เอเดน ไคลน์ กับปริศนาดวงตาปีศาจ
8.0
เขียนโดย kuroro
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.54 น.
4 ตอน
1 วิจารณ์
6,300 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 17.10 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตกเป็นเป้าหมาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เมื่อก่อนเมืองเวโรธิน่าถูกปกครองโดยตระกูลแฟรี่วูด ซึ่งเป็นตระกูลของชนชั้นสูงที่สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์มาตั้งแต่โบราณกาล แต่เกิดเหตุอันน่าเศร้าในตอนนี้จึงเหลือแค่มาดามเมอร์ซี่กับหลานสาวเท่านั้นซึ่งยังมีชีวิตอยู่และอาศัยอยู่บนปราสาทเวโรเธียร์ และในปัจจุบันเมืองเวโรธิน่าถูกปกครองโดยเจ้าเมืองด็อกเรฟ โคลเลอร์ ผู้นำอันแสนร้ายกาจที่พยายามจะโค่นล้มมาดามเมอร์ซี่อย่างลับๆ และยึดครองปราสาทเวโรเธียร์ แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่สำเร็จสักที เจ้าเมืองด็อกเรฟ เขาเป็นชายรูปร่างเจ้าเนื้อ ผิวคล้ำ ตัวล่ำใหญ่ หัวล้าน ปากจะคาบไปป์อยู่ตลอดเวลา เขาเป็นชายผู้มั่งคั่ง ชื่นชอบแก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา แถมยังโมโหร้าย และเกลียดเด็กเป็นที่สุด ถ้าถามชาวเมืองว่า ใครกันที่พวกเขาไม่อยากมีปัญหาด้วย พวกชาวเมืองทั้งหลายคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านเจ้าเมืองด็อกเรฟ เป็นแน่! แต่นั่นก็แค่พวกชาวเมือง ยังมีบุคคลเพียงคนเดียวที่ด็อกเรฟ อยากจะขยี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน แต่ก็ทำได้เพียง แค่คำรามเบาๆในลำคอและเป็นบุคคลเดียวที่เคยตวาดใส่ ด็อกเรฟ ว่าเป็นเจ้าลูกหมา นั่นก็คือ มาดามเมอร์ซี่ อย่างที่ใครหลายๆคนคิดนั่นเอง
เคยมีใครคนนึงกล่าวไว้ว่า อำนาจและเงินตราบงการได้ทุกสิ่ง สามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้ นั่นคงจะเป็นเรื่องจริงแท้อย่างปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ
ด็อกเรฟ โคลเลอร์ ชายผู้มั่งคั่งที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ อยากได้อะไรก็แค่ชี้นิ้วสั่ง ใครทำอะไรให้ไม่พอใจ คนๆนั้นก็จะถูกสั่งสอน และถูกบดขยี้ให้จมดิน เลยกลายเป็นนิสัยเสียติดตัวมาจนโต พอได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองต่อจากบิดาที่เสียไปแล้ว ก็ยิ่งเหิมเกริมหนักขึ้นไปอีก เขามักจะคิดเสมอว่าตัวเองนั่นแหละคือสุดยอดบุรุษ เขาเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ทะนงตน ก้าวร้าวแถมยังเอาแต่ใจ ชอบดูถูกคนที่มีฐานะต่ำกว่าตน รังเกียจคนที่มีร่างกายผิดปกติ และชื่นชอบอย่างที่สุดกับการสะสมสัตว์หายาก
และตอนนี้ด็อกเรฟหมายตาไปที่ เอเดน ไคลน์ เด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในบ้านแสงจันทร์ ตอนแรกเขารู้สึกรังเกียจที่เจ้าเด็กนั่นมีดวงตาสีแดงดั่งสีเลือด ผิดมนุษย์มนาจนอยากจะทำลายให้ย่อยยับ แต่พอมาคิดดูอีกที ถ้าเกิดเขาได้เจ้าเด็กนั่นมาสะสมในคลังสมบัติส่วนตัว เขาเชื่อว่าเจ้าเด็กที่มีดวงตาประหลาดมันจะต้องทำเงินให้เขาอย่างมากมายมหาศาลเป็นแน่ เพราะยังมีพวกที่บ้าซึ่งชื่นชอบการสะสมชิ้นส่วนมนุษย์ที่หายาก และพวกนั้นจะต้องยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ ตามที่เขาขอนั่นเอง
ครั้งแรกมีคนของเขามารายงานมาว่า เจอมาดามเมอร์ซี่กับรีเบกก้าอุ้มเด็กคนหนึ่งเข้าไปในบ้านแสงจันทร์ เมื่อปีก่อนเขาก็คงคิดว่ายัยแก่หนังเหนียวนั่น คงจะทำตัวใจบุญสุนทาน เที่ยวช่วยเหลือชาวบ้านชาวช่องไปทั่ว โดยเฉพาะพวกเด็กๆเหลือขอทั้งหลาย เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จนกระทั่งเมื่อ ๓ เดือนที่แล้ว ที่สายข่าวของเขาที่คอยเฝ้ามองอยู่รอบๆ บ้านแสงจันทร์ เจอเจ้าเด็กคนหนึ่งกระโดดออกมาจากกำแพงบ้านแสงจันทร์ออกมาข้างนอกในตอนกลางคืน เจ้าเด็กนั่นมีดวงตาสีแดงอย่างกับสีเลือด คล้ายพวกผีหรือปีศาจ ยังไงยังงั้น แถมยังวิ่งเร็วยิ่งนัก คล้ายลมพัดก็ไม่ปาน พอผ่านไปสักประมาณสองชั่วโมง เจ้าเด็กที่มีดวงตาสีแดงก็กลับมาที่บ้านแสงจันทร์ พอถึงกำแพงเจ้าเด็กนี่กระโดดขึ้นไปบนกำแพงหน้าตาเฉย ทั้งๆที่กำแพงสูงกว่าสิบเมตรได้ ตอนที่ฟังสายข่าวของเขารายงานให้ฟัง ตัวเขาเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย ดังนั้นเขาจึงไปดักซุ่มด้วยตนเอง ในคืนต่อมา แต่ผลคือไม่พบอะไรที่สายข่าวคนนั้นรายงานให้ฟังเลย เจ้าคนรายงานเลยโดนซ้อมสะบักสะบอม แต่สายคนนั้นก็ยืนยันว่าพูดความจริง และไม่กล้าโกหกท่านเจ้าเมืองด็อกเรฟหรอก
เจ้าเมืองด็อกเรฟ โคลเลอร์จึงได้สั่งกระจายกำลังคอยสอดแนมบ้านแสงจันทร์ตลอด ๒๔ ชั่วโมง และอีกหลายคืนต่อมา สายข่าวสอดแนมจึงได้รายงานว่า มีเจ้าเด็กดวงตาสีแดงเหมือนสีเลือด กระโดดออกมาจากกำแพงบ้านแสงจันทร์ และวิ่งหายลับเข้าไปในป่าอาถรรพ์ ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ด็อกเรฟจึงรีบออกจากคฤหาสน์แล้วมายังที่สายข่าวรายงานทันที เขากับพรรคพวกซุ่มรอเจ้าเด็กคนนั้น มาเกือบสามชั่วโมงแล้ว จนตัวเขาเองเริ่มหงุดหงิด และเริ่มพาลไปยังสายข่าวที่รายงานมา
จนกระทั่ง เริ่มมีการเคลื่อนไหวโผล่ออกมาจากชายป่าอาถรรพ์ และวิ่งมาหยุดที่กำแพง จากนั้นเจ้าเด็กที่มีดวงตาสีแดง มองซ้ายทีขวาที และกระโดดขึ้นไปบนกำแพงที่สูงกว่าสิบเมตร ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ซ่อนอยู่ในความมืด ได้จ้องมองไปยังเด็กชายที่มีดวงตาสีแดง เจ้าเมืองด็อกเรฟ โคลเลอร์กับพรรคพวก พร้อมๆกับด็อกเรฟที่แสยะยิ้มออกมา ราวกับเจอของเล่นที่แสนถูกใจ
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเอง สมุนของด็อกเรฟก็จะมาคอยสอดส่องอยู่ที่บ้านแสงจันทร์เสมอๆพร้อมกับอุปกรณ์ที่จะใช้จับตัวเด็กชายผู้มีดวงตาสีแดง และในคืนนั้นเอง ขณะเด็กชายวิ่งไปทางป่าอาถรรพ์ พวกสมุนทั้งหลายประมาณสิบคนพยายามวิ่งตามเด็กชาย แต่วิ่งเต็มฝีเท้าแล้วก็ยังตามเด็กไม่ทัน พวกนั้นจึงล้มเลิกจากการวิ่งตาม แต่จริงๆแล้วพวกเขาอยากจะจับเด็กชายให้ได้ก่อนถึงชายป่าอาถรรพ์ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายกับพวกสัตว์ปีศาจสักเท่าไร ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาดักรอที่กำแพงบ้านแสงจันทร์แทน โดยเหล่าสมุนทั้งหลายเตรียมปืนลูกดอกยาสลบกับตาข่ายเอาไว้ เพื่อเอาไว้ใช้ในการจับกุม และซุ่มรอคอยเวลาอย่างใจเย็น จนกระทั่งเวลาสี่ทุ่ม มีเสียงฝีเท้าวิ่งออกมาจากทางชายป่าอาถรรพ์ ก่อนจะมาหยุดที่ตรงกำแพงบ้านแสงจันทร์
ทันใดนั้นเอง พวกลูกสมุนของด็อกเรฟ ปรากฏตัวออกมา จากนั้นต่างพากันยิงปืนลูกดอกยาสลบ ใส่ร่างของเด็กชายผู้ที่เป็นเป้าหมายซึ่งยืนอยู่ข้างกำแพง แต่ผิดคาดเด็กชายถอยหลบซ้ายหลบขวาและตีลังกากลับหลังไปสองสามตลบได้อย่างช่ำชอง ไม่มีลูกดอกลูกไหน สามารถสัมผัสร่างกายของเด็กชายได้แม้แต่ลูกเดียว --
ลูกดอกทั้งหมดพลาดเป้า!
พวกลูกสมุนทั้งหลายวิ่งกรูกันออกมาล้อมตัวเด็กชายไว้ หน้าตาเจ้าพวกนี้ดูตื่นกลัว มีท่าทีดูลนลน เด็กชายพอจะเดาออกว่าเจ้าพวกนี้คงจะรู้สึกกลัวกันอยู่
“เฮ้ย พวกเราล้อมมันไว้ จับตัวมันไปให้ได้ ไม่อย่างงั้นนายท่านเอาพวกเราตายแน่” สมุนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
เอเดน พอจะรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังแผนการลักพาตัวอันแสนปัญญาอ่อนนี้ เอาจริงๆเขารู้สึกรำคาญด้วยซ้ำที่เจ้าพวกนี้มาด้อมๆมองๆคอยสอดแนมรอบบ้านแสงจันทร์ และพยายามที่จะคอยตามเขาบ้างล่ะ จนมาถึงคืนนี้ที่เจ้าพวกนี้พยายามที่จะจับตัวเขา
เอเดนก้มเก็บลูกดอกยาสลบที่ปักเกลื่อนอยู่บนพื้นขึ้นมาสามดอก และพูดขึ้นว่า
“ฉันว่า พวกแกกลับไปซะเถอะ แล้วไปบอกให้นายของพวกแกด้วยว่า อย่ามายุ่งกับฉันอีก ไม่อย่างงั้น เจอฉัน เอารองเท้าจุ่มน้ำให้เปียก แล้วเตะตูด จนรองเท้าแห้งแน่ๆ แล้วจะหาว่าไม่เตือน” เอเดนบอกพวกลูกสมุนไป
“หุบปาก! หนอยแน่แก เจ้าเด็กประหลาด ยังไงซะมันก็เป็นแค่เด็ก พวกเราจัดการมัน” สมุนคนหนึ่งตะโกนออกมา จากนั้นสมุนคนนั้นก็วิ่งออกมาเพื่อจะจับตัวเด็กชาย
“ฉึก...!” ลูกดอกยาสลบปักเข้ากลางอก ของลูกสมุนที่วิ่งออกมาพอดี เจ้านั่นหมดสติแทบจะทันทีเมื่อลูกดอกสัมผัสโดนตัวและล้มลงไปกองบนพื้น เอเดนขว้างมานั่นเอง
“อื้อหือ เห็นผลทันตาเลยแฮะ” เอเดนพูดขึ้น ทำให้พวกสมุนที่เหลืออยู่ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
แต่เอเดนก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เด็กชายขว้างลูกดอกยาสลบที่เหลืออยู่ในมืออีกสองดอกใส่ลูกสมุนอีกสองคนอย่างแม่นยำ พร้อมๆกับพวกลูกสมุนที่เหลือยิงปืนตาข่ายใส่ตัวเขา เพื่อพยายามที่จะจับกุม แต่เอเดนก็หลบได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเอเดนก็คว้าลูกดอกยาสลบที่ตกกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ขว้างใส่พวกลูกสมุนจนหมดทุกคน พริบตาเดียวพวกลูกสมุนของด็อกเรฟ หมดสติลงไปนอนกองกับพื้นจนหมดทุกคน ขณะเดียวกันพอเอเดนเห็นว่าพวกผู้ประสงค์ร้ายไม่สามารถต่อกรได้อีก เอเดนก็กระโดดข้ามกำแพงสูงกลับเข้าไปในบ้านแสงจันทร์ทันที
พอในตอนเช้าขณะที่ด็อกเรฟ รู้ว่าเหล่าพวกสมุนของตนเองเสียท่าให้กับเจ้าเด็กดวงตาสีเลือดแล้ว เขาก็รู้สึกโมโห เดือดดาลอย่างที่สุด เสียงทำลายข้าวของดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้อง ด็อกเรฟรู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมากเหมือนโดนหยามกับข้อความที่เจ้าเด็กตาสีแดงบอกว่า ‘บอกนายของพวกแกด้วยว่า อย่ามายุ่งกับฉันอีก ไม่อย่างงั้น เจอฉัน เอารองเท้าจุ่มน้ำให้เปียก แล้วเตะตูด จนรองเท้าแห้งแน่ๆ แล้วจะหาว่าไม่เตือน’ ในขณะที่ลูกสมุนคนหนึ่ง รายงานว่าเจ้าเด็กดวงตาสีแดงนั่น มันไม่ใช่เด็กธรรมดาๆ เพราะเจ้าเด็กนั่นเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ว่องไว รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แถมยังหลบหลีกลูกดอกยาสลบได้อย่างง่ายดาย และยังขว้างกลับใส่พวกเขาจนหมดสติไปตามๆกัน
ด็อกเรฟ ประกาศกร้าว --
“ข้าจะต้องจับไอ้เด็กเวรนั่นมาให้ได้ แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” ด็อกเรฟคำรามในขณะที่ปากยังคาบไปป์อยู่ และกำหมัดอันใหญ่เทอะทะจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา
“หึ จะเอารองเท้าจุ่มน้ำให้เปียก แล้วเตะตูดข้า จนรองเท้าแห้งงั้นเหรอ ปากดีจริงๆ” ด็อกเรฟยังคงโมโหกับคำพูดของเจ้าเด็กเอเดนนั่น
“แต่ตราบใดที่เจ้าเด็กนั่นยังอยู่ในบ้านแสงจันทร์ เกรงว่าความปรารถนาของท่านเจ้าเมืองจะเป็นไปได้ยากนะครับ” มอเคิล โรแวน เลขาของด็อกเรฟ ออกความคิดเห็น
“เจ้ามีความคิดดีดีงั้นเหรอ โรแวน” ด็อกเรฟถามกลับ
“ผมคิดว่า การที่เราพยายามจะชิงตัวเจ้าเด็กนั่นมา มันออกจะเป็นวิธีการที่ดูรุนแรงและอุกอาจเกินไป เพราะตราบใดที่เจ้าเด็กนั่นยังอยู่ในบ้านแสงจันทร์ ซึ่งเป็นอาณาเขตของมาดามเมอร์ซี่ การจะได้ตัวเด็กมาค่อนข้างเป็นไปได้ยากนะครับท่าน” เขาออกความคิดเห็นต่อ
“เพราะฉะนั้น --” เลขาโรแวน เดินเข้าไปกระซิบข้างหูและพูดแนะนำความคิดเห็นของเขา ก่อนจะหยุด เมื่อด็อกเรฟหันมาแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ฮ่าๆๆ ข้าเข้าใจแล้ว อย่างนี้นี่เอง เป็นความคิดที่เข้าท่ามากท่านเลขา” ด็อกเรฟหัวเราะเสียงดัง พลางกล่าวชมเลขาโรแวน
ด็อกเรฟ โคลเลอร์ เจ้าเมืองเวโรธิน่า เมืองแห่งป่าแห่งนี้ คือชายผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน สิ่งของใดๆก็ตามที่ด็อกเรฟต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ถ้าเกิดเขาอยากได้ ยังไงเขาก็ต้องได้ ขอแค่ได้มันมาครอบครอง จะใช้วิธีการไหนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
“ข้าจะต้องเอาแกมาเป็นของสะสมให้ได้ เจ้าเด็กดวงตาสีเลือด เอเดน” ด็อกเรฟกล่าวขึ้น ขณะมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ซึ่งเช้านี้มีฝนตกหนักและเกิดฟ้าแลบออกมาเป็นระยะๆ
✖ ✖ ✖
เคยมีใครคนนึงกล่าวไว้ว่า อำนาจและเงินตราบงการได้ทุกสิ่ง สามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้ นั่นคงจะเป็นเรื่องจริงแท้อย่างปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ
ด็อกเรฟ โคลเลอร์ ชายผู้มั่งคั่งที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ อยากได้อะไรก็แค่ชี้นิ้วสั่ง ใครทำอะไรให้ไม่พอใจ คนๆนั้นก็จะถูกสั่งสอน และถูกบดขยี้ให้จมดิน เลยกลายเป็นนิสัยเสียติดตัวมาจนโต พอได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองต่อจากบิดาที่เสียไปแล้ว ก็ยิ่งเหิมเกริมหนักขึ้นไปอีก เขามักจะคิดเสมอว่าตัวเองนั่นแหละคือสุดยอดบุรุษ เขาเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ทะนงตน ก้าวร้าวแถมยังเอาแต่ใจ ชอบดูถูกคนที่มีฐานะต่ำกว่าตน รังเกียจคนที่มีร่างกายผิดปกติ และชื่นชอบอย่างที่สุดกับการสะสมสัตว์หายาก
และตอนนี้ด็อกเรฟหมายตาไปที่ เอเดน ไคลน์ เด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในบ้านแสงจันทร์ ตอนแรกเขารู้สึกรังเกียจที่เจ้าเด็กนั่นมีดวงตาสีแดงดั่งสีเลือด ผิดมนุษย์มนาจนอยากจะทำลายให้ย่อยยับ แต่พอมาคิดดูอีกที ถ้าเกิดเขาได้เจ้าเด็กนั่นมาสะสมในคลังสมบัติส่วนตัว เขาเชื่อว่าเจ้าเด็กที่มีดวงตาประหลาดมันจะต้องทำเงินให้เขาอย่างมากมายมหาศาลเป็นแน่ เพราะยังมีพวกที่บ้าซึ่งชื่นชอบการสะสมชิ้นส่วนมนุษย์ที่หายาก และพวกนั้นจะต้องยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ ตามที่เขาขอนั่นเอง
ครั้งแรกมีคนของเขามารายงานมาว่า เจอมาดามเมอร์ซี่กับรีเบกก้าอุ้มเด็กคนหนึ่งเข้าไปในบ้านแสงจันทร์ เมื่อปีก่อนเขาก็คงคิดว่ายัยแก่หนังเหนียวนั่น คงจะทำตัวใจบุญสุนทาน เที่ยวช่วยเหลือชาวบ้านชาวช่องไปทั่ว โดยเฉพาะพวกเด็กๆเหลือขอทั้งหลาย เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จนกระทั่งเมื่อ ๓ เดือนที่แล้ว ที่สายข่าวของเขาที่คอยเฝ้ามองอยู่รอบๆ บ้านแสงจันทร์ เจอเจ้าเด็กคนหนึ่งกระโดดออกมาจากกำแพงบ้านแสงจันทร์ออกมาข้างนอกในตอนกลางคืน เจ้าเด็กนั่นมีดวงตาสีแดงอย่างกับสีเลือด คล้ายพวกผีหรือปีศาจ ยังไงยังงั้น แถมยังวิ่งเร็วยิ่งนัก คล้ายลมพัดก็ไม่ปาน พอผ่านไปสักประมาณสองชั่วโมง เจ้าเด็กที่มีดวงตาสีแดงก็กลับมาที่บ้านแสงจันทร์ พอถึงกำแพงเจ้าเด็กนี่กระโดดขึ้นไปบนกำแพงหน้าตาเฉย ทั้งๆที่กำแพงสูงกว่าสิบเมตรได้ ตอนที่ฟังสายข่าวของเขารายงานให้ฟัง ตัวเขาเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย ดังนั้นเขาจึงไปดักซุ่มด้วยตนเอง ในคืนต่อมา แต่ผลคือไม่พบอะไรที่สายข่าวคนนั้นรายงานให้ฟังเลย เจ้าคนรายงานเลยโดนซ้อมสะบักสะบอม แต่สายคนนั้นก็ยืนยันว่าพูดความจริง และไม่กล้าโกหกท่านเจ้าเมืองด็อกเรฟหรอก
เจ้าเมืองด็อกเรฟ โคลเลอร์จึงได้สั่งกระจายกำลังคอยสอดแนมบ้านแสงจันทร์ตลอด ๒๔ ชั่วโมง และอีกหลายคืนต่อมา สายข่าวสอดแนมจึงได้รายงานว่า มีเจ้าเด็กดวงตาสีแดงเหมือนสีเลือด กระโดดออกมาจากกำแพงบ้านแสงจันทร์ และวิ่งหายลับเข้าไปในป่าอาถรรพ์ ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ด็อกเรฟจึงรีบออกจากคฤหาสน์แล้วมายังที่สายข่าวรายงานทันที เขากับพรรคพวกซุ่มรอเจ้าเด็กคนนั้น มาเกือบสามชั่วโมงแล้ว จนตัวเขาเองเริ่มหงุดหงิด และเริ่มพาลไปยังสายข่าวที่รายงานมา
จนกระทั่ง เริ่มมีการเคลื่อนไหวโผล่ออกมาจากชายป่าอาถรรพ์ และวิ่งมาหยุดที่กำแพง จากนั้นเจ้าเด็กที่มีดวงตาสีแดง มองซ้ายทีขวาที และกระโดดขึ้นไปบนกำแพงที่สูงกว่าสิบเมตร ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ซ่อนอยู่ในความมืด ได้จ้องมองไปยังเด็กชายที่มีดวงตาสีแดง เจ้าเมืองด็อกเรฟ โคลเลอร์กับพรรคพวก พร้อมๆกับด็อกเรฟที่แสยะยิ้มออกมา ราวกับเจอของเล่นที่แสนถูกใจ
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเอง สมุนของด็อกเรฟก็จะมาคอยสอดส่องอยู่ที่บ้านแสงจันทร์เสมอๆพร้อมกับอุปกรณ์ที่จะใช้จับตัวเด็กชายผู้มีดวงตาสีแดง และในคืนนั้นเอง ขณะเด็กชายวิ่งไปทางป่าอาถรรพ์ พวกสมุนทั้งหลายประมาณสิบคนพยายามวิ่งตามเด็กชาย แต่วิ่งเต็มฝีเท้าแล้วก็ยังตามเด็กไม่ทัน พวกนั้นจึงล้มเลิกจากการวิ่งตาม แต่จริงๆแล้วพวกเขาอยากจะจับเด็กชายให้ได้ก่อนถึงชายป่าอาถรรพ์ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายกับพวกสัตว์ปีศาจสักเท่าไร ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาดักรอที่กำแพงบ้านแสงจันทร์แทน โดยเหล่าสมุนทั้งหลายเตรียมปืนลูกดอกยาสลบกับตาข่ายเอาไว้ เพื่อเอาไว้ใช้ในการจับกุม และซุ่มรอคอยเวลาอย่างใจเย็น จนกระทั่งเวลาสี่ทุ่ม มีเสียงฝีเท้าวิ่งออกมาจากทางชายป่าอาถรรพ์ ก่อนจะมาหยุดที่ตรงกำแพงบ้านแสงจันทร์
ทันใดนั้นเอง พวกลูกสมุนของด็อกเรฟ ปรากฏตัวออกมา จากนั้นต่างพากันยิงปืนลูกดอกยาสลบ ใส่ร่างของเด็กชายผู้ที่เป็นเป้าหมายซึ่งยืนอยู่ข้างกำแพง แต่ผิดคาดเด็กชายถอยหลบซ้ายหลบขวาและตีลังกากลับหลังไปสองสามตลบได้อย่างช่ำชอง ไม่มีลูกดอกลูกไหน สามารถสัมผัสร่างกายของเด็กชายได้แม้แต่ลูกเดียว --
ลูกดอกทั้งหมดพลาดเป้า!
พวกลูกสมุนทั้งหลายวิ่งกรูกันออกมาล้อมตัวเด็กชายไว้ หน้าตาเจ้าพวกนี้ดูตื่นกลัว มีท่าทีดูลนลน เด็กชายพอจะเดาออกว่าเจ้าพวกนี้คงจะรู้สึกกลัวกันอยู่
“เฮ้ย พวกเราล้อมมันไว้ จับตัวมันไปให้ได้ ไม่อย่างงั้นนายท่านเอาพวกเราตายแน่” สมุนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
เอเดน พอจะรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังแผนการลักพาตัวอันแสนปัญญาอ่อนนี้ เอาจริงๆเขารู้สึกรำคาญด้วยซ้ำที่เจ้าพวกนี้มาด้อมๆมองๆคอยสอดแนมรอบบ้านแสงจันทร์ และพยายามที่จะคอยตามเขาบ้างล่ะ จนมาถึงคืนนี้ที่เจ้าพวกนี้พยายามที่จะจับตัวเขา
เอเดนก้มเก็บลูกดอกยาสลบที่ปักเกลื่อนอยู่บนพื้นขึ้นมาสามดอก และพูดขึ้นว่า
“ฉันว่า พวกแกกลับไปซะเถอะ แล้วไปบอกให้นายของพวกแกด้วยว่า อย่ามายุ่งกับฉันอีก ไม่อย่างงั้น เจอฉัน เอารองเท้าจุ่มน้ำให้เปียก แล้วเตะตูด จนรองเท้าแห้งแน่ๆ แล้วจะหาว่าไม่เตือน” เอเดนบอกพวกลูกสมุนไป
“หุบปาก! หนอยแน่แก เจ้าเด็กประหลาด ยังไงซะมันก็เป็นแค่เด็ก พวกเราจัดการมัน” สมุนคนหนึ่งตะโกนออกมา จากนั้นสมุนคนนั้นก็วิ่งออกมาเพื่อจะจับตัวเด็กชาย
“ฉึก...!” ลูกดอกยาสลบปักเข้ากลางอก ของลูกสมุนที่วิ่งออกมาพอดี เจ้านั่นหมดสติแทบจะทันทีเมื่อลูกดอกสัมผัสโดนตัวและล้มลงไปกองบนพื้น เอเดนขว้างมานั่นเอง
“อื้อหือ เห็นผลทันตาเลยแฮะ” เอเดนพูดขึ้น ทำให้พวกสมุนที่เหลืออยู่ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
แต่เอเดนก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เด็กชายขว้างลูกดอกยาสลบที่เหลืออยู่ในมืออีกสองดอกใส่ลูกสมุนอีกสองคนอย่างแม่นยำ พร้อมๆกับพวกลูกสมุนที่เหลือยิงปืนตาข่ายใส่ตัวเขา เพื่อพยายามที่จะจับกุม แต่เอเดนก็หลบได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเอเดนก็คว้าลูกดอกยาสลบที่ตกกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ขว้างใส่พวกลูกสมุนจนหมดทุกคน พริบตาเดียวพวกลูกสมุนของด็อกเรฟ หมดสติลงไปนอนกองกับพื้นจนหมดทุกคน ขณะเดียวกันพอเอเดนเห็นว่าพวกผู้ประสงค์ร้ายไม่สามารถต่อกรได้อีก เอเดนก็กระโดดข้ามกำแพงสูงกลับเข้าไปในบ้านแสงจันทร์ทันที
พอในตอนเช้าขณะที่ด็อกเรฟ รู้ว่าเหล่าพวกสมุนของตนเองเสียท่าให้กับเจ้าเด็กดวงตาสีเลือดแล้ว เขาก็รู้สึกโมโห เดือดดาลอย่างที่สุด เสียงทำลายข้าวของดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้อง ด็อกเรฟรู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมากเหมือนโดนหยามกับข้อความที่เจ้าเด็กตาสีแดงบอกว่า ‘บอกนายของพวกแกด้วยว่า อย่ามายุ่งกับฉันอีก ไม่อย่างงั้น เจอฉัน เอารองเท้าจุ่มน้ำให้เปียก แล้วเตะตูด จนรองเท้าแห้งแน่ๆ แล้วจะหาว่าไม่เตือน’ ในขณะที่ลูกสมุนคนหนึ่ง รายงานว่าเจ้าเด็กดวงตาสีแดงนั่น มันไม่ใช่เด็กธรรมดาๆ เพราะเจ้าเด็กนั่นเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ว่องไว รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แถมยังหลบหลีกลูกดอกยาสลบได้อย่างง่ายดาย และยังขว้างกลับใส่พวกเขาจนหมดสติไปตามๆกัน
ด็อกเรฟ ประกาศกร้าว --
“ข้าจะต้องจับไอ้เด็กเวรนั่นมาให้ได้ แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” ด็อกเรฟคำรามในขณะที่ปากยังคาบไปป์อยู่ และกำหมัดอันใหญ่เทอะทะจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา
“หึ จะเอารองเท้าจุ่มน้ำให้เปียก แล้วเตะตูดข้า จนรองเท้าแห้งงั้นเหรอ ปากดีจริงๆ” ด็อกเรฟยังคงโมโหกับคำพูดของเจ้าเด็กเอเดนนั่น
“แต่ตราบใดที่เจ้าเด็กนั่นยังอยู่ในบ้านแสงจันทร์ เกรงว่าความปรารถนาของท่านเจ้าเมืองจะเป็นไปได้ยากนะครับ” มอเคิล โรแวน เลขาของด็อกเรฟ ออกความคิดเห็น
“เจ้ามีความคิดดีดีงั้นเหรอ โรแวน” ด็อกเรฟถามกลับ
“ผมคิดว่า การที่เราพยายามจะชิงตัวเจ้าเด็กนั่นมา มันออกจะเป็นวิธีการที่ดูรุนแรงและอุกอาจเกินไป เพราะตราบใดที่เจ้าเด็กนั่นยังอยู่ในบ้านแสงจันทร์ ซึ่งเป็นอาณาเขตของมาดามเมอร์ซี่ การจะได้ตัวเด็กมาค่อนข้างเป็นไปได้ยากนะครับท่าน” เขาออกความคิดเห็นต่อ
“เพราะฉะนั้น --” เลขาโรแวน เดินเข้าไปกระซิบข้างหูและพูดแนะนำความคิดเห็นของเขา ก่อนจะหยุด เมื่อด็อกเรฟหันมาแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ฮ่าๆๆ ข้าเข้าใจแล้ว อย่างนี้นี่เอง เป็นความคิดที่เข้าท่ามากท่านเลขา” ด็อกเรฟหัวเราะเสียงดัง พลางกล่าวชมเลขาโรแวน
ด็อกเรฟ โคลเลอร์ เจ้าเมืองเวโรธิน่า เมืองแห่งป่าแห่งนี้ คือชายผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน สิ่งของใดๆก็ตามที่ด็อกเรฟต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ถ้าเกิดเขาอยากได้ ยังไงเขาก็ต้องได้ ขอแค่ได้มันมาครอบครอง จะใช้วิธีการไหนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
“ข้าจะต้องเอาแกมาเป็นของสะสมให้ได้ เจ้าเด็กดวงตาสีเลือด เอเดน” ด็อกเรฟกล่าวขึ้น ขณะมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ซึ่งเช้านี้มีฝนตกหนักและเกิดฟ้าแลบออกมาเป็นระยะๆ
✖ ✖ ✖
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ