เอเดน ไคลน์ กับปริศนาดวงตาปีศาจ
เขียนโดย kuroro
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.54 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 17.10 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) สถานเลี้ยงเด็กำพร้า บ้านแสงจันทร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ-- ๑ ปี ต่อมา --
“เอาล่ะเด็กๆนั่งกันให้เป็นระเบียบกันหน่อยสิจ๊ะ อย่าพูดคุยเสียงดังระหว่างรออาหารเช้ากันสิ มันเสียมารยาท รู้ไหม” รีเบกก้าพูดเตือนพวกเด็กๆ ขณะกำลังรออาหารมื้อเช้า
“ฉัน มาเชลี่ รีเบกก้า อาจารย์ใหญ่และเป็นผู้ดูแลบ้านแสงจันทร์ ขอกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ ที่จะมาอยู่ด้วยกันกับพวกเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กคนนี้น่าสงสาร ทั้งบ้านและผู้ปกครองโดนทากจอมเขมือบโจมตี เฮ้อ... ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าใจหายยิ่งนัก เอาล่ะ ขอให้พยายามลืมเรื่องที่น่าเศร้าแล้วอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะจ๊ะ” รีเบกก้ากล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่
“แนะนำตัวเองด้วยสิจ๊ะ” รีเบกก้าบอกให้สมาชิกใหม่แนะนำตัวเองแก่เพื่อนๆในบ้านแสงจันทร์
“ฉันชื่อ แช็ค -- แช็ค มามัวสัน” เด็กชายหน้าตกกระ รูปร่างผอมกะหร่อง ใส่เสื้อผ้าที่มีรอยประเต็มไปหมด แนะนำตัวด้วยอาการประหม่า อย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ -- ตั้งแต่วันนี้ไป -- ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ --” เขาพูดตะกุกตะกัก
“ฮ่าๆๆๆ” เด็กๆในบ้านพากันหัวเราะในคำทักทายของแช็ค
ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะทั้งหมดได้หยุดชะงักลง เมื่อมีเด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร หน้าตาน่ารัก มีผมสีน้ำตาล ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน และที่สำคัญเด็กคนนี้มีดวงตาสีแดงดั่งสีเลือด
“อาหารเช้าวันนี้คงเข้าท่ากว่าเมื่อวานใช่ไหมครับ อาจารย์ใหญ่รีเบกก้า” เจ้าของดวงตาสีเลือดกล่าวทักทายอาจารย์ใหญ่ พร้อมนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ขณะที่เด็กหลายๆคนเขยิบตัวออกห่าง
“เอเดน เธอหายไปไหนมา หรือว่านอนตื่นสายอีกแล้ว” รีเบกก้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแลดูเป็นห่วง
“แหะๆ” เขาทำเสียงอ่อยๆ
“ผมไปห้องสมุดมาครับ อาจารย์ใหญ่รีเบกก้า พอดีเจอหนังสือที่น่าสนใจเข้าน่ะ” เอเดนพูดพลางยิ้มแหยๆให้อาจารย์ใหญ่รีเบกก้า
“เอาล่ะๆ ทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว ไปพบฉันที่สวนด้วยนะ” รีเบกก้าบอกเอเดน จากนั้นเหลือบไปเห็นแช็ค เดินเก้ๆกังๆ หาที่นั่งอยู่
“แช็ค มานั่งตรงนี้สิ” รีเบกก้า ขานเรียก
แช็คนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าเอเดน เมื่อเขาเห็นเอเดน แช็คชะงักไปชั่วครู่ แล้วกล่าวทักทาย
“หวัดดี ฉันแช็ค -- แช็ค มามัวสัน…เอ่อ -- ดวงตาของนายแปลกดีนะ...สีเหมือนเลือดเลย... ฉันพึ่งเคยเห็น ดูลึกลับ... น่ากลัวดี --” เขาพูดตะกุกตะกักทักทายเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา
“หวัดดี แช็ค ฉันเอเดน ไคลน์" เอเดนแนะนำตัวเองบ้าง "หลายๆคนก็ว่างั้น ถือว่าเป็นคำชมล่ะกันนะ”
“อาหารเช้ามาแล้วจ๊ะเด็กๆ ขอให้อร่อยกับซุปหัวหอมนะจ๊ะ” แม่ครัวประจำบ้านแสงจันทร์ บอกแก่เด็กๆ ขณะมีเสียงบ่นอื้ออึงดังขึ้นในห้องอาหาร พร้อมวางถ้วยซุปหัวหอมลงตรงหน้าเด็กๆ
“ให้ตายสิ ซุปหัวหอม หวังว่านายคงชอบนะ” เอเดนบอกแช็ค พร้อมทำหน้าเซ็งเล็กน้อย “แต่ฉันล่ะเกลียด เมนูนี้ที่สุดเลย” เขาพูดแล้วทำหน้าแหยะๆ
แช็คสังเกตเห็นเด็กในบ้านนี้ ล้วนแต่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เอเดนเลย สังเกตได้จากโต๊ะยาวนี้ซึ่งนั่งได้ประมาณสิบคน แต่มีแค่เอเดนและเขาที่มาใหม่เท่านั้นที่นั่งโต๊ะนี้ ส่วนเด็กคนอื่นๆ นั่งโต๊ะอื่นกันหมดเลย เรื่องนี้ได้สร้างความสงสัยแก่เขา หรือเพราะดวงตาสีแดง ที่ดูแปลก ต่างจากทุกคนงั้นเหรอ -- แช็คครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“มันอาจจะไม่ถูกปากนายสักเท่าไร แต่ฉันว่านายรีบๆกลืนมันลงท้องซะเถอะ ถึงรสชาติมันจะแย่ แต่มันก็ทำให้เรามีชีวิตต่อไปได้” เขาบอกแช็ค ระหว่างกลืนซุปลงไปในท้อง จนหมดชาม “เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกัน -- แช็ค” เอเดนลาแช็ค และลุกจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องอาหาร ท่ามกลางสายตาหลายร้อยชีวิตที่มองตามอย่างหวาดหวั่น
✖✖✖
ที่ม้านั่งกลางสวน ในเขตบ้านแสงจันทร์ อาจารย์ใหญ่รีเบกก้ากำลังอ่านหนังสือเล่มหนาเตอะเล่มหนึ่งอยู่ บนปกดูเก่าคร่ำครึ เขียนว่า ‘ความลับของธาตุและธาตุประจำตัว’ เขียนโดย ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
“อะแฮ่มๆ” เสียงของเด็กชายกระแอม อยู่ข้างหลังของอาจารย์ใหญ่และผู้ดูแลบ้านแสงจันทร์ มาเชลี่ รีเบกก้า
“นี่เอเดน เธอมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมถึงแอบย่องเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงล่ะ” เธอเอ็ดเอเดนเบาๆ
“ผมพึ่งมาถึงได้สักพักล่ะครับ และไม่ได้แอบย่องเข้ามา ผมเห็นอาจารย์ใหญ่ตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ เลยไม่อยากรบกวน แต่พอยืนไปนานๆ เลยรู้สึกเมื่อยขา” เอเดนอธิบาย พลางเอามือลูบหัวตัวเอง
“ว่าแต่ อาจารย์ใหญ่เรียกผม มีอะไรเหรอครับ” เขาถามต่อ
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ ที่ฉันเรียกเธอมาที่นี่ เพื่อจะถามว่าเธอแอบเข้าไปในโซนหนังสือต้องห้ามมาอีกแล้วใช่ไหม ฉันรู้นะ --” เธอบอก
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษอาจารย์ใหญ่ด้วยนะครับ ที่ผมฝ่าฝืนกฎอีกครั้ง เพียงแต่ผมแค่อยากรู้เนื้อหาในหนังสือหลายๆเล่ม บางทีอาจจะเจอเบาะแสอะไรบางอย่างก็ได้ ที่อาจทำให้ผมนึกออกว่าผมเป็นใคร ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ และสาเหตุของความจำเสื่อม” เอเดนบอกรีเบกก้า
“ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งที่ดีแต่บางครั้งก็เป็นสิ่งที่แย่ ฉันเข้าใจว่าเธอสูญเสียความทรงจำไป มันอาจจะเป็นความทรงจำที่มีค่าหรือเลวร้ายก็ได้ แต่ว่าทำไมตอนนี้เธอถึงไม่เริ่มต้นชีวิตใหม่ ในบ้านหลังใหม่แห่งนี้พร้อมกับเพื่อนๆ หลายๆคนในบ้านหลังนี้ล่ะ” เธอกล่าวตักเตือนและบอกเอเดนบ้าง
“คนที่สูญเสียความทรงจำ ก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้วหรอก อาจารย์ใหญ่รีเบกก้าเคยได้ยินคำนี้ไหมครับ” เอเดนถามรีเบกก้า แน่นอนว่ารีเบกก้าเคยได้ยินคำๆนี้มาแล้ว นึกถึงตอนคุณหมอโอ๊กแลนด์รักษาเอเดน เมื่อปีกลาย ที่พบว่าเด็กชายคนนี้ฟื้นขึ้นมา แล้วจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย แต่ที่คอของเด็กแขวนจี้ทรงหยดน้ำขนาดเล็กแกะสลักตัวอักษรไว้ว่า
แน่นอนว่าคงเดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนี้มีชื่อว่า ‘เอเดน ไคลน์’ แต่คำว่า ‘สมบัติแห่งพระเจ้า’ ก็ไม่มีใครรู้ความหมาย อาจจะเป็นการสลักเพื่อให้ดูสวยหรู อาจจะไม่มีความหมายอะไรซ่อนอยู่หรอก
ตอนที่คุณหมอโอ๊กแลนด์คุยกับมาดามเมอร์ซี่และตนเองที่หน้าห้องพยาบาลนั้น สรุปได้ว่าเด็กชายสูญเสียความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเองไป แต่อาจจะเป็นไปได้ที่ความทรงจำของเด็กชายอาจค่อยๆฟื้นกลับคืนมา หรือในกรณีเลวร้ายที่สุดคือความทรงจำอาจไม่กลับมาอีกเลย คุณหมอโอ๊กแลนด์ยังแนะนำให้ดูแลเด็กคนนี้ให้ดี เพราะ ‘คนที่สูญเสียความทรงจำก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้วหรอก’ รีเบกก้านึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว
“ตอนนั้นผมยืนอยู่หลังประตูพอดี ตอนที่ผมได้ยิน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คนที่สูญเสียความทรงจำก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว ประโยคนี้มันหมายความว่ายังไง จนกระทั่งผมได้อ่านหนังสือ ผมรู้สึกว่าผมเคยอ่านหนังสือพวกนั้น หลายต่อหลายเล่มเพียงแค่เริ่มอ่านไปได้นิดหน่อย ก็จำบทต่อไปได้ ทั้งตำราเรียน หนังสือการเดินทาง หนังสือหลายๆหมวดหมู่ ผมจึงรู้สึกมีหวังว่าความทรงจำผมอาจจะกลับคืนมา” เขาอธิบายให้รีเบกก้าฟัง
รีเบกก้า เริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกของเอเดน และยังรู้ดีว่า เอเดน เป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียว มีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์แบบที่ตัวเธอเองยังไม่เคยเห็นมาก่อน หลายๆครั้งที่เธอรู้สึกทึ่งในความสามารถของเอเดน แต่ก็ยังรู้สึกหวั่นๆในพรสวรรค์และดวงตาสีเลือดของเด็กคนนี้ เธอพยายามคิดมาโดยตลอดตั้งแต่เจอเอเดนครั้งแรกว่า เด็กชายคนนี้เป็นคนธรรมดา แน่นอนว่าคนธรรมดาในความหมายของรีเบกก้านั้น คือคนที่ไม่มีความสามารถอะไรเลย และตัวของรีเบกก้าเองนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา มาดามเมอร์ซี่ก็เหมือนกัน พวกเขาเป็นคนพิเศษ และอีกหลายๆคนในเมืองก็เช่นเดียวกัน แต่รีเบกก้าก็ไม่สามารถสลัดความคิดที่ว่า เอเดนไม่ใช่เด็กธรรมดาๆ แต่เป็นเด็กที่พิเศษยิ่งกว่าใครที่เธอเคยพบเจอ
“มาดามเมอร์ซี่มักคุยกับฉัน...เรื่องเธอ เสมอๆ ว่ามาดามเมอร์ซี่จะดูแลเธอเป็นอย่างดี จะไม่ทำให้เธอต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย” รีเบกก้าบอกเอเดน
“เธอรู้ไหม ทำไมที่นี่ถึงมีชื่อว่า บ้านแสงจันทร์” เธอถามเด็กชาย
“อืม ผมคิดว่า บ้านแสงจันทร์คือบ้านที่ให้ที่พักพิงแก่เด็กกำพร้า ให้มีการศึกษา อาหารและที่นอนหลับ ครับ” เอเดนแสดงความคิดเห็น
“ถูกต้อง และบ้านหลังนี้ยังสามารถคุ้มครองพวกเด็กๆจากภัยต่างๆที่อยู่ข้างนอกนั่นได้ ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ในเงาของมาดามเมอร์ซี่ ทุกคนจะปลอดภัย” เธอกล่าว
“แต่ที่เธอ แอบออกไปข้างนอก ในตอนกลางคืน หลายต่อหลายครั้ง เธอรู้ใช่ไหมว่ามันผิดกฎของบ้านหลังนี้ และมันอันตรายมาก เธอก็ยังจะฝ่าฝืนอีกเหรอ!” รีเบกก้าบอกเอเดน ด้วยน้ำเสียงที่ฟังจริงจังกว่าทุกครั้ง
เอเดนชะงักไปชั่วครู่
“ผมขอโทษครับ อาจารย์ใหญ่รีเบกก้า” เอเดนขอโทษ ด้วยความรู้สึกผิด
“แต่เอาเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว และเธอจะถูกกักบริเวณหนึ่งเดือน และตอนที่เธอถูกกักบริเวณจะต้องมารายงานตัวที่ฉันตอนสองทุ่มทุกวัน เธอเข้าใจใช่ไหม เอเดน --” รีเบกก้าสรุปบทลงโทษของเอเดน
“เข้าใจครับ อาจารย์ใหญ่รีเบกก้า” เอเดนบอกรีเบกก้า พร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แล้วก็ หนังสือที่อาจารย์ใหญ่รีเบกก้าอ่าน ผมว่าเนื้อหามันยังไม่ค่อยจะสมบูรณ์ เรื่องธาตุประจำตัวน่ะ -- ผมไปก่อนนะครับ”เอเดนบอกรีเบกก้า แล้วเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านแสงจันทร์ “ไม่สมบูรณ์เรื่องธาตุประจำตัวงั้นเหรอ หมายความว่าไงกัน” รีเบกก้าครุ่นคิด --
✖ ✖ ✖
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ