บ้าใบ้ใจบำเรอ
9.3
เขียนโดย closename
วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.09 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
5,774 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 20.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บ้าใบ้ใจบำเรอ - บทลูกเขยที่แสนดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทลูกเขยที่แสนดี
หลังจากวันนั้นทศพลก็ไม่ได้ไปไหน เขาอาศัยอยู่กับเพื่อนเก่าโดยอาศัยห้องนอนอีกห้องของมาวินไว้นอน คุณชายอย่างเขาจากที่เคยแต่งตัวหรูหราราคาแพง มาวันนี้เหลือเพียงกางเกงสีคลิมสามส่วน กับเสื้อยืดสกรินสีฟ้า เขาพึ่งไปซื้อมันมาจากในตลาดในราคา 99 บาท โดยขอเบิกเงินล่วงหน้าจากเพื่อนเก่ามาซื้อ ขณะที่เลือกสรรสิ่งที่เหมาะสมกับเขา พลันให้คิดถอดใจ แค่เสื้อตัวละ 300 บาท ก็ไม่มีปัญญาจะซื้อใส่ เขาเบิกเงินได้แค่ 500 หากเขาซื้อในราคานั้น ระหว่างที่ไม่สิ้นเดือนเขาจะเอาอะไรยาใส้ ความอัตคัดขัดสนคอยบีบให้เขาคิดถึงความสะดวกสบายที่เคยมี เขาไม่อยากจะอยู่ในสภาพนี้ แต่ด้วยความถือดีไม่ยอมอ่อนข้อจำต้องสวมใส่เสื้อผ้าไร้ราคากินข้าวจานสามสี่สิบ ตื่นนอนเช้ากว่าปรกติ และนอนดึกกว่าความจำเป็น เขาคงจะแสดงบทเป็นคุณชายตกอับได้อีกไม่นานหากว่าชีวิตทุกวันของเขาตื่นมาเจอวงจรแบบนี้ซ้ำๆเดิมๆ เขาอยากดื่มเล่าเที่ยวผับบาร์ อย่างเคยเป็น เมื่อช่วงค่ำเสร็จงานเคยชวนไอ่วินมันไป สุดท้ายก็จบที่เหล้าตองหน้าปากซอย แน่นอนว่ารสชาติมันมันต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณชายที่เคยกินเหล้าแบรนดังมา เจอม้ากระทืบโรงของอาเตี่ยหน้าปากซอยเข้าไปแทบเมาหัวทิ่มดิน เป็นเดือดเป็นรอนให้เพื่อนแบกกลับ
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ทศพลลงมารับออเด้อที่จะไปส่งในวันแรก เขาไม่เคยอยู่ที่นี่ มาวินรู้ว่าเพื่อนผู้รากมากดีไม่ชินทางแน่ เขาแค่ให้ส่งไม่ใกล้ไม่ไกล แถมแนบแผนที่ให้อย่างชัดเจน รับรองว่าไม่มีหลง
" เป็นไงหละมึง กูบอกแล้วว่าไม่ต้องถึงผับบาร์ มึงผ่านด่านเหล้าตองหน้าปากซอยให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาชวนกู " พอทศพลลงบ้านมา เขาที่เป็นเจ้าของตื่นแต่เช้าเห็นว่าเพื่อนยังมืนๆเลยอดที่จะแซวไม่ได้ ทศพลเป็นพวกชอบเที่ยวสังสรรค์ กิติมาศักดิ์เลื่องลือไม่คิดว่าจะมาจอดที่ร้านเหล้ายาดองบ้านๆ
" มึงไม่ต้องมาพูดดี ก็มึงไม่ใช่ไงบอกว่าเหล้าดองไม่แรง กูจะรู้หรอข้างโถไม่ระบุดีกรี ที่กูตื่นมาทันเข้างานก้ดีแค่ไหนแล้ว " ทศพลรีบแก้ต่างให้ตัวเองให้พ้นจากคำสบประหม่าของเพื่อน
วงหน้าเข้มขรึมไล่อ่านรายการที่ต้องของวันนี้ หนึ่งในรายชื่อทำให้เขาต้องเบือนหน้าขึ้นมองเพื่อนอย่างขอความเห็น
" ไอ่วิน มึงยังจำเรื่องที่มึงเล่าให้กูฟังได้ไหมว่ะ ถ้ากูจำไม่ผิดบ้านยัยแพงที่สั่งโจ๊กข้าวกล้องเป็นบ้านหลังเดียวที่มีเด็กคนนั้นใช่ไหม "
" จำได้ ทำไม " มาวินตอบพร้อมกับถามกลับไปตามปรกติ
แต่คนถูกถามกลับไม่คิดตอบ ทศพลส่ายหน้าบอกปัดก่อนจะยกรายการที่จัดใส่ถูกขึ้นควบมอเตอร๋ไซร์ออกส่งตามที่อยู่ พร้อมกระนั้นเขาไม่ลืมพกโทรศัพไปด้วยเผื่อว่าหาบ้านคนส่งไม่เจอ
ทศพลไล่ส่งทีละบ้านๆจนหมด เขาจงใจส่งโจ๊กข้าวกล้องเป็นบ้านสุดท้าย มอเตอร์ไซร์คันเก่าที่ไม่มีแม้แต่ป้ายทะเบียนจอดเทียบริมทาง มือหนาหิ้วถุงโจ๊กออกจากตะกร้าหน้ารถ เขาหันไปมองบ้านที่มาตามแผนที่ที่ระบุไว้ในกระดาษก้อมที่ฉีกออกมาจากสมุดจดรายการอาหาร ดวงตาเรียบนิ่งพินิจมองอย่างท่วนถี่เหมือนคุ้นๆและเคยเห็น แน่นอนว่าเขาจำมันได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนลูกน้องพ่อบังคับเขามาที่นี่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังเดียวกันกับที่เขาต้องมาเป็นเขย ความคับแค้นใจตอนนั้นแทบทุ่มโจ๊กในมือทิ้ง คิดอีกทีเขาน่าจะเล่นบทพ่อพระอีกสักครั้งเพื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ ถูกของพ่อ และถูกของอีแก่นั่น เขาควรทำตัวดีๆอดทนฝืนใจเป็นเขยที่ดีสักระยะ การแต่งงานมันหย่ากันได้ ขอแค่เขาหาเรื่องบ่อยคนที่อยากตั้งตัวเป็นสะใภ้สหรัก มันก็จะวิ่งแจ้นไปขอหย่าเองแหละ และนี่ถือเป็นบทแรก เขาควรใช้โจ๊กนี้เป็นสะพานเชื่อมความประณีประนอม บ่อยครั้งที่เขาอยากจะอ๊วกกับการกระทำของตัวเอง ทายาทสหรักไม่เคยต้องมาเอาอกเอาใจใคร มีเงินเป็นพระเจ้า ที่สามารถกว้านซื้อได้ทุกอย่าง แม้แต่บ้านเสงเครงหลังนี้เขาก็จะถอนมันทิ้งทันที่ที่เป็นเขย ความเก่าคร่ำครือขวางหูขวางตาไม่สมเกียรติคนอย่างเขาเป็นที่สุด
ทศพลมองอยู่น่านก็ไม่มีใครออกมา เขาอยากจะกดกริ่ง แต่บ้านนี้ดันบ้านนอกเหลือคณา จะมีก็แต่เสียงของเขาที่จะตะโกน ในเมื่อเขาเล่นบทว่าที่ลูกเขยที่แสนดีเขาจะตะโกนเพื่ออะไร เขาจึงรออย่างใจเย็น จนแน่ใจว่าเห็นคนเดินลงมาจากบ้าน เจ้าตัวเรียกให้คนนั้นหันมา สองมือกวักเรียกยามที่เห็นว่าคนนั้นหันมองเขา กวักแล้วกวักอีกก็ไม่มาหาเอาแต่จ้อง
" เป็นเชี้ยไร เป็นใบหูหนวกตาบอดไง ไม่เห็นเหรอว่าคนเขาเรียก ยังจะมาทำหน้ามึน " คนเฝ้าคอยสบถหัวเสียทันทีที่ชายหนุ่มในบ้านทำเป็นไม่รูั
ความจริงก็ไม่รู้อย่างที่ทศพลกล่าวหานั่นแหละ ชายหนุ่มเป็นบ้าจะให้มาเข้าใจเรื่องพวกนี้มันก็กะไร เขารู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่ ภาพเด็กชายวัยมัธยมยื่นของขวัญให้เขามันยังซ้อนทับกับชายคนนี้เสมอยามพบเจอ วันนั้นพอดีว่าของขวัญที่เขาจะเตรียมไปแลกที่โรงเรียนดันถูกชายหนุ่มขับรถเฉี่ยวชนเข้าจนต้องสูญเสียกล่องของขวัญกล่องนั้นไป ชายหนุ่มรุ่นพี่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยมอบของขวัญของตัวเองให้แทน และพาซ้อนท้ายไปอนามัยทำแผล ไม่ลืมที่จะขับกลับมาส่งบ้าน วันนั้นเป็นอันว่าเขาไม่ได้ไปแลกของขวัญเหมือนเช่นทุกปี กล่องนั้นจึงตกเป็นของเขาและมันเป็นภาพความทรงจำที่ทำให้ใจดวงน้อยปราบปรื้มชายหนุ่มมาจนถึงทุกวันนี้ หัวอกของคนปราบปลื้มไม่ใช่ฉันรัก เป็นเพียงความเคารพนับถือในฐานะพี่ที่อบอุ่นคนหนึ่ง จนเขาได้รู้ว่าชายหนุ่มเป็นลูกพี่ลูกน้องและเป็นคู่มั่นตายตัวของเขาตั้งแต่ยัังไม่เกิด ตอนนั้นความรู้สึกมันจึงเปลี่ยนไป เขาเริ่มหลงไหลทศพลมากขึ้น แม้ว่าตอนนั้นยังเด็ก แต่ความรู้สึกมันทำให้เขาอยากที่จะเป็นของทศพลคนเดียว
แต่ตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกพวกนั้นไม่อยู่ใจวงโคจรความคิดแม้แต่น้อย กรที่มีสติก้ำกึ่งบ้าไม่สามารถมีความรู้สึกนั้นอีกแล้ว ในดวงใจคอยเตือนจิตอยู่เสมอไม่ให้บ้า แต่ความเคยชินเขาไม่อาจปฏิเสธมัน ตราบใดที่เขาต้องอยู่ในบทคนบ้า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเลิกบ้า รู้อยู่ว่าชายหนุ่มกวักมือ แต่เขาไม่รู้หนิว่าคืออะไรเขาจึงได้แต่ยืนมอง
" ไอ่หน้าใส มึงเห็นไหมว่าพ่อมึงมา ยังยืนเซ่อไม่มาเปิดประตูอีก หรือว่าหูหนวกตาบอด เป็นบ้าอย่างเดียวคงไม่พอสินะมึง "
ก็เพราะเหตุที่กรกฤติไม่เดินมาเปิดประตู ทำให้คุณชายที่เกลียดการรอคอยและหมางเมินที่สุดถึงกับอดไม่ได้ที่จะตะคอกด่า และเสียงนั่นทำให้เจ้าของเรือนเดินลงมาดู ทศพลรีบหุบปากตีบทพ่อพระอย่างเจียมตัว พอยายแพงเจ้าของบ้านหันมามอง มือที่ไม่เคยโอนอ่อนยกมือไหว้อย่างนอมน้อมพูดจาไพเราะน่าฟัง แต่ในใจด่าสาทเสียเทเสียไปเท่าไหร่ต่อมิเท่าไหร่ พ่อคนแก่เผลอปากก็บ่นอุบอิบเลียนเสียงคนแก่กลับคืนอย่างถือดี พอเขาเบือนหน้าเหี่ยวย่นกลับมาสบมองก็ฉีกยิ้มกว้างรับ ท่าทีน่ารังเกียจคงมีแต่ค้นบ้าเท่านั้นที่เห็น ทศพลรู้ว่าชายหนุ่มข้างยัยแก่คือคนบ้าที่เขาพบที่ตลาดปากคลองจึงไม่แม้แต่จะเก็บอาการที่กระทำลับหลังอย่างลิงหลอกเจ้าต่อเจ้าบ้านที่เขาต้องมาเป็นเขย
................................................................................................................................................................................
" วันนี้มาแปลก ไม่ไปดื่มเหล้าเที่ยวกลางคืนหรือพ่อหนุ่ม "ยายแพงพูดเหน็บนิสัยประจำของชายหนุ่มส่งอาหาร เช้านี้เธอโทรสั่งโจ๊กบำรุงให้เจ้ากรมัน ร่างกายที่บอบบางมันมีสิทธิ์จะป่วยไข้ได้เป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าเธอตัดสินจากสิ่งที่เห็น บางคนร่างกายผ่อมโซกลับแข็งแรง แต่หลานรักเธอไม่ใช่อย่างนั้น กรกฤติ ไข้เจ็ดทีดีเจ็ดหน ร่งกายไม่สู้แข็งแรง</font>
" โถ่..คุณยาย ผมจะเป็นเขยบ้านหลังนี้แล้ว ผมก็ต้องเปลี่ยนตัวเองบ้าง อย่างวันนี้ผมมาในฐานะคนหาเช้ากินค่ำ ก็เพราะรู้สึกผิดกับเรื่องวันนั้น ผมอาจหลงตัวทำไม่ดีแต่เชื่อผมเถอะว่าบทคุณชายไม่เอาไหนแบบนั้นจะไม่ให้เป้นมลทินกับตระกูลสังข์แก้วเด็ดขาด " ทศพลโป้ปดแม้กระทั้งคนแก่ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่พูดแม้แต่น้อย เสือ ยังไงก้ยังเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ แม้จะถูกถอดเล็บก็ไม่มีทางเป็นแมวเหมียวไปได้ ทศพลก็เหมือนกัน ขนาดไม่มีเงินจะใช้ ในหัวยังคิดแต่เรื่องเที่ยวผับ
เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าไอ่หนุ่มหน้าหล่อนี่มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ อะไรที่ทำให้มันเปลี่ยน คงไม่ใช่หลานรักของเขาหรอก อาจเป็นคุณทิศลักษณ์ หรือไม่ก็คุณกันเกราที่ทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพวกเขายอมถึงขนาดนี้ เขาจะรอดูซิว่าไอ่คนเคยสบายมันจะทนลำบากได้กี่น้ำ มันถึงเวลาที่เขาควรเริ่มใช้บททศสอบคนที่จะมาเป็นหลานเขยแล้ว นับแต่นี้ไป ทศพลแห่งบ้านสหรักจะต้องผ่านความลำบากอีกนับไม่ถ้วน
" ถ้าทำผิดแล้วสำนึก ก็ไม่ว่ากัน ยายเองก็แก่แล้ว เองจะมาพักอยู่ที่นี่ยายก็ไม่ว่านะ ไหนๆก็จะแต่งกันแล้วนิ มาดูแลกันแต่เนินๆก็ไม่ผิด ถ้าวันหนึ่งยายจากไป อย่างน้อยกรมันก็ยังมีเองคอยดูแล แค่นี้ยายก็วางใจแล้ว "
" มันจะดีหรอครับยาย ยังไม่แต่งเขยเลย " มันเป็นเพียงแค่คำพูดอย่างเจียมตัวเท่านั้น ในใจไม่เคยคิดในสิ่งที่พูดแม้แต่น้อย ตอนที่ได้ยินว่า ยายเองก็แก่แล้ว เขาแทบอยากให้อีแก่ปากมากนั้นตายไวๆ แล้วใครมันจะมีจิตใจเอื้อเฟื้อไปดูแลถึงหลานบ้าของมัน ตอนนั้นแทบอยากจะตอบกลับไปว่า "ถ้ายายเป็นห่วงก็ส่งเข้าสถานรับเลี้ยงคนพิเศษสิ เรื่ิองค่าใช้จ่ายเขาจะรับผิดชอบเอง แบบนี้เรียกว่าดูแลได้ไหม เขามาที่นี่ไม่ใช่จะมาเป็นเขยขี้ข้า แค่ต้องทำตามสัญญามั่นหมายบ้าบอนั่นต่างหาก ไม่มีทางที่เขาจะเสพสมในกายชาวสวนที่ไม่มีน้ำมีนวล อย่างน้อยต้องระดับดาวเอก หรือไม่ก็ของโสดจากนอก
ทศพลยังคงคิดว่าคู่แต่งงานของเขาเป็นผู้หญิง ในหัวไม่เคยคิดเป็นอื่น อย่างวันนี้ ระหว่างที่คุยกับเจ้าบ้าน สายตาไม่เคยละการแอบสอดสายตามหา หวังอย่างยิ่งว่าจะได้โยนโฉมเจ้าสาวที่จะมาคู่เขา มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น แต่ถ้าเขาอยากเห็นคงต้องย้ายบ้านมานอนที่นี่ แม้มันจะไม่ใหญ่โต แต่ก็เงียบสงบ ไม่เหมือนตึกท้ายตลาดที่เขาอยู่ ยังนอนไม่ทันอิ่ม เสียงแม้ค้าตอนเช้าเอะอะโวยวายพูดคุยกันจ้า เขาที่นอนอยู่ชั้นสองแทบจะมุดหัวอยู่ใต้หมอนใบโต การที่ไม่อยากตื่น กับเสียงรบกวนที่มันน่าหงุดหงิดชวนให้ตื่น มันทำให้ทุกข์ระทมยิ่ง ที่นี่อาจพอให้เขาได้หลับเต็มอิ่ม แถมยังได้ทำให้แผนลูกเขยแสนดีของเขาบันลุเป้าไวกว่าเดิมอีก
" ดีไม่ดี เองก็ต้องทำ ตอนนี้ข้าจะเข้าสวน กรมันก็ไม่มีคนดูแล เองจะว่าอะไรไหมหากว่าข้าจะขอเองในช่วงบ่ายของวันนี้ แต่ถ้าไม่ได้ข้าก็ไม่ว่าอะไร เองกลับไปเถอะข้าพามันไปด้วยก็ได้ ทิ้งมันไวข้าเองก็ไม่หายอดห่วงอยู่ดี " ครั้งแรกเธอก็เลือกที่จะปล่อยหลานชายให้อยู่กับคู่หมั่นหมาย แม้จะยังห่วง แต่เขาต้องการทราบว่าคนที่เคยสบายอย่างทศพลจะดูแลหลานเขาได้ดีขนาดไหน นี่มันแค่บทแรก
" เรื่องนั้นยายไม่ต้องกังวล ผมจบเมืองนอกมา เรื่องอย่างนี้ผมถนัดครับ ยายวางใจได้ " ทศพลสืบเท้าเข้าหาคนเป็นบ้าอย่างเอาหน้า ให้คนแก่เห็นว่าเขาสามารถทำสิ่งที่ฝากฝังได้ ตอนนี้อะไรที่มันทำให้เขากลับมาเป็นคุณชายอีกสักครั้งเขายอมทั้งนั้น แค่ดูแลคนใบ้เขาไม่คิดว่าเหนือบ่ากว่าแรงหรอก
ก็ด้วยความกะล่อนปริ้นปร้อนของเขา ยายแพงถึงได้ฝากปลาย่างไว้กับแมว แมวที่มันไม่ชอบกินปลาอย่างเขา แต่ชอบเล่น " เห้ย เองชื่ออะไร ทำไมถึงเป็นบ้าว่ะ ข้าว่านะหน้าอย่างเองนี่เหมาะจะเป็นพวก.....หวะ หน้าตาใช้ได้ แต่บ้า น่าเสียดาย " พอหญิงชราหายลับไปในสวนหลังบ้าน ทศพลก็ถอดหน้ากากเขยผู้แสนดีออก เขาเดินเข้าหาหนุ่มบ้าที่เอาแต่ก้มหน้าไม่สบมอง คำถามที่ไม่ได้กลั่นกรองมาจากจิตใจถากถางเหยียดหยามความผิดปรกติของคนบ้าสิ้นดี กรกฤติเป็นบ้า คำพวกนั้นไม่อาจกระเทาะถึงความรู้สึกโกรธเคืองได้แม้แต่น้อย คนบ้าเงยหน้าขึ้นสบมองก่อนฉีกยิ้มกว้างให้คู่มั่นของตัวเอง ในจิตเบื่องลึกยังคงพินิจพิจราณาใบหน้าคุ้น เขาไม่เคยลืม ทุกครั้งที่เห็นเขาแทบหยุดความบ้าของตัวเองได้ มีไม่บ่อยนักที่หัวใจบอบช้ำจะกำราบโรคบ้าของตัวเองได้ ครั้งนี้อาจเป็นส่วนเล็กที่ทำให้เขาได้สติว่าเขาเป็นเพียงคนแกล้งบ้า ไม่ได้บ้าเพราะจิตใจ
" กูถามมึง ทำไมไม่ตอบ เป็นบ้าแล้วยังเป็นใบ้อีกเหรอ น่าสมเพชหว่ะ " ทศพลใช้มือจับคางเรียวล็อกให้หันมองตัวเขาตรงๆ สายตาหวานคู่นั้นสั่นระริกเหมือนรู้สึกกลัวเขาเห็นมัน ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกลัว เขายิ่งไม่ยอมปล่อย ออกแรงบีบล็อกจนใบหน้าเอ๋อบ้าเหยเก ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะปราณี ในเมื่อคนตรงหน้าร่างกายสมบูรณ์ครบสามสิบสองประการ เสียก็แต่สติ ไม่น่าจะเป็นใบ้เขาแค่อยากรู้ว่ามันจะร้องออกมาแบบไหน นั่นคือความสนุกของเขา
" ปล่อย กรเจ็บ ปล่อย ๆ ๆ กรเจ็บ " ในที่สุดเขาก้ได้ยินเสียงนั่น ไม่ใช่น่าเกลียดอะไร เป้นเสียหวานๆสากๆห้าวแบบชายทั่วไป
" ที่แท้ก้พูดได้ ทำไมมึงไม่กริ๊ดว่ะ หน้าตาอย่างมึงนี่น่าจะกริ๊ดนะ กูบอกมึงแล้วไง ถ้ามึงบอกตั้งแต่แรกก็ไม่เจ็บ มัวแต่ทำบื้อ เลยต้องเจ็บตัว "
" กรเจ็บ กรเจ็บๆๆ " กรกฤติพูดวนๆซ้ำ เขาเจ็บจริงจริง ความเจ็บที่เขาไม่เคยพูดออกมา ตอนนี้เขาพูดมัน เมื่อก่อนมีดบาดเลือดโชกเขายังไม่พูดให้ยายได้รู้ กลับแค่ถูกบีบรดสันกรามทำให้เขาบอกถึงความเจ็บปวดนั่น เขาไม่ได้บ้าจริงๆ ใช่แล้วเขาไม่ได้บ้า แต่คนใจร้ายก้ยังทำเหมือนเขาเป้นคนบ้า มือที่เขากอบกุมใบหน้าตัวเองถูกชายผู้มาเยือนรั้งให้เดินตาม กรรู้สึกหวาดกลัวนิดๆอยู่ภายในใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ยอมปล่อยให้คนรั้งพาตัวขึ้นเรือนไป
" อย่าว่ากูเลวเลยนะ มึงทำให้กูต้องทำแบบนี้ กูบอกตามตรงกุไม่ค่อยถูกโลกกับคนบ้า อยู่ตรงนี้มึงอย่าเอะอะโวยวาย ไม่งั้นกูจะบีบให้คางมึงหักเลยคอยดู " ทศพลพูดขู่ทำท่าทำทางประกอบให้คนบ้าเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ ดูเหมือนว่าจะได้ผล ชายหนุ่มไม่สมสติเงียบกริบไม่พูดโวยวายอย่งที่ควรจะทำ ทั้งที่ทศพลล่ามข้อเท้าเขาไวกับเสากลางบ้าน ที่จริงมันเป้นโซ่ล่ามไอ่ด่างในช่วงติดสัตว์ ยายแพงไม่อยากให้มันหายไปกับหมาอื่น จึงลามมันไว้กับเสาในช่วงกลางคืน ส่วนกลางวันก็ปล่อยมันตามธรรมชาติ ยายแกทำไปเพราะห่วง ไม่ใช่รังแก แต่ทศพลทำทำกับหลานเขายิ่งกว่า ชายหนุ่มล่ามข้อเท้าคนบ้าเสร็จก็เริ่มเสาะหาว่าที่คู่มั่นเขา เขาเชื่อว่าต้องมีอยู่บนบ้านนี้จึงถือวิสาสะผลักประตูทุกบาน เว้นแต่เพียงห้องยายแพงที่ลงกลอนแน่นหนา
เมื่อไม่พบจึงเดินกลับมาที่เดิม เขาที่ไม่ละความพยายามนั่งยองๆมองคนบ้าที่พยายามใช้มือตัวเองแกะโซ่เหล็กกล้าที่ไม่มีแม้แต่ร่องให้งัดจนนิ้วทั้งสองข้าห้อเลือด ทศพลเห็นเข้าถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่าคนบ้าไม่โวยวายจะบ้าสมชื่อ ใครมันจะใช้มือเปล่างัดแงะเหล็กกล้า
" สมกับความบ้าของมึงเลยหวะ เอางี้กูจะเอามันออก ถ้ามึงบอกว่าพี่สาวมึงอยู่ไหน " ทศพลต่อรองด้วยคำถามที่อยากรู้เต็มประดา
" กรเจ็บ ปล่อยกร กรเจ็บ ๆๆๆ " กรไม่ตอบ เอาแต่สายหน้าร้องโอดโอยเหมือนจะร้องไห้ บ่อน้ำตาเอ่อล้นเบ้า ทศพลทนดูความสมเพชของมันไม่ไหวจึงคลายโซ่ออกให้แต่ก็คว้าต้นแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คนบ้าเมื่อมันรู้ว่าอันตรายมันจะหนี มีหรือที่เขาจะปล่อยให้หนี อีกนานที่ยายแก่จะกลับมา ไอ่บ้าต้องเป็นตัวตลกให้เขาหัวเราะได้อีกนานโข
" ไอ่บ้า มึงอย่าขี้แยเหมือนตัวมึงที่อ่อนปวกเปียกได้ป่าว กูหมดความอดทนเมื่อไหร่ อย่าให้กูต้องมัดมือมัดเท้าปิดปากมึง กูบอกมึงแล้วว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่ามาบ้าให้น่ารำคาญ อย่าคิดนะว่ายัยแก่นั่นจะคุ้มกะลาหัวมึงได้ตลอด วันไหนที่กูมาเป็นเขยบ้านหลังนี้ เมื่อนั้นมึงจะต้องระเหดไปอยู่ศูญบำบัดจิตที่ๆมึงควรอยู่ มึงควรเอาอกเอาใจกูไว้เผื่อเวทนาหาคนมาดูแล แทนที่จะส่งมึงไป " มาดเดิมๆนิสัยเดิมๆ เขาไม่เคยเปลี่ยน ไม่มีวันที่คนอย่างทศพลจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอืื่น แม้ว่าสิ่งที่เขาต้องใช้นิสัยดีแลกเปลี่ยนมันมา เขาก็ทำมันแบบหลอกๆ เขากำลังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็น เห็นในสิ่งที่เป็นผลดี เพื่อแค่แลกกับสิ่งที่เขาควรมี ถ้าหากว่ากรกฤติรู้ความ คนจอมอวดอ้างไม่พ้นต้องอำลาตำแหน่งคุณชายตลอดกาล ผิดก็แต่เจ้าของทรัพย์สมบัตรตัวจริงสติไม่สมประกอบ มันจึงเป็นทีของคุณชายวางมาดอย่างทศพลให้ได้เสพสุขอย่างไม่สำนึกคุณ
" กรเจ็บ กรเจ็บ " น้ำตาสีใสคลอเบ้าร่วงหล่นลงอาบสองแก้ม ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องรองไห้ มันเจ็บขนาดนั้นจริงหรอ ก็ไม่ แต่เขาก็ร้องมันออกมา และรู้สึกดีกับมันอย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่เสียน้ำตา ทุกครั้งที่หัวเราะเริงร่า ความสุขมักเกิดกับเขา กรเองก้ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร เขาไม่อยากรับว่าเขาบ้า และแน่นอนนั่นเป็นเหตุให้เขาต้องหาทางไปพบแพทย์บำบัดอีกครั้ง โดยที่ไม่มีใครรู้
" ไอ่บ้า มึงอย่ามาสำออยเป็นตุ๊ดแต๋ว นิดหน่อยทำร้องไห้ กูบอกไว้เลยนะว่าเสียแรงเปล่า กู่ไม่ใช่คนดีอะไร อย่าคิดเองเออเองว่าบีบน้ำตาแล้วกูจะสงสาร สมเพชว่ะ " ทศพลว่าเสียดุ ไม่ฟังที่คนไบ้ร้อง เขาไม่ได้มีจิตใจอ่อนโยนอย่างนั้น แค่คนบ้าจะเอาอะไรกับมันเยอะ เมื่อมันอยากจะร้องก็ให้มัร้องไป ส่วนเขาก็เข้าครัวหาอะไรกิน วันนี้เขาไม่น่าจะกลับไปที่ร้านเพื่อนแล้ว เอาไว้เย็นๆค่อยกลับ "อยู่ที่นี่สบายกว่าต้องไปตากแดดกรำฝนส่งของ" ถ้าความสบายมาให้เลือกมีหรือเขาจะปฏิเสธ วันนี้เขาตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ส่วนเพื่อนมันก็จะโทรมาตามเองและ ถึงตอนนั้นค่อยบอกมัน แต่ตอนนี้ชักเริ่มหิวแล้ว ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้ทานอะไรเลย กะว่าส่งของเสร็จแล้วจะกลับไปทานมื้อเที่ยงเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เห็นทีจะไม่จำเป็นแล้ว เมื่อที่นี่มีพร้อมทุกอย่าง เขาแค่หามันเท่านั้นที่ต้องทำ
ในบ้านหลังนี้ทุกตรางนิ้วอดิตคุณชายสหรักที่กำลังจะหวนคืนสู่ตำแหน่งโดยทำตามข้อแม้ของตระกูล เขาใช้สิทธิ์ว่าที่ลูกเขยตระกูลสังข์แก้ว หยิบจับของทุกอย่างในบ้านโดยไม่ต้องขอความเห็นใคร ห้องครัวของเรือนไม้หลังเก่าก็อยู่บนตัวบ้านเช่นกัน เพียงแค่มันถูกสร้างพื้นที่ให้ลดหลั่นจากตัวบ้านนิดหนึ่ง เมื่อขึ้นบันใดมา ทางที่จะไปห้องครัวคือตัดผ่านตัวบ้านทั้งสองฝั่ง บันใดที่พาดเกยจะเป็นพื้นที่โล่งไม่มีหลังคา เดินไปอีกสี่ห้าก้าวก็จะเข้าถึงตัวบ้าน มีศาลานั่งเล่นตั้งตระหง่านตรงกลาง หากจะไปห้องครัวก็ต้องเดินอ้มเล็กน้อย แต่ทศพลไม่ เขาเดินผ่านศาลานั่นที่ปูด้วยพรมอย่างดี มันดีที่เขาถอดรองเท้า หากไม่ก็จะเห็นรอยชี้ชัดเป็นหลักฐาน พอผ่านศาลามาก็จะเป็นตัวบ้านข้างใน สองฝั่งแยกเป็นห้อง ทิ้งช่องทางเดินให้ลัดผ่าน เดินไปอีกนิดพอให้พ้นตัวบ้าน จะเห็นว่าด้านหลังเป็นชานโล่ง ซ้ายมือจะเป็นครัว ขวามือจะเป็นโตีะวางของ บางทีก็ใช้เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร ตระกูลสังข์แก้วใช้มันบ่อยในวันที่อยู่พร้อมหน้า ตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว โต๊ะนั้นกลายเป็นเพียงโต๊ะธรรมดาที่วางของกองไว้เต็ม คุณชายผู้รากมากดีอย่างทศพลไม่รู้ว่าชานดล่งนั้นเป็นพื้นที่ต่างระดับ สายตามัวแต่สอดส่อง เผลอปล่อยน้ำหนักลงเท้าที่เก้าตามปรกติ กระนั้นทำให้เขาเซถลาไปด้านหน้า อีกไม่กี่นิ้วเสาเรือนตรงข้างหน้าก็จะมาประทับตรีตรารอยบนหน้าผากเขาแล้ว ดีที่มืออีกข้างไว เขายกมือขึ้นบัง ทำให้แรงกระแทกไม่ถึงทีเจ็บ
" โถ่ โว้ยยย บ้านไม่ได้มาตราฐาน พื้นต่างระดับจะสร้างไว้ทำเชี่ยอะไร " ชายหนุ่มที่เกือบจะขมำหน้าทิ่มเสาสบถด่าหยาบ พอๆกับเสียหัวเราะลั่นตามหลัง มันทำให้เขาที่กำลังหัวเสียหันกลับไปมองตาขวาง ไอ่คนบ้ากำลังหัวเราะเขา ความรู้สึกมันบอกอย่างชัดเจนว่ารู้สึกเสียหน้ามากกว่าถูกคนที่ปรกติหัวเราะ การที่ไอ่บ้าไม่รู้ความหัวเราะเขามันเป็นสิ่งอัปยศที่สุดในชีวิต แม้มันจะไม่สามารถไปเล่าให้ใครฟัง แต่สายตาไร้เล่ห์เหลี่ยมนั้นส่อแว้วเย้ยหยันเขาเต็มประดา
" ไอ่ใบ้ มึงแช่งกูใช่ไหม กูแค่ลามโซ่มึงถึงกับแช่งกูเลยหรอ มึงมันอยู่ไปก็รังแต่เป็นเสนียด ไปเถอะว่ะ กูตัดสินใจแล้ว วันที่กูแต่งงาน คือวันที่มึงจะได้ไปอยุู่ศูนย์บำบัดจิต "
คนเป็นบ้าหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองทันทีที่เห็นสายตาดุดันคู่นั้นสบมองมายังเขา ด้วยความเคยชินไม่ว่าสิ่งไหนที่เขากลัว เขาจะขยับถอยห่างทันที ตอนนี้ร่างโปร่งบางสติไม่สมประกอบกำลังร่นถอย สายตาที่เคยใช้มองทางเอาแต่จ้องทศพล เท้าเรียวก้าวถอยหลังไปเรื่อย พอๆกับอีกคนที่เขาต้องการหนีก้าวตามมา
" เห้ยไอ่บ้า มึงบ้ามึงก็ควรรู้สิว่าถ้ามึงถอยหลังไม่มองทางแบบนั้น จุดจบมึงจะเป็นยังไง " ทศพลไม่คิดว่าเขาจะทำให้คนบ้ามันบ้าขึ้นอีก ไอ้บ้าที่เขาด่าทอกำลังเดินถอยหลัง สายตาคู่นั้นดูตื่นกลัวเขาไม่คิดว่าคนบ้ามันจะมีความรู้สึกอ่อนไหวเยี่ยงคนปรกติ ตอนนี้เขาทำมันกลัวและมันกำลังถอยหนี โดยมีหัวบันใดเป็นจุดสิ้นสุด
ทศพลมองอย่างอารมณ์เสีย เมื่อไอ่บ้ามันโง่เต็มประดา เขาที่อยู่ห่างเป็นแปดเก้าเมตรจะให้ก้าวเท้าทันได้ยังไง แต่เขาก็ยังก้าวตามรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีทางทัน ทันทีที่เขาถึงศาลากลางบ้านเป็นเวลาเดียวกันกับอีกร่างหนึ่งลับหายไปจากชานเรือน
ไอ่บ้าตกบันใด คนรับปากจะดูแลถึงกับใจไม่ดี ไม่รู้ว่าร่างบอบบางนั่นจะเป็นยังไง เขาที่รับผิดชอบเต็มประดาถึงกับหน้าเผือดสี ทศพลวิ่งลงบันใดอย่างไม่คิดชีวิตเขาก้าวทีละสองขั้นสามขั้นตามแต่เท้าจะหยั่งถึง สิ่งที่เขาเห็นคือร่างแน่นิ่งอิงซบอยู่ตรงเชิงบันใด คนเป็นต้นเหตุรีบเข้าประคอง มือหนาตบลงบนแก้มใสเบาๆสองสามทีเพื่อเรียกสติคนเป็นบ้าให้ฟื้นขึ้น
" ตื่นสิว่ะ มึงอย่าทำให้กูซวยซ้ำสองนะเว้ย ตื่น ไอ่บ้า กูบอกให้มึงตื่น " ทศพลเรียกเสียงสั่น เขาไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้ ถ้าทำมันตาย พ่อกับแม่ไม่เอาเขาไว้ให้เสื่อมเสียตระกูลแน่ๆ ถ้าเกิดมันตายขึ้นมา เขาจะเป็นคนแรกที่ถูกเป็นเป้า
หมดหนทางแล้วเรียกยังไงก็ไม่ตื่น เขาจำเป็นต้องช้อนอุ้มร่างนั้นขึ้นเรือน ก่อนจะโทรเรียกหมอมาดูอาการ ความจริงเขาไม่มีเงินขนาดเรียกหมอออกบริการนอกพื้นที่หรอก แม่ของเขาที่เขาติดต่อกลับต่างหากที่เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด ยอมรับว่าครั้งแรกคุณหญิงตกใจสุดขีด เธอโทษลูกชายทันทีโดยที่ไม่ต้องฟังอะไร มันจะมีกี่ครั้งที่ทศพลจะไม่ก่อเรื่อง
ความจริงแม่ของเขาก็พูดถูกว่าเป็นเพราะเขา แต่เขาหรือจะยอมรับ ในใจคอยย้ำอยู่เสมอว่ามันเป็นความโง่ของคนบ้า ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ เขาไม่ได้ทำอะไรมันเลยแม้แต่น้อย มันเป็นความซวยของมันเองต่างหาก เขาจะไปรู้อะไร แต่ในเมื่อแม่พูดกับเขาแบบนั้น บทลูกที่แสนดีก็ยอมรับอย่างง่ายดาย อาจมีการเปลี่ยนเนื้อหาบ้างบางตอน อย่างที่เขาใช้สายตาดุมองคนบ้า เขาบอกแก่ผู้เป็นแม่ว่าหยอกเล่นกับน้อง น้องพลาดตกบันใด เขารับไว้ไม่ทัน รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างที่สุด คำโป้ปดมดเท็จทั้งนั้นที่เขาเล่า ไร้ซึ่งมูลความจริงที่มีเพียงเขากับคนบ้าที่รู้ บางทีอาจรู้แค่เขา คนเป็นบ้าหรือจะมีสติมารับรู้ ถึงรู้มันจะมีปัญญาไปฟ้องอะไรได้
หลังจากวันนั้นทศพลก็ไม่ได้ไปไหน เขาอาศัยอยู่กับเพื่อนเก่าโดยอาศัยห้องนอนอีกห้องของมาวินไว้นอน คุณชายอย่างเขาจากที่เคยแต่งตัวหรูหราราคาแพง มาวันนี้เหลือเพียงกางเกงสีคลิมสามส่วน กับเสื้อยืดสกรินสีฟ้า เขาพึ่งไปซื้อมันมาจากในตลาดในราคา 99 บาท โดยขอเบิกเงินล่วงหน้าจากเพื่อนเก่ามาซื้อ ขณะที่เลือกสรรสิ่งที่เหมาะสมกับเขา พลันให้คิดถอดใจ แค่เสื้อตัวละ 300 บาท ก็ไม่มีปัญญาจะซื้อใส่ เขาเบิกเงินได้แค่ 500 หากเขาซื้อในราคานั้น ระหว่างที่ไม่สิ้นเดือนเขาจะเอาอะไรยาใส้ ความอัตคัดขัดสนคอยบีบให้เขาคิดถึงความสะดวกสบายที่เคยมี เขาไม่อยากจะอยู่ในสภาพนี้ แต่ด้วยความถือดีไม่ยอมอ่อนข้อจำต้องสวมใส่เสื้อผ้าไร้ราคากินข้าวจานสามสี่สิบ ตื่นนอนเช้ากว่าปรกติ และนอนดึกกว่าความจำเป็น เขาคงจะแสดงบทเป็นคุณชายตกอับได้อีกไม่นานหากว่าชีวิตทุกวันของเขาตื่นมาเจอวงจรแบบนี้ซ้ำๆเดิมๆ เขาอยากดื่มเล่าเที่ยวผับบาร์ อย่างเคยเป็น เมื่อช่วงค่ำเสร็จงานเคยชวนไอ่วินมันไป สุดท้ายก็จบที่เหล้าตองหน้าปากซอย แน่นอนว่ารสชาติมันมันต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณชายที่เคยกินเหล้าแบรนดังมา เจอม้ากระทืบโรงของอาเตี่ยหน้าปากซอยเข้าไปแทบเมาหัวทิ่มดิน เป็นเดือดเป็นรอนให้เพื่อนแบกกลับ
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ทศพลลงมารับออเด้อที่จะไปส่งในวันแรก เขาไม่เคยอยู่ที่นี่ มาวินรู้ว่าเพื่อนผู้รากมากดีไม่ชินทางแน่ เขาแค่ให้ส่งไม่ใกล้ไม่ไกล แถมแนบแผนที่ให้อย่างชัดเจน รับรองว่าไม่มีหลง
" เป็นไงหละมึง กูบอกแล้วว่าไม่ต้องถึงผับบาร์ มึงผ่านด่านเหล้าตองหน้าปากซอยให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาชวนกู " พอทศพลลงบ้านมา เขาที่เป็นเจ้าของตื่นแต่เช้าเห็นว่าเพื่อนยังมืนๆเลยอดที่จะแซวไม่ได้ ทศพลเป็นพวกชอบเที่ยวสังสรรค์ กิติมาศักดิ์เลื่องลือไม่คิดว่าจะมาจอดที่ร้านเหล้ายาดองบ้านๆ
" มึงไม่ต้องมาพูดดี ก็มึงไม่ใช่ไงบอกว่าเหล้าดองไม่แรง กูจะรู้หรอข้างโถไม่ระบุดีกรี ที่กูตื่นมาทันเข้างานก้ดีแค่ไหนแล้ว " ทศพลรีบแก้ต่างให้ตัวเองให้พ้นจากคำสบประหม่าของเพื่อน
วงหน้าเข้มขรึมไล่อ่านรายการที่ต้องของวันนี้ หนึ่งในรายชื่อทำให้เขาต้องเบือนหน้าขึ้นมองเพื่อนอย่างขอความเห็น
" ไอ่วิน มึงยังจำเรื่องที่มึงเล่าให้กูฟังได้ไหมว่ะ ถ้ากูจำไม่ผิดบ้านยัยแพงที่สั่งโจ๊กข้าวกล้องเป็นบ้านหลังเดียวที่มีเด็กคนนั้นใช่ไหม "
" จำได้ ทำไม " มาวินตอบพร้อมกับถามกลับไปตามปรกติ
แต่คนถูกถามกลับไม่คิดตอบ ทศพลส่ายหน้าบอกปัดก่อนจะยกรายการที่จัดใส่ถูกขึ้นควบมอเตอร๋ไซร์ออกส่งตามที่อยู่ พร้อมกระนั้นเขาไม่ลืมพกโทรศัพไปด้วยเผื่อว่าหาบ้านคนส่งไม่เจอ
ทศพลไล่ส่งทีละบ้านๆจนหมด เขาจงใจส่งโจ๊กข้าวกล้องเป็นบ้านสุดท้าย มอเตอร์ไซร์คันเก่าที่ไม่มีแม้แต่ป้ายทะเบียนจอดเทียบริมทาง มือหนาหิ้วถุงโจ๊กออกจากตะกร้าหน้ารถ เขาหันไปมองบ้านที่มาตามแผนที่ที่ระบุไว้ในกระดาษก้อมที่ฉีกออกมาจากสมุดจดรายการอาหาร ดวงตาเรียบนิ่งพินิจมองอย่างท่วนถี่เหมือนคุ้นๆและเคยเห็น แน่นอนว่าเขาจำมันได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนลูกน้องพ่อบังคับเขามาที่นี่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังเดียวกันกับที่เขาต้องมาเป็นเขย ความคับแค้นใจตอนนั้นแทบทุ่มโจ๊กในมือทิ้ง คิดอีกทีเขาน่าจะเล่นบทพ่อพระอีกสักครั้งเพื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ ถูกของพ่อ และถูกของอีแก่นั่น เขาควรทำตัวดีๆอดทนฝืนใจเป็นเขยที่ดีสักระยะ การแต่งงานมันหย่ากันได้ ขอแค่เขาหาเรื่องบ่อยคนที่อยากตั้งตัวเป็นสะใภ้สหรัก มันก็จะวิ่งแจ้นไปขอหย่าเองแหละ และนี่ถือเป็นบทแรก เขาควรใช้โจ๊กนี้เป็นสะพานเชื่อมความประณีประนอม บ่อยครั้งที่เขาอยากจะอ๊วกกับการกระทำของตัวเอง ทายาทสหรักไม่เคยต้องมาเอาอกเอาใจใคร มีเงินเป็นพระเจ้า ที่สามารถกว้านซื้อได้ทุกอย่าง แม้แต่บ้านเสงเครงหลังนี้เขาก็จะถอนมันทิ้งทันที่ที่เป็นเขย ความเก่าคร่ำครือขวางหูขวางตาไม่สมเกียรติคนอย่างเขาเป็นที่สุด
ทศพลมองอยู่น่านก็ไม่มีใครออกมา เขาอยากจะกดกริ่ง แต่บ้านนี้ดันบ้านนอกเหลือคณา จะมีก็แต่เสียงของเขาที่จะตะโกน ในเมื่อเขาเล่นบทว่าที่ลูกเขยที่แสนดีเขาจะตะโกนเพื่ออะไร เขาจึงรออย่างใจเย็น จนแน่ใจว่าเห็นคนเดินลงมาจากบ้าน เจ้าตัวเรียกให้คนนั้นหันมา สองมือกวักเรียกยามที่เห็นว่าคนนั้นหันมองเขา กวักแล้วกวักอีกก็ไม่มาหาเอาแต่จ้อง
" เป็นเชี้ยไร เป็นใบหูหนวกตาบอดไง ไม่เห็นเหรอว่าคนเขาเรียก ยังจะมาทำหน้ามึน " คนเฝ้าคอยสบถหัวเสียทันทีที่ชายหนุ่มในบ้านทำเป็นไม่รูั
ความจริงก็ไม่รู้อย่างที่ทศพลกล่าวหานั่นแหละ ชายหนุ่มเป็นบ้าจะให้มาเข้าใจเรื่องพวกนี้มันก็กะไร เขารู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่ ภาพเด็กชายวัยมัธยมยื่นของขวัญให้เขามันยังซ้อนทับกับชายคนนี้เสมอยามพบเจอ วันนั้นพอดีว่าของขวัญที่เขาจะเตรียมไปแลกที่โรงเรียนดันถูกชายหนุ่มขับรถเฉี่ยวชนเข้าจนต้องสูญเสียกล่องของขวัญกล่องนั้นไป ชายหนุ่มรุ่นพี่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยมอบของขวัญของตัวเองให้แทน และพาซ้อนท้ายไปอนามัยทำแผล ไม่ลืมที่จะขับกลับมาส่งบ้าน วันนั้นเป็นอันว่าเขาไม่ได้ไปแลกของขวัญเหมือนเช่นทุกปี กล่องนั้นจึงตกเป็นของเขาและมันเป็นภาพความทรงจำที่ทำให้ใจดวงน้อยปราบปรื้มชายหนุ่มมาจนถึงทุกวันนี้ หัวอกของคนปราบปลื้มไม่ใช่ฉันรัก เป็นเพียงความเคารพนับถือในฐานะพี่ที่อบอุ่นคนหนึ่ง จนเขาได้รู้ว่าชายหนุ่มเป็นลูกพี่ลูกน้องและเป็นคู่มั่นตายตัวของเขาตั้งแต่ยัังไม่เกิด ตอนนั้นความรู้สึกมันจึงเปลี่ยนไป เขาเริ่มหลงไหลทศพลมากขึ้น แม้ว่าตอนนั้นยังเด็ก แต่ความรู้สึกมันทำให้เขาอยากที่จะเป็นของทศพลคนเดียว
แต่ตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกพวกนั้นไม่อยู่ใจวงโคจรความคิดแม้แต่น้อย กรที่มีสติก้ำกึ่งบ้าไม่สามารถมีความรู้สึกนั้นอีกแล้ว ในดวงใจคอยเตือนจิตอยู่เสมอไม่ให้บ้า แต่ความเคยชินเขาไม่อาจปฏิเสธมัน ตราบใดที่เขาต้องอยู่ในบทคนบ้า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเลิกบ้า รู้อยู่ว่าชายหนุ่มกวักมือ แต่เขาไม่รู้หนิว่าคืออะไรเขาจึงได้แต่ยืนมอง
" ไอ่หน้าใส มึงเห็นไหมว่าพ่อมึงมา ยังยืนเซ่อไม่มาเปิดประตูอีก หรือว่าหูหนวกตาบอด เป็นบ้าอย่างเดียวคงไม่พอสินะมึง "
ก็เพราะเหตุที่กรกฤติไม่เดินมาเปิดประตู ทำให้คุณชายที่เกลียดการรอคอยและหมางเมินที่สุดถึงกับอดไม่ได้ที่จะตะคอกด่า และเสียงนั่นทำให้เจ้าของเรือนเดินลงมาดู ทศพลรีบหุบปากตีบทพ่อพระอย่างเจียมตัว พอยายแพงเจ้าของบ้านหันมามอง มือที่ไม่เคยโอนอ่อนยกมือไหว้อย่างนอมน้อมพูดจาไพเราะน่าฟัง แต่ในใจด่าสาทเสียเทเสียไปเท่าไหร่ต่อมิเท่าไหร่ พ่อคนแก่เผลอปากก็บ่นอุบอิบเลียนเสียงคนแก่กลับคืนอย่างถือดี พอเขาเบือนหน้าเหี่ยวย่นกลับมาสบมองก็ฉีกยิ้มกว้างรับ ท่าทีน่ารังเกียจคงมีแต่ค้นบ้าเท่านั้นที่เห็น ทศพลรู้ว่าชายหนุ่มข้างยัยแก่คือคนบ้าที่เขาพบที่ตลาดปากคลองจึงไม่แม้แต่จะเก็บอาการที่กระทำลับหลังอย่างลิงหลอกเจ้าต่อเจ้าบ้านที่เขาต้องมาเป็นเขย
................................................................................................................................................................................
" วันนี้มาแปลก ไม่ไปดื่มเหล้าเที่ยวกลางคืนหรือพ่อหนุ่ม "ยายแพงพูดเหน็บนิสัยประจำของชายหนุ่มส่งอาหาร เช้านี้เธอโทรสั่งโจ๊กบำรุงให้เจ้ากรมัน ร่างกายที่บอบบางมันมีสิทธิ์จะป่วยไข้ได้เป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าเธอตัดสินจากสิ่งที่เห็น บางคนร่างกายผ่อมโซกลับแข็งแรง แต่หลานรักเธอไม่ใช่อย่างนั้น กรกฤติ ไข้เจ็ดทีดีเจ็ดหน ร่งกายไม่สู้แข็งแรง</font>
" โถ่..คุณยาย ผมจะเป็นเขยบ้านหลังนี้แล้ว ผมก็ต้องเปลี่ยนตัวเองบ้าง อย่างวันนี้ผมมาในฐานะคนหาเช้ากินค่ำ ก็เพราะรู้สึกผิดกับเรื่องวันนั้น ผมอาจหลงตัวทำไม่ดีแต่เชื่อผมเถอะว่าบทคุณชายไม่เอาไหนแบบนั้นจะไม่ให้เป้นมลทินกับตระกูลสังข์แก้วเด็ดขาด " ทศพลโป้ปดแม้กระทั้งคนแก่ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่พูดแม้แต่น้อย เสือ ยังไงก้ยังเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ แม้จะถูกถอดเล็บก็ไม่มีทางเป็นแมวเหมียวไปได้ ทศพลก็เหมือนกัน ขนาดไม่มีเงินจะใช้ ในหัวยังคิดแต่เรื่องเที่ยวผับ
เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าไอ่หนุ่มหน้าหล่อนี่มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ อะไรที่ทำให้มันเปลี่ยน คงไม่ใช่หลานรักของเขาหรอก อาจเป็นคุณทิศลักษณ์ หรือไม่ก็คุณกันเกราที่ทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพวกเขายอมถึงขนาดนี้ เขาจะรอดูซิว่าไอ่คนเคยสบายมันจะทนลำบากได้กี่น้ำ มันถึงเวลาที่เขาควรเริ่มใช้บททศสอบคนที่จะมาเป็นหลานเขยแล้ว นับแต่นี้ไป ทศพลแห่งบ้านสหรักจะต้องผ่านความลำบากอีกนับไม่ถ้วน
" ถ้าทำผิดแล้วสำนึก ก็ไม่ว่ากัน ยายเองก็แก่แล้ว เองจะมาพักอยู่ที่นี่ยายก็ไม่ว่านะ ไหนๆก็จะแต่งกันแล้วนิ มาดูแลกันแต่เนินๆก็ไม่ผิด ถ้าวันหนึ่งยายจากไป อย่างน้อยกรมันก็ยังมีเองคอยดูแล แค่นี้ยายก็วางใจแล้ว "
" มันจะดีหรอครับยาย ยังไม่แต่งเขยเลย " มันเป็นเพียงแค่คำพูดอย่างเจียมตัวเท่านั้น ในใจไม่เคยคิดในสิ่งที่พูดแม้แต่น้อย ตอนที่ได้ยินว่า ยายเองก็แก่แล้ว เขาแทบอยากให้อีแก่ปากมากนั้นตายไวๆ แล้วใครมันจะมีจิตใจเอื้อเฟื้อไปดูแลถึงหลานบ้าของมัน ตอนนั้นแทบอยากจะตอบกลับไปว่า "ถ้ายายเป็นห่วงก็ส่งเข้าสถานรับเลี้ยงคนพิเศษสิ เรื่ิองค่าใช้จ่ายเขาจะรับผิดชอบเอง แบบนี้เรียกว่าดูแลได้ไหม เขามาที่นี่ไม่ใช่จะมาเป็นเขยขี้ข้า แค่ต้องทำตามสัญญามั่นหมายบ้าบอนั่นต่างหาก ไม่มีทางที่เขาจะเสพสมในกายชาวสวนที่ไม่มีน้ำมีนวล อย่างน้อยต้องระดับดาวเอก หรือไม่ก็ของโสดจากนอก
ทศพลยังคงคิดว่าคู่แต่งงานของเขาเป็นผู้หญิง ในหัวไม่เคยคิดเป็นอื่น อย่างวันนี้ ระหว่างที่คุยกับเจ้าบ้าน สายตาไม่เคยละการแอบสอดสายตามหา หวังอย่างยิ่งว่าจะได้โยนโฉมเจ้าสาวที่จะมาคู่เขา มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น แต่ถ้าเขาอยากเห็นคงต้องย้ายบ้านมานอนที่นี่ แม้มันจะไม่ใหญ่โต แต่ก็เงียบสงบ ไม่เหมือนตึกท้ายตลาดที่เขาอยู่ ยังนอนไม่ทันอิ่ม เสียงแม้ค้าตอนเช้าเอะอะโวยวายพูดคุยกันจ้า เขาที่นอนอยู่ชั้นสองแทบจะมุดหัวอยู่ใต้หมอนใบโต การที่ไม่อยากตื่น กับเสียงรบกวนที่มันน่าหงุดหงิดชวนให้ตื่น มันทำให้ทุกข์ระทมยิ่ง ที่นี่อาจพอให้เขาได้หลับเต็มอิ่ม แถมยังได้ทำให้แผนลูกเขยแสนดีของเขาบันลุเป้าไวกว่าเดิมอีก
" ดีไม่ดี เองก็ต้องทำ ตอนนี้ข้าจะเข้าสวน กรมันก็ไม่มีคนดูแล เองจะว่าอะไรไหมหากว่าข้าจะขอเองในช่วงบ่ายของวันนี้ แต่ถ้าไม่ได้ข้าก็ไม่ว่าอะไร เองกลับไปเถอะข้าพามันไปด้วยก็ได้ ทิ้งมันไวข้าเองก็ไม่หายอดห่วงอยู่ดี " ครั้งแรกเธอก็เลือกที่จะปล่อยหลานชายให้อยู่กับคู่หมั่นหมาย แม้จะยังห่วง แต่เขาต้องการทราบว่าคนที่เคยสบายอย่างทศพลจะดูแลหลานเขาได้ดีขนาดไหน นี่มันแค่บทแรก
" เรื่องนั้นยายไม่ต้องกังวล ผมจบเมืองนอกมา เรื่องอย่างนี้ผมถนัดครับ ยายวางใจได้ " ทศพลสืบเท้าเข้าหาคนเป็นบ้าอย่างเอาหน้า ให้คนแก่เห็นว่าเขาสามารถทำสิ่งที่ฝากฝังได้ ตอนนี้อะไรที่มันทำให้เขากลับมาเป็นคุณชายอีกสักครั้งเขายอมทั้งนั้น แค่ดูแลคนใบ้เขาไม่คิดว่าเหนือบ่ากว่าแรงหรอก
ก็ด้วยความกะล่อนปริ้นปร้อนของเขา ยายแพงถึงได้ฝากปลาย่างไว้กับแมว แมวที่มันไม่ชอบกินปลาอย่างเขา แต่ชอบเล่น " เห้ย เองชื่ออะไร ทำไมถึงเป็นบ้าว่ะ ข้าว่านะหน้าอย่างเองนี่เหมาะจะเป็นพวก.....หวะ หน้าตาใช้ได้ แต่บ้า น่าเสียดาย " พอหญิงชราหายลับไปในสวนหลังบ้าน ทศพลก็ถอดหน้ากากเขยผู้แสนดีออก เขาเดินเข้าหาหนุ่มบ้าที่เอาแต่ก้มหน้าไม่สบมอง คำถามที่ไม่ได้กลั่นกรองมาจากจิตใจถากถางเหยียดหยามความผิดปรกติของคนบ้าสิ้นดี กรกฤติเป็นบ้า คำพวกนั้นไม่อาจกระเทาะถึงความรู้สึกโกรธเคืองได้แม้แต่น้อย คนบ้าเงยหน้าขึ้นสบมองก่อนฉีกยิ้มกว้างให้คู่มั่นของตัวเอง ในจิตเบื่องลึกยังคงพินิจพิจราณาใบหน้าคุ้น เขาไม่เคยลืม ทุกครั้งที่เห็นเขาแทบหยุดความบ้าของตัวเองได้ มีไม่บ่อยนักที่หัวใจบอบช้ำจะกำราบโรคบ้าของตัวเองได้ ครั้งนี้อาจเป็นส่วนเล็กที่ทำให้เขาได้สติว่าเขาเป็นเพียงคนแกล้งบ้า ไม่ได้บ้าเพราะจิตใจ
" กูถามมึง ทำไมไม่ตอบ เป็นบ้าแล้วยังเป็นใบ้อีกเหรอ น่าสมเพชหว่ะ " ทศพลใช้มือจับคางเรียวล็อกให้หันมองตัวเขาตรงๆ สายตาหวานคู่นั้นสั่นระริกเหมือนรู้สึกกลัวเขาเห็นมัน ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกลัว เขายิ่งไม่ยอมปล่อย ออกแรงบีบล็อกจนใบหน้าเอ๋อบ้าเหยเก ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะปราณี ในเมื่อคนตรงหน้าร่างกายสมบูรณ์ครบสามสิบสองประการ เสียก็แต่สติ ไม่น่าจะเป็นใบ้เขาแค่อยากรู้ว่ามันจะร้องออกมาแบบไหน นั่นคือความสนุกของเขา
" ปล่อย กรเจ็บ ปล่อย ๆ ๆ กรเจ็บ " ในที่สุดเขาก้ได้ยินเสียงนั่น ไม่ใช่น่าเกลียดอะไร เป้นเสียหวานๆสากๆห้าวแบบชายทั่วไป
" ที่แท้ก้พูดได้ ทำไมมึงไม่กริ๊ดว่ะ หน้าตาอย่างมึงนี่น่าจะกริ๊ดนะ กูบอกมึงแล้วไง ถ้ามึงบอกตั้งแต่แรกก็ไม่เจ็บ มัวแต่ทำบื้อ เลยต้องเจ็บตัว "
" กรเจ็บ กรเจ็บๆๆ " กรกฤติพูดวนๆซ้ำ เขาเจ็บจริงจริง ความเจ็บที่เขาไม่เคยพูดออกมา ตอนนี้เขาพูดมัน เมื่อก่อนมีดบาดเลือดโชกเขายังไม่พูดให้ยายได้รู้ กลับแค่ถูกบีบรดสันกรามทำให้เขาบอกถึงความเจ็บปวดนั่น เขาไม่ได้บ้าจริงๆ ใช่แล้วเขาไม่ได้บ้า แต่คนใจร้ายก้ยังทำเหมือนเขาเป้นคนบ้า มือที่เขากอบกุมใบหน้าตัวเองถูกชายผู้มาเยือนรั้งให้เดินตาม กรรู้สึกหวาดกลัวนิดๆอยู่ภายในใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ยอมปล่อยให้คนรั้งพาตัวขึ้นเรือนไป
" อย่าว่ากูเลวเลยนะ มึงทำให้กูต้องทำแบบนี้ กูบอกตามตรงกุไม่ค่อยถูกโลกกับคนบ้า อยู่ตรงนี้มึงอย่าเอะอะโวยวาย ไม่งั้นกูจะบีบให้คางมึงหักเลยคอยดู " ทศพลพูดขู่ทำท่าทำทางประกอบให้คนบ้าเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ ดูเหมือนว่าจะได้ผล ชายหนุ่มไม่สมสติเงียบกริบไม่พูดโวยวายอย่งที่ควรจะทำ ทั้งที่ทศพลล่ามข้อเท้าเขาไวกับเสากลางบ้าน ที่จริงมันเป้นโซ่ล่ามไอ่ด่างในช่วงติดสัตว์ ยายแพงไม่อยากให้มันหายไปกับหมาอื่น จึงลามมันไว้กับเสาในช่วงกลางคืน ส่วนกลางวันก็ปล่อยมันตามธรรมชาติ ยายแกทำไปเพราะห่วง ไม่ใช่รังแก แต่ทศพลทำทำกับหลานเขายิ่งกว่า ชายหนุ่มล่ามข้อเท้าคนบ้าเสร็จก็เริ่มเสาะหาว่าที่คู่มั่นเขา เขาเชื่อว่าต้องมีอยู่บนบ้านนี้จึงถือวิสาสะผลักประตูทุกบาน เว้นแต่เพียงห้องยายแพงที่ลงกลอนแน่นหนา
เมื่อไม่พบจึงเดินกลับมาที่เดิม เขาที่ไม่ละความพยายามนั่งยองๆมองคนบ้าที่พยายามใช้มือตัวเองแกะโซ่เหล็กกล้าที่ไม่มีแม้แต่ร่องให้งัดจนนิ้วทั้งสองข้าห้อเลือด ทศพลเห็นเข้าถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่าคนบ้าไม่โวยวายจะบ้าสมชื่อ ใครมันจะใช้มือเปล่างัดแงะเหล็กกล้า
" สมกับความบ้าของมึงเลยหวะ เอางี้กูจะเอามันออก ถ้ามึงบอกว่าพี่สาวมึงอยู่ไหน " ทศพลต่อรองด้วยคำถามที่อยากรู้เต็มประดา
" กรเจ็บ ปล่อยกร กรเจ็บ ๆๆๆ " กรไม่ตอบ เอาแต่สายหน้าร้องโอดโอยเหมือนจะร้องไห้ บ่อน้ำตาเอ่อล้นเบ้า ทศพลทนดูความสมเพชของมันไม่ไหวจึงคลายโซ่ออกให้แต่ก็คว้าต้นแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คนบ้าเมื่อมันรู้ว่าอันตรายมันจะหนี มีหรือที่เขาจะปล่อยให้หนี อีกนานที่ยายแก่จะกลับมา ไอ่บ้าต้องเป็นตัวตลกให้เขาหัวเราะได้อีกนานโข
" ไอ่บ้า มึงอย่าขี้แยเหมือนตัวมึงที่อ่อนปวกเปียกได้ป่าว กูหมดความอดทนเมื่อไหร่ อย่าให้กูต้องมัดมือมัดเท้าปิดปากมึง กูบอกมึงแล้วว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่ามาบ้าให้น่ารำคาญ อย่าคิดนะว่ายัยแก่นั่นจะคุ้มกะลาหัวมึงได้ตลอด วันไหนที่กูมาเป็นเขยบ้านหลังนี้ เมื่อนั้นมึงจะต้องระเหดไปอยู่ศูญบำบัดจิตที่ๆมึงควรอยู่ มึงควรเอาอกเอาใจกูไว้เผื่อเวทนาหาคนมาดูแล แทนที่จะส่งมึงไป " มาดเดิมๆนิสัยเดิมๆ เขาไม่เคยเปลี่ยน ไม่มีวันที่คนอย่างทศพลจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอืื่น แม้ว่าสิ่งที่เขาต้องใช้นิสัยดีแลกเปลี่ยนมันมา เขาก็ทำมันแบบหลอกๆ เขากำลังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็น เห็นในสิ่งที่เป็นผลดี เพื่อแค่แลกกับสิ่งที่เขาควรมี ถ้าหากว่ากรกฤติรู้ความ คนจอมอวดอ้างไม่พ้นต้องอำลาตำแหน่งคุณชายตลอดกาล ผิดก็แต่เจ้าของทรัพย์สมบัตรตัวจริงสติไม่สมประกอบ มันจึงเป็นทีของคุณชายวางมาดอย่างทศพลให้ได้เสพสุขอย่างไม่สำนึกคุณ
" กรเจ็บ กรเจ็บ " น้ำตาสีใสคลอเบ้าร่วงหล่นลงอาบสองแก้ม ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องรองไห้ มันเจ็บขนาดนั้นจริงหรอ ก็ไม่ แต่เขาก็ร้องมันออกมา และรู้สึกดีกับมันอย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่เสียน้ำตา ทุกครั้งที่หัวเราะเริงร่า ความสุขมักเกิดกับเขา กรเองก้ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร เขาไม่อยากรับว่าเขาบ้า และแน่นอนนั่นเป็นเหตุให้เขาต้องหาทางไปพบแพทย์บำบัดอีกครั้ง โดยที่ไม่มีใครรู้
" ไอ่บ้า มึงอย่ามาสำออยเป็นตุ๊ดแต๋ว นิดหน่อยทำร้องไห้ กูบอกไว้เลยนะว่าเสียแรงเปล่า กู่ไม่ใช่คนดีอะไร อย่าคิดเองเออเองว่าบีบน้ำตาแล้วกูจะสงสาร สมเพชว่ะ " ทศพลว่าเสียดุ ไม่ฟังที่คนไบ้ร้อง เขาไม่ได้มีจิตใจอ่อนโยนอย่างนั้น แค่คนบ้าจะเอาอะไรกับมันเยอะ เมื่อมันอยากจะร้องก็ให้มัร้องไป ส่วนเขาก็เข้าครัวหาอะไรกิน วันนี้เขาไม่น่าจะกลับไปที่ร้านเพื่อนแล้ว เอาไว้เย็นๆค่อยกลับ "อยู่ที่นี่สบายกว่าต้องไปตากแดดกรำฝนส่งของ" ถ้าความสบายมาให้เลือกมีหรือเขาจะปฏิเสธ วันนี้เขาตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ส่วนเพื่อนมันก็จะโทรมาตามเองและ ถึงตอนนั้นค่อยบอกมัน แต่ตอนนี้ชักเริ่มหิวแล้ว ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้ทานอะไรเลย กะว่าส่งของเสร็จแล้วจะกลับไปทานมื้อเที่ยงเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เห็นทีจะไม่จำเป็นแล้ว เมื่อที่นี่มีพร้อมทุกอย่าง เขาแค่หามันเท่านั้นที่ต้องทำ
ในบ้านหลังนี้ทุกตรางนิ้วอดิตคุณชายสหรักที่กำลังจะหวนคืนสู่ตำแหน่งโดยทำตามข้อแม้ของตระกูล เขาใช้สิทธิ์ว่าที่ลูกเขยตระกูลสังข์แก้ว หยิบจับของทุกอย่างในบ้านโดยไม่ต้องขอความเห็นใคร ห้องครัวของเรือนไม้หลังเก่าก็อยู่บนตัวบ้านเช่นกัน เพียงแค่มันถูกสร้างพื้นที่ให้ลดหลั่นจากตัวบ้านนิดหนึ่ง เมื่อขึ้นบันใดมา ทางที่จะไปห้องครัวคือตัดผ่านตัวบ้านทั้งสองฝั่ง บันใดที่พาดเกยจะเป็นพื้นที่โล่งไม่มีหลังคา เดินไปอีกสี่ห้าก้าวก็จะเข้าถึงตัวบ้าน มีศาลานั่งเล่นตั้งตระหง่านตรงกลาง หากจะไปห้องครัวก็ต้องเดินอ้มเล็กน้อย แต่ทศพลไม่ เขาเดินผ่านศาลานั่นที่ปูด้วยพรมอย่างดี มันดีที่เขาถอดรองเท้า หากไม่ก็จะเห็นรอยชี้ชัดเป็นหลักฐาน พอผ่านศาลามาก็จะเป็นตัวบ้านข้างใน สองฝั่งแยกเป็นห้อง ทิ้งช่องทางเดินให้ลัดผ่าน เดินไปอีกนิดพอให้พ้นตัวบ้าน จะเห็นว่าด้านหลังเป็นชานโล่ง ซ้ายมือจะเป็นครัว ขวามือจะเป็นโตีะวางของ บางทีก็ใช้เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร ตระกูลสังข์แก้วใช้มันบ่อยในวันที่อยู่พร้อมหน้า ตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว โต๊ะนั้นกลายเป็นเพียงโต๊ะธรรมดาที่วางของกองไว้เต็ม คุณชายผู้รากมากดีอย่างทศพลไม่รู้ว่าชานดล่งนั้นเป็นพื้นที่ต่างระดับ สายตามัวแต่สอดส่อง เผลอปล่อยน้ำหนักลงเท้าที่เก้าตามปรกติ กระนั้นทำให้เขาเซถลาไปด้านหน้า อีกไม่กี่นิ้วเสาเรือนตรงข้างหน้าก็จะมาประทับตรีตรารอยบนหน้าผากเขาแล้ว ดีที่มืออีกข้างไว เขายกมือขึ้นบัง ทำให้แรงกระแทกไม่ถึงทีเจ็บ
" โถ่ โว้ยยย บ้านไม่ได้มาตราฐาน พื้นต่างระดับจะสร้างไว้ทำเชี่ยอะไร " ชายหนุ่มที่เกือบจะขมำหน้าทิ่มเสาสบถด่าหยาบ พอๆกับเสียหัวเราะลั่นตามหลัง มันทำให้เขาที่กำลังหัวเสียหันกลับไปมองตาขวาง ไอ่คนบ้ากำลังหัวเราะเขา ความรู้สึกมันบอกอย่างชัดเจนว่ารู้สึกเสียหน้ามากกว่าถูกคนที่ปรกติหัวเราะ การที่ไอ่บ้าไม่รู้ความหัวเราะเขามันเป็นสิ่งอัปยศที่สุดในชีวิต แม้มันจะไม่สามารถไปเล่าให้ใครฟัง แต่สายตาไร้เล่ห์เหลี่ยมนั้นส่อแว้วเย้ยหยันเขาเต็มประดา
" ไอ่ใบ้ มึงแช่งกูใช่ไหม กูแค่ลามโซ่มึงถึงกับแช่งกูเลยหรอ มึงมันอยู่ไปก็รังแต่เป็นเสนียด ไปเถอะว่ะ กูตัดสินใจแล้ว วันที่กูแต่งงาน คือวันที่มึงจะได้ไปอยุู่ศูนย์บำบัดจิต "
คนเป็นบ้าหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองทันทีที่เห็นสายตาดุดันคู่นั้นสบมองมายังเขา ด้วยความเคยชินไม่ว่าสิ่งไหนที่เขากลัว เขาจะขยับถอยห่างทันที ตอนนี้ร่างโปร่งบางสติไม่สมประกอบกำลังร่นถอย สายตาที่เคยใช้มองทางเอาแต่จ้องทศพล เท้าเรียวก้าวถอยหลังไปเรื่อย พอๆกับอีกคนที่เขาต้องการหนีก้าวตามมา
" เห้ยไอ่บ้า มึงบ้ามึงก็ควรรู้สิว่าถ้ามึงถอยหลังไม่มองทางแบบนั้น จุดจบมึงจะเป็นยังไง " ทศพลไม่คิดว่าเขาจะทำให้คนบ้ามันบ้าขึ้นอีก ไอ้บ้าที่เขาด่าทอกำลังเดินถอยหลัง สายตาคู่นั้นดูตื่นกลัวเขาไม่คิดว่าคนบ้ามันจะมีความรู้สึกอ่อนไหวเยี่ยงคนปรกติ ตอนนี้เขาทำมันกลัวและมันกำลังถอยหนี โดยมีหัวบันใดเป็นจุดสิ้นสุด
ทศพลมองอย่างอารมณ์เสีย เมื่อไอ่บ้ามันโง่เต็มประดา เขาที่อยู่ห่างเป็นแปดเก้าเมตรจะให้ก้าวเท้าทันได้ยังไง แต่เขาก็ยังก้าวตามรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีทางทัน ทันทีที่เขาถึงศาลากลางบ้านเป็นเวลาเดียวกันกับอีกร่างหนึ่งลับหายไปจากชานเรือน
ไอ่บ้าตกบันใด คนรับปากจะดูแลถึงกับใจไม่ดี ไม่รู้ว่าร่างบอบบางนั่นจะเป็นยังไง เขาที่รับผิดชอบเต็มประดาถึงกับหน้าเผือดสี ทศพลวิ่งลงบันใดอย่างไม่คิดชีวิตเขาก้าวทีละสองขั้นสามขั้นตามแต่เท้าจะหยั่งถึง สิ่งที่เขาเห็นคือร่างแน่นิ่งอิงซบอยู่ตรงเชิงบันใด คนเป็นต้นเหตุรีบเข้าประคอง มือหนาตบลงบนแก้มใสเบาๆสองสามทีเพื่อเรียกสติคนเป็นบ้าให้ฟื้นขึ้น
" ตื่นสิว่ะ มึงอย่าทำให้กูซวยซ้ำสองนะเว้ย ตื่น ไอ่บ้า กูบอกให้มึงตื่น " ทศพลเรียกเสียงสั่น เขาไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้ ถ้าทำมันตาย พ่อกับแม่ไม่เอาเขาไว้ให้เสื่อมเสียตระกูลแน่ๆ ถ้าเกิดมันตายขึ้นมา เขาจะเป็นคนแรกที่ถูกเป็นเป้า
หมดหนทางแล้วเรียกยังไงก็ไม่ตื่น เขาจำเป็นต้องช้อนอุ้มร่างนั้นขึ้นเรือน ก่อนจะโทรเรียกหมอมาดูอาการ ความจริงเขาไม่มีเงินขนาดเรียกหมอออกบริการนอกพื้นที่หรอก แม่ของเขาที่เขาติดต่อกลับต่างหากที่เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด ยอมรับว่าครั้งแรกคุณหญิงตกใจสุดขีด เธอโทษลูกชายทันทีโดยที่ไม่ต้องฟังอะไร มันจะมีกี่ครั้งที่ทศพลจะไม่ก่อเรื่อง
ความจริงแม่ของเขาก็พูดถูกว่าเป็นเพราะเขา แต่เขาหรือจะยอมรับ ในใจคอยย้ำอยู่เสมอว่ามันเป็นความโง่ของคนบ้า ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ เขาไม่ได้ทำอะไรมันเลยแม้แต่น้อย มันเป็นความซวยของมันเองต่างหาก เขาจะไปรู้อะไร แต่ในเมื่อแม่พูดกับเขาแบบนั้น บทลูกที่แสนดีก็ยอมรับอย่างง่ายดาย อาจมีการเปลี่ยนเนื้อหาบ้างบางตอน อย่างที่เขาใช้สายตาดุมองคนบ้า เขาบอกแก่ผู้เป็นแม่ว่าหยอกเล่นกับน้อง น้องพลาดตกบันใด เขารับไว้ไม่ทัน รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างที่สุด คำโป้ปดมดเท็จทั้งนั้นที่เขาเล่า ไร้ซึ่งมูลความจริงที่มีเพียงเขากับคนบ้าที่รู้ บางทีอาจรู้แค่เขา คนเป็นบ้าหรือจะมีสติมารับรู้ ถึงรู้มันจะมีปัญญาไปฟ้องอะไรได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ