปฝันอย่าคิดมากเลย” ว่าแล้วยื่นมือไปลูบกลุ่มผมคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู
“ตะ...”
“ไม่มีแต่ เชื่อข้าซิ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปทานมื้อเย็นได้แล้ว”
เมื่อคนตัวใหญ่บอกว่าไม่มีอะไรข้าวสวยก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นต่อ คงจะเพราะอ่านมาก็เลยเก็บไปฝันจริงๆ แต่ไอ้ความรู้สึกหน่วงๆนี้มันคืออะไรกัน
กว่าจะทานข้าวเย็นเสร็จก็ค่ำพอดีเพราะมัวคุยกับมิคาร์เอลจนเพลินเลยลืมเวลาไปถ้าคนตัวใหญ่ผู้เป็นประมุขไม่ห้ามก็คงจะยาว มิคาร์เอลมักมีเรื่องสนุกมาคุยกับเขาเสมอทำให้ไม่รู้สึกเหงามากนัก
“เจ้ากับมิคาร์เอลเดี๋ยวนี้ดูสนิทกันดี” ระหว่างทางเดินกลับไปที่ตำหนักอยู่ๆ อัสบัสก็พูดขึ้นมา
“ก็เขาเป็นน้องผม” ข้าวสวยตอบกลับก่อนยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขของมิคาร์เอลเวลาพูดเล่าอะไรให้ตัวเขาฟังมันทำให้เขายิ้มตามได้เสมอ เหมือนข้าวจ้าวไม่มีผิดรายนั้นก็จอมพูดเหมือนกันถ้าได้มาเจอกันอาณาจักรนี้คงวุ่นไม่น้อย นึกแล้วก็ขำออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เจ้าหัวเราะอะไรกัน” อัสบัสที่เดินอยู่ข้างๆ ถามขึ้นอย่างงงๆ ก็อยู่ๆคนตัวเล็กที่ตอบเขาแล้วนิ่งเงียบไปก่อนจะหัวเราะขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร อ๊ะ ถึงห้องแล้ว” ว่าเสร็จก็รีบเปิดประตูมุ่งเข้าห้องกระโดดขึ้นเตียงอย่างอารมณ์ดี จนคนตัวใหญ่ที่เดินตามมาเอ็ดเบาๆ
“อย่ากระโดดอย่างนั้นข้าวสวย ข้าว่าเจ้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่านี้ก็ค่ำแล้วอาบน้ำดึกเดี๋ยวไม่สบาย”
“แปบหนึ่งนะ เดี๋ยวค่อยอาบขอนอนพักแปบนะคุณ” คนถูกสั่งตอบกลับมาด้วยเสียงเหนื่อย คนฟังได้แต่สายหน้าแต่มีหรือราชาปีศาจจะยอม ความคิดชั่วร้ายผุดเข้ามาในหัวก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างกับหมาป่าเจอเนื้อ
“หึหึ ถ้าเจ้าไม่ไปอาบตอนนี้เดี๋ยวข้าอาบให้เขาว่าดีหรือไม่” คนฟังหันมามองอย่างนึกเคือง หน่อยนึกว่าไม่รู้หรือไงว่าคิดอะไร ไอ้เขาควายหื่นกาม
“เรื่องอะไรละผมอาบเองได้” ว่าเสร็จก็รีบลงจากเตียงวิ่งไปยังห้องอาบน้ำทันทีโดยไม่ทันเห็นสายตาชั่วร้ายจากคนเป็นสามีเลยแม้แต่น้อย
ร่างเล็กค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าออกอย่างอารมณ์ดีไม่นานเนื้อตัวก็เปื่อยเปล่าไรซึ่งอาภรณ์ใดๆ ขาเรียวสวยก้าวเดินมายังอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยกลีบดอกกุหลาบสีฟ้า ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนจะก้าวขาหวังลงไปแช่น้ำกลิ่นหอมที่ดูหน้าจะอุ่นสบายเพราะกลุ่มควันจางๆ ที่ลอยอยู่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงกอดรัดจากด้านหลัง
“อ๊ะ”
“รอข้าก่อนซิเมียข้า” คนเป็นสามีที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงยั่วยวน ข้าวสวยรู้สึกตกใจแล้วอายมากเพราะตอนนี้ตัวเขากำลังเปื่อยเปล่ารับรู้ถึงแรงสูบฉีดของเส้นเลือดขึ้นใบหน้าตอนนี้คงหน้าแดงมาก แต่เขายิ่งเป็นหนักขึ้นเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังแข็งขืนนั้นทิ่มแทงอยู่แถวสะโพกและนั้นทำให้เขารู้ว่าคนที่โอบกอดเขาอยู่ร่างกายก็เปื่อยเปล่าไร้ซึ่งเสื้อผ้าเช่นกัน ทำให้หัวใจที่เต้นสั่นอย่างกับดนตรีเพลงร็อค ใบหน้าขึ้นสีอย่างเขินอาย
อัสบัสค่อยๆ จับข้าวสวยให้หันมาทางตนก่อนก้มลงจูบปากสีสดสั่นระริกนั้นอย่างเชื่องช้า ข้าวสวยพยายามผลักแต่ก็ไรประโยชน์ รสจูบที่คอยดูดดึงไปตามเรียวปากราวกับกำลังลิ้มรสของความหวานอย่างช้าๆ มันเป็นไปอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ ส่งเรียวลิ้นเข้าไปหยอกล่อกับลิ้นเล็กๆ อย่างนึกสนุก คนที่เคยขัดขืนก็ตอบกลับมาอย่างเงอะงะมันเป็นรสจูบที่อ่อนโยน และหอมหวานทำให้เผลอตัวไปอย่างเสียไม่ได้ ทั้งสองต่างลิ้มรสความหวานของกันและกันราวกับสิ่งที่โหยหามาแสนนาน
มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามลำตัวของคนรักอย่าหลงใหล เสียงครางมีเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ อัสบัสไล้จุมพิตไปตามคอระหงจนมาหยุดที่ยอดอกสีสดที่กำลังชูช่ออย่างสวยงาม แม้ไม่ได้มีเหมือนดังเช่นสตรีแต่มันก็น่าหลงใหลยิ่งนัก ลิ้นสากตวัดเลียเม็ดสีสดจนแข็งขึ้นเป็นตุ่มไต คนถูกกระทำสั่นไหวด้วยความเสียว เสียงที่ดังมาเป็นระยะช่างเป็นสิ่งยั่วยวนชั้นดี
“ไอ้เขาควายยะ...”
“อะไรกันทั้งที่ร่างกายเจ้าต้องกายข้าถึงเพียงนี้ดูซิ” อัสบัสเอ่ยห้ามก่อนจะเลื่อนมือไปกอบกุมกลางกายของข้าวสวยที่ตอนนี้เริ่มจะขยายใหญ่ขึ้น
“อึก อะ อ่า ไม่นะ”
“เจ้าชอบไม่ใช่หรือ มันสู่มือข้าใหญ่เลย”
“อย่าพูดนะ อ๊ะ อ่า” ร้องว่าทั้งหลุดเสียงครางออกมาเพราะอัสบัสนั้นกำลังหยอดล่อกับของสวงนของเขา
“ทำไมละในเมื่อมันคือเรื่องจริง” อัสบัสว่า มือใหญ่ก็ทำหน้าที่รูดรั้งมังกรน้อยสีสวยอย่างนึกสนุก หากแต่คนถูกกระทำนั้นช่างทรมานเหลือเกินเมื่อรู้สึกว่าจะถึงฝั่งฝันคนทำกลับหยุดเอาซะดื้อๆ
“อ๊ะ อ่า อัสบัส”
“ว่าไงอยากได้รึ หึหึ” มองคนในอ้อมกอดที่ตอนนี้สั่นระริกเพราะความต้องการแต่ด้วนความนึกสนุกเลยอยากแกล้งคนตรงหน้า
“เจ้าต้องการใช่หรือไม่บอกข้ามาซิว่าต้องการสิ่งใด เจ้าไม่บอกข้าก็หารู้ไม่” เมื่อได้ยินถึงกับรู้สึกเคืองขึ้นมาอย่างห้ามไม่ ตั้งใจแกล้งกันชัดๆ ใครจะกล้าบอกออกกันว่าต้องการอะไร แต่ความต้องการนั้นมันช่างห้ามยากเสียเหลือเกิน
“ว่าไงเมียข้า” อัสบัสว่าขึ้นอีกครั้งก่อนจะกดนิ้วลงบนปลายส่วนอ่อนไหวของคนในอ้อมกอดถึงกับครางอกมาเพราะความเสียวซ่าน
“อ๊ะ ผะ ผม ต้องการ อ๊ะ คุณ” เมื่อสิ้นสุดความอดทนความอายก็ไร้ค่าอีกต่อไปได้แต่ปล่อยให้ไฟราคะนั้นครอบงำ
“ได้ซิเมียข้า”
“อ๊ะ” ว่าจบอัสบัสก็หันตัวนั่งลงบนขอบอ่างอาบน้ำก่อนยกข้าวสวยให้นั่งหันหน้าเข้าหาตนบนตัก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาอีกครา
“ไหนเจ้าอย่างได้ไม่ใช่หรือ” อัสบัสจับใบหน้ามนที่ขึ้นสีแดง ระเรืองให้มองมาทางตนหากแต่คนบนร่างกลับก้มหน้าหลบด้วยความอาย
“อ่า อ๊า ยะ อย่า” เสียงร้องหลุดออกมาอีกครั้งเมื่อคนตัวใหญ่จับให้ท่อนเนื้อทั้งสองสีกันไปมา
“เอาซิ ข้ายกให้เจ้าเลยนะ” อัสบัสว่าก่อนจะรั้งคนตัวเล็กมาจูบอย่างดูดดื่ม ข้าวสวยเผลอไปกับรสจูบที่อ่อนหวานนั้นจนลืมสิ้นทั้งความอาย ร่างเล็กค่อยๆ เบียดกายเข้าหาร่างใหญ่อย่างต้องการ อัสบัสจับคนตัวเล็กยกขึ้นนิดหน่อยก่อนจะส่งแกนกายของตนเข้าช่องทางรักของคนด้านบนอย่างช้าๆ
“อ๊ะ อ่า” เมื่อรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงออกมา
“ค่อยกลืนตัวข้าเข้าไป ใช่ แบบนั้นแหละ ดีมากคนดีของข้า” ข้าวสวยค่อยๆ กดสะโพกของตัวเองให้กลืนกินความเป็นชายนั้นอย่างยากลำบาก สองมือของอัสบัสคอยประครองสะโพกมนไว้อย่างระวังจนสุดท้ายความเป็นชายนั้นก็ถูกกลืนกินไปจนหมดสิน
“อ่า เห็นไหมว่าเจ้ากลืนกินของข้าเข้าไปหมดแล้ว เอาละทีนี้เจ้าก็ค่อยๆ ขยับตัวเจ้า ใช่อย่างนั้น” ข้าวสวยไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหนเขาถึงได้กล้าทำเช่นนี้แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาคิดเพราะความต้องการมันมีมากเหลือเกิน
“อ๊ะ อืม อ่า อ่า” เสียงครางกระเส่าดังเล็ดออกมายามที่ ร่างกายขยับขึ้นลง มันทั้งคับแน่น และอึดอัด แต่กลับให้ความรู้สึกเสียวซ่านอย่าสุขสม
“ข้ารักเจ้า เมียของข้า อ่า”
“อ๊ะ อ่า อัสบัส”
“อ่า เมียข้าเจ้าพร้อมมีบุตรกับข้าหรือไม่” ข้าวสวยหยุดชะงักลงทันทีที่ได้ยินคำถามจากอัสบัสก่อนจะตอบออกไปอย่างตะกุกตะกักเพราะคนด้านล่างกระแทกสะโพกขึ้นมา
“อ๊ะ ผะ ผม มีให้ คะ คุณไม่ได้หรอกผมเป็นผู้ชายนะ” ใช่เขามีให้ไม่ได้หรอกถึงจะอยากมีก็ตาม เขาเป็นผู้ชายซึ่งก็ย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่าบุรุษนั้นไม่สามารถตั้งท้องได้
“เจ้าเป็นชายแล้วไง แค่เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าอยากมีบุตรกับข้าหรือไม่ เจ้ารักข้าหรือเปล่า” อัสบัสเอ่ยถามออกไปทั้งยังส่วนสะโพกใส่ร่างเล็กไม่หยุดยั้ง
“อ๊ะ อ่า ผะ...ผม อ๊ะ”
“ว่าไง ตอบข้าซิเจ้ารักข้าบ้างหรือไม่” อัสบัสถามขึ้นก่อนจะส่วนสะโพกให้เร็วมาขึ้นราวเป็นเร่งเร้าให้ตอบคำถามนั้นไม่ปาน
“อ๊ะ อ่า อ๊ะ” ข้าวสวยครางเสียงกระเส่าก่อนจะพยักหน้าเป็นตอบรับ แต่คนฟังราวกับกำลังกลั้นแกล้งเขา
“อ่า บอกข้าซิข้าอยากได้ยินมากกว่าเห็นเจ้าพยักหน้าให้ข้า” อัสบัสว่า แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงจากคนด้านบน อัสบัสขยับสะโพกให้ถี่มากขึ้นจนคนตัวเล็กร้องเสียงหลง
“อ๊ะ อ่า อัสบัส อ๊ะ”
“ว่าไงบอกข้า เมียข้า”
“อ๊ะ อืม ระ...รัก ผมรักคุณ อ๊ะ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา และสั่นเพราะความเสียวซ่านที่คนตัวใหญ่มอบให้ แต่ถึงจะเบา อัสบัสก็ได้ยินมันชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ข้าวสวยบอกรักเขา
อัสบัสค่อยๆ รั้งคนตัวเล็กให้รับจูบจากปากของตนอย่างออดอ้อน ด้านล่างก็ยังคงทำงานอย่างไม่ลดละ ยิ่งได้สัมผัสรสจูบหอมหวานยิ่งทำให้ความสุขสมมันเต็มไปทั่วทุกอณูของหัวใจ
“เจ้าอยากมีบุตรกับข้าหรือไม่ดวงใจของข้า” ผลักออกได้ อัสบัสก็ถามข้าวสวยทันที คนถูกถามชะงักนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไปตามที่ใจนึกคิดแม้จะไม่รู้ว่าจะมีได้หรือไม่แต่ข้าวสวยก็อยากจะมี
“งั้นคืนนี้เราก็มาสร้างลูกกันทั้งคืนเลยเป็นไงเจ้าว่าดีไหม”
คนฟังนึกอยากย้อนเวลากลับไปจริงๆ หากทำได้เขาคงจะไม่ตอบกลับไปแน่นอนถ้ารู้ว่ามันจะเป็นไปอย่างอีกคนบอก ไม่รู้ว่ากี่ครั้งกันที่เราทำรัก ไม่รู้ว่ากี่ที่กันที่เราร่วมรักกัน รู้แต่ว่าตลอดทั้งคือเขาแทบจะไม่ได้พักเลยแม้แต่น้อยไฟราคะมันคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณทั้งสุขทั้งสมไปในคราเดียวกัน แม้จะเหนื่อยล้าจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงแต่ความรู้สึกที่ได้รับมันสุขสมยิ่งนัก กลิ่นอายของความรู้สึกของเราทั้งสองต่างอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ