บ้าใบ้ใจบำเรอ
เขียนโดย closename
วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.09 น.
แก้ไขเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 20.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บ้าใบ้ใจบำเรอ - 2 ด้านหนึ่งคือคนบ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความด้านหนึ่งคือคนบ้า
" ยาย จะหาพี่ จะหาพี่ " เสียงเจื่อยแจ้วตามภาษาเด็กน้อยที่ติดพี่ มันไม่ใช่อย่างที่คิด นั่นมันเป็นอาการทางประสาทของหลานเธอ ไม่รู้ว่าเวรซ้ำหรือกำซัด มีพ่อก็มาตายจาก มีแม่ก็หายลับเข้ากลีบเมฆ ทิ้งเด็กชายพิการทางจิตให้เขาเลี้ยง ไม่เคยรู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ลูกเขยจากเธอไป หลานชายก็มีสภาพเหมือนทุกวันนี้
" กรเอ้ย..... เองมันช่างไม่รู้อะไร บางทีข้าก็อยากเป็นเองที่ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวพวกนี้ นี่ถ้าหากฝ่ายนั้นรู้ว่าคนที่สามารถฟ้องพวกเขาได้คือเจ้าเพียงคนเดียวหละก็ ยายก็มิอาจปกป้องสิทธิที่หลานมีหรอนะ ไม่รู้ว่าข้าจะอ้างสิทธิ์จอมปลอมนั้นต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ไม่เร็วก็ช้าพวกนั้นต้องรู้ หากไม่ติดที่พินัยกรรมข้าจะปฏิเสธให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย คนอย่างข้าฆ่าได้แต่หยามไม่ได้หวะ " หญิงวัยชรานั่งพล่ำเพ้ออยู่กับหลานชายในห้อง คนเป็นหลานไม่รู้ว่าเข้าใจที่เธอพูดไหม แต่ก็คลานมาสวมกอดเธออย่างปลอบประโลม
" ยายจ๋า ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง เดี๋ยวแมงมุมมันจะมากินน้ำตา " นั่นเป้นสิ่งที่เธอเคยหยอกหลานชายยามร้องไห้ มาคราวนี้ แม้เธอจะไม่ร้อง แต่หลานชายกับปลอบเธอแบบนั้น ทำให้หยาดน้ำใสๆไม่รู้ที่มาไหลบ่าอาบสองแก้ม สองมือหยาบกร้านอ้าแขนกอดรัดหลานชายอย่างเอ็นดู คนเป็นหลานเมื่อรู้ว่าหญิงชราร้องไห้ เสียงแผดร้องจ้าอย่างเด็กกลบเสียงสะอึ้นคนแก่ไปจนมิด ทำให้หญิงชราต้องเป็นฝ่ายปลอบประโลมหลานชายกลับให้หยุดร้อง เธอคงทำให้หลานรู้สึกไม่ดี กรถึงได้ร้องไห้เสียงดังขนาดนี้
" อย่าร้องๆ ลูก กรอย่าร้องๆ ยายอยู่ตรงนี้ จะไม่มีใครมาทำอะไรเองได้ ยายสัญญา หยุดร้องเถอะนะ " เธอปลอบแบบนี้ซ้ำๆยามที่กรกฤติร้องให้ มันไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้ว ครั้งหนึ่งที่ลูกเขยเธอตาย หลานชายร้องให้เอาเป็นเอาตายอยู่ในห้องคนเดียว เธอพยายามกว่าครึ่งค่อนวันกว่าที่หลานรักจะหยุดร้องให้ เธอคิดเอาเองว่ากรกฤติคงติดนิสัยมาจากตอนนั้น ทำให้เธอต้องปลอบแบบนี้ทุกครั้งยามหลานชายร้องไห้
" ยายก็อย่าร้องนะ เดี๋ยวแมงมุมมันจะมา กรกลัวแมงมุม " เสียงใสเคล้าสะอึ้นบอกกับยายผู้เป็นที่รัก สำหรับกรกฤติแล้วคนอื่นมองอาจว่าเขาบ้า คนเป็นยายก็เข้าใจตามนั้น ใครจะรู้ถึงเบื่องลึกจิตรใจเขา มันจะมีอะไรมากกว่าการทำสิ่งที่พ่อบอกไว้ก่อนตายให้สำเร็จ ในวันนั้นก่อนท่านจะสิ้นใจเขาไม่เคยลืม เพราะสิ่งนั้นทำให้ตระกูลเขาพินาศย่อยยับ เขาไม่มีวันปล่อยเรื่องให้มันจบ ต่อให้ต้องเป็นคนบ้าจนตาย หากยังหาตัวการไม่เจอ เขาจะขอปฏิเสธการเป็นมนุษย์ปรกติทั่วไปตลอดชีวิต
" จ้ะๆ ยายไม่ร้องแล้ว หลานก็อย่าร้องนะ เดี๋ยวยายพาไปตลาด เราจะไปซื้อชุดสวยๆกัน " เมื่อรู้ว่าต้องทำอะไรต่อ คนเป็นยายฉุกคิดได้ว่า หากหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเศร้าโศกจะพลอยให้หลานรักจมปลักอยู่กับโรคประสาท เขาควรพาไปผ่อนคลาย และที่ๆดีที่สุดเห็นจะไม่พ้นตลาดปากคลอง ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งไอ่หลานรักมันก็ไม่เคยเบื่อ แถมดูจะเข้ากันกับพ่อค้าแม่ค้าที่นั่นอีดต่างหาก ไม่นับรวมกับแม่ค้าขายดอกไม้พวงมาลัยตรงหัวมุมเลี้ยวเข้าตลาดที่หลานกรติดจนงอม นั่นก็เพราะเธอให้ดอกไม้ทัดหูกับคนสติไม่สมบูรณ์เสมอที่พบเจอ เธอจิตใจดี เห้นกรเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง แม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตาม กรก็ยังได้รับความเมตตาจากเธอเสมอ แค่เห็นเขารักเอ็นดู หัวใจคนเป็นยายก็ชื่นแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะเห็นความน่าสงสารของคนบ้า พอรู้ว่าบ้าก็มักจะถูกเอาเปรียบ เขาคนหนึ่งที่จะไม่ยอมให้หลานชายถูกใครเอาเรียบ แม้จะเป็นบ้า แต่ในกายไม่สมสติก็ยังมีเลือดเนื้อหล่อเลี้ยง ไม่มีทางที่เขาจะทอดทิ้ง ยิ่งเป็นสายเลือดตระกูลเขาซ้ำแล้วใหญ่
" ไป ไป ยาย ไป ไปไป " วงหน้าหวานหยดเกลี้ยงเกลาพยักหน้ารัวเป็นเชิงเห็นด้วย สายเลือดตระกูลสังข์แก้วแม้จะไม่สมสติ แต่ผู้เป็นยายไม่เคยปล่อยให้คนประสาทมอมแมม กรกฤติยังคงน่ามองสำหรับใครหลายๆคน ไม่เฉพาะคนที่ไม่รู้ว่าเป็นบ้า จะมีใครสักกี่คนที่เป็นคนบ้าโชคดีอย่างเขา บ้าแต่ก็ถูกปฏิบัติอย่างทัดเทียมผิดกับคนบ้าจริงๆ ไม่เคยได้รับการเหลียวแล พ่อแม่แม้จะรักแทบขาดใจ สุดท้ายก็จำใจปล่อยศูนย์บำบัด หากคุณยายทำกับเขาเช่นนั้น วันนี้เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนบ้าจริงๆ
สองยายหลานพาตัวออกจากเย่าเรือนยามบ่ายแก่ๆ คนเป็นยายยังคงนุ่งจงกระเบนกับเสื้อคอกระเช้าตามสมัยของแก ส่วนหลานชายสวมชุดมิดชิด สวมหมวกสานสีคลิมทัดดอกไม้พลาสติก มันเป็นหมวกปีกบานและปีกของมันก็ช่วยอำพลางไม่ให้แสงแดดส่องถึงผิวนวล กรกฤติเป็นคนที่แพ้แสงแดดเข้ม ยามที่ผิวสัมผัดกับมันจะทำให้รู้สึกแสบเคืองไปจนผิวไหม้แดง ตอนเด็กคนเป็นยายฝนดินสอพองพอกให้อยู่เสมอ พอโตมาคนเลียงดูจึงหาทางเลี่ยงไม่ให้หลานชายถูกแสงแดดเข้ม เขาจึงจำต้องพึ่งหมวกใบโปรดของยายสมัยที่ยายยังสาวๆ
" กรเอ้ย เดินเร็วๆหน่อยลูก เดี๋ยวจะไปไม่ทันดอกสวยๆนะ " ใบหน้าเหี่ยวย่นไปตามสังขารหันไปเร่งรัดหลานที่เดินกินลมชมวิวแวะเก็บดอกไม้ใบไม้ข้างถนนเป็นกอบเป็นกรรม มันไม่ใช่ที่คนปรกติเขาทำกัน ดอกไม้กิ่งไม้ถูกมือบางกอบโกยเต็มแผงอก คนเป็นยายก็ไม่คิดห้าม หากมันเป็นความสุขของหลานเธอ เธอจะไม่ทำลายมัน กรกฤติเป็นเชนนั้นเธอยอมรับมานานแล้ว ให้มันได้สุขในโลกของมันเถอะ อย่างน้อยมันก้ยิ้มได้ หัวเราะเป็นยามจากโลกนี้ไปเขาจะได้ไม่ห่วงหามากนัก
" ยาย... ฮื่อออ.... " เสียงเรียกรั้งคนแก่ที่กำลังเดินเนิบๆคิดอะไรเพลินๆให้หันมา เสียงของหลานรักมันสั่นพล่าพร้อมกับหยาดน้ำใสคลอเบ้าตา คนเป็นยายเห็นดังนั้นก็รีบย่ำเข้ามาหา สายตาพร่าสำรวจทั่วตัวหลานชาย กลัวว่าจะเป็นอะไร เพราะคนบ้าไม่บอกอะไรนอกจากส่งเสียงร้อง ขณะเจ็บยังไม่รู้ว่าจะบอกยังไง ได้แต่ส่งเสียงร้องสะอึ้นไห้ออกมา กายบางกอบกุมกิ่งไม้ใบไม้แน่น สองขากระโดนเหย่งไปมา คนเป็นยายเห็นดังนั้นเหลือบสายตาก้มมองไปยังเท้าที่ทาบอยู่บนอีแตะคีบสายสีฟ้า เธอพอรู้สาเหตุแล้วว่าหลานช้ายร้องเพราะอะไร บนเท้ามีเม็ดแดงผื่นบวมเป่งสองสามตุ่ม สาเหตุมาจากมดตัวกระจิ๊ตสีแดงที่เกลือนตรงพื้นกัด สงสัยตอนที่หลานชายหยิบเก็บใบไม้ คงไปโดนรังมันเข้าให้
" กรเอ้ย เองโตแล้วนะ ยายบอกกี่ครั้งแล้วว่าถ้าเห็นมันให้ถอยห่าง เองก็ยังปั้นเจ่อให้มันไต่ขึ้นมากัด เมื่อไหร่จะช่วยเหลือตัวเองได้ หากยัยแก่คนนี้ตายไปเองจะอยู่ยังไง " ปากก็พร่ำบ่น สองมือก็ก้มปัดมดลงจากเท้านวล พร้อมกับหยิบตลับสีส้มเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อหน้าอก เธอใช้มือป้ายออกมานิดนึ่ง ก่อนคลึงลงตรงผื่นบวมแดงของเท้าหลาน ในขณะที่คนไม่สมสติยังคงกระซิกสะอึ้น
กรกฤติไม่ได้กำลังสร้างความลำบากให้ยาย หรือสร้างบาปหนัก แต่บางทีเขาก็ไม่สามารถควบคุมจิตใจเขาได้จริงๆ รู้อยู่ว่าเป็นมด เขาก็ยังไม่สามารถสั่งกายให้ถอยห่าง เบื่องลึกร้องเตือนถึงอันตราย แต่ความเคยชินที่ฝังติดคิดว่าตนบ้าจริงๆ ทำให้เขาเป็นแบบนั้นโดยปริยาย เขารู้มาจากแพทย์เมื่อคุณยายพาเขาไปพบจิตเวช หมอบอกว่าบางครั้งโรค คนเราไม่ได้เป็นมันจริงๆ แต่เมื่อจิตสั่งให้เป็น คนไข้คนนั้นก็จะเป็น สำหรับเคสของกรแพทย์ยังไม่สรุปว่าเป็นเพราะจิตสั่งหรืออะไร เพราะความทรงจำอันโหดร้ายมีส่วนในโรคประสาทของคนไข้รายนี้เป็นทุนเดิม
" ไป ไป รีบๆ เดี๋ยวจะไม่ทัน " สองขาลุกขึ้นชันเขา คนเป็นหลานยื่นมือพยุงตามเคยชิน บางครั้งการกระทำเล็กๆน้อยๆก็ทำให้ผู้ใหญ่คิดไปไกลว่าหลานชายปรกติ แต่มันคงเป็นแค่ฝันเท่านั้น เพราะหลังจากที่ประคองจนสองเท้ายืนมั่น หลานชายก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม สองขาที่พึ่งโดนมดกันออกวิ่งกระโดดโลดเต้น บางทีก็รำบางทีก็กางมือออกบิบปากพ่นลมให้ริมฝีปากสั่นจนได้เสียงเหมือนเครื่องบินพากายวิ่งถลาไปตามทางเดิน คนเป็นยายได้แต่ส่ายหน้า ดึงความคิดอยุูกับปัจจุบันที่หลานชายเธอเป็น
" เห็นทียัยแก่คนนี้จะหมดหวังได้เห็นเองเป็นเหมือนคนทั่วไปแล้วหละ ข้าควรจะตัดใจเลิกคิดจริงๆใช่ไหม" คนเป็นยายคิด เห็นแผ่นหลังหลานชายกระเพื่อมไหวอยู่ด้านหน้า ไม่กี่วันหลานของเขาก็จะอายุครบ ยี่สิบห้า เขาหวังอย่างยิ่งว่าเวลาจะนำพาความปรกติกลับมา กรไม่ได้เป็นบ้าแต่กำเนิด แต่เป็นเพราะความสะเทือนใจที่พ่อเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุครั้งเมื่อเขายังเด็กอยู่ นี่ก็ผ่านมาไม่รู้กี่ปีแล้ว หลานรักยังคงไม่มีวี่แววจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ร่างบางที่เดินนำหน้าถึงตลาดก่อน เขาเห็นที่คุ้นเคยจึงวิ่งเข้าหา ใบหน้ายิ้มแย้ม แม้จะยังมีคราบน้ำตาแห้งกรังติดอยู่ คนขายก็ไม่คิดไถถาม เพรารู้ดีว่าหนุ่มพิเศษคนนี้ไม่เหมือนบุคคลทั่วไป อาจมีเศร้า มีหัวเราะ มีร้องไห้ หลายๆอย่างในวันเดียวกัน เธอทั้งเอ็นดูและเวทนา เธอจึงอยากช่วยให้หนุ่มน้อยมีความสุข มือเรียวอวบอิ่มลงมือปริดดอกสีเหลืองอ๋อยออกจากก้านส่งให้ อีกดอกเธอก็จับทัดบนหูให้อย่างใจดี เธอทำมันเสร็จพอๆกับผู้เป็นยายเดินมาถึง
" อีแป้นเอ้ย ของซื้อของขายไม่ต้องเอาให้มันทุกครั้งไปก็ได้ มันจะติดเป็นนิสัย เองก็รู้ว่าไอ่กรมันไม่สมสติ เองก็ให้ท้ายมันจัง สองวันก่อนข้าไม่ว่างพามันมา มันก็พูดแต่ดอกไม้ทั้งวัน จนข้านี่ต้องแจ้นลงมาเด็ดดอกพุทธซ้อนให้มัน แทนที่มันจะดีใจ กลับส่ายหน้าไม่รับ " ได้ที คนเป็นยายก็เล่าถึงพฤติกรรมหลานชายให้คนขายดอกไม้ฟัง เพราะเชื่อว่าเธอก็อยากรู้ความเป็นไปของกรกฤติเหมือนกัน มันน่าใจชื่นไหมหละที่มีคนรักมัน
" ย่ายจ๋า ไอ่ของที่ฉันขายเนี่ย ใช่ว่าจะขายหมด เก็บนานก็ไม่ได้ สู้ให้เจ้ากรมันไม่ดีกว่าเหรอ ฉันเองก็อยากเห็นมันยิ้มนะยาย ยายก็อย่าดุมันนักเลย ฉันเต็มใจจ่ะ " หญิงสาวชื่อแป้นยิ้มตาหยีอย่างมีสุขยามได้ให้ความเอ็นดูแก่หลานยายแพงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคลอง ทุกวันเธอจะเห็นภาพความรักอันอบอุ่นของยายหลานคู่นี้ เธอเห็นแบบนี้มาเป็นสิบๆปี และดูจะชื่นชอบเด็กน้อยชื่อกรเอามากๆ กรไม่ได้มีนิสัยเกเรก้าวร้าวใส่อารมณ์เหมือนคนบ้าทั่วไป ที่ถึงกับลงชักดิ้นชักงอตามพื้นยามไม่ได้ดั่งใจ เธอทั้งรักและเอ็นดู ทุกครั้งที่เห็นเธอจะยื่นดอกไม้ให้ เพราะรู้ว่าหนุุ่มน้อยชอบมัน เธอไม่เสียดายแม้แต่น้อย การได้เห็นคนน่าเวทนายิ้มได้ มันทำให้หัวใจพองโต พอๆกับการเข้าวัดทำบุญ
" เอ่อ ข้าก็ไม่ได้ห้ามอะไร แต่ให้มันน้อยน้อยหน่อย ข้าเห็นแล้วปวดหัว ดูสิ พอได้ดอกไม้หละก็ฟ้อนๆร่ำๆอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็มีหกล้ม "
" ยายก็ กรมันมีความสุขก็ปล่อยมันเถอะจ่ะ ดีกว่ามันนั่งหัวเราะลมแล้งๆ แบบนั้นเข้าขั้นหนักนะยาย " หยิงสาวมองร่างสูงโปร่งร่ายร่ำไปตามภาษาคนเป็นบ้า ก็ให้เอ็นดู รีบห้ามคนเป็นยายไม่ให้ห้ามปรามการเล่นของหนุ่มไม่สมสติ กรเองเมื่อไม่มีใครเรียกรั้งก้ยังคงร่ายรำอย่างมีความสุข จิตใจเขากำลังสับสน ทำไมยิ่งรำยิ่งสนุก ทำไมเขาไม่อาย ทำไมเขาไม่อยากหยุด หรือเขาจะเป็นบ้าจริงๆ
ร่างโปร่งบางร่ายร่ำมั่วซั่วไร้แบบแผนอยู่บริเวรร้านขายดอกไม้ ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมามองอย่างไม่เคยเห็น คนที่รู้อยู่แล้วก็ยืนตบมือให้จังหวะ แต่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็น ผ่านมาก็อยากรู้ พอยืนดูก็ชักสีหน้าเหยียดหยาม โดยเฉพาะชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทสวมแว่นดำ น้อยนักที่คนแต่งตัวมีภูมิฐานจะมาเดินตลาดแบบนี้
นับว่าเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาพอๆกับคนบ้าเหมือนกัน พอถูกมองมากๆก็เหยียดปากมองคนบ้าอย่างเหยียดหยาม สำหรับตัวเขาไม่ใช่แค่ไอ่บ้าไม่สมประกอบ แต่เหยียดไปถึงรสนิยมการแต่งตัวของชาวบ้านจนๆ หากไม่ถึงคราวอับ เขาไม่มีวันย่างกรายเข้ามาแถวนี้เด็ดขาด มันติดที่พ่อเขาสั่งอาญัติบัตรเครดิตทุกใบ ในกระเป๋ามีเศษเงินเพียงน้อยนิด เพราะเขาใช้มันกับร้านอาหารดังย่านกลางเมืองเมื่อช่วงเช้า ทำให้เย็นนี้เขาต้องบากหน้ามาหาเพื่อนเก่าที่เป็นเจ้าของที่ที่นี่ ไม่งั้นเขาอาจไม่มีข้าวตกถึงท้องแม้แต่เม็ดเดียว และนั่นทำให้เขารู้ซึ้งถึงนิสัยเพื่อนวัยเรียนด้วยกันที่เมืองนอก พอตกกระป๋องหน่อยก็ทำเป็นไม่รู้จัก อย่าให้ถึงทีเขา แม้งจะเอาให้จมดินเลย ใครที่มันทำเลวกับเขาไว้ จะคิดยอดทบต้นทบดอกในภายหลัง
สองขารีบย่ำผ่านตลาดที่ชื้นแฉะ เขาจำเป้นต้องตัดผ่านกลางตลาด เพราะบ้านเพื่อนเขาดันอยู่ด้านหลังพอดี ผู้ดีตินแดงอย่างเขาถึงกับเดินเหย่งด้วยความหยะแหยง ในสายตาพ่อค้าแม่ค้าแอบมองเขาอย่างหมั่นใส้ในความเป็นผู้ดี ถ้ามันเป็นผู้ดีจริงไม่มาเดินตลาดแบบนี้ให้เสียเกียรติหรอก มันคงเป็นผู้ดีตกอับถึงได้ลดตัวลงกลั้วกับชนชั้นแรงงานอย่างพวกเขา
ทศพลรู้ว่าถูกมองแบบนั้น เขาไม่คิดมองตอบกลับสายตาดูถูกพวกนั้น รอวันที่เขาได้เงินคืนจะกว้านซื้อที่ทิ้งให้หมด ให้มันไปรู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร เมื่อนั้นพวกมันคงต้องวิงวอนน้ำตาร่วง เสียใจเขาเป็นพวกแค้นฝังหุ่น ไม่มีวันที่จะลืมความอัปยศในครั้งนี้เป็นแน่
>........................................................................................................................................................................................<
เขาเดินกึ่งวิ่งเมื่อเห็นว่าภาพด้านหน้าคือเพื่อนเก่าวัยมัธยม แม้จะดูโตเป็นผู้ใหญ่เคล้าโครงหน้าตาก็ยังไม่เปลี่ยนมาก มันไม่ยากที่ทศพลจะหวนคิดจดจำ สองเท้าลัดเลาะผ่านแผงร้านค้าต่างๆจนออกสู่ถนนที่ว่างเปล่า เบื่องหน้าคือตึกคูหาที่แบ่งเป็นล๊อคๆ ถนนตัดผ่านหน้าพอให้รถวิ่งผ่านได้ ล็อคข้างๆกันถูกจับจองจนเต็มบ้างก็ขายอาหารตามสั่งบ้างก็ขายจำพวกเส้นโดยเฉพาะ กายแกร่งรีบย่ำเข้าหาคูหาช่องที่เขาคุ้นตา และก็ได้พบกับเพื่อนเก่าที่ผันตัวมาเป็นเฒ่าแก่ขายเข้าแกงสืบทอดธุรกิจตระกูล
" เอ้าเห้ย ไปไงมาไงวะ คุณชายอย่างมึงมาถึงที่นี่ได้ เอานั่งๆ... " ไม่ใช่แค่ทศพลที่จำเขา เพื่อนเกลออย่างเขาก็จำได้ ลูกเศษฐีที่รวยชั่วข้ามคืน ไม่น่าเชื่อว่าจะมาหาเขาถึงบ้าน สมัยเรียนชวนมาแค่ครั้งเดียว บอกว่าไม่ชอบบรรยากาศ หลังจากนั้นก็ไม่มาอีกเป็นครั้งที่สอง จะพบเจอกันก็ผ่านห้างดังๆ ไม่อย่างนั้นก็คอนโดเจ้าตัว มาวันนี้เขาถึงแปลกใจไงว่า ผู้รากมากดีอย่างทศพลมาด้วยจุดประสงค์ใด
" หุบปากมึงไปเลย กูมาเพราะมีเรื่องให้ช่วยหรอก ตอนนี้กูขอชิมฝีมือมึงก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง " ใบหน้าสากหนวดไม่คิดจะตอบพอนึกถึงเรื่องนั้นก็ยังโกรธพ่อไม่หาย เพราะคนที่อยากได้เขาคนนั้นคนเดียวที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ ผู้ชายในโลกมีตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเขามันจะซวยอะไรขนาดนี้ ถูกมั่นหมายแต่ยังไม่เกิด ไม่รู้ผู้ใหญ่คิดอะไร หากคนที่มั่นหมายเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์พิกงพิกาล ยังจะพอใจกับลูกสะใภ้อยู่ไหม สมัยนี้มันหมดการคุมถูงชนหรือพวกมั่นหมายในท้องแล้ว สิทธิ์เลือกควรเป็นตัวเขาเอง แต่จะให้เขากลืนศักดิ์ศรีแล้วยอมรับการแต่งงานคงเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็จะสู้กับพ่อสักตั้ง คงไม่มีใครเห็นบ้านอื่นดีกว่าบ้านตัวเองหรอก
" ที่บ้านกูไม่มีหูฉลามน้ำแดงนะเว้ย มึงจะกินลงหรอ " เพื่อนเก่าติดจะขี้เล่นหน่อยๆ แต่ก็รู้กาละเทสะว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนไม่ควรพูด เขาว่าเวลานี้เหมาะสุดกับคุณชายผู้ดีตกกระป๋องอย่างไอ่พลมัน
" มึงไม่ต้องพูดมาก มีอะไรก็เอามา กูแดกได้ไม่ได้มันก็ปากกูป่าววะ เร็วๆ " ทศพลเริ่มหัวเสีย ความหิวที่ก่อป่อนขึ้นยามได้กลิ่นข้าวปลาอาหาร แต่ไอ่เพื่อนขี้เล่นกลับลีลา ถึงจะต้องให้เขาขยั้นให้รีบทำ
ระหว่างที่รอข้าวมาเสริฟ ดวงตาคมมองออกไปยังท้องถนนว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย เขากำลังคิดถึงคนบ้ามุมทางเข้าตลาด ดวงตาคู่นั้นมันคุ้นๆเหมือนเคยเห็น ยิ่งคิดยิ่งคุ้นตา แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยพบเห็นที่ไหน ดวงตาคู่นั้นดูมีสุข ทาบทับกับความโศกเศร้า หรือเป็นเพราะเขาเวทนาจึงเห็นเป็นเช่นนั้น
" ฟ้า ๆ เสริฟน้ำโต๊ะ 7 ให้พี่หน่อย เพื่อนพี่เอาน้ำสิงห์นะ มันไม่กินน้ำเหยือก " เจ้าของร้าน ที่พ่วงเป็นเจ้าของตลาดปากคลองเรียกหญิงสาวคู่ชีวิตเสริฟน้ำให้เพื่อน แถมรู้ด้วยว่าไอ่เพื่อนผู้ดีตินแดงมันไม่ดื่มน้ำเหยือกที่เทศบาลนครเขากลั่นมาให้ คนอย่างทศพลกินแต่น้ำแร่ตามโฆษณา ที่ร้านเขาไม่มีหรอกแบบนั้น
พ่อได้ยินเพื่อนเรียกชื่อหญิงสาว คนที่จากกันนานก็คิดอยากรู้ ปากเลยเอ่ยถามทันควันกับสิ่งที่สงสัย
" เห้ย ไอ่วิน ไม่เจอกันไม่กี่สิบปี มึงมีเมียแล้วหรอว่ะ " ทศพลพูอย่างกับในโลกนี้เขาหาเมียได้แค่คนเดียว จึงประหม่าเพื่อนเก่าอย่างมาวิน ไม่คิดว่าเพื่อนเขาจะมีวันนี้มีทั้งที่ดิน บ้าน ร้านและภรรยา มีแต่เขาที่มีพร้อมทุกอย่าง ภรรยาก็มี แต่ตระกูลไม่ยอมรับ เขาจำต้องเล่นสงครามเย็นกับพ่อเพื่อให้เธอได้เป็นสะใภ้สหรักขึ้นมา เกมส์นี้เขาจะแพ้ไม่ได้
" ไม่ใช่แค่เมียนะโว้ย ลูกกูก็มี ตอนนี้เรียนอยู่ปฐม 1 ไว้กลับมามึงก็จะได้เห็นเอง " ยิ่งเพื่อนเอ่ยอ้างมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกแพ้ประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพูดถึงลูกเขาไม่เคยฝันอยากจะมี แต่พอรู้ว่าเพื่อนๆต่างมีครอบครัว ความรู้สึกข้างในก็เริ่มโหยหา กลับไปคราวนี้ แฟนรักที่บินกลับมาไทยด้วยจะต้องทำหน้าที่นี้ให้เขา ถ้าเป็นเช่นนั้น พ่อกับแม่ก็อาจจะไม่คัดค้าน เพราะยังไงตระกูลก็ต้องมีทายาทสืบทอด
ทศพลคิดตรึกตรองถึงความเป็นไปได้ระหว่างรอ และเขาก็ต้องหยุดคิดเมื่อเพื่อนยกกับข้าวมาให้ กลิ่นหอมยั่วยวนชวนชิม ภายในท้องหลั่งน้ำย่อยจนแสบทั่ว เขาควรรีบทาน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นโรคกระเพาะได้
" ตกลงมึงมีเรื่องอะไรถึงมาหากูถึงบ้าน " มาวินที่ถอดเอี้ยมกันเปื้อนออก ยกจานข้าวมาให้ อีกอย่างที่ทศพลไมชอบคือเอี้ยมสีซีดเปรอะคราบน้ำมัน เขาว่ามันเหม็นและดูสกปรก ใครอย่าใส่มายืนคุยกับมันเชียวหละ
" กูมีเรื่องจะให้มึงช่วยหวะ แต่ก่อนอื่นกูขอถามอะไรมึงสักอย่างสิ " ทศพลเปิดเรื่องที่น่าสงสัยของตนก่อนอันดับแรก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนอยากรู้อยากเห็นแบบนี้มาก่อน แต่ถ้าไม่รู้คงนอนไม่หลับ เพราะมันคอยตะหงิดในใจ คิดว่าเมื่อเขารู้แล้วอาการมันจะหายไป นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจถามมาวิน
เฒ่าแก่น้อยมาวินที่ได้ยินคำถามก็ให้รู้สึกยิ่งแปลกใจ ทำไมเพื่อนเขาถึงถามเรื่องไร้สาระแบบนั้น ในย่านนี้ใครๆก็รู้ว่าเรื่องนี้มันไม่มีอะไรน่าให้คิด ก็เป็นเรื่องปรกกติของคนที่นี่ ไม่คิดว่าเพื่อนเศษฐีอย่างเขาจะมาอยากรู้
" กูไม่รู้ว่ามึงอยากรู้ไปทำไม แต่กูขอเตือนไว้ก่อน นั่นมันหลานยายแพงฝั่งตรงข้ามคลอง อย่าไปอะไรกับพวกเขานะเว้ย อย่าหาว่าข้าไม่เตือน "
" มึงไม่ต้องมาเตือน หน้าอย่างกูเนี่ยนะจะไปยุ่งกับคนบ้าแบบนั้น ที่กูถามกูแค่อยากรู้ว่าตลาดมึงให้คนไม่สมประกอบแบบนั้นมาบ้าอยู่หน้าตลาดทำไม แต่ถ้ามึงไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรก็แค่เรื่องไร้สาระ เข้าเรื่องของกูเลยดัีกว่า "กายแกร่งไม่คิดอยากรู้อีกแล้ว เมื่อคิดว่ามันก็ไม่ใช่เกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย ความอยากรู้จึงหยุดลง แต่ไอ่เพื่อนมันเสือกนั่งเล่า เขาก็แค่นั่งทานข้าวไป ไม่คิดฟัง เพียงแต่มันเข้าเต็มสองรูหู ก็ไม่อยากจะรู้หรอก
" เดี๋ยวนะ มึงเอาตาลูกไหนดูว่ะว่าน่ารัก กูว่ามึงไปเช็คสายตาเหอะหวะ คนบ้าก็คือคนบ้า บ้าแบบไร้ภาพลักษณ์ ไม่มีทางที่จะดูดีหรอก " หลังจากทีเพื่อนเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของคนบ้าที่เขาเห็นตรงมุมตลาด เขาก็ค้านทันทีที่เพื่อนให้ความเห็นว่าน่ารัก แถมดูไปดูมาไม่เหมือนคนบ้าเลย แต่ที่เขาเห็นผ่านมาเมื่อครู่ นั่นมันคนเสียสติชัดๆ ยังไงก็เป็นคนบ้า คนปรกติที่ไหนเอาดอกทัดหูแล้วเต้นรำไปทั่ว
" ก็กูบอกแล้วไงว่ามันไม่มีสาระ ที่ว่าดูน่ารัก ก็น้องคนนั้นน่ารักจริงๆ ยามยิ้มโลกนี้ก็แทบเปลี่ยน เสียก็แต่เขาสติไม่สมประกอบ กูว่ามึงมีเรื่องอะไรก็ว่ามา กูไม่อยากพูดให้มากความ เกิดมีใครคาบข่าวไปฟ้องยายแพงหละก็ พ่อคุณเอ้ยยยย ฝันร้ายแน่มึง " เรื่องที่เขาเตือนไม่ใช่เรื่องโกหก หากยายแพงรู้ว่าใครดูถูกหลานเธอ เย็นวันนั้นแกจะมายืนเทศจนคนผิดแทบแทรกแผ่นดินหนี จะพูดว่าหลานแกบ้า หลานแกเสียสติ ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นความจริง แต่ถ้าดูถูกหรือพูดในเชิงให้หลานแกเสื่อมเสียแกก็ไม่ยอมเหมือนกัน เรื่องนี้เคยมีประวัติมาแล้ว ตอนนั้นคนที่พูดถึงกับต้องไปขอขมาถึงบ้านแก เพราะแกใช้วาทะโวหารขนานแท้พูดจนคนนั้นระอาแก่คำดูถูกที่ตัวเองพูดออกไป แต่ถ้าถามว่าแกมีอิทธิพลไหม เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ รู้เพียงว่ายามใดที่แกมีคดีตำรวจไม่สามารถเอาผิดแกได้แม้แต่ครั้งเดียว นั่นจึงทำให้คนที่รู้ถึงกับไม่อยากมีเรื่องกับแก สิ่งที่อยากพูดก็เก็บงำเอาไว้ อย่างเรื่องหลานของแก คนที่นี่ไม่ค่อยมีใครฟื้นฝอยหาตะเข็บสักเท่าไหร่
" พอๆ กูบอกไม่อยากรู้ ตอนนี้มึงแค่ช่วยกูก็พอ " มือหนายกขึ้นห้ามเรื่องไร้สาระที่มาวินพูดให้ฟัง เขาไม่อยากรู้ จะน่ารักน่าชักตอนนี้ไม่ได้ช่วยให้เขาอิ่มท้องได้ เขาต้องการเงินทุนไปหมุนธุระกิจเล็กๆ เมื่อพ่อผู้บังเกิดเกล้าปิดเส้นทางนำเงินออกจากธนาคารทุกหนแห่ง เขาจำต้องหางานทำเอง จะให้ไปเป็นลูกน้องใครก็กะไรอยู่ เขาควรมีกิจการเป็นของตัวเองถึงจะควร ที่เขาต้องมีอันดับแรกคือต้นทุนตั้งกิจการ จึงดั้นด้นมาหาเพื่อนที่นึกถึง
" เท่าไหร่ "มาวินถาม
" สิบล้าน " คนขอกู้ตอบตามจำนวนที่คาดคะเนมาแล้วว่าธุรกิจเขาต้องใช้เงินจำนวนนั้นเป็นต้นทุน
" เดี๋ยวนะไอ่พล มึงจะเปิดกิจการอะไรเป็นสิบๆล้าน มึงดูกูเสียไม่กี่พัน กูบอกมึงตามตรง กูไม่มีหรอกเงินก้อนขนาดนั้น กูว่ามึงอยู่ช่วยงานกูที่ร้านนี่เถอะ เดี๋ยวกูให้ที่พักที่กินมึงเอง แต่ขออย่าง อย่าเอานิสัยคุณชายมาใช้ที่นี่ กูไม่มีอะไรหรอก แต่ลูกเมียกู รับรองไม่คิดเหมือนกูแน่ " พอได้ยินข้อเสนอ ทศพลก็ครุ่นคิดอยู่นาน นัยน์ตาดำมองดูรอบๆ ก่อนตัดสินใจ แต่ถ้าไม่อยู่เขาจะไปอยู่ไหน คอนโดถูกเปลี่ยนระหัดเข้าโดยเลขาทิศลักษณ์ ทศพลรู้ถึงอำนาจพ่อเขาดี ไม่มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้ กะไอ่แค่บีบให้เขายอมก้มหัวมันไม่ครามือเขาหรอก ยังไงเขาไม่มีวันกลับไปแน่ ต่อให้รำบากขนาดไหน ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ให้มันตายกันไปข้างเลย
" เอ่อๆ แต่กูบอกไว้อย่างนะโว้ย ว่ากูไม่เคยทำอะไรมาก่อน ถ้ามึงจะให้ช่วยคิดให้ดีก่อนอีกสักสิบสามสิบรอบ "
" กูรู้โว้ย มึงแค่มาช่วยส่งนอกสถานที่ก็พอ เรื่องอื่นไม่กล้ารบกวนคุณชายอย่างมึงหรอก " ความจริงมาวินไม่คิดจะเสนอหรอก แค่ส่งนอกสถานที่ เมียเขาก็พอมีเวลา แต่ที่รับไว้เพราะเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ ตอนนี้ทศพลไม่น่าจะมีใครเหลียวแล มันถึงแจ้นมาหาเขา ที่มันยังนึกถึงเขาก็ดีพอแล้ว อย่างน้อยมันก็ไม่ลืมไอ่วินคนนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ